ตอนที่ 5 : คุณชายสะอาดโหมดใจดี
ตอนที่4
คุณชายสะอาดโหมดใจดี
ผมเอาแต่นั่งถามตัวเองซ้ำๆว่าทำไมตอนลงทะเบียนเรียนถึงไม่ปรึกษาไอ้กล้วยเพื่อนรักมันเลย ทำไมตัวเองต้องกดเลือกวิชาที่มันเรียนตั้งแต่สี่โมงแล้วเลิกตั้งสองทุ่มด้วยก็ไม่รู้ ทั้งที่วิชานี้เป็นวิชาเสรีแต่คือเลิกดึกยิ่งกว่าวิชาเอกของผมซะอีกครับ
ส่วนไอ้กล้วยเพื่อนรักที่ไม่ได้ลงเรียนวิชานี้กับผมก็โบกมือลาผมตั้งแต่เรียนเสร็จเมื่อตอนบ่ายไปเรียบร้อยแล้ว ไอ้ผมก็ได้แต่มองเพื่อนแล้วทำหน้าหงอยเหงาใส่เหมือนเจ้าของปล่อยหมาทิ้งไว้อะไรแบบนั้นเลย
เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมามันจึงเป็นบทเรียนราคาแพงและสอนให้ผมได้เรียนรู้ว่าถ้าต้องลงทะเบียนเรียนอีกผมควรปรึกษาเพื่อนไม่ก็ไปนั่งลงทะเบียนเรียนข้างๆไอ้กล้วยมันเลยจะได้ลงเรียนวิชาเดียวกันทั้งหมด ไม่ใช่ว่าผมขาดเพื่อนไม่ได้แต่ผมคิดว่าถ้ามีเพื่อนมานั่งเรียนด้วยกันมันดูอุ่นใจและสบายใจกว่ามากจริงๆครับ
ได้แต่นั่งกร่อยๆคนเดียวเพื่อรออาจารย์เข้าสอน เห็นคนอื่นๆมีเพื่อนแล้วก็อิจฉาพวกเขาขึ้นมา ป่านนี้ถ้าได้ไอ้กล้วยมานั่งข้างกันด้วยพวกผมคงพูดคุยกันจนน้ำลายเปื้อนหน้ากันไปแล้ว
เฮ้อ...
“ขอโทษนะครับ ที่นั่งตรงนี้ว่างหรือเปล่าครับ?”
ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียงสุภาพที่ถามผมขึ้นแล้วก็ต้องเบิกตาโพลง อ้าปากค้างเหมือนครั้งแรกที่เคยได้เจอเขาเป๊ะๆเลย
อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้นวะ!
“อ...เอ่อ..” ผมอึกอัก ไม่คิดว่าจะได้เจอเขาที่นี่อีก
เมื่อกี้ถ้าฟังไม่ผิดเขาคงถามถึงที่นั่งข้างๆผมว่ามีเจ้าของหรือเปล่า แน่นอนว่าไม่มีแต่ถ้าให้เขานั่งด้วยล่ะก็มัน...อืมผมคงอึดอัดแย่เลย
ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจหรือไม่ชอบเขาแต่ผมว่าพี่ภัทรเขาดูน่ากลัวแต่ก็ยังคงความน่ามองไว้ได้เสมอ ถึงสิ่งที่ผมบอกไปมันจะดูย้อนแยงแต่นั่นคือความจริงที่ผมสัมผัสได้ทุกครั้งที่เจอพี่ภัทร ขนาดผมที่ไม่ได้ชอบผู้ชายยังเผลอแอบมองเขาบ่อยๆเลย
“ถ้ามีแล้วก็ไม่เป็นไร” เขาว่าแล้วทำท่าจะเดินออกไปหาที่นั่งที่อื่น แต่ผมก็ได้ทำการสำรวจก่อนหน้าเขาจะมาแล้วว่าทุกที่นั่งและทุกพื้นที่มีผู้คนจับจองกันหมดแล้วแต่ยังมีเหลือเพียงที่หนึ่งเท่านั้นซึ่งนั่นก็คือที่ข้างๆของผมเอง
“มะ...ไม่มีครับพี่”
