ตอนที่ 1 : Chapter1
Chapter1
Introvert คือประเภทกลุ่มคนที่มีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง มีความสุขกับการที่ได้อยู่คนเดียวในห้อง อ่านหนังสือ ดูซีรี่ย์หรือจะทำแค่นอนเกลือกกลิ้งไปบนเตียงนุ่มๆ ไม่ชอบเข้าสังคมและการไปงานปาร์ตี้แม้กระทั่งสถานที่ที่มีคนเยอะๆคนกลุ่มนี้มักจะเอาตัวเลี่ยงออกมาเสมอ
กำแพงที่สร้างขึ้นบวกกับบุคลิกของคนกลุ่มนี้ทำให้มีเพื่อนน้อยแต่มั่นใจได้เลยว่าคนที่เป็นเพื่อนกับบุคคลกลุ่มนี้จะได้รับความรักและความจริงใจจากพวกเขาแน่นอน
“อ่านอะไรอยู่!”
“อ๊ะ!” เราสะดุ้งตกใจ หันไปมองคนที่จู่ๆก็เอาหน้าเข้ามามองจอโน๊ตบุ้คของเราทั้งๆที่เรากำลังอ่านบทความอยู่
นิสัยไม่ดี!
“อย่าพึ่งเบะ”
เขาชี้หน้าเรา ว่าด้วยเสียงดุๆเหมือนทุกครั้งที่เราทำท่าจะโกรธเขา
“มารยาทหายไปไหน ทำไมไม่เคาะประตู” เรื่องแค่นี้ทำไมต้องให้บอกด้วย คิดเองบ้างสิแค่จะเข้าห้องคนอื่นสิ่งแรกที่ต้องทำคือการเคาะประตูนะ
“เคาะแล้ว”
“ไม่ต้องโกหก”
“ก็หนูไม่ได้ยินเอง”
“อย่าเรียกหนู!”
“โหยไรอ่ะ ที่บ้านพียังเรียกพีว่าหนูเลย”
“ก็นั่นมันที่บ้าน นี่กรเป็นเพื่อนเรียกเราว่าหนูไม่ได้”
“แต่กรเป็นพี่พีตั้งสองปีนะ”
“ไม่นับ ก็กรดรอปเรียนเอง”
“อย่างนี้ก็ได้เรอะ”
“โอ๊ยกร เราเจ็บ!” เราปัดมือคนขี้แกล้งออกแรงๆ เขาชอบบีบแก้มเราแล้วเขาก็จะยืดแก้มเราสองข้างออกพร้อมๆกัน พอเขาปล่อยแก้มเราก็จะแดงส่วนกรก็จะหัวเราะชอบใจเวลาเห็นเราทำหน้าบึ้งทั้งๆแก้มแดงนั่น
“มันเขี้ยว” จบด้วยการที่เขาขยี้ผมเราแรงๆจนเสียทรงไปหมด
กรน่าเบื่อ!
เขาเป็นพี่เราตั้งสองปีแต่กรก็ชอบทำตัวเหมือนเด็กๆแกล้งเราสารพัดให้เราโมโห พอเรากำลังจะเบะเขาก็ว่าเราเสียงดุ ก็ตัวเองแกล้งเราก่อนทีเราเบะก็มาดุเรา
เรากับกรอยู่ปีสามเรียนเศรษฐศาสตร์ด้วยกันทั้งคู่ กรดรอปเรียนมาสองปีเลยต้องเรียนพร้อมเรา เวลาเราโวยวายกรก็จะชอบบอกว่ากรเป็นพี่แต่เราไม่นับเพราะกรเรียนปีเดียวกับเรางั้นก็ต้องเป็นเพื่อนกัน
“อ่านอะไรอยู่”
“มีตาก็ดูสิ”
“หนูพูดดีๆกับพี่หน่อย”
“บอกว่าอย่าเรียกหนูไง” เราว่าอย่างหงุดหงิด ยกหมอนข้างขึ้นมาฟาดจนหัวกรสั่น
