ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Magic Quest : Thunder Legend

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 4 : นักดาบปะทะนินจา

    • อัปเดตล่าสุด 22 พ.ย. 60


    Magic Quest Ep.4
    "นักดาบปะทะนินจา"
          ออกเดินทางจากหมู่บ้านเวทนี่มันก็ครึ่งวันแล้ว ตอนนี่ดวงอาทิตย์กำลังจะลา ลับขอบฟ้าอีกครั้ง
          "มีอะไรเหรอฮะคุณเมอร์ซี่?"
          "เปล่า ไม่มีอะไรหรอก"
          ผมเดินพลางยิ้มเล็กน้อย นึกถึงเรื่องเด็กคนนั้น ไม่นึกว่าจะมีเด็กสาวที่มีทักษะการต่อสู้สูงขนาดนั้นอยู่ ส่วนมากคงจะมาจากความแค้นหรือความคึกคะนองล่ะมั้ง แต่พอสิ้นสุดการประลองเธอก็ยิ้มหน้าบานซะดื้อๆ
          "เอว่าแต่...หาไรกินดีกว่าแฮะ"
          "นั่นสิฮะ ใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว นี่ฮะ"
          ดราโก้เองก็ยังอยู่กับผมไม่ไปไหน ตอนนี้เลยกลายเป็นกลุ่มเดินทางสองคน...หรือจะเรียกหนึ่งคนหนึ่งตัวดี...แต่สองคนน่าจะเหมาะที่สุดแล้วมั้ง ผมยังคงมีปัญหาเรื่องการใช้สรรพนามแทนมังกรอย่างดราโก้อยู่เหมือนเดิม
          "อือ...แต่ว่าอยากกินอะไรหรูๆเหมือน กันนะฮะ เหมือนพวกอาหารเป็นมื้อน่ะไม่ ใช่พวกผลไม้พวกนี้ เอาไว้เข้าเมืองหน้า แล้วพาไปหน่อยนะฮะ?"
          "ไม่ต้องหรอกมั้ง~ ให้คุณคนที่แอบ ตามเรามาตั้งแต่เมื่อกี้ช่วยทำให้ก็ได้นี่นา"
          พริบตานั้นผมสัมผัสได้เลยว่ามีเงาคน สะดุ้งโหยงอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งด้าน หลังผมห่างไปพอสมควร
          "เอ๋?! มีใครตามเรามาเหรอฮะ?"
          "นั่นสิน้า~ ใครกันนะที่ตามเรามาน่ะ ซ่อนไม่เนียนเท่าไหร่เลยนะ"
          คนคนนั้นเริ่มเหงื่อตก ผมจึงรู้ได้ทันที ว่า'เธอ'จงใจตามพวกเรามาและไม่อยากให้ เรารู้ตัว
          "ชายผ้าพันคอโผล่น่ะคิฟุโคะ"
          "งะ งั้นเหรอ ขอบใจ"
          ว่าแล้วเงานั้นก็เก็บผ้าพันคอให้พ้นจาก สายตาผมและนิ่งไปครู่ใหญ่ๆ ทุกอย่าง เงียบสงัดผมยืนมองต้นไม้ต้นนั้นที่โผล่มาแค่เงาคนรูปร่างบอบบางให้เห็น
          "..."
          "..."
          "ขะ ขี้โกงนี่นาอีตาบ้า!!!"
          เมื่อรู้ตัวว่าโดนเจอตัวแล้วแถมถูกระบุชื่อ เจ้าของผ้าพันคอสีแดงสดก็โผล่พรวดออกมาจากต้นไม้ สีหน้าดูโกรธนิดๆแต่ก็ดูตลกดี
          "เธอแอบไม่เนียนก็อย่ามาโทษฉันสิ"
          "น่ะ ไหนนายบอกว่าเซนส์ไม่ดีไง? ทำไมถึงรู้ว่าฉันแอบตามมาล่ะ"
          "ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าตามมาตั้งนานแล้ว ก็สงสัยอยู่ว่าใครแอบตามมา แต่เมื่อครู่พอ หันมาเห็นผ้าพันคอนั่นฉันก็รู้เลย"
          "ง่ะ..."
          เจ้าตัวถึงกลับพูดไม่ออก
          "วันหน้าวันหลังหัดถอดผ้าพันคอเก็บ ให้เรียบร้อยละกัน"
          "ไม่ได้หรอก!"
          "หือ?"
          "ทำไมเหรอฮะ?"
          "เจ้านี่น่ะเป็นของสำคัญที่คนคนนึงให้ ฉันมา ฉันอยากจะอยู่กับเขาตลอดเวลาน่ะ นะก็เลยอยากจะใส่ไว้ตลอดเวลา"
          แค่ชั่วครู่ ผมก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
          "งั้นเหรอ? แล้วมีธุระอะไรล่ะถึงได้ตาม มา"
          "ก็ไม่ได้อยากตามมานักหรอก ก็แค่..."
          "ก็แค่อะไร?"
          ผมย้อนถามเพื่อเร่งให้เธอตอบกลับมา คำตอบของเธอนั้นทำเอาผมคิดหนัก
          "นายช่วยพาฉันไปพัลเลเทียหน่อยจะ ได้มั้ยอ่ะ?"
          "ห่ะ?"
          "หา?!"
          ก็ไม่ถึงกับคาดไม่ถึงว่าเธอจะขออะไร แบบนี้ แต่ก็ค่อนข้างรู้สึกตกใจที่เธออยาก ไปที่พัลเลเทียในช่วงวิกฤติอย่างนี้ ถ้าไปที่ นั่นตอนนี้คงจะเห็นบ้านเมืองเสียหายยับ เยินแหงๆ
          "เธอตามหาใครอยู่รึเปล่า?"
          "ทะ ทำไมถึงรู้ล่ะ?!"
          "ทั้งๆที่ฉันเคยเล่าให้ฟังแล้วแท้ๆว่าที่ พัลเลเทียตอนนี้พินาศยับเยินแต่เธอก็ดึง ดันจะไป งี้ก็ไม่น่าจะไปหาความเจริญ หรอก แล้วเธอก็ไม่น่าจะมีรสนิยมชอบดู ซากปรักหักพังที่ไม่น่าอภิรมย์นัก ฉันก็เลย คิดว่าเธอน่าจะกำลังเป็นห่วงคนที่อยู่ที่นั่นน่ะนะ"
          "ก็ถูกของนายน่ะนะ ฉันอยากรู้ว่าเขา ปลอดภัยมั้ย"
