ลำดับตอนที่ #11
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ตอนที่ 9 : วิหารในสายน้ำ
Magic Quest Ep.9-1
"วิหารในสายน้ำ"
ตรงหน้าฉันมีใครบางคนยืนอยู่
ใครบางคนที่ฉันไม่อาจเห็นหน้าได้ ชัดเจนกำลังมองมาทางนี้ ไม่สิ ต้องบอก ว่าแค่หันหน้ามาทางนี้มากกว่า
ใบหน้านั้นดูไร้ซึ่งชีวิตชีวา แม้จะมีเส้น ผมยาวปรกใบหน้าแต่ก็ยังพอมองเห็นดวงตาอันไร้แววอยู่ตรงนั้น
ดวงตาที่เปล่งประกายอย่างไร้ความสุข
"นะ นายเป็นใครน่ะ?!"
ฉันยืนอยู่ตรงหน้าของเด็กหนุ่มที่ฉัน ไม่รู้จัก ในสถานที่ๆฉันไม่เคยไป และใน ช่วงเวลาที่ฉันไม่รู้ว่าเป็นเมื่อไหร่
ยิ่งเพ่งมองไป ภาพของ'เขา'ก็ยิ่งเรือน รางลงไปทุกที โดยที่ไม่รู้ว่า'เขา'คือใครกัน แน่
เขาส่งยิ้มสุดท้ายมาให้ มันเป็นเพียง รอยยิ้มธรรมดาๆ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น ไม่ รู้ทำไมถึงรู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างมากราวกับว่ามีบาปที่ฉันไม่อาจเคยชดใช้ หรือมี เรื่องที่ยังไม่เคยสะสางอย่างไรอย่างนั้น
แต่ไม่ว่าฉันจะพยายามมองหน้า'เขา' ให้ชัดๆเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกว่าฉันรู้จักเขาเลย เป็นแค่คนแปลกหน้าเท่านั้น
"นี่! เดี๋ยวสิ!"
เขาหันหลังกลับไปแล้วเดินจากไปช้าๆ ไม่นานนักภาพของเขาก็สลายหายไปจากเบื้องหน้า โดยที่ฉันขยับออกจากจุดที่ฉัน ยืนไม่ได้เลย
ทำได้แค่ยื่นมือไปหาเขาเท่านั้น
"นี่!"
...
ความมืดกลืนกินท้องฟ้า มีเพียงแสง เดือนดาราที่เปล่งประกายสุกใส
พระอาทิตย์ตกดินไปนานแล้ว ทั้งฉัน เจ้าบ้าเมอร์ซี่ ดราโก้ และเจ้าบ้าบัซได้ทาน มื้อเย็นที่ฉันทำ ตอนที่ถูกบัซชมว่าอาหาร อร่อย ไม่รู้ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกภาคภูมิใน ตัวเองเท่ากับตอนเมอร์ซี่หรือดราโก้ แต่ บางทีเหตุผลก็อาจจะไม่ได้เกินคาดเดาไปนัก
บางมีเมื่อซักประมาณ 2 ชั่วโมงก่อน หน้านี้ เมื่อเวลาสองทุ่มของวันที่ 6 กรกฏาคม พวกเราควรจะหลับปุ๋ยไปเป็นที่ เรียบร้อย เมอร์ซี่นอนพิงต้นไม้ตามเคย ส่วนฉันก็นอนบนพื้นได้อย่างวางใจว่าจะ ไม่ถูกบัซทำอะไรแปลกๆ เพราะตลอดเวลา ที่บัซพยายามจะขยับเขยื้อนมาใกล้ๆฉัน เมอร์ซี่จะใช้สายตาที่แค่สบตาด้วยก็รู้สึกขน ลุกซู่ราวกับนัยน์ตาปีศาจของจอมมารจ้องมาทางนี้ ขนาดฉันเผลอหันไปมองแค่แว้บ เดียวยังกลัวจนเคยเก็บไปฝันเลย
แต่ฝันที่จบลงเมื่อครู่มันไม่ใช่ฝันที่ตัว เองเป็นผู้กล้าไปปราบจอมมารเมอร์ซี่หรือ ฝันที่เมอร์ซี่ปกป้องฉันจากปีศาจอัปลักษณ์ บัซ ไม่ได้ฝันว่าตัวเองกลายเป็นจอมเวท วิชคาเมนอสหรือแม้กระทั่งฝันธรรมดาๆอย่างภารกิจรวบรวมลูกแก้วเสร็จสมบูรณ์หรือผิดพลาดอย่างที่ฉันมักจะเคยฝันถึง
แต่มันกลับเป็นฝันที่ประหลาดมากๆ
"เอ๋...?"