“โอ๊ย!หนูพอแล้วไม่แกล้งแล้ว”
“เลิกเรียกเราว่าหนูก่อน”
“ครับๆกรไม่เรียกแล้ว”
บางทีเขาจะแทนตัวเองด้วยชื่อและบางทีเขาจะแทนตัวเองว่าพี่ เราชินแล้ว...กรไม่ค่อยเต็มเราเข้าใจ
“เราอ่านบทความที่อาจารย์ในคณะแชร์มา” เราเบี่ยงตัวหลบให้กร กรจะได้มองเห็นหน้าจอได้ถนัด
“อ๋อคนที่มีบุคลิกแบบ introvert” เขาพยักหน้าหงึกหงักไล่สายตาอ่านบนหน้าจอ ประมาณสักสามนาทีเขาก็หันมามองหน้าเรา บอกให้เราลุกขึ้นจากเก้าอี้
“กรจะทำอะไรอ่ะ” เราถามเขางงๆแต่ก็ยอมลุกขึ้นตามที่เขาบอก
“กรจะนั่ง”
“กร..แล้วเราล่ะ”
“ก็นั่งตักกรไง”
เราโดนกรดึงให้ไปนั่งบนตักทำท่าจะโวยวายใส่กรแต่กรกลับไม่สนใจเรา เขาเอาคางมาวางไว้บนไหล่เล็กๆแคบๆของเรา มือก็กอดเอวเราไว้หลวมๆส่วนสายตาก็ไล่อ่านตัวหนังสือบนหน้าจอโน๊ตบุ้คอีกครั้ง
จะให้เราโวยวายได้ยังไงก็กรกำลังตั้งใจอ่านอยู่
เรานิ่งรอบนตักกรให้กรได้อ่านบทความเรื่องนั้นให้เสร็จ นี่ก็นานแล้วด้วยทำไมกรถึงอ่านช้าจัง เรากลัวเขาเมื่อยเพราะตัวเราก็ไม่ได้เบา ขยับตัวยุกยิกๆจนกรต้องเป็นฝ่ายถาม
“เป็นอะไร?”
“ก็...กรเมื่อยไหม?”
หันไปมองกรก็ได้เห็นรอยยิ้มสวยของเขา เราหันหน้ากลับไปมองจอโน๊ตบุ้คเหมือนเดิมก็มันรู้สึกแปลกๆกับรอยยิ้มของกร หน้าร้อนมากเลย ทำยังไงดี
“กรไม่เมื่อย ตัวพีเบาจะตาย”
“แล้วกรอ่านจบหรือยัง?”
“จบนานแล้วครับ”
“อ้าว?” เราหันกลับไปมองเขาอีกครั้งด้วยความสงสัย “ทำไมไม่บอก”
“ก็อยากอยู่ท่านี้นานๆ”
กรชอบทำสายตากรุ้มกริ่มใส่เราทุกครั้งไปส่วนเราก็ไม่เคยทนกับสายตาแบบนั้นของเขาได้เลยจะต้องหลบตาเขาทุกที เก่งนักล่ะเรื่องแกล้งเราเนี่ย
“ปล่อยเลยเราจะลงแล้ว!” เราตีมือกรที่เริ่มซน ขยับจะเอามือล้วงเข้ามาในเสื้อเรา กรมือปลาหมึกมากเลยจับดึงออกก็ไม่ได้เกาะแน่นไปหมด
“ขออีกนิด”
“กร!”
ความสัมพันธ์ของเราเรียกได้ไม่เต็มปากนักว่าเพื่อน มันเป็นอะไรที่เกินกว่านั้นแต่ไม่ใช่แฟนแน่นอน เรียกว่าคนที่อยู่ด้วยกันภายในห้องชุดของคอนโดหรูจะยาวไปไหม?
ช่างเถอะเราก็ไม่สนว่าจะเรียกอะไรหรอกนอกจากเรียกร้องให้กรปล่อยเราลงจากตักเขาสักที มือเขาชักจะยุ่มย่ามกับตัวเราเกินไปแล้ว!