          "ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครเสียชีวิต ตอนนี้ ทางราชสำนักกำลังเร่งฟื้นฟูบูรณะบ้าน เมือง คนที่เธอตามหาอยู่ถ้าเขาอยู่ที่นั่นล่ะก็ เขาต้องปลอดภัยแน่นอน"
    ผมปลอบใจเธอกลับไป เธอยิ้มให้เห็น เล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
          "นั่นสินะ คงจะปลอดภัยดีล่ะมั้ง"
    เธอทำท่าทางเหมือนคิดอะไรซักอย่าง ทำหน้าเหมือนโล่งอกเมื่อได้ยินเรื่องนั้น
          "ว่าแต่ออกจากบ้านมาไกลขนาดนี้ไม่ เป็นไรเหรอ นี่มันจะพ้นป่าอยู่แล้วนะ"
          "คือว่าความจริงแล้ว..."
          เธอทำหน้าลำบากใจเล็กน้อยก่อนจะ พูดต่อ
          "ฉันกำลังอยู่ระหว่างออกเดินทางน่ะ"
          "หา?!!"
          ผมตกใจเล็กน้อยที่ได้ยินเธอพูดอย่าง นั้นเลยเผลอร้องออกม!า
          "ความจริงแล้วนักเวทชนเผ่านิฮงน่ะ เมื่อถึงกำหนดจะต้องออกเดินทางเพื่อสั่ง สมประสบการณ์น่ะนะ ที่จริงทีแรกฉันก็ว่า จะไปพัลเลเทียก่อน แต่ฟังจากที่นายเล่า ตอนนี้คงเป็นที่ที่ไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่ แล้วเวลาอย่างนี้คนคนนั้นก็ไม่น่าจะอยู่ที่นั่น"
          "ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ"
          "มันเป็นความคิดส่วนตัว นายไม่ต้อง ยุ่งหรอก"
          ซะงั้น...
          "ถ้างั้นเธอจะมาด้วยกันมั้ยล่ะ?"
          "เอ๋?"
          ผมคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ซึ่งมันจะ เป็นประโยชน์ต่อทั้งเธอและผม(แล้วก็มี ดราโก้ด้วยอีกคน)สรุปคือได้ประโยชน์ทุกฝ่าย
          "ยิ่งฉันทำภารกิจให้พระราชาเสร็จเร็ว เท่าไหร่ก็ยิ่งกลับไปพัลเลเทียได้เร็วเท่า นั้น ยิ่งถ้าเธอมาช่วยก็อาจจะเร็วขึ้นอีก พอ ถึงเวลาพัลเลเทียก็น่าจะบูรณะบ้านเมือง เสร็จแล้ว ถึงเวลานั้นเธอเองก็คงจะได้พบ กับคนคนนั้นละนะ"
          "งั้นเหรอ นั่นสินะ..."
          เธอครุ่นคิดซักเล็กน้อยก่อนจะตอบ
          "งั้นก็ได้ ไปกันเถอะ"
          อะไรจะง่ายปานนั้น ปฏิกริยานั่นทำเอา ผมค้างไปพักหนึ่ง
          "เดี๋ยว!"
          ผมจับไหล่รั้งเธอไว้จนเธอผงะกลับมา
          "อะ อะไร?"
          "เธอมีจุดประสงค์อะไรอย่างอื่นสินะ?"
          "ฮี้!!!"
          พอถามไปอย่างนั้นเธอก็ร้องเสียงหลง
          "ปกติธรรมดาผู้หญิงไม่น่าจะยอมมากับ ผู้ชายง่ายขนาดนี้ แถมเธอยังมองฉันไม่ ค่อยจะดีอีก เพราะงั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่ เธอจะยอมมากับฉันเอาง่ายๆแบบนี้"
          "ดะ โดนดูออกอีกแล้วเหรอเนี่ย..."
          เธอถอนหายใจออกมาแรงๆก่อนจะชี้ หน้าผมพลางว่า
          "ใช่! ฉันอยากจะตัดสินกับนายอีกครั้ง ฉันจะได้ชนะนายได้อย่างเต็มภาคภูมิ!"
          "จะยึดติดในชัยชนะอะไรขนาดนั้น..."
          "ทีแรกฉันก็ว่าจะมาเฝ้าดูนานเพื่อหา จุดอ่อนแล้วก็ไปท้าสู้นายอีกครั้งอยู่เหมือนกัน แต่คงไม่ต้องหลบๆซ่อนๆแล้วละ"
          "เป็นงั้นไป"
          ผมถอนหายใจออกมาแรงๆ
          "แต่ดีจังเลยนะฮะที่คุณคิฟุโคะมาด้วย กันน่ะ"
          โครก...
          เสียงอันไม่พึงประสงค์ดังขึ้นรบกวน การสนทนา
          "ห่ะ..."
          หญิงสาวผงะไป
          "อ้าว หิวแล้วเหมือนกันสินะ"
          "ยะ ยุ่งน่า!"
          "เอ่อ...คุณคิฟุโคะช่วยทำอะไรให้กิน หน่อยได้มั้ยอ่ะครับ...ผมก็หิวแล้วล่ะครับ"
          "อ่า...ได้สิ ไหนๆก็หิวแล้วเหมือนกัน นี่เนอะ"
          ...
          พวกเราเดินหน้ามาสักพักก็เจอกระท่อม เล็กๆที่ดูแล้วน่าจะไม่มีใครอาศัยอยู่ พวก เราก็เลยตัดสินใจพักที่นั่น
          "เอาละนะ!"
          ว่าแล้วเธอก็หยิบอะไรซักอย่างออกมา จากกระเป๋าสะพายข้างสีเหลืองเข้มเล็กๆ มันคือส่วนประกอบต่างๆ จากนั้นเธอก็เรียก กระทะกับเขียงแล้วก็หม้อออกมาด้วยเวทมนต์
    ตอนทำอาหารเธอคงไม่ชอบให้เส้นผม เงางามของเธอมาเกะกะเวลาหันไปหันมา หรือหยิบอะไรมาใช้ เธอจึงคว้ายางรัดผม ออกมาจากกระเป๋านั่นแล้วก็รวบผมยาวประ บ่านั่นเอาไว้เป็นหางม้าเล็กๆที่ด้านหลัง ดูๆ แล้วแบบนั้นก็น่ารักดีเหมือนกันแต่ไม่นึก ว่าเธอจะทำเรื่องละเอียดอ่อนเป็นด้วย แต่ มองอีกทีก็ไม่ได้ละเอียดอ่อนอะไรเท่าไหร่ ปอยผมยัง          ห้อยย้อยลงมาอยู่เลย...