สัมผัสอันเย็นเฉียบไหลรินลงมาจาก ดวงตาทันทีที่ตัวเองตื่นจากนิทราและลุกขึ้นท่ามกลางแสงจันทร์
"ไม่จริงน่า? น้ำตางั้นเหรอ?"
ถึงจะมีแค่หยดเดียว แต่มันก็สื่อความ หมายว่าฉันได้ร้องให้ออกมา ทั้งๆที่ฉันไม่ มีความรู้สึกเศร้าหรือซึ้งใจใดๆเลย
"รึว่า...จะเป็นในฝันนั้น..."
ครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ที่ตัวเองฝันร้าย เจ้าเมอร์ซี่บอกว่าความฝันสามารถสมมติได้ แม้กระทั่งความรู้สึก แม้แต่กับเรื่องที่ไม่ ควรจะเสียใจก็พาลให้รู้สึกเสียใจจนร้องให้ได้ แม้แต่กับเรื่องที่ไม่มีมูลความจริงก็ยัง ถูกทำให้เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นจริงๆเสียสนิทใจ แม้แต่ตัวเจ้านั่นเองยังเคย ฝันว่ากินยาสีฟันแล้วตายเลย
แต่ความรู้สึกที่ฉันได้เผชิญเมื่อครู่นั้น มันคืออะไรตัวฉันก็ไม่อาจล่วงรู้ได้
ดราโก้นอนอยู่ทางซ้ายของตัวเอง ส่วนบัซก็นอนอยู่ห่างออกไป และทางด้าน ขวานั้น...
"ฝันร้ายอีกแล้วเหรอ?"
"ฮี้!!!"
เมอร์ซี่นั่งกอดอกหลับตาอยู่ข้างๆ ความจริงแล้วถึงจะพูดว่านอนพิงต้นไม้ แต่เจ้าต้นไม้นั่นก็ไม่ได้ห่างอะไรกับตัวฉัน มากนัก มันอยู่ข้างๆกันนี่เอง
"ทะ ทำไมนายยังไม่หลับล่ะ?!"
"ตกใจเสียงร้องของเธอเมื่อกี้นี่แหละ ความจริงฉันควรจะหลับไปเมื่อซักชั่วโมงก่อนหน้านี้แล้วนะ อุตส่าห์ข่มตาหลับได้แล้ว เชียว"
"ขะ ขอโทษที พอดีฝันอะไรแปลกๆน่ะ "
"ก็คงจะแปลกพอดู ถึงขนาดทำให้คน อย่างเธอร้องให้ได้เนี่ย"
"มะ ไม่ได้ร้องให้นะ!"
"จ้าๆ ไม่ร้องก็ไม่ร้อง"
เมอร์ซี่ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเอือมระ อาพลางไขว้แขนไว้ที่ท้ายทอยพลางลืมตา มองมาทางนี้เล็กน้อย
ส่วนฉันก็ได้แต่นั่งหน้าแดงทำแก้ม ป่องอย่างงอนๆเท่านั้น เพราะแม้แต่ตัวฉัน เองยังรู้สึกได้เลยว่ามีน้ำตาไหลออกมา
"ว่าแต่ฝันว่าอะไรล่ะ?"
อยู่ดีๆก็ถูกถามเข้าแบบนั้นฉันก็เลยกระ ตุกเล็กน้อย พยายามนึกถึงความฝันเมื่อครู่ ที่เรือนรางเต็มที
"ก็...ถูกใครก็ไม่รู้จ้องหน้า...แล้วก็ หายไปทั้งอย่างนั้นน่ะ..."
"เป็นฝันที่พิสดารพันธุ์ลึกจริงๆน้า~ โดนคนแปลกหน้าจ้องแค่นั้นก็ร้องให้แล้ว"
"แล้วฉันจะไปรู้กับฝันฉันมั้ยเล่า?!"