พี่ภัทรมองหน้าผมสลับกับเก้าอี้ ผมเลยพึ่งรู้ตัวว่าตัวเองดันเอากระเป๋าวางไว้บนเก้าอี้ที่ผมพึ่งบอกว่าว่างไป พี่ภัทรก็เลยไม่ยอมนั่งลงสักทีแถมยังจะมองหน้ากดดันให้ผมเอากระเป๋าของตัวเองออกอีก มีปากทำไมไม่พูดก็ไม่รู้
“ขอบใจ” เขาว่าพลางนั่งลงบนเก้าอี้ที่ผมทำการเอากระเป๋าของตัวเองออกไปเรียบร้อยแล้ว
ไม่นานอาจารย์ก็เปิดประตูเดินเข้าห้องมา มีการพูดคุยกับนักศึกษาถึงเรื่องทั่วไปก่อนเข้าบทเรียน อาจารย์ก็บ่นนู่นบ่นนี้ให้พวกเราฟัง มีบางกลุ่มที่ตอบโต้กับอาจารย์อย่างออกรสออกชาติ บางกลุ่มก็นั่งก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์และบางกลุ่มก็ฟุบหลับโดยไม่แคร์ใดๆทั้งสิ้น
คงจะมีแค่ผมที่เอาแต่นั่งเกร็งและอึดอัดแปลกๆเมื่อมีใครอีกคนมานั่งอยู่ข้างๆกัน ผมไม่เคยรู้เลยว่าเขาเรียนเสรีตัวเดียวกับผมด้วยเพราะผมมาเรียนหลายครั้งแล้วก็ไม่เคยเจอเขาสักที พอมาวันนี้ได้เจอเขาก็เลยตกใจนิดหน่อยและตกใจยิ่งกว่าตอนที่เขาเดินเข้ามาเพื่อมาขอนั่งที่นั่งข้างๆผม
แต่ถึงจะรู้สึกอึดอัดยังไงไม่วายสายตาผมก็ยังคงแอบเหลือบมองใบหน้าของเขาอยู่ดี ใบหน้าที่มีแต่ความเรียบเฉยนิ่งสนิทและไม่สามารถเดาอารมณ์อะไรของเขาได้เลย มันเป็นเหมือนกับเสน่ห์ของเขาที่ทำให้สามารถดึงดูดใครต่อใครให้เข้าหาเขาได้โดยไม่ต้องพูดจาหวานหูหว่านเสน่ห์เลยสักนิดเดียว
คนแบบนี้ทั้งน่าค้นหาและน่าอิจฉาเป็นบ้า
“มีอะไรหรือเปล่า?”
สะดุ้งตกใจตอนที่กำลังมองหน้าเขาเพลินๆ พี่ภัทรก็หันมาถามผมเสียงนิ่งๆและใบหน้ายังคงนิ่งสนิทไม่ได้ปรากฏอารมณ์ใดๆเหมือนอย่างเคย ผมเดาไม่ถูกว่าที่เขาถามเพราะหงุดหงิดที่ผมเอาแต่นั่งจ้องเขาหรือเขาถามเพียงแค่อยากรู้ว่าทำไมผมถึงได้แต่นั่งมองหน้าเขาแบบนั้น
ผมคิดหาคำตอบให้เขา พยายามคิดคำตอบดีๆเพื่อให้เขาได้เข้าใจและไม่หงุดหงิดผมหรือไม่ชอบใจผมที่ผมมองหน้าเขา
“คือ...ผมแค่สงสัยว่าทำไมไม่เคยเห็นพี่ในคลาสเลยน่ะครับ”
หวังว่าสิ่งที่ผมถามออกไปจะเป็นคำถามที่ดีและสามารถลบล้างความผิดที่ผมเอาแต่มองใบหน้าของเขาได้ล่ะนะ เพราะเหตุผลจริงๆที่ผมชอบมองหน้าเขามันเป็นเหตุผลที่โคตรบ้าสิ้นดี
มองเพราะชอบมอง...เหอะ! พี่ภัทรคงได้คิดแน่ว่าผมเป็นเกย์และกำลังสนใจเขาอยู่ทั้งที่ความจริงแล้วนั้นผมก็แค่ชอบมองเขาเท่านั้นเอง
“ไม่เคยเข้า”
คำตอบก็สมกับที่เป็นพี่ภัทรดี ถ้าตอบยาวกว่านี้คนข้างๆคงจะเป็นตัวปลอมแน่แล้วล่ะครับ