จากบทความที่ได้อ่านเมื่ออาทิตย์ก่อน เราสงสัยว่าตัวเองเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีบุคลิกแบบนั้นหรือเปล่า สิ่งที่ได้อ่านมาตรงกับที่เราเป็นเกือบทุกอย่าง เราไม่ค่อยมีเพื่อนสนิท เราไม่ชอบไปงานปาร์ตี้ ไม่ชอบเข้าสังคมและเข้าหาคนไม่เป็น
เราอึดอัดและเหนื่อยมากเวลาที่ต้องออกไปพรีเซนต์งานหน้าห้อง มันไม่ได้อายแต่แค่ไม่ชอบให้คนมองเรา ไม่ชอบเป็นจุดสนใจของใครๆ
อีกอย่างคือเราชอบอยู่คนเดียวในห้องของตัวเอง มันเป็นเซฟโซนที่ดีของเรา เรามีความสุขมากเวลาที่ได้กลับห้อง แม้บางครั้งกรจะเข้ามากวนแต่เขาก็รู้ว่าบางทีเราก็ต้องการอยู่คนเดียว กรเข้าใจเราทุกอย่าง เราเลยอยู่กับกรได้
กว่าเราจะยอมรับกรได้ก็ใช้เวลาอยู่นาน กรเป็นลูกของเพื่อนแม่และเราก็ต้องมาอยู่กับกรตอนที่ขึ้นมหา’ลัย แม่ฝากฝังให้กรดูแลเรา แม่คงเป็นห่วงกลัวเราไม่มีเพื่อนเลยให้กรเป็นเพื่อนกับเราแม้กรจะแก่กว่าเราสองปีก็ตาม
คอนโดนั้นจริงๆเป็นของกรแต่ว่ามันบังเอิญมากที่มีห้องอยู่สองห้องพอดีแม่เลยบอกให้เราไม่ต้องหาหอเองจะให้เราไปอยู่กับลูกเพื่อนแม่ดีกว่า ซึ่งลูกเพื่อนแม่ที่ว่าก็คือกร
พอดิบพอดีกับการที่มหา’ลัยไม่บังคับให้อยู่หอใน
“ไอ้กร วันนี้ไปเตะบอลกันไหมวะ”
เรามองเพื่อนๆที่เขามาทักทายกร กรเป็นคนที่เพื่อนเยอะมาก ทั้งในคณะและต่างคณะมีเพื่อนกรเต็มไปหมด ด้วยบุคลิกของกรที่เข้าถึงง่าย ใจดีมีน้ำใจและค่อนข้างเฮฮา ทำให้คนเข้าหากรเยอะไปหมดซึ่งต่างกับเราที่มีกรเป็นเพื่อนคนเดียวในมหา’ลัย
“วันนี้ไม่ว่างว่ะ เดี๋ยวพาพีไปซื้อหนังสือ”
เพื่อนของกรหันมามองทางเรา เราทำตัวไม่ถูกได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆไปไม่พูดอะไรสักคำ
“โอเค โชคดีพวกกูไปล่ะ” เพื่อนเขาล่ำลากรอย่างง่ายๆแล้วก็พากันเดินโหวกเหวกกอดคอกันออกไปจากห้องเรียน
“ไปเลยไหม เหงื่อแตกเชียว” เขาเช็ดเหงื่อให้เราด้วยผ้าเช็ดหน้าสีครามที่เขาพกไว้ติดตัวตลอด ไม่เคยเห็นเขาเช็ดให้ตัวเองเลยมีแต่เอามาเช็ดหน้าเรา
“มันร้อน” เราอ้างเหตุผลทั้งที่จริงๆแล้วเราตื่นเต้นและรู้สึกอึดอัดตอนที่เพื่อนๆกรจ้องเรากันหมด
“ไม่มีอะไรหรอก อย่าคิดมากสิ”
กรก็ยังเป็นกร เป็นคนที่รู้ใจเรามากที่สุดอยู่ดี
“เรากลัวเพื่อนกรโกรธ”
“พวกมันไม่โกรธหรอกเรื่องแค่นี้ เลิกคิดมากได้แล้ว” กรจูงมือเราเดินออกจากห้องแล้วหันมาหาเราระหว่างที่เดินกันอยู่ “อย่าเบะเชียวนะ”
“อื้อ” พยักหน้าหงึกหงักแต่เราเลิกเบะปากไม่ได้เลย
กรพาเรามาเลือกหนังสือที่ห้างตามสัญญาว่าถ้ากรเล่นเกมแพ้เขาจะซื้อหนังสือให้เราสองเล่ม
“กรจะไปไหน?”