เมอร์ซี่ลุกขึ้นแล้วเดินมาใกล้ๆ จากนั้น ก็นั่งลงข้างๆฉัน
และก่อนที่ฉันจะทันได้รู้สึกตัว
"ยังไงซะมันก็เป็นแค่ฝันล่ะนะ อย่าไป คิดถึงมันแล้วหลับต่อจนกว่าจะเช้าแล้วกัน"
"นะ นี่นาย!"
ถูกเมอร์ซี่ลูบหัวอีกแล้ว แต่คราวนี้ถูก สายตาอันอ่อนโยนผิดกับแววตาปีศาจนั่นจ้องมาอีกด้วย ร่างกายก็เลยแข็งทื่อ กับคน ที่ไม่รู้สึกอะไรด้วยหนำซ้ำยังไม่ชอบหน้าก็ยังถูกเล่นงานด้วยแววตานั้นจนหน้าแดงได้
"อะ เอามือออกไป! เอามืออก...จากหัว ...ฉะ... ฉันน้า..."
ความทรงจำค่อยๆเรือนรางและขาด หายไปตั้งแต่ตอนนั้นเอง
"ว่าแต่...แล้วฉันจะหลับลงอีกมั้ยล่ะ เนี่ยทีนี้? เฮ้อ..."
...
"เมอร์ซี่!!! เมื่อคืนนี้นายลูบหัวฉันใช้ มั้ย?!!!"
"แล้วมันทำไม?"
"นายไม่รู้เหรอว่าฉันไม่ชอบน่ะ?!!"
"ไม่ชอบเหรอ?"
ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าน้ำเสียงนั้นมันยียวน กวนประสาทสุดๆ
ฉันตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ เมอร์ซี่กับ บัซตื่นอยู่ก่อนแล้วส่วนดราโก้ตื่นหลังจากนั้นไม่นาน ประโยคแรกจากเมอร์ซี่ที่ได้ ยินในเช้านั้นคือ'ตื่นแล้วเหรอยัยขี้แย?'
"เออสิ! นายทำเหมือนฉันเป็นเด็กๆยัง ไงยังงั้นเลย!"
"ก็นะ กับเด็กผู้หญิงที่โตป่านนี้ยังชอบ อ่านคาเมนอสขนาดหนักมันก็ มองให้โตก็ ยากอยู่นะ"
"นะ นาย~!!! แม้แต่ปู่ก็ยังชอบอ่านเลย นะ คนอ่านไม่ได้มีแต่เด็กซักหน่อย!"
"จ้าๆ โดนลูบหัวก็ไม่ได้หมายความว่า ตัวเองเด็กนี่เนอะ"
"ว้าย! หยุดนะ!!!"
ไม่ทันไรก็โดนลูบหัวอีกแล้ว ทำไมพัก นี้รู้สึกว่าตัวเองถูกเมอร์ซี่แกล้งอยู่บ่อยๆกัน นะ น่าหงุดหงิดสุดๆเลย
"เอาน่าๆ เด็กดีๆ"
"หยุดนะตาบ้าเมอร์ซี่!!!"
ฉันทนเขินต่อไปไม่ไหวจึงง้างหมัด ขวาต่อยหน้าเมอร์ซี่เต็มแรง แต่ทว่า
"โอ๊ะ!"
"อ๊ะ!"
เมอร์ซี่ยกแขนอีกข้างขึ้นมา ใช้มันป้อง กันหมัดของฉันเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างในที่ สุดก็ถอนออกจากหัวของฉันเสียที
"หูย...เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ"
"เฮ้อ...หยุดซะได้ก็ดี"
ฉันทรุดตัวลงนั่งกับพื้นทันทีที่มือของ เมอร์ซี่หายไปจากหัวของตัวเอง
"แต่ว่าน่าสนใจดีแฮะ เมอร์ซี่ นานๆที เราลองมาสู้กันดูมั้ย?"
"ไม่เอาหรอก"
ปฏิเสธอย่างไม่คิดเลยแฮะ
"เหอะน่า! มาสู้กันสักตั้งซิ!"
"ชะอุ้ย!"