“อ่า...ครับ”
ผมไม่แน่ใจว่าควรจะต้องต่อบทสนทนาอีกหรือเปล่าและถ้าจำเป็นต้องต่อจริงๆผมควรจะชวนเขาคุยแบบไหนดีเพราะผมก็ยังไม่รู้เลยว่าพี่ภัทรเอาผมไว้ในสถานะคนรู้จักหรือเปล่า แต่ท่าทางห่างเหินแบบนี้คงไม่ต้องเดาผมก็รู้เลยว่าในสายตาเขา ผมคงเป็นได้แค่นักศึกษาธรรมดาที่เขาบังเอิญมานั่งข้างๆเท่านั้นเอง
ตอนที่ตัดสินใจจะหันกลับไปสนใจอาจารย์ที่เริ่มเปิดสไลด์สอน เสียงทุ้มของคนข้างๆก็ดังขึ้นเป็นจังหวะเนิบนาบหน้าฟังและลื่นหูที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมา
“เพื่อนคุณล่ะ?”
ผมควรจะดีใจหรือเปล่าที่เขาเป็นคนชวนคุยและทำให้ผมไม่ต้องคิดหาประโยคสนทนาเพื่อคุยกับเขาต่อ
“ผมลงเรียนวิชานี้คนเดียวครับ” พูดจบก็ส่งยิ้มให้เขาเพื่อผ่อนคลายความอึดอัดของตัวเองและเพื่อพยายามผูกมิตรกับพี่ภัทรเอาไว้ ไหนๆก็เรียนคลาสเดียวกัน เผื่อมีอะไรพี่เขาอาจจะช่วยได้ ยังไงพี่ภัทรก็อยู่ปีสี่คงจะรู้อะไรมากกว่าผมล่ะมั้งนะ
“อืม...เหมือนผม” เขาพยักหน้ารับ ตาก็มองสไลด์ที่อาจารย์สอนไปด้วย
“ทำไมพี่ภัทรถึงมาลงเรียนวิชานี้ล่ะครับ พี่ก็...ปีสี่แล้ว” น่าจะไม่ต้องเรียนวิชาเสรีแล้วหรือเปล่า ผมต่อประโยคหลังไว้ในใจ ไม่กล้าพูดออกไปกลัวพี่ภัทรเขาจะมองแรง
เขาหันมามองผมนิ่ง “ผมขาดเสรีหนึ่งตัว”
พูดแค่นั้นผมก็สามารถเข้าใจสิ่งที่เขาบอกได้ชัดแจ้งและแจ่มชัดโดยไม่ต้องถามหรือเซ้าซี้อะไรเขาอีก จริงๆก็ไม่กล้ารบกวนเขาแล้วล่ะครับ ดูท่าพี่ภัทรกำลังตั้งใจเรียนอยู่ผมก็เลยไม่อยากรบกวนสมาธิของเขาเลยเลือกจบประโยคนั้นของเขาไว้และไม่ตอบโต้อะไรไปอีก
อาจารย์กำลังสั่งให้พวกผมจดตามสไลด์ที่อาจารย์เปิดให้พวกเราดูเพราะคาบหน้าอาจารย์จะสอบข้อเขียน ผมที่ตอนแรกกะว่าจะฟุบหลับสักหน่อยก็ต้องหยิบสมุดกับดินสอขึ้นมาจดตามสไลด์ของอาจารย์ ไม่ต้องสงสัยหรอกครับว่าทำไมผมถึงใช้ดินสอแทนปากกา เหตุผลของผมก็เพราะว่ามันลบง่ายและหมึกปากกาผมก็หมดเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เลยเหลือแค่ดินสอที่สามารถเขียนลงบนกระดาษของสมุดได้เพียงเท่านั้น
แต่ที่ทำให้ผมหงุดหงิดนิดหน่อยคงจะเป็นลายมือของตัวเองที่พอจดเสร็จก็อ่านแทบไม่ออกและไม่รู้ว่าไอ้ที่เขียนติดกันเป็นพรืดๆนั่นมันมีตัวอะไรบ้าง ได้แต่นั่งมองและก็ปวดหัวไปกับตัวอักษรยึกๆยือๆของตัวเอง
ทำไมไม่เกิดมาลายมือสวยก็ไม่รู้!