“ไปดูรองเท้าที่ช็อปก่อนแป๊บนึงครับเดี๋ยวรีบมานะ” เขาชี้ไปที่ช็อปที่อยู่ใกล้ๆ
พอเห็นว่าไม่ได้อยู่ไกลกันเราก็ยอมให้เขาไปดูรองเท้าตามที่เขาต้องการ
“อย่ามาช้านะ” เราย้ำเขาอีกรอบ
“ครับ”
เราหันกลับมายืนเลือกหนังสือของตัวเองคนเดียวเงียบๆเมื่อเห็นกรเดินเข้าช็อปรองเท้าไปแล้ว หนังสือที่เราอ่านไม่ได้มีประเภทไหนที่ชอบเป็นพิเศษ เราอ่านได้หมดถ้าเล่มนั้นมีเนื้อหาที่น่าสนใจแม้กระทั่งนิยายวายที่เราไม่เคยรู้จักตอนนี้เรากลับกลายเป็นชอบอ่านไปซะแล้ว
“หือ? เรื่องใหม่ของคุณนักเขียนนี่นา”
เราหยิบหนังสือนามปากกาว่า ‘ภากร’ เป็นนักเขียนที่เราติดตามผลงานเขาอยู่ เริ่มแรกจากการที่บังเอิญชื้อหนังสือของเขาจากงานหนังสือเมื่อหลายปีก่อนโดยบังเอิญทำให้เราติดตามงานเขียนของเขามาจนถึงทุกวันนี้
งานเขียนของ ‘ภากร’ นิยมในหมู่คนที่ชอบอ่านนิยายวาย ใช่แล้ว...ภากรก็คือนักเขียนนิยายวายที่ทำให้เราติดงอมแงมมาจนถึงทุกวันนี้ไงล่ะ
แฟนคลับภากรเยอะมาก ดูได้จากยอดขายแต่ละเล่มของภากรsoldout ทุกครั้งที่ออกเล่มใหม่มา แถมคนยังเอาไปปล่อยมือสองราคาแพงหูฉี่อีก นับว่าเป็นโชคดีมากที่เรามาทันหนังสือเล่มใหม่ของภากร
แต่...ภากรไม่เคยปรากฏตัวให้ใครได้เห็น ไม่มีคนเคยเห็นภากรเลยและไม่รู้ด้วยว่าภากรเป็นใครเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย หลายๆคนก็เดากันไปทว่าก็ได้แค่นั้นเพราะความจริงทุกคนก็ไม่เคยรู้ว่าภากรนั้นคือใครกันแน่
ส่วนเราก็ไม่เคยสนใจว่าภากรเป็นใครหรือจะเป็นเพศไหน แค่ได้อ่านงานเขียนของภากรเราก็มีความสุขมากแล้ว
เราหยิบหนังสือเล่มใหม่ของภากรขึ้นมากอดเอาไว้ก่อนจะเดินไปเลือกหนังสือที่อยู่อีกโซน โซนนี้เป็นโซนหนังสือวรรณกรรมแปลส่วนมากเราจะอ่านที่แปลของฝรั่งซะส่วนใหญ่ เคยอ่านของจีนแล้วก็สนุกดีแต่รู้สึกว่ามันไม่ใช่แนวเราเลยไม่ค่อยอ่าน
กรบอกว่าเราอ่านหนังสือจนจะเป็นนักเขียนเองได้อยู่แล้ว บ้าสิ! ไม่ถึงขนาดนั้นสักหน่อยเราแค่ชอบอ่านหนังสือเยอะๆ มีความสุขเวลาที่ได้จินตนาการและคิดภาพตามเรื่องราวที่นักเขียนถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษรเอง
“ได้ไปกี่เล่มแล้วเนี่ย”
เสียงที่คุ้นเคยของกรดังขึ้น อืม...เราเคยคิดเล่นๆนะว่าถ้าเกิดภากรกับกรเป็นคนเดียวกันคงน่าแปลกใจพิลึก
“เล่มเดียวอยู่เลย” เราหันไปมองเขาที่ถือถุงรองเท้ามองเรายิ้มๆ “ซื้ออีกแล้ว เดี๋ยวฟ้องคุณน้าแน่”
“อย่าสิ งั้นเพิ่มให้เป็นสามเล่มเลยแต่ห้ามฟ้องแม่กรนะ” เขาติดสินบนเราอีกแล้วซึ่งเราชอบมาก จะได้ซื้อหนังสือเพิ่มอีกตั้งหนึ่งเล่ม