ฉันสะบัดแขนออกไปจู่โจมอีกฝ่าย เมอร์ซี่รับมันไว้ได้ด้วยแขนเช่นเคย
ฉันรัวกระบวนท่าหลายชุดเข้าจู่โจม เมอร์ซี่ไม่ว่าจะต่อยหรือเตะ เมอร์ซี่รับมัน เอาไว้โดยไม่โจมตีกลับมาเลยแม้แต่นิดเดียว
"ปิดฉากล่ะ!"
คราวนี้ฉันหมุนตัวเตะแบบบีเทิ้ล คาเมนอสอีกครั้ง เพียงแต่ไม่ได้มีพลัง อะไรแฝงอยู่เลยนอกจากพลังขาล้วนๆ
"วะ หวา!"
แต่เมอร์ซี่ก็ใช้มือขวาจับขาของฉันเอา ไว้ และมันก็คงอยู่อย่างนั้นไปซักพัก
"อะ อ่า~ ปล่อยนะ! เมื่อยแล้วอ่ะ..."
"ไม่ได้มีเจตนาจะลวนลามหรอกนะ..."
"เอ๋?...อ๊าาาาาา!!!"
พริบตาต่อมาฉันก็สะดุ้งอย่างแรงเพราะ ถูกเจ้าหมอนั่นลูบไล้ที่น่องของขาข้างที่เตะออกไป
"แต่เพราะนั่นมันเป็นจุดตายของเธอนี่ เนอะ? ฉันไม่ค่อยชอบสู้กับผู้หญิงน่ะ"
ฉันรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างแรงที่ถูกเล่น งานอย่างง่ายดายโดยที่ไม่มีความรู้สึกว่าถูกลวนลามหรือเขินอายเจือปนอยู่เลย
"ยะ อย่ามาดูถูกกันนะ!!! อะ อ่า~"
"เฮ้ย!"
ลุกขึ้นได้ไม่ทันไรก็เซถลาล้มไป โชค ยังดีที่เมอร์ซี่รับไว้ได้ทันเลยไม่บาดเจ็บอะไร
"อึก...ขอบใจ..."
"เป็นคำที่ยากจะหลุดออกจากปากเธอ จริงๆนะนั่น"
"เชอะ! รู้หรอกน่า!"
"อ้าวๆ! เล่นกันจนเซเลยเหรอพวกนาย พอก่อนดีกว่ามั้ง?"
คนที่เข้ามาแทรกก็คือบัซนั่นเอง ซึ่ง ตอนนี้เขาได้ร่วมเดินทางไปกับเราแล้ว ถึงจะไม่เต็มใจเท่าไหร่ แต่ก็คงต้องหยุด การต่อสู้ไว้ก่อนจริงๆนั่นล่ะ เพราะร่างกาย ฉันมันรับไม่ไหวแล้ว
"คิฟุโคะจัง~ หิวข้าวแล้วอ่ะ~"
"อย่ามาสั่งฉันนะ!"
"ชะอุ๋ย..."
น้ำเสียงเจื้อยแจ้วของเจ้านักบวชขี้หลี นั่นอ่อยลงทันที มันทำให้ฉันรู้สึกสะใจเป็น อย่างยิ่งทีเดียว
...
มื้อเช้าวันนี้เป็นแซนด์วิช
เมอร์ซี่ซื้อขนมปังมาค่อนข้างเยอะที เดียว คงจะติดใจรสชาติของขนมปังแผ่น ของพิวเทอร์เนี่ยนสุดๆถึงได้ซื้อมาตั้งถุงหนึ่ง ประจวบเหมาะพอดีกับช่วงที่ไม่ค่อยจะ มีอะไรอย่างอื่นกินก็เลยเอาขนมปังแผ่นของเมอร์ซี่มาทำแซนด์วิช ไส้ก็ทำแบบง่ายๆ ด้วยผลไม้ที่เจอในป่ากับพวกเครื่องปรุงที่ซื้อเผื่อไว้ ทีแรกก็คิดไว้อย่างนั้น แต่เมอร์ซี่ ก็บังเอิญซื้อชีสแผ่นกับเนื้อหมูตุนไว้ด้วย เช่นกัน
"ฉันไม่ชอบฆ่าสัตว์กันตรงๆซักเท่า ไหร่น่ะ"
เจ้าตัวพูดไว้แบบนั้นตอนที่ถามว่าหา เอาในป่าไม่ดีกว่าเหรอ แต่ถึงจะพูดอย่าง นั้นแต่ตอนเจ้านั่นตกปลามันก็เท่ากับฆ่าสัตว์เหมือนกันไม่ใช่เหรอนั่น สงสัยจะมีความ หลังฝังใจกับหมูแน่ๆ
และด้วยไฟของบัซ(กับดราโก้ที่พ่นไฟ ได้นิดหน่อย)ก็เลยทำให้หมูที่ใช้สุกได้ที่พอดีแซนด์วิชมื้อเช้าของพวกเรานั้นวิเศษที่สุดเท่าที่เคยกินมาเลยก็ว่าได้
"อิ่มแล้วครับ~!"