“หึ..”
ผมหันไปมองคนที่จู่ๆก็ขำขึ้นมาเห็นเขากำลังชะโงกหน้าเข้ามาอ่านตัวหนังสือที่ผมเขียนเอาไว้ตามอาจารย์ เรื่องนี้จะมาโทษว่าผมเขียนลายมือไม่สวยอย่างเดียวไม่ได้นะ ต้องโทษอาจารย์เขาด้วยที่ไม่รู้จะรีบเลื่อนเปลี่ยนสไลด์ไปไหน ผมก็เลยต้องรีบๆจดเพื่อตามให้ทันสไลด์ปัจจุบันของอาจารย์ พอเขียนเสร็จสภาพลายมือของผมก็ออกมาเป็นสภาพนี้เลย อ่านไม่ออกสักตัวเลย เห็นแล้วก็เครียด!
ผมเผลอมองค้อนเขาแต่เขาก็ดูไม่ถือสาอะไรกับกิริยาแบบนั้นของผมเท่าไหร่ เขาทำเพียงมองหน้าผมยิ้มมุมปากนิดหน่อยแล้วส่ายหน้าเบาๆตอนที่ไล่มองสิ่งที่ผมจด
“อะไรครับ” รู้ตัวว่าเสียงแข็งแต่แม่งไม่พอใจไงครับ มีสิทธิ์อะไรมามองลายมือคนอื่นแล้วขำแบบนั้น
“เปล่า” เขาตอบสั้นๆแล้วหันไปสนใจสิ่งที่อาจารย์พูดต่อแต่มุมปากของเขาก็ยังคงไม่คลายรอยยิ้มก่อนหน้าตอนที่มองลายมือบนสมุดที่ผมจด
บ้าจริงๆเลย...
อาจารย์แบ่งเวลาสองชั่วโมงแรกสอนในส่วนของเนื้อหาส่วนสองชั่วโมงหลังอาจารย์ก็สั่งงานให้นักศึกษาทำในห้องเรียน ซึ่งงานในครั้งนี้ที่อาจารย์สั่งเป็นงานคู่ ให้หาข้อมูลตามหัวข้อที่อาจารย์กำหนดให้ ช่วยกันวิเคราะห์และเขียนใส่ในแผ่นกระดาษที่อาจารย์แจกให้ เมื่อทุกคู่ทำเสร็จอาจารย์จะสุ่มเพื่อเรียกมานำเสนอหน้าชั้นเรียน
ผมที่ไม่มีเพื่อนมาเรียนด้วยก็ได้แต่มองหาคนที่พอจะมาเป็นคู่ของตัวเองได้แต่พอมองไปทางไหนทุกคนก็ต่างมีคู่เป็นของตัวเองหมดแล้ว ผมจึงวกสายตากลับมายังคนที่นั่งข้างๆอีกครั้งและก็ต้องสะดุ้งเป็นครั้งที่เท่าไหร่ตั้งแต่เจอเขาก็ไม่รู้ เมื่อผมหันมาเห็นว่าเขาก็กำลังมองหน้าผมอยู่เช่นกัน
“ดูคุณจะเป็นคนขี้ตกใจเหมือนกันนะ”
“แหะๆ นิดหน่อยครับ” ผมยิ้มแหยๆส่งให้เขาที่มองผมนิ่งๆ จะบอกว่าเป็นคนขี้ตกใจก็ไม่ใช่หรอก ไอ้ที่ตกใจบ่อยๆก็เกิดจากเขาทั้งนั้นแหละ
“คุณมีคู่หรือยัง?” เขาถามผมตอนที่กำลังจะหันไปหาคู่อีกรอบ
“ยังเลยครับ ผมกำลังหา”
“งั้นก็คู่กับผมสิ”
“ครับ?” ผมทำหน้างงใส่พี่ภัทร
เขาถอนหายใจและพูดย้ำอีกรอบ “ผมก็ยังไม่มีคู่”
จริงๆอันนี้มันก็ทำให้ผมงงยิ่งกว่าประโยคแรกที่เขาพูดซะอีก แต่ก็ไม่อยากถามอะไรเซ้าซี้เขาเยอะเลยต้องพยายามใช้สมองตัวเองคิดและวิเคราะห์สิ่งที่เขาต้องการจะบอก
ผมไม่มีคู่และพี่ภัทรไม่มีคู่ = เราต้องคู่กัน
อืม...เขาคงจะหมายถึงแบบนี้แน่ๆ
“พี่หมายถึงผมกับพี่ต้องคู่กันใช่มั้ยครับ?” ผมถามเขาอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองคิดมันถูกต้องแล้ว