กรชอบรองเท้า ข้อนี้คนที่รู้จักกรจะรู้ดียิ่งคุณน้าแป้งแม่ของกรยิ่งรู้มากที่สุด คุณน้าบอกให้เราช่วยดูกรด้วยถ้าเห็นกรซื้อรองเท้าก็รีบไปบอกคุณน้าเลยแต่ครั้งนี้คงต้องเงียบไว้เพราะกรติดสินบนเป็นหนังสือที่เราชอบ
เราได้แต่ขอโทษคุณน้าในใจ
“กรพูดแล้วนะ”
“เด็กไม่ดี”
เรายิ้มทะเล้นใส่กรแต่กรก็ไม่ถือสายกมือขึ้นมาบิดแก้มเราอีก เราเลิกสนใจกรหันกลับไปสนใจหนังสือที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
กลับมาถึงคอนโดฝนก็ตกลงมาพอดี แอบเสียดายนิดๆที่เราไม่ได้นั่งรถติดอยู่บนถนนที่ไหนสักแห่ง เราชอบเวลานั่งในรถแล้วฝนตก อุณหภูมิในรถจะต่ำลงและการได้มองเม็ดฝนที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าผ่านกระจกรถเป็นอะไรที่เราชื่นชอบมาก
กรบอกว่าเราแปลกแต่เราว่าตัวเองปกติ มันคือความชอบของเรานี่ กรเองนั่นแหละที่ไม่เข้าใจแต่ถึงแม้เราจะชอบฝนมากแค่ไหนเราก็ยังกลัวฟ้าร้องและฟ้าแลบอยู่ดี
“เดี๋ยวกรมานอนด้วย”
กรเขารู้ว่าเรากลัวก็จะมานอนด้วยทุกครั้งที่ฝนตก การได้อยู่ใต้ผ้านวมอุ่นๆโดยมีกรนอนอยู่ข้างๆเราก็หลับสนิทได้แม้ฟ้าจะร้องดังแค่ไหนก็ตาม
ความสุขของเราตอนฝนตกคือการได้อยู่ใต้ผ้านวม มองเม็ดฝนผ่านกระจกของคนโด หลับตาปี๋ตอนที่แสงฟ้าแลบขึ้น และเสียงหัวเราะของกรที่นอนข้างๆก็ทำให้เราอุ่นใจ
“หัวเราะอะไร” เราว่าเสียงเข้ม ดุคนที่ขยับหัวมานอนหมอนใบเดียวกับเรา
“หัวเราะเด็กชอบฝนแต่กลัวฟ้า”
“ก็มันน่ากลัว” เราตอบอุบอิบ ซุกหน้าลงกับไหล่กว้างของกร กลิ่นประจำตัวกรเป็นกลิ่นเย็นสบายเราชอบกลิ่นกรบางครั้งเลยเผลอดมและคลอเคลียเขาบ่อยๆ กรก็ดูชอบใจปล่อยให้เราคลอเคลียโดยไม่ว่าอะไรสักคำ
“พี่อยู่นี่หนูจะกลัวอะไร”
“เรียกหนูอีกแล้ว!”
“มันติดนี่นา”
“ไม่ให้เรียก”
“หนูเขินเหรอ?” เขาเอาคางมาเกยบนหัวเรา “พี่เรียกบ่อยๆเดี๋ยวหนูก็ชิน”
“กรเราจะโกรธแล้วนะ”
“เบะอีกแล้ว” เขาหัวเราะ ก้มหน้าลงมาให้อยู่ในระดับเดียวกับหน้าเรา “อย่าเบะนะ เดี๋ยวจะโดนจูบปลอบ”
“อื้อ”
กรพูดจริงเราเคยโดนมาแล้ว กรคนนิสัยไม่ดีชอบเอาปากมาจูบเรา เราก็ขัดขืนไม่ได้เพราะเราก็ชอบจูบกับกรเหมือนกัน กลายเป็นว่าตอนนี้เราก็เบะมากขึ้นกว่าเดิม
“โธ่...อยากให้จูบก็ไม่พูดกันตรงๆ”
เขาแนบริมฝีปากลงมาแตะจูบกับกลีบปากของเรา ความรู้สึกของการโดนกรจูบเหมือนได้อ่านนิยายสักเรื่องแล้วถึงตอนที่ตัวเอกรักกันเลย มันรู้สึกมีความสุขตามพวกเขาแต่กับการจูบนี้มันมีความสุขมากกว่าการได้อ่านนิยายเสียอีก เขาเรียกว่าอะไรนะ
อ้อ...ฟินนั่นไงที่เรารู้สึก
อากาศเช้านี้สดใส แสงแดดออกจ้า มีแต่เราที่อิดออดไม่อยากไปเรียนจะเพราะอะไรอีกล่ะถ้าไม่ใช่เพราะการต้องไปยืนพรีเซนต์งานหน้าห้อง จะแกล้งป่วยดีไหม?