          "นั่นอะไรน่ะ เนื้อหมูสันนอกเหรอ?"
          "ฉันรู้แค่ว่ามันเป็นเนื้อหมูน่ะ..."
          ตอนนี้ที่เห็นยัยนั่นเอาออกมาจาก กระเป๋าออกมาวางบนโต๊ะเล็กๆมีทั้งเนื้อหมูสันนอก หอมหัวใหญ่ แครอท แอปเปิ้ล มันฝรั่ง พริกอะไรซักอย่าง เนย ไข่ไก่ น้ำตาล เกลือ พริกไทย กระเทียม แป้งสาลี เกล็ดขนมปัง น้ำซุป แล้วก็สิ่งที่ดูเหมือนจะ เป็นเครื่องเคียง และก็น้ำมันที่ดูเหมือนจะ ใช้ใส่กระทะ ใช้เยอะเหมือนกันแฮะ นี่คิด จะทำอะไรนะ...
          "โชคดีนะเนี่ยที่เตรียมมาเยอะ"
          "ถึงจะว่างั้นแต่กระเป๋าเธอเป็นกระเป๋า เวทมนต์ไม่ใช่เหรอ?"
          "ต่อให้ใส่ของได้ไม่จำกัดแต่ก็ต้องใส่ มาก่อนนะยะ"
          เธอควงมีดเล็กน้อยก่อนจะหั่นแครอท กับมันฝรั่งแล้วก็แอปเปิ้ลเป็นทรงลูกบากศ์ แยกมันฝรั่งไว้ส่วนนึงเพื่อต้มสุก จากนั้นก็ หั่นหอมหัวใหญ่และกระเทียมต่อ ทั้งหมด ต่างถูกซอยเป็นชิ้นเล็กๆ
          "ตาไม่เป็นไรเหรอ?"
          "แค่หลับตาก็ไม่เป็นไรแล้ว~!"
          เธอบดแอปเปิ้ลกับมันฝรั่งต้มเข้าด้วย กันด้วยเวทมนต์อะไรซักอย่างจากปลายนิ้วจนละเอียด ดูเหมือนว่าจะทำให้รสชาติเข้ม ข้นขึ้น แอปเปิ้ลและมันฝรั่งชิ้นเล็กชิ้นน้อย หมันวนไปมาราวกับพายุหมุนลูกเล็กๆ
          คราวนี้เธอหยิบเนื้อหมูสันนอกและมีดขึ้นมา
          "หั่นมันหมูออกก่อนก็ดีนะ"
          "รู้แล้วน่า ไม่ต้องบอกหรอก"
          "ก็เห็นเธอทำท่าจะไม่หั่นนี่"
          ยังจะอุตส่าห์แต่งส่วนเนื้อให้ดูสวยงาม อีก ทั้งๆที่ไม่น่าจะเป็นคนละเอียดอ่อนแท้ๆ แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น เสร็จ แล้วเธอก็หั่นตามขวางเพื่อให้ได้เนื้อสอง ชิ้นที่พื้นที่หน้าตัดเท่ากัน คงเพราะมันหนา เกินไป
          "ส่วนที่หั่นออกไปนั่นจะทิ้งเหรอ?"
          "เปล่าหรอก เดี๋ยวเก็บไว้ผัดกับพวกผัก มันจะได้อร่อยไง"
          "อ๋อ...เฮ้ย! เดี๋ยว! เธอทำอะไรน่ะ?!"
          "ก็แค่ทุบเนื้อ ทำไม?"
          "ใช้มีดเนี่ยนะ?"
          "ก็ฉันไม่มีค้อนนี่!"
          เลยทุบง่ายๆงี้เลย? โห...เชื่อเขาเลย แฮะ
          "นอกจากนี้ถ้าทุบลงไปเนื้อจะนุ่มขึ้น ด้วยนะ ไม่ใช่แค่ทุบเล่นๆ"
          "ครับๆ..."
          จากนั้นเธอก็คลุกเคล้าเนื้อหมูกับเกลือ ป่นและพริกไทยป่น เสร็จแล้ววางเรียงไว้
          "เอาละ ต่อไปก็ตั้งกระทะ"
          เธอบอกว่าต้องตั้งไฟไว้ให้น้ำมัน อุณหภูมิสูงๆ* พอน้ำมันในกระทะเริ่ม เดือดปุดๆก็เริ่มจะสังเกตเห็นควันตามมา
          เธอหันกลับมาตั้งใจจะหยิบหมูไปคลุก กับเกล็ดขนมปังต่อ แต่มันถูกคลุกเรียบร้อย ทั้งหมดแล้ว
          "ฉันคลุกให้หมดแล้วล่ะ"
          "งะ งั้นเหรอ ขอบใจย่ะ"
          ดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่แต่ก็อารมณ์ดี ขึ้นทันทีที่เห็นว่ามีเกล็ดสีขาวๆเกาะอยู่บน เนื้อหมูทุกพื้นที่แทบจะไม่มีช่องว่างเลย
          "นายเองก็เก่งนะเนี่ยคลุกซะขาวจั๊วเลย สนใจมาเป็นผู้ช่วยฉันมั้ย?"
          "ห๊ะ?!"
          ชั่วครู่ที่คิดว่าเธอพูดจริงหรือพูดเล่น หันมาอีกทีเธอก็กลับไปทำอย่างอื่นต่อแล้ว
    การคลุกหมูที่ดีหลังจากคลุกลงแป้ง เกล็ดขนมปังไปแล้วรอบหนึ่งก็ให้นำไปชุบไข่ที่ตีไว้แล้วคลุกแป้งอีกรอบ เห็นว่าเป็น สูตรภัตตาคารเลยทีเดียว
          พวกเราช่วยกันจัดเตรียมจานใส่ข้าวสำหรับทุกคนซึ่งดราโก้เองก็ช่วยด้วย พวกเรา จัดโต๊ะผุๆในกระท่อมนั้นเพลินจนกระทั่ง...
          "ควันขึ้นขึ้นแล้วน่ะคิฟุโคะ"
          "หวา! แย่แล้ว! ไฟแรงไปหน่อย"
          เธอใช้เวทมนต์ควบคุมไฟในเตาพกพา ซึ่งเธอเตรียมมาให้เบาลง
          "เฮ้อ! ควบคุมไฟลำบากจริงๆให้ตาย เถอะ"
          "เธอมีเกล็ดขนมปังนี่นา ทีหลังลองใส่ ลงไปในน้ำมันดูสิ ถ้ามันไหม้เลยแสดงว่า น้ำมันร้อนเกินไป"
          "งั้นเหรอ..."
          "นอกจากนี้ถ้าของที่เอาลงน้ำมันมันชื้น เกิน พอใช้รอบสองมันจะเริ่มดำขึ้น ดังนั้น ต้องระวังให้ดี"
          "นายไปรู้ทริคพวกนี้มาจากไหนกัน เนี่ย?"
          "อ่านเจอในหนังสือน่ะ"
          เสียงน้ำมันและกลิ่นของหมูทอดนั้น ชวนให้น้ำลายสอสุดๆ หลังจากเอาหมูลง กระทะทีมีน้ำมันเดือดอยู่ได้ซักระยะก็เอา ขึ้นจากกระทะไปพักไว้ก่อน
          "เอาล่ะ ต่อไปก็ทำแกงกะหรี่!"
          "ห๊ะ?! ยังไม่ได้เริ่มทำเหรอครับ?!"
          "ไม่เป็นไรน่า ไม่นานหรอกดราโก้คุง"
          เธอยิ้มอย่างอารมณ์ดี ถ้าคนที่นั่งอยู่ตรง นั้นเป็นมนุษย์ผู้ชายที่ไม่ได้รู้จักเธอคนนี้ดี พอคงจะใจละลายไปตามๆกันแล้วล่ะ โชค ดีที่คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นเป็นลูกมังกรตัวน้อย ที่กำลังจำแลงเป็นมนุษย์เท่านั้นเอง ไม่ อย่างนั้นคิฟุโคะคงได้เจอกับประสบการณ์สุดขมขื่นแน่ๆ ถ้าโชคร้ายละก็นะ
          พอใส่น้ำมันถั่วเหลืองสองช้อนโต๊ะลง ไปในหม้อแล้วก็ละลายเครื่องแกงกะหรี่ สำเร็จรูปเล็กน้อยในน้ำซุปและน้ำอุ่นๆ จากนั้นก็ใส่ส่วนผสมต่างๆสำหรับแกงกะหรี่ลงไปในหม้อ แล้วก็ใส่แกงกะหรี่ที่ละลาย แล้วตามลงไปแล้วก็คลุกเคล้ามห้เข้ากัน
          "ดูข้นไปหน่อยนะ ลองเติมน้ำลงไปอีก สิ"
          "รู้แล้วน่า!"
          ว่าแล้วเธอก็เติมน้ำลงไปนิดหน่อยแล้ว ก็เริ่มคนอีกครั้ง เมื่อเริ่มข้นได้ที่ แกงกะหรี่ ก็เริ่มมีกลิ่นหอมหวนโชยออกมา
          "ว้าว~ หอมจังครับ"
          "นั่นสิ หอมดีนะ"
          "นายมาดมอะไรข้ามไหล่ฉันเนี่ย?!"
          "ก็ฉันยืนอยู่ข้างหลังเธอพอดีนี่นา!"
          จากนั้นเธอก็หันกลับไปปรุงรสในขั้น ตอนสุดท้ายด้วยเกลือและพริกไทยป่น
          "นี่เมอร์ซี่! ฝากหั่นหมูทอดพวกนั้นให้ ทีสิ"
          "ได้เลย ดราโก้!"
          "ครับ!"
          ชิ้ง!
          ไม่ทันไรหมูทอดทั้งสี่ชิ้นก็ถูกหันออก เป็นชิ้นๆอย่างรวดเร็ว
          "อะ อะไร? พวกนายทำอะไรน่ะ?!"
          "ช่วยงานบ้านนิดหน่อยนะครับ!"
          "ไม่ต้องห่วง เล็บดราโก้คมพอที่จะตัด ผ่านหมูพวกนี้ได้อย่างปลอดสารพิษอยู่แล้ว"
          "เอาที่พวกนายสบายใจ..."
          ทุกอย่างพร้อมแล้ว พวกเราต่างหยิบ จานกันคนละใบ ตักข้าวที่เตรียมไว้ ตักหมู ทอดไปคนละแปดชิ้นพร้อมราดแกงกะหรี่ลงไป
          "ทานละนะคะ~"
          ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นวัฒนธรรมของ ชาวนิฮง เคยรู้มามั่งเหมือนกันว่าคนนิฮง ก่อนกินข้าวจะต้องพูดว่า'ทานละนะครับ/คะ'แล้วเมื่อกินเสร็จก็จะพูดว่า'อิ่มแล้วนะครับ/คะ'หรือ'ขอบคุณนะครับ/คะ'อะไร ประมาณนั้น เป็นพิธีกรรมที่พิถีพิถันมาก ไม่สิ ไม่น่าเป็นพิธีอะไรหรอก น่าจะเป็น แค่วิถีชีวิตของพวกเธอเท่านั้นเอง
          "ว้าว!!! อร่อยจัง!!!"
          "อื้ม อร่อยกว่าที่คิดนะเนี่ย"
          "แน่อยู่แล้ว อย่ามาดูถูกฝีมือการทำ อาหารของฉันนะยะ"
          "ก็ไม่ได้ดูถูกซักหน่อย..."
          เธอทำหน้าภูมิใจสุดๆกับมื้อค่ำของพวก เราซึ่งเธอเป็นคนทำ(และมีผมกับดราโก้เป็นผู้ช่วย)ภายใต้ชายคากระท่อมกลางป่า มื้อนั้นดำเนินไปไม่ถึงสิบห้านาทีพวกเราก็ตักกันเพิ่ม ดังนั้นช่วงเวลาทานมื้อค่ำของ พวกเราจึงดำเนินต่อไปอีกสิบห้านาที