“อืม”
“ครับ” ผมพยักหน้ารับ ยอมทำงานคู่กับเขาในที่สุด
ถ้าผมไม่ตกลงคู่กับเขาก็ไม่รู้จะไปหาคู่ที่ไหนอีก ทุกคนในห้องนี้ก็เหมือนจะมีคู่กันหมดแล้วด้วย พอพี่ภัทรถามผมก็เลยตอบตกลงเขาอย่างง่ายดาย
บอกตามตรงว่าตั้งแต่ที่เขามานั่งข้างๆกันกับผม ความรู้สึกที่เคยวูบโหวงและความรู้สึกเหงาที่ไม่มีเพื่อนมันก็ทุเลาลงจริงๆ คงจะเป็นเพราะเขาเป็นพี่ชายมิ้งและผมก็รู้จักเขา ผมเลยคิดเอาเองว่าเขาก็เป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่งที่มานั่งข้างๆกันถึงแม้จะยังคงมีความรู้สึกอึดอัดนิดหน่อยก็เถอะ
ผมยอมรับว่าพอได้พูดคุยกับพี่ภัทรในครั้งนี้มันทำให้ผมเรียนรู้ว่าพี่ภัทรไม่ได้หยิ่งอย่างที่ใครพูดไว้ เขาแค่จะพูดเมื่อจำเป็นและดูท่าทางจะเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่งเลยทำให้หลายๆคนเข้าใจผิดว่าเขาเป็นคนหยิ่งและเข้าถึงยาก อันนี้ผมเดาคร่าวๆหลังจากที่ได้พุดคุยกับเขานิดๆหน่อยๆ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่านิสัยจริงๆของพี่ภัทรเขาเป็นแบบไหน ถ้าหากได้ทำความรู้จักและพูดคุยกันมากขึ้นผมอาจจะได้เห็นมุมมองต่างๆของเขามากกว่านี้
อย่างที่เคยได้ยินใครหลายคนพูดบ่อยๆเลยว่าอย่ามองคนที่ภายนอกและผิวเผินหากเรายังไม่เคยได้ลองเรียนรู้ที่จะรู้จักเขาจริงๆ
พี่ภัทรเริ่มแจกแจงงานและคอยถามผมเป็นระยะว่ามีความคิดเห็นในส่วนไหนบ้างหรือเปล่า อยากจะเสนอแนวคิดอะไรให้กับเขาบ้างมั้ย ผมก็บอกเขาไปเท่าที่ตัวเองรู้และศึกษาข้อมูลมา พี่ภัทรก็รับฟังและนำมาแยกเขียนใส่กระดาษเอสี่เพื่อจะมาทำการวิเคราะห์อีกทีแล้วจึงนำไปเขียนใส่ในกระดาษที่อาจารย์แจกอีกที
ผมชื่นชมพี่ภัทรจริงๆในเรื่องการทำงานอย่างเป็นระบบและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น จากที่ผมเคยประสบพบเจอมาปัญหาในการทำงานกลุ่มคือการไม่รับฟัง ไม่วางแผนการทำงานและไม่ยอมพูดคุยกัน จึงทำให้งานไม่ค่อยราบรื่นและไม่ดีอย่างที่ตั้งใจไว้ พอได้มาทำงานกับพี่ภัทรแบบนี้ผมต้องยอมรับและชื่นชมจริงๆว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่เก่งมากๆ
ในส่วนของการนำเสนออย่างที่บอกไปว่าอาจารย์จะสุ่ม ดังนั้นเราจึงไม่รู้เลยว่าอาจารย์จะเรียกคู่ไหนออกไปนำเสนอบ้าง ผมกับพี่ภัทรจึงแบ่งในส่วนของเนื้อหาที่ตัวเองถนัดและทำการอ่านให้เข้าใจ ฝึกพูดให้คล่องปากและจับประเด็นสำคัญของเนื้อหาเพื่อการนำเสนอให้สมบูรณ์ที่สุด
“คุณโอเคนะ?”