ไม่ดีหรอกแบบนั้นคนอื่นก็แย่หมดสิ
“จะสายแล้วนะหนู”
“บอกว่าอย่าเรียกหนูไง”
ถึงจะมีอารมณ์เซ็งอยู่แต่ไม่ลืมหรอกนะว่าห้ามกรเรียกเราว่าหนู กรเป็นประเภทที่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เรียกหนูๆอยู่นั่นแหละ
“กรเข้าใจว่าพีไม่ชอบการนำเสนอหน้าห้องแต่นี่ก็เป็นคะแนนสำคัญเลยนะ”
กรรู้ดีว่าจุดอ่อนของเราคือคะแนน เราชอบเก็บคะแนนตอนเรียนไว้เยอะๆถึงแม้มันจะไม่ได้เยอะมากมายแต่ถ้าเก็บได้เต็มหมดมันก็ช่วยเราตอนสอบได้เลยนะ
“รู้แล้วๆขอทำใจก่อน”
เรานั่งกันอยู่บนรถของกรเพราะเราไม่ยอมลงไปสักทีแค่คิดว่าเดินลงไปแล้วก็ต้องขึ้นห้องไปพรีเซนต์งานเราก็อยากจะบอกให้กรพาขับรถกลับห้องมันซะตอนนี้
“พี่เป็นกำลังใจให้หนูนะ”
คราวนี้เราไม่ห้ามเพราะเรากำลังรับกำลังใจจากกรอยู่ ให้ทายว่ากรให้กำลังใจเรายังไง?...
ใช่...กรจูบเราเพื่อเพิ่มกำลังใจนั่นเอง
“พอแล้ว” เราดันหน้ากรออกจากซอกคอ เดี๋ยวก็เผลอทำรอยให้เพื่อนในห้องต้องมองต้องสงสัยกันอีก อึดอัดจะตายไป
“พร้อมหรือยัง?” เขาผละออกก่อนจะผ่อนลมหายใจเข้าออกของตัวเองให้เป็นปกติแล้วถามเราขึ้นอีกครั้ง
เรามองหน้ากร พยักหน้าหงึกหงักทั้งที่ในใจไม่เคยพร้อมเลย…
“ยืนข้างๆเรานะ” เราอยู่กลุ่มเดียวกันเสมอและตำแหน่งข้างๆเราจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากกร
การนำเสนองานให้อาจารย์และเพื่อนๆในคลาสฟังทำเอาเราหมดพลัง เราต้องการพาวเวอร์แบงค์มาชาร์ตแบตตอนนี้มากและพาวเวอร์แบงค์ที่เราต้องการก็ไม่ได้อยู่ไกลที่ไหนเลย นั่งข้างๆเราอยู่นี่ไง
“เก่งมาก อาจารย์ชมว่าพูดเก่งขึ้นเยอะ”
เขาชมเราแบบนี้ทุกทีหลังจากนำเสนองานเสร็จทุกครั้ง ไม่รู้ว่าอาจารย์พูดจริงหรือเปล่าแต่เราก็ดีใจไปกับคำชมนั้นแล้ว
“อยากกลับห้องแล้ว” การชาร์ตพลังที่ดีที่สุดไม่ใช่การได้อยู่กับกรแต่เป็นการกลับเข้าไปในห้องของเราเอง เป็นเซฟโซนที่กันคนอื่นออกและมีเพียงแค่เราคนเดียวที่อยู่ในนั้นอาจจะมีกรเข้ามาอยู่ด้วยบ้างทว่ามันก็มีความสุขมากกว่าการอยู่ตรงนี้อยู่ดี
“เดี๋ยวก็ได้กลับแล้วทนอีกนิดนะ” เขาว่าปลอบ เราก็เชื่อฟัง อีกนิดเดียวของกรก็คือประมาณอีกสองชั่วโมงกว่าๆ
โอเคนิดเดียวก็นิดเดียว
******
เขียนนิยายเรื่องใหม่อีกแล้ว แหะๆอันนี้พล็อตแบบชั่ววูบมาก ฝากติดตามกันด้วยนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

(คุณไรท์ไม่จำเป็นต้องขอโทษใครเลยน้า น้องพีออกจะน่ารัก)
น่ารักกจังเลยค่ะ
นิยายชายหญิง?