    ***

          ไม่เคยคิดมาก่อนว่าต้องมานอนอยู่ใต้ ชายคาเดียวกันกับไอ้เจ้าหมอนี่อีก ไม่เคย อยากจะอยู่ร่วมกับตานี่เลยซักครั้งแท้ๆ
          แต่ก็ช่วยไม่ได้นะ ฉันมีเป้าหมายที่จะ ต้องล้มผู้ชายคนนั้นให้ได้ เพราะคราวก่อน ที่ประลองกันไม่มีใครแพ้ใครชนะ ฉันเลย ต้องการจะประลองกับเขาอีกครั้งเลยตัดสิน ใจจะแอบตามเขามาระหว่างที่ออกเดินทาง เมื่อพร้อมแล้วจะได้ไปท้าสู้ได้เลย แล้วก็ ตั้งใจจะถามทางไปพัลเลเทียด้วยเลย
          แต่กลายเป็นว่าฉันกลับถูกเชิญชวนให้ ร่วมเดินทางไปด้วยกันซะงั้น ทีแรกก็ตั้งใจ ว่าจะยอมรับข้อเสนอดีๆเพื่อไม่ให้เขารู้ถึง จุดประสงค์ของฉันอยู่หรอก แต่ความก็ แตกอย่างง่ายดายซะอย่างนั้น
          "เอาน่ะ! รีบๆลืมมันไปซะแล้วรีบๆหลับ ดีกว่า"
          คงเพราะมานอนต่างถิ่น ฉันก็เลยตื่น ขึ้นมากลางดึก มองดูรอบๆตัวทั้งๆที่นอน อยู่เล็กน้อยก่อนจะมองไปบนเพดาน
          หลังจากทานมื้อเย็นกันเรียบร้อย พวก เราก็เข้านอนกัน ฉันแยกตัวออกมานอน อีกมุมหนึ่งของกระท่อมตรงข้ามกับเมอร์ซี่ และดราโก้ เห็นเงียบๆอย่างนี้อาจจะเป็น พวกเสือผู้หญิงก็ได้ใครจะรู้ รึอาจเป็นหนุ่ม เจ้าสำราญที่ชื่นชอบการไล่ล่าผู้หญิงก็ได้ เอ...? เดี๋ยวนะ ว่าแต่ไล่ล่าผู้หญิงนี่มันเป็น ยังไง? รู้แค่ว่าท่านปู่บอกให้ระวังเอาไว้แค่ นั้นเอง
    ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆก็ เหมือนจะมองเห็นแสงสว่างแวบหนึ่งในความมืด
          "หือ?!"
          รู้สึกเหมือนมีคนยืนอยู่ตรงนั้น รึว่าจะ เป็นเมอร์ซี่...
          "วะ หวา!!!"
          ประกายแสงที่สะท้อนเข้าตานั่นคือแสง จันทร์ที่สะท้อนกับคมดาบเรียวยาวที่เรียก ว่าคาตานะ ชาวนิฮงงั้นเหรอ ระหว่างที่คิด แบบนั้น คมดาบก็พุ่งเข้าใส่ตัวฉัน แต่ก็ หลบได้อย่างฉิวเฉียด
          "นะ นายเป็นใคร?!"
          ถึงจะเห็นลางๆแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงย่าง ก้าวหรือเสียงลมหายใจเลย ดูเหมือนว่านั่น จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้านั่นเข้ามาหาฉัน โดยที่ฉันไม่รู้สึกตัวได้
          "หนวกหู"
          เสียงนั่นไม่ใช่เสียงเมอร์ซี่แน่ๆ เป็น เสียงของเด็กผู้ชาย เสียงนั่นราวกับจอม ปีศาจผู้เย็นชาและเต็มไปด้วยแรงพยาบาท ทำให้ฉันรู้สึกกลัวขึ้นมาลึกๆ
          "ว้าย!!!"
          ถึงจะสัมผัสถึงศัตรูยากแต่ฉันก็พอจะ หลบคมดาบที่ฟาดฟันเข้าหาฉันราวกับพายุ ได้อย่างหวุดหวิดจนกระทั่ง...
          "อึ่ก!!!"
          ...ฉันเผลอไปเตะขาโต๊ะเข้า
          "อู้ย~ เจ็บๆๆๆ อ๊ะ?!"
          เปิดช่องว่างนานไปหน่อย เจ้าของดาบ เรียวยาวนั่นพลิกดาบส่งเสียงโลหะแล้ว ฟาดเข้าใส่ฉันจนฉันเผลอหลับตาลงและ ยกมือขึ้นด้วยความกลัว
          แกร๊ง!!!
          เสียงโลหะกระทบกัน พอรู้สึกตัวก็ สัมผัสได้ว่าตัวเองยังไม่ตาย ไม่รู้สึกถึง ความบาดเจ็บอะไรเลย นอกจากนี้ยังรู้สึก ได้อีกอย่างหนึ่ง มีคนยืนอยู่ตรงหน้าหัน หลังให้ฉัน
    ใครยืนอยู่ตรงนั้นกัน?
          "ขอโทษนะ อย่างน้อยๆก็ช่วยแสดงตัว หน่อยได้มั้ย ฉันตั้งรับลำบาก"
          เสียงเมอร์ซี่นี่นา
          "อะไรกันน่ะ มีคนอื่นอีกงั้นเหรอ?!"
          อย่าว่าแต่เจ้าศัตรูปริศนานี่เลย เมอร์ซี่ ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ฉันก็ไม่รู้สึกตัวซักนิด ทั้งๆที่ปกติฉันจะเป็นคนความรู้สึกไว แท้ๆ
          รึว่าเซนส์ของฉันมันเริ่มจะห่วยลงแล้ว งั้นเหรอ
          "นายมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ถึงได้มา โจมตีพวกเรา"
          "หึ ไม่เบานี่นา งั้นลองรับดาบนี้ดู!"
          ขนาดอยู่ในความมืดฉันก็สัมผัสได้ว่า มีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอย่างรวด เร็วไปรอบๆกระท่อม กระโดดไปอยู่บน ผนังบ้างล่ะบนเพดานบ้างล่ะ
          "ซวยล่ะสิ เล่นกระโดดไปมาอย่างนี้ ต่อให้สว่างกว่านี้ก็คงมองไม่ทันแน่"
          "อะไรนะ?!"
          บรรยากาศตึงเครียดจนถึงขีดสุด จังหวะนั้นเองก็มีอะไรบางอย่างฟาดเข้ามา ทางฉัน
          "อ๊ะ?!"
          แกร๊ง!!!
          "โอ๊ะ?! เจอด้วยแฮะ"
          "อะไรกัน?!!"
          โหย นี่ถ้าโชคร้ายซักนิดสงสัยโดน ดาบคู่ฟันคอขาดไปแล้วนะเนี่ย
          "แกเห็นได้ยังไงกันน่ะ?!"
          "ไม่เห็นหรอก แต่ใช้ความรู้สึกน่ะ"
          "อะไรน้า~!" "อะไรนะ?!!"
          ใช้ความรู้สึกเนี่ยนะ เป็นไปได้เหรอที่ จะรู้สึกถึงดาบนั่นด้วยจิตใจ
          "เหอะ! เป็นผู้บุกรุกที่แข็งแกร่งไม่เบา เลย แต่ยังไงพวกแกก็ต้องตายอยู่ที่นี่ เตรียมใจไว้ให้ดี!"