ผมเงยหน้าขึ้นมองพี่ภัทรตอนที่กำลังอ่านสไลด์แล้วได้ยินเสียงของเขาถามขึ้นมา
“โอเคครับ เนื้อหาส่วนนี้ไม่ค่อยยากเท่าไหร่” ผมตอบแล้วยิ้มให้เขา
“ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามผมได้”
“ครับ”
จากนั้นต่างคนก็ต่างก้มหน้าอ่านเนื้อหาที่ตัวเองต้องนำเสนอจนกระทั่งอาจารย์บอกให้ทุกคนเตรียมตัวออกมานำเสนอ ผมจึงต้องเงยหน้าขึ้นมามองคู่แรกที่อาจารย์สุ่มออกไป คิดๆดูแล้วก็ตื่นเต้นเหมือนกัน เวลาพูดต่อหน้าคนหลายๆชีวิตก็ยังคงความประหม่าอยู่เสมอเลย
“ตื่นเต้นหรือเปล่า?”
“นิดหน่อยครับ” ผมหันไปตอบพี่ภัทรที่คงเห็นว่าผมมีอาการตื่นเต้นจึงถามขึ้นมาแบบนั้น
“ไม่มีอะไรหรอก คิดซะว่าออกไปเล่าเรื่องให้เพื่อนๆฟัง”
ไอ้ที่เขาพูดมันก็พูดง่ายอยู่หรอกแต่พอไอ้ตอนจะออกไปทำจริงๆน่ะสิ ให้ตายร้อยทั้งร้อยก็ยืนมือสั้นขาสั่นก็ทั้งนั้นแหละ
“ผมจะพยายามครับ”
“ไม่ต้องกดดัน ทำตัวสบายๆ”
ผมพยักหน้ารับพี่ภัทร ปากก็ขมุบขมิบท่องสิ่งที่ตัวเองต้องนำเสนอไปเรื่อยๆ การที่อาจารย์สุ่มคนนำเสนอมันก็เลยยิ่งเพิ่มความตื่นเต้นให้ผมไปกันใหญ่ ใจมันจะคอยลุ้นตลอดว่าเราจะได้ออกไปหรือไม่ได้ออกไปแต่ใจจริงๆแล้วผมก็ไม่อยากจะออกไปเท่าไหร่หรอกครับ
“นายณภัทร” เสียงอาจารย์เรียกชื่อดังไปทั้งห้อง ทุกคนที่รู้จักพี่ภัทรเป็นทุนเดิมก็หันมามองทางที่พี่ภัทรนั่งอยู่เป็นตาเดียว คงจะลุ้นและตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้เห็นคนดังอย่างพี่ภัทรออกไปพูดหน้าชั้นเรียน
“พร้อมมั้ย?” พี่ภัทรหันมาถามผม ไม่ได้สนใจสายตาหลายคู่ของใครๆที่กำลังมองอยู่เลย
“ผม...” อยากตอบไปว่ายังไม่พร้อมจริงๆ
“ผ่อนคลายนะ ผมก็ยืนอยู่ข้างๆคุณ”
ผมมองหน้าพี่ภัทร พยายามทำตัวผ่อนคลายเพื่อลดความตื่นเต้นและประหม่าของตัวเอง
“นายณภัทรอยู่มั้ยคะ?” เสียงของอาจารย์เรียกชื่อพี่ภัทรขึ้นอีกครั้ง ผมจึงเรียกพลังกายและพลังใจให้ตัวเองจากนั้นก็หันไปพยักหน้าให้พี่ภัทรเป็นสัญญาณว่าผมพร้อมแล้ว
“ผมพร้อมแล้วครับ”
เขายิ้มให้ผม เป็นยิ้มที่ทำเอาผมแทบตาพร่าเพราะไม่เคยเห็นเขายิ้มให้ใครแบบนี้มาก่อนนอกจากมิ้งน้องสาวของเขาเอง