พอเมอร์ซี่ซัดชิ้นที่สามหมดไปแล้วก็ว่า ขึ้นอย่างนั้น
"อย่ามาพูดเลียนแบบฉันนะ!!!"
"เธอยังไม่ได้พูดอะไรเลยไม่ใช่เหรอ? "
"ก็ฉันกำลังจะพูดอยู่นี่นา!"
"แต่ฉันพูดก่อนนะ จะเรียกว่าเลียน แบบได้ยังไงล่ะ"
"นะ หนอย..."
"ไม่เอาน่าพวกนาย ใจเย็นๆนะ"
"ชะ ใช่แล้วครับคุณเมอร์ซี่ คุณคิฟุโคะ อย่าทะเลาะกันเลยนะครับ"
บัซกับดราโก้เข้ามาปรามเราไว้ พวกเรา จึงได้แต่เชิดหน้าไปคนละทางอย่างหัวเสีย
"เชอะ!"
"..."
นึกว่าจะมีเสียงถอนใจหรืออะไรดัง ออกมาจากปากของเมอร์ซี่ซะอีก
"เฮ้! เมอร์ซี่! นายเป็นอะไรน่ะ?"
บัซที่สังเกตเห็นอาการนั้นของเมอร์ซี่ที่ เหมือนกับกำลังงอนอะไรเป็นคนแรกเอ่ยถาม แต่เมอร์ซี่ก็ไม่ตอบแต่กลับชี้ไปด้าน หน้า
"บัซ เซรูลีน่านี่ไปทางนี้รึเปล่านะ?"
พอได้ยินดังนั้นฉันถึงได้รู้ว่าตัวเองคิด ผิดมหันต์เลยทีเดียว เป็นความผิดของหมอ นั่นนั่นแหละที่ยืนก้มหน้าจนเส้นผมปิดไว้ไม่เห็นดวงตา
"อ๋อ! ไปทางนั้นเลียบแม่น้ำไปเรื่อยๆ น่ะ อาณาจกรเซรูลีน่าเป็นนครเหนือน้ำ ไม่มีถนนตัดผ่าน จะไปก็ต้องใช้เรือน่ะนะ"
เรือ...ต้องใช้เรือ?!
"เอ๋? แต่เราไม่มีเรือนะ?!"
"ปัญหาหนักเลยงานนี้..."
เมอร์ซี่กุมขมับอย่างกลุ้มอกกลุ้มใจ เห็น อย่างนั้นทั้งที่ฉันควรจะรู้สึกสะใจที่เห็นเมอร์ซี่ได้ทุกข์ร้อนกับเขาบ้าง แต่ฉันกลับ พลอยรู้สึกกังวลไปด้วย
"มะ ไม่เป็นไรหรอกฮะ เดี๋ยวไปข้าง หน้าก็คงจะมีคนแล่นเรือผ่านมาบ้างน่ะแหละฮะ"
เสียงเล็กๆของดราโก้ดังขึ้นท่ามกลาง ความสิ้นหวังอันมืดมิด
"จะ จริงด้วยเนอะ เมืองแถบชายแดนก็ ใช่ว่าจะไม่มีคนสัญจรไปมานี่นา อาณาจักร นั้นโด่งดังในฐานะสถานที่ท่องเที่ยว ยังไง ก็น่าจะมีเรือผ่านเยอะเหมือนกันนั่นล่ะ"
และแล้วคนที่ได้กำลังใจกลับมาคน แรกก็คือบัซ
"เฮ้อ...ลองไปดูซักตั้งก็แล้วกัน"
"นะ นั่นสิเนอะ..."