          บรรยากาศเริ่มตึงเครียดอีกครั้ง แต่คน ที่พังทลายมันลงได้คงไม่มีอีกแล้วถ้าไม่ใช่ ตาบ้าตลกบริโภคนั่น บทสนทนานั่นดำเนิน ไปไม่กี่วินาทีความกดดันก็หายไปหมด
          "เดี๋ยวนะ ผู้บุกรุกเหรอ ที่นี่มันกระท่อม ร้างไม่ใช่เหรอ?"
          "ก็ใช่! แต่ฉันมาเจอที่นี่ก่อนก็ต้องเป็น กระท่อมของฉันสิ!"
          "ยังงั้นเหรอะ?"
          "พรืดดดด!!!"
          น้ำเสียงนั่นฟังแล้วแทบจะกลั้นหัวเราะ ไม่ไหว มาเล่นเสียงอะไรในที่แบบนี้มันจะ ได้ประโยชน์อะไร
          "ก็เออสิฟะ!"
          "งั้นไปกันเถอะคิฟุโคะ ไปหาที่พักกัน ใหม่"
          "ห๊ะ?!!"
          "เฮ้ย! เดี๋ยวก่อน!"
          ยอมถอยเอาง่ายๆงี้เนี่ยนะ ใจดีเกินไป แล้ว คิดเหรอว่ามันจะยอมปล่อยไปน่ะ มันต้องรีบฟันมาแน่ๆ
          "เฮ้ย! จะไปง่ายๆงี้เลยเหรอ?!"
          ไม่ฟันมาซักทีแฮะ
          "อ้าว? ก็ที่นี่กระท่อมของนายนี่นา เรา เสียมารยาทเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาติก็ คงไม่ได้น่ะนะ งั้นเราก็ควรจะไปสิ"
          "อะไรจะไปง่ายปานนั้น!"
          "ก็พวกเราไม่ได้มีเจตนาจะบุกรุกนี่ เนอะ! คิฟุโคะ"
          "อย่ามาถามความเห็นฉันด้วยน้ำเสียงตี สนิทอย่างนั้นนะยะ!"
          โอ้ย~ แบบนี่แย่แน่ๆ มันเชือดทิ้งตรงนี้ แน่ๆ ไม่ระวังตัวเอาซะเลย โดนมันฆ่าแน่ๆ
          "แสดงว่าพวกนายไม่ได้มีเจตนาจะ บุกรุกสินะ"
          ไม่ฆ่าแฮะ
          "อา ก็ตามนั้น"
          "งั้นก็พักอยู่ข้างในนี่ก่อนละกัน ข้าง นอกตอนนี้มันอันตราย สัตว์ปีศาจกำลัง ออกมาเพ่นพ่านเต็มไปหมด ขอโทษด้วย ละกันที่เข้าใจผิด"
          อ้าวเฮ้ย?! จบง่ายๆงี้เลย?!
          "สัตว์ปีศาจงั้นเหรอ?"
          "มันเป็นคำเรียกสัตว์อสูรของพวกชน เผ่านิฮงน่ะ"
          สัตว์อสูรหรือสัตว์ปีศาจ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ เรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่มีอยู่ทั่วไป ตามพื้นที่ต่างๆบนโลก ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ มาดีอยู่แล้ว ดังนั้นเจอเมื่อไหร่ก็ควรจะ ระวังตัวไว้หรืออย่าไปยุ่งเลยจะดีที่สุด เป็น กฏเหล็กสำหรับนักเดินทางเลยทีเดียว
          "ช่วงนี้ในป่านี้มีแต่สัตว์ปีศาจเพ่นพ่าน เต็มไปหมด เห็นทีท่าไม่พักอยู่ในที่ปลอด ภัยก็คงจะลำบาก"
          "แต่นายเองก็เก่งพอตัวเลยนี่นา น่าจะ เอาอยู่ไม่ใช่เหรอ?"
          "ไม่ได้หรอก พวกมันเยอะเกินไป"
          ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังพูดกันอยู่ ฉัน ก็ได้ยินเสียงคำรามของปีศาจดังขึ้นอย่างน่าสยดสยอง
          "เมอร์ซี่...เราพักกันที่นี่ดีกว่านะ..."
          "เอางั้นเหรอ..."
          "เอาน่า...เขาอนุญาติแล้วนี่"
          "เอางั้นก็ได้ ว่าแต่นายชื่ออะไร"
          จะว่าไปก็ยังไม่ได้ถามชื่อเด็กหนุ่มลึก ลับที่อยู่ตรงหน้านี่เลย ตาเริ่มชินกับความ มืดแล้วเลยพอตะมองเห็นได้ แสงจันทร์ สีน้ำเงินสลัวๆส่องเข้ามาทางหน้าต่าง มอง เห็นแววตาดุดันภายใต้หมวกและชุดสีดำ ดูลักษณะการแต่งตัวแล้วเหมือนนินจาไม่ มีผิด เส้นผมที่ดูไม่ออกว่าเป็นสีอะไรนั่น ถูกรวบไว้ข้างหลัง เด็กหนุ่มตรงหน้าเอา ผ้าปิดปากลงแล้วกล่าวแนะนำตัว
          "ฉันชื่อนาสึเกะ คุโระไคเป็นนินจาน่ะ"
          "คุโระ...คาอิ?"
          "คุโระไคเฟ้ย!"
          ...
          ทั้งๆที่ดึกมากแล้วแต่พวกเราก็ยัง อุตส่าห์จุดตะเกียงที่วางทิ้งเอาไว้แล้วก็ตั้ง วงสนทนากัน ตอนนี้มองเห็นชัดเจนแล้ว ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ามีแววตาและเส้นผม สีเขียวเข้ม แถมมีผ้าพันคอยาวสีม่วงเข้ม ที่ให้ความรู้สึกเหมือนนินจา ก็นินจานี่นา.. .
          "แมลงสัตว์ปีศาจเบเซร่า เป็นสัตว์ปีศาจ ที่อันตรายมากทีเดียว มันสามารถพ่นลูกไฟ ที่ร้อนมากๆและแทงเหล็กไนพิษใส่สิ่งมี ชีวิตและควบคุมจิตใจได้อีกต่างหาก"
          "เดี๋ยวนะ เบเซร่านี่ชื่อคุ้นๆเหมือนเคย อ่านเจอในหนังสือนิยายเลยแฮะ"
          "บ้าเหรอ นี่เราไม่ได้อยู่ในนิยายอะไร ซักหน่อยนะ!"
          เอ๊ะเดี๋ยว รู้สึกแหม่งๆกับไอ้ประโยคที่ ว่า'เราไม่ได้อยู่ในนิยาย'พิลึกแฮะ
          "ไม่หรอก เบเซร่าในนิยายก็มีที่มาจาก เบเซร่าในชีวิตจริงเนี่ยแหละ"
          "หา! จริงอ่ะ!"
          ดูแล้วนาสึเกะเองก็เป็นคนที่มีความรู้ รอบตัวสูงเหมือนกันนะเนี่ย
          "ว่าแต่ดาบเมื่อครู่ไม่เบาเลยนะ นาย น่ะคงจะใกมาดีสินะ"
          "ก็ฝึกมาตลอดหกปีน่ะนะ"
          "งั้นมาประลองดาบกันหน่อยมั้ย"
          "หา?!"
          ประลองกันในกระท่อมเนี่ยนะ?!
          "งั้นก็เอาซักหน่อยแล้วกัน"
          "น่ะ นี่นายเอาจริงอ่ะ?!"
          "แน่อยู่แล้ว"
          "เฮ้ย! หยิบดาบไม้ทำไม ใช้ดาบจริงสิ!"
          เอาอีกละ...ฉันเผลอยิ้มออกมาเล็กน้อย
          "ให้ตายสิอีกแล้วเหรอ?! คราวก่อนก็ โดนขู่ให้ใช้ดาบจริง เฮ้อ~!"
          ไอ้ท่าทางมั่นใจนั่นหายไปไหนหมด แล้วเนี่ย?!
          "จะดีเหรอ พลาดขึ้นมาจะทำยังไง"
          "ก็ตายเท่านั้นเอง"
          "หา?!" "หา?!!"
          "ล้อเล่นน่า ฉันไม่เอาถึงตายหรอก"
          ถึงจะบอกว่าพูดเล่นแต่สีหน้านั่นมันเอา จริงไปครึ่งแล้วนา คนคนนี้นี่น่ากลัวจริงๆ
          "เฮ้อ เอางั้นก็ได้"
          "พูดได้ดี!"
          จบประโยคนาสึเกะก็พุ่งใส่เมอร์ซี่ด้วย ความเร็วเหนือมนุษย์ฟันดาบลงไปกระทบ กับดาบไรริวที่ถูกยกขึ้นมาตั้งรับไว้
          "ฮึบ!"
          "ย้าก!!!"
          ทั้งสองคนฟันดาบกันไปมาผลัดกันรุก ผลัดกันรับในพื้นที่แคบๆแต่ก็กว้างพอให้ วิ่งวนไปมา ส่วนฉันก็รีบอุ้มพาดราโก้คุงที่ หลับอยู่ออกไปให้พ้นทาง
          "ฝีมือดีอย่างที่คิดเลยนะ"
          "นายเองก็ใช่ย่อย"
          ดาบทั้งสองเล่มกระทบกันอีกครั้ง และ กระทบกันซ้ำไปซ้ำมา เสียงโลหะก้อง กังวาลราวกับเครื่องดนตรี
          คราวนี้เมอร์ซี่ฟันดาบลงไป นาสึเกะก็ ตั้งรับด้วยการตั้งดาบในแนวตั้ง จังหวะที่ เมอร์ซี่ชักดาบกลับไป นาสึเกะก็ปรับองศา ดาบเป็นแนวนอนและซัดเข้ากลางลำตัว แน่นอนว่าโดนดาบของเมอร์ซี่
          "ดูท่าคงไม่จบง่ายๆแฮะ"
          "งั้นคงต้องใช้ท่าไม้ตายละนะ"
          "เฮ้ย! เดี๋ยวๆๆ จะใช้ท่าไม้ตายใน กระท่อมแคบๆเนี่ยนะ"
          ดูเหมือนนาสึเกะยะไม่สนใจเลย เขาตั้ง ดาบหันไปข้างหลังหมุนตัวเล็กน้อย
          [เพลงดาบวายุสลาตัน!!!]
          คลื่นอากาศอันคมกริบฝ่าอากาศเบื้อง หน้าไปยังเมอร์ซี่ นั่นเป็นวิชาสายวายุ พลัง ของเขาคงจะเป็นธาตุลมสินะ
          "ฮะ เฮ้ย!!!"
          ขณะเดียวกัน เมอร์ซี่ก็ลนลานตวัดดาบ ไปมาเล็กน้อยก่อนจะรวบรวมสติแล้วฟาด ดาบเพื่อทำลายคลื่นอากาศเบื้องหน้าจนขาดออกเป็นสองเสี่ยง
          "เอาจริงเหรอ ทำแบบนี้น่ะ"
          "การต่อสู้น่ะไม่เกี่ยวกับสถานที่หรอก ถ้าไม่สามารถใช้ท่าไม้ตายในพื้นที่จำกัด ได้ก็ถือว่านายยังอ่อนหัดอยู่นะ"
          "ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่านายใช้ท่าในพื้น ที่แคบๆได้หรือฉันใช้ได้มั้ยหรอก ปัญหา คือดาบของนายผ่ากระท่อมไปครึ่งหลังเลย แบบนี้กระท่อมนี้ก็ไม่ปลอดภัยแล้วสิ"
          "..."
          "..."
          "..."
          "แย่แล้ว! ปล่อยไว้แบบนี้พวกเบเซร่า กรูกันเข้ามาแน่!"
          "ก็เพราะใครกันเล่า?!!" "เพราะนาย นั่นแหละ!!!"
          ถึงจะตกอยู่ในสถานการณ์คับขันแบบนี้ แต่ใบหน้าของนาสึเกะก็ยังนิ่งสงบไม่      เปลี่ยนแปลงราวกับไม่รู้สึกกลัวใดๆทั้งสิ้น