“เต็มที่นะ”
พี่ภัทรเดินนำผมออกไปข้างหน้า เขารับไมค์ที่อาจารย์ยื่นให้และเริ่มแนะนำตัวเอง ทุกคนในห้องต่างเงียบฟังสิ่งที่เราสองคนนำเสนอ เสียงพี่ภัทรที่คอยพูดถึงเนื้อหาและอธิบาย ยกตัวอย่างเพื่อให้คนอื่นเข้าใจ มันทั้งหน้าฟังและสามารถทำให้คล้อยตามไปกับสิ่งที่เขาพูดได้ พี่ภัทรนำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจ มีเหตุผลและแหล่งที่มาอ้างอิงยิ่งทำให้น่าเชื่อถือ
เมื่อพี่ภัทรพูดในส่วนของเขาจบ ไมค์ที่เขาถืออยู่ก็ถูกยื่นส่งมาให้ผม ผมเงยหน้ามองคนที่สูงกว่าผม เขายิ้มและพยักหน้าให้ ผมจึงยิ้มกลับและรับไมค์จากเขาเพื่อพูดในส่วนของตัวเองบ้าง
สิ้นคำขอบคุณทุกคนก็ปรบมือให้เราสองคน แน่ล่ะว่าเสียงปรบมือคงจะดังกว่าคนก่อนๆเนื่องจากแฟนคลับพี่ภัทรหรือคนที่ชอบพี่ภัทรก็มีไม่น้อยเลยที่อยู่ในห้องนี้
อาจารย์ติชมและให้คำแนะนำผมกับพี่ภัทรนิดหน่อยก็ปล่อยให้เรากลับไปนั่งที่ตามเดิม ตอนเดินมาถึงโต๊ะตัวเองแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ผมก็ถอนหายใจออกมาเฮือกโตและรู้สึกโล่งจริงๆที่การนำเสนอผ่านไปด้วยดี ถึงแม้จะมีติดขัดอยู่นิดหน่อยก็ตาม
พี่ภัทรเดินตามมานั่งทีหลังผม เขายิ้มขำกับสภาพโล่งอกโล่งใจของผม ผมเลยหันไปมองเขาอย่างอึ้งๆ วันนี้ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าพี่ภัทรดูยิ้มง่ายและใจดีกว่าปกติ
“ทำได้ดีนะ”
“พี่ก็เก่งมากๆเลยครับ”
ผมยิ้มให้เขาและชื่นชมเขาจากใจจริง พี่ภัทรยิ้มรับคำชมของผมและหันหลับไปให้ความสนใจกับคู่ที่กำลังนำเสนอหน้าห้องต่อ
ผมคิดว่ามันคงจะดีไม่น้อยเลยถ้าพี่ภัทรอยู่ในโหมดยิ้มง่ายและใจดีอย่างนี้ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน มันจะดีไม่น้อยเลยจริงๆ
TBC....
อาจจะมาช้าแต่ก็มานะ ขอโทษที่ให้รอนานเด้อ หลังจากนี้จะพยายามมาบ่อยๆนะคะ ^^
#นิยายคุณชายสะอาด
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไรท์รีบต่อน่ะ
ไรท์มาต่อเถอะ พลีสสส 🙏
ไรท์ยังอยุ่หม๊ายย
รีบกลับมานะคะ รอนะคะ TT