เมื่อตกลงกันได้ดังนั้น พวกเราจึงเดิน เลียบแม่น้ำขึ้นไปเรื่อยๆ
วันนี้ช่างเป็นวันที่อากาศแจ่มใสจน น่ากลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นรึไม่ แม้แต่สาย ลมเองก็ไม่พัดมาเลยแม้แต่น้อย น้ำนิ่งสงบ จนดูออกได้ยากว่ามันไหลไปทางใด พวกเราต่างก็เดินไปเรื่อยๆโดยคาดหวังว่า สุดสายของแม่น้ำสายเล็กๆนี้จะเป็นอาณาจักรเซรูลีน่า นครแห่งสายน้ำ
...
"เฮ้อ! เดินมาตั้งครึ่งค่อนวันแล้วยังไม่ เจออาณาจักรเซรูลีนอะไรนั่นเลยอ่า..."
"อย่าว่าแต่อาณาจักรเลย เรือที่จะไป เซรูลีน่ายังไม่เจอซักลำ..."
"หมดสิ้นหนทางแล้วล่ะ แต่ก็ต้องเดิน ต่อไปแม้จะไม่มีใครผ่านมาก็ตาม"
"ไม่ไหวแล้วฮะ~"
แดดยามบ่ายร้อนแรงเสียจนทำให้ ความรู้สึกร้อนรุ่มใจรุนแรงขึ้น พระอาทิตย์ เริ่มเคลื่อนตัวลงจากจุดสูงสุดไปยังทิศตะวันตกแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าจะเข้าสู่ ช่วงเวลากลางคืนอีกครั้ง
"ว่าแต่ดินแถบนี้นี่มันชื้นจังเลยนะ"
"ก็แน่ละ มันชายฝั่งแม่น้ำนี่นา"
"ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันหมายความว่าดิน มันอ่อนกว่าปกติน่ะ เอ้อ! แล้วป่าแถบนี้ก็ ดูขัดๆชอบกล"
ต้นไม้เล็กๆล้มระเนระนาด กิ่งไม้กอง อยู่เต็มพื้น มีแต่เศษใบไม้ร่วงอยู่เต็มไป หมด
"จะว่าไปแล้วมันก็ดูแปลกจริงๆน่ะนะ"
"เห็นมั้ย ขนาดคิฟุโคะยังรู้สึกเลย"
"จะว่าไปมันก็จริงนะ ยังกับว่าเคยมีน้ำ ท่วมแถวนี้เลย"
แม้แต่ฝูงสิงสาราสัตว์ยังไม่โผล่มาให้ เห็นเลยซักตัวเดียว แบบนี้มันยิ่งไม่ชอบมา พากลเข้าไปใหญ่
"นี่ เราพักกันตรงนี้ก่อนแล้วกัน"
"นั่นสิ...เดินมาทั้งวันเหนื่อยจะตายอยู่ แล้ว"
พวกเราจัดการวางข้าวของทิ้งไว้ เมอร์ซี่กับบัซมีกระเป๋าเป้กันคนละใบ ส่วนของฉันเป็นกระเป๋าสะพายคล้องพาดบ่าซึ่งเป็นกระเป๋าเวทมนต์ที่มีพื้นที่ไม่จำกัด ส่วนดราโก้ก็ใช้ร่วมกับเมอร์ซี่ไป เห็นว่า เพราะตอนมาก็ไม่มีอะไรติดมาด้วยอยู่แล้ว
"เมอร์ซี่ มีขนมปังแผ่นเหลืออีกมั้ย?"
"ก็มีอีกเยอะน่ะนะ"
"โอเค งั้นฉันขอทำแซนด์วิชอีกซัก รอบแล้วกัน"
"อ่า เข้าใจแล้ว"
เมอร์ซี่จัดแจงส่งถุงขนมปังและไส้ทั้ง หลายแล้วยื่นให้ฉัน แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะ รับมันไว้ก็เป็นอันต้องสะดุ้งอย่างแรง
ซ่า