          กี๊ซ!!!
          เสียงร้องอันแสบแก้วหูนั่นเป็นเสียง ของเบเซร่าไม่ผิดแน่ มันกำลังมุ่งมาทางนี้ เพราะเสียงดังสนั่นหวั่นไหวเมื่อครู่
          "รู้งี้ไม่น่ายอมรับคำท้าเล้ย~"
          "ผู้ที่แข็งแกร่งต่อให้ตกอยู่ในวงล้อม ก็ย่อมไม่หวาดหวั่น"
          "อย่ามาทำใช้ภาษานักดาบตอนนี้นะยะ! "
          เบเซร่าพุ่งเข้ามาจากทุกทิศทาง ไม่มีที่ ให้ซ่อนที่น่าจะปลอดภัยที่อื่นแล้ว จึงทำได้ แค่ฝ่าวงล้อมไปให้ได้เท่านั้น
          ปีศาจเบเซร่ารูปร่างคล้ายแมลงสาบ แต่ ไม่มีหนวดยาวๆและมีขาแค่สี่ข้างเท่านั้น สามารถยืนด้วยสองขาหลังได้ มีปีกคู่ใหญ่ กลางหลังสีน้ำตาลเข้มที่มีพังผืดสีแดงเลือด ดวงตาสีแดงก่ำราวกับปีศาจ ขาหน้าและ หลังดูแข็งแรงราวกับเป็นมนุษย์ ดูแล้วไม่รู้ เหมือนกันว่าจะฝังเหล็กไนพิษด้วยอวัยวะ ส่วนไหน แต่ถ้าโดนเข้าไปละก็จะถูกมัน ควบคุมจิตใจ ไม่แน่มันอาจจะเคี้ยวเราทั้ง เป็นด้วยฟันซี่เล็กๆที่แหลมคมก็ได้ แค่คิด ก็รู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว
          "คิฟุโคะ"
          "อะ อะไร?"
          อยู่ดีๆเมอร์ซี่ก็หันกลับมา ทำหน้าจริงจัง ซะจนรึกว่าจะสั่งเสีย ไม่สิ จะเรียกยังไงดี เหมือนกับจะสั่งคำสั่งที่จริงจังสุดๆ
          "ฝากดราโก้ด้วย"
          เก๊กหน้าซะเข้มพูดแค่เนี้ยะ?
          "เฮ้อ~ ก็ได้!"
          รู้สึกเสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้ต่อสู้ด้วย แต่ก็นะ ดราโก้คุงหลับสนิทขนาดนี้คงปลุก ไม่ได้ง่ายๆนักหรอก
          "นายมีวิธีดีๆอะไรมั้ยล่ะหา?"
          "ฝูงปีศาจเบเซร่าก็ต้องจัดการด้วยพลัง แสงศักดิ์สิทธิ์กับเพลงดาบจิตอสรพิษสิ"
          "นี่ไม่ใช่ในนิยายนะยะ!!!"
          รู้สึกแหม่งๆอีกแล้วแฮะ
          "ถ้างั้นนายมีพลังแสงมั้ยล่ะ"
          "นี่จะสู้ตามสูตรในนิยายเหรอ?"
          "ถ้าคิดจะบันเทิงก็ลองดูก็ได้"
          เอากันเข้าไป พวกผู้ชายนี่น้า~ ปวดหัว เลย
          กี๊ซซซซ!!!
          ฝูงเบเซร่าใกล้เข้ามาทุกขณะแล้ว
          "ลุยละนะ!" "ไปกันเลย!"
          "อ่า..."
          ได้แต่ขานตอบกลับไปอย่างเหนื่อยๆ พลางแบกดราโก้ขึ้นหลังแล้วก็วิ่งตามสอง คนนั้นไป เบเซร่าตัวแรกล็อกเป้าเรียบร้อย เมอร์ซี่พุ่งไปยังเบเซร่าตัวนั้น
          [ดาบแสงอัสนีบาต!!!]
          ประกายแสงสายฟ้าฟาดผ่านลำตัวของ เบเซร่าไป เจ้านั่นนึอีท่าไหนก็ไม่รู้เหมือน กันถึงได้สไลด์ตัวลอดเบเซร่าที่กำลังบินมา แล้วใช้ดาบผ่าผ่านลำตัวไป
          ตูม!!!!!!
          ดูท่าพลังงานที่แผ่ออกมาจากดาบจะ มหาศาลมากถึงขนาดสร้างระเบิดขนาด ย่อมๆได้ แต่เบเซร่าก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่บินไปตั้งหลักด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส เท่านั้น
          "อย่าโกรธกันเลยนะ..."
          "บันเทิงอย่างยิ่ง"
          "ไม่ใช่เวลามายืนดูนะ ตานายแล้ว"
          เบเซร่าตัวที่สองพุ่งเข้ามายังนาสึเกะ เห็นดังนั้นนาสึเกะก็ชักดาบอีกครั้ง ดาบ ส่องประกายสะท้อนแสงจันทร์ก่อนเปล่ง แสงเล็กน้อย
          [เพลงดาบวายุสลาตัน!!!]
          รอยแผลรูปจันทร์เสี้ยวตัดผ่านร่างของ เบเซร่าตัวนั้นไป ไม่นานนักมันก็ระเบิด ขึ้นเหมือนเดิม แน่นอนว่ายังไม่ตายแต่ก็ ค่อนข้างสาหัสทีเดียว
          การต่อสู้กับเบเซร่าดำเนินไปได้ราวๆ ครึ่งชั่วโมง เป็นการต่อสู้ที่ลำบากมากเพราะ การจะจัดการกับฝูงเบเซร่าด้วยดาบแค่สองเล่มเป็นอะไรที่ลำบากพอสมควร
          "ระวัง!!"
          "หา?!"
          เบเซร่าพุ่งมาจากด้านบน ฉันกระโดด ขึ้นไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว หมุนตัวกลาง อากาศแล้วก็ใช้ขาเตะมันออกไปเต็มแรง
          "ย้ากกกก!!!"
          "กี๊ซซซซซซ!!!!!!"
          เจ้าแมลงสาบ ไม่สิ เบเซร่าร่วงลงไปอยู่ บนพื้นในสภาพหงายหลัง มันดิ้นพล่านอยู่ ตรงนั้นซักระยะหนึ่ง เพื่อนๆของมันที่เพิ่ง มาถึงก็เผ่นนี้กันไปหมด
          "หนีกันไปหมดแล้วเป็นไงล่ะ วะฮ่าๆ"
          "มันเห็นอะไรตอนที่เธอตีลังกาเมื่อกี้นี้ รึเปล่า?"
          ฉันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที
          "เสียมารยาท!"
          "เอ๊อะ!"
          โดนเท้าไปเต็มๆสำหรับคุณคนที่ตั้งใจ จะแซวฉันเมื่อครู่ ตอนนี้ลงไปนอนแหมะ กับพื้นเช่นเดียวกับเบเซร่า
          "แล้ว...จะเอาไงกับเจ้านี่ดี"
          "ลองถามมันดูดีมั้ยว่าทำไมถึงมาโจมตี พวกเรา"
          "เรื่องนั้นไม่ต้องถามก็พอจะเดาออก อยู่แล้วล่ะน่า มันคิดจะกินเราน่ะสิ แทนที่ จะถามว่ามาทำไม ทำไมไม่ถามว่าทำไมถึง ออกมาเพ่นพ่านกันเยอะขนาดนี้ดีมั้ย"
          "ว่าแต่คิฟุโคะ เธอฟังภาษามันออก เหรอ"
          "ก็นะ ถ้าใช้เวทฟังภาษาสัตว์ก็น่าจะพอ ไหว"
          "งั้นก็ฝากด้วยนะ"
          ว่าแล้วฉันก็ร่ายคาถาเงียบๆ เมื่อร่ายคา ถาจบฉันก็ถามเบเซร่าที่นอนอยู่บนพื้นนั่น ได้ความว่ามันถูกมนุษย์โจมตีที่ใกล้ๆเขต อาณาจักรวิริเดียนซึ่งเป็นเขตที่พักอาศัย ของมัน พวกมันจำนวนมากแม้แต่นาง พญาของพวกมันก็ถูกฆ่าโดยฝีมือมนุษย์ ที่ใส่ชุดดำและใช้ดาบที่เปล่งประกายสีแดง เพลิงเป็นอาวุธ ดูจากพฤติกรรมแล้วเหมือน จะรวบรวมเหล็กไนไปใช้ทำอะไรซักอย่าง
          "หมายถึงเหล็กไนที่ใช้ควบคุมสิ่งมีชีวิต งั้นเหรอ"
          "กี๊ซ~"
          "งั้นเหรอ คงแค้นมากสินะ"
          "มันบอกว่าอะไร?"
          "เมื่อไม่นานมานี้มีคนมาทำลายแหล่ง ที่อยู่อาศัยของมัน ฆ่านางพญาและพรรค พวกไปเยอะเลยละ พวกมันก็เลยแค้น มนุษย์น่ะ"
          "งะ งั้นเหรอ?"
          "พวกมันไปทำร้ายใครมาก่อนรึเปล่า"
          "ฉันว่าไม่หรอก พวกเบเซร่าเป็นสัตว์ หากินกลางคืน เหยื่อของมันก็มีแค่พวก สัตว์สี่ขาส่วนใหญ่เท่านั้นแหละ ไม่ค่อยจะ ออกมาโจมตีมนุษย์หรอกถ้าไม่ไปยุ่งกับมันนะ"
          "รู้ละเอียดจังนะนายเนี่ย"
          "อ่านมาจากหนังสือน่ะ"
          ว่าแล้วเมอร์ซี่ก็เดินไปใกล้ๆเบเซร่า
          "ขอโทษทีนะที่ทำร้ายพวกแก เอ้านี่ สมุนไพรรักษาบาดแผล ในป่านี้น่าจะพอ หาได้เยอะเลยละ เอาไปให้พรรคพวกช่วย กันหามารักษาตัวกันซะเถอะ ส่วนคนที่ฆ่า นางพญาของพวกนายน่ะฉันจะจัดการเอง"
          "นายพูดอะไรของนาย คิดว่ามันจะยอมรามือแล้วไปง่ายๆเหรอ"
          "กี้~"
          ยอมด้วยแฮะ
          "เจ้านี่น่ะน้องสาวฉันเป็นคนบอกมาว่า เป็นสมุนไพรที่ขึ้นอยู่ทั่วไปในป่าพัลเลเทีย บางทีพวกสัตว์ก็คงจะรู้จักกันพอสมควรเลย ล่ะ อีกอย่างเจ้าพวกนี้เดิมทีก็รักสงบอยู่แล้ว ถ้าทำตัวดีด้วยมันก็คงเลิกทำร้ายเราเองนั่น แหละ"
          "สรุปก็คือจะผูกมิตรกับมันสินะ"
          "อื้ม ถ้าได้เจ้านี่เป็นเพื่อนละก็อนาคต อาจจะมีประโยชน์มากก็ได้นะ"
          จะเป็นเพื่อนกับเจ้านี่เนี่ยนะ
          หลังจากที่มันเริ่มฟื้นตัวทันก็ค่อยๆเดิน จากไป เมอร์ซี่เองก็ยิ้มพลางโบกมือส่งแล้ว ก็ตะโกนตามหลังไปว่า"กลับบ้านดีๆนะ!" ใจดีเกินไปจริงๆนั่นแหละ
          "โอ๊ะ! พระอาทิตย์ขึ้นแล้วแฮะ"
          "เห! ยังนอนได้ไม่เท่าไหร่เลย"
          "งั้นเราก็ไปหาที่พักนอนกลางวันกันก็ ได้นี่นา"
          "เอาแบบนั้นก็ได้"
          "ถ้าอย่างนั้นก็ลาตรงนี้ละกันนะ ฉันเอง ก็จะออกเดินทางฝึกวิชาต่อ"
          "อา ไว้เจอกันนะ"
          "เจอกันครั้งหน้าขอชนะนายในการ ดวลก็แล้วกันนะ"
          แววตานั่นยังคงเคร่งขรึมไม่เปลี่ยน แปลง ความรู้สึกค้างคาที่การประลองจบลง โดยไม่รู้ผลแพ้ชนะนั่นฉันเข้าใจดีเลยล่ะ
          "โดนหมายหัวซะแล้วแฮะ"
          "คนดวงซวยก็งี้แหละ"
          แล้วนินจาหนุ่มผู้ใช้วิชาสายวายุก็เดิน จากไป ไม่นานก็พ้นไปจากสายตาของเรา
          "จะว่าไปแล้ว..."
          "หืม? อะไรเหรอเมอร์ซี่?"
          "ไอ้พล็อตเรื่องประมาณว่าเรื่องวุ่นวาย ที่เกิดขึ้นกลางคืนแล้วไปจบตอนพระอาทิตย์ขึ้นนี่มีให้เห็นในนิยายออกจะเยอะแยะ เลย แบบนี้จะเรียกว่าพล็อตน้ำเน่าได้มั้ยนะ "
          "บอกกี่ครั้งแล้วว่าเราไม่ได้อยู่ในนิยาย ซักหน่อยนึง!"
          และก็อีกครั้งที่ฉันรู้สึกแหม่งๆกับประ โยคที่คลุมเคลือนี่ ทำไมกันนะ...
          "ฮ้าว~ หลับสบายจัง~"

     

    [ตัวอย่างตอนต่อไป]
          "เยี่ยมมาก! ไปรายงานท่านฮิโนะด้วย ล่ะ!"
          "รับทราบ ว่าแต่ห้องเก็บของนี่ไปทาง ไหน ข้าอยากจะเช็คของที่เราปล้นมาวันนี้ ซักหน่อยแต่ยังไม่ค่อยคุ้นกับเส้นทางน่ะ"
          "เดินเข้าไปข้างใน ลงไปสองชั้น เลี้ยว ขวาเดินตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายแล้วเลี้ยวขวา เดินตรงไปอีกนิดอยู่ทางขวามือ"
          "มีทางที่ไปได้เร็วกว่านี้มั้ย?"
          "วิ่งเข้าไปข้างใน ลงไปสองชั้น..."
          "โอเค! ขอบใจ!"

     

    [ช่วงคุยกับคนเขียน]

          สวัสดีครับทุกๆท่าน ต้องขอโทษที่หายไปนานเลยนะครับ ไม่ได้จะบอกว่าเพราะเป็นช่วงปีใหม่หรืออะไรหรอก แต่ไอ้การแต่งนิยายโดยอิงจากสูตรอาหารที่ดูในเว็บยูทูปมันค่อนข้างนานทีเดียวไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่พอเสร็จช่วงครึ่งแรกที่เป็นเกี่ยวกับการทำแกงกะหรี่ ครึ่งหลังที่เหลือก็เสร็จภายใน 2 วันเท่านั้นเอง (-w-") อ้อแล้วก็ในสูตรที่ผมไปหามา น้ำมันควรให้อุณหภูมิสูงประมาณ 200 องศา เมื่อสูงได้ที่แล้วก็ให้เบาไฟลงลงนะครับ ผมแนะนำว่าให้ปรับปรุงตามสไตล์การปรุงของตัวเองหรือไปดูสูตรด้วยตัวเองจะดีกว่านะครับ เพราะผมเขียนมานี่ถึงจะอิงตามสูตรแต่ก็เขียนด้วยความมึนเหมือนกัน ฮ่าๆๆ ตอนต่อไปเสร็จไปประมาณครึ่งตอนแล้ว เร็วใช่มั้ยล่ะ พอพ้นช่วงสูตรอาหารมาแล้วก็เร็วใช้ได้เลย แต่ก็ขึ้นกับอารมณ์ละนะ ยังไงก็เถอะต้องขอโทษทุกๆคน(ที่มาอ่านทั้งหมด 15 คนแล้ว)ด้วยที่เขียนฉากต่อสู้กันได้ไม่มันส์เท่าไหร่ อย่างที่เคยบอกว่านี่เป็นเรื่องแรกก็เลยไม่มีประสบการณ์ แต่ตอนนี้ผมก็กำลังศึกษาจากไลท์โนเวลอยู่ ไม่แน่เหมือนกันว่าจะเอามาปรับใช้ได้มั้ยเพราะเท่าที่อ่านมันมีแต่เรื่องระบบคอมพิวเตอร์เต็มไปหมด(ซอร์ดสกิลไรเงี๊ยะ ก็ Sword Art Online นั่นแหละ)ตอนต่อไปอาจจะขัดกับลักษณะนิสัยของเมอร์ซี่ชอบกลแต่ก็ใส่มาสำหรับชายผู้ชื่นชอบการคิดลึกโดยเฉพาะ เหอๆๆ แต่สำหรับใครที่อ่านด้วยแนวความคิดปกติก็ขอบอกได้เลยว่าสิ่งที่เมอร์ซี่จะทำในตอนต่อไปนี่มันไม่ได้คิดมีจิตพิศวาสอะไรหรอก ผมบอกล่วงหน้าไว้ก่อนเพื่อย้ำเฉยๆยังไงซะเมอร์ซี่ก็มีแค่คิฟุโคะอยู่ในใจคนเดียวอยู่แล้ว

     

    ยังไงก็สวัสดีปีใหม่ 2560/2017 นะครับ

     

    [ช่วงคุยกับตัวละคร]

    เมอร์ซี่ : สวัสดีครับทุกๆท่าน ผมเมอร์ซี่ครับ

    คิฟุโคะ : และชั้น คิฟุโคะ มาโฮสึไค ตัวเอกของนิยายเรื่องนี้!!!

    เมอร์ซี่ : จริงดิ้?

    คิฟุโคะ : อ้ะแน่นอน

    เมอร์ซี่ : อ่า...ตามนั้นก็แล้วกัน ว่าแต่ดราโก้กับนาสึเกะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ

    ดราโก้ : สวัสดีฮะทุกๆคน ดราโก้เองฮะ

    นาสึเกะ : ข้ามีนามว่านาสึเกะ คุโระไค ฝากตัวด้วยนะ

    เมอร์ซี่ : ก่อนอื่นเลยทุกๆคนอาจจะสงสัยว่าพวกเราหน้าตาเป็นยังไง

    คิฟุโคะ : นั่นสิ ชั้นก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกเราหน้าตายังไง

    ดราโก้ : จริงด้วยฮะ

    นาสึเกะ : เห็นบอกว่าฉันผมยาวๆนี่ขอไม่ยาวมากนะ เดี๋ยวเกะกะน่ะ

    เมอร์ซี่ : อ่า...อันนี้ก็ต้องไปขอคนเขียนละนะ ตอนนี้หน้าเว็บอาจดูจืดชืดไปหน่อย แต่เดี๋ยว(คนเขียน)จะค่อยๆทยอยอัพเดทเรื่อยๆนะครับ!

    คิฟุโคะ : คนเขียนก็ต้องอัพเดทแต่ละตอนเรื่อยๆอยู่แล้วนี่

    เมอร์ซี่ : ไม่ใช่อย่างนั้น หมายถึงอัพเดทรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ที่รู้ๆตอนนี้คือบทสนทนาจะเปลี่ยนสีไปเพื่อให้ทุกท่านสามารถรับรู้ได้ในทันทีว่าประโยคนี้ใครกำลังพูดอยู่ อีกอย่างหนึ่งคือจะมีภาพชื่อตอนสุดแจ่ม(ซึ่งไม่รู้จะแจ่มจริงมั้ย)และภาพตัวละครแต่ละตัวในแต่ละเหตุการณ์เพิ่มเข้ามาเรื่อยๆนั่นเอง

    ดราโก้ : เห?!!

    คิฟุโคะ : จริงเหรอ?!!

    เมอร์ซี่ : ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็ต้องติดตามกันต่อไปนะ!

    นาสึเกะ : แล้วก็ ทุกท่านอาจจะกำลังคิดว่าผมคือพระรองของเรื่องนี้จริงๆไม่ใช่นะครับ ผมเป็นตัวละครรองที่จะมีบทบาทสำคัญในภายหลัง แต่ในภาคนี้ช่วงแรกๆจะยังไม่มีบทมาก ไว้เจอกันอีกทีตอนหน้าๆนะครับ อย่าลืมติดตามกันนะครับ

     

    วันที่ลง : 3/1/60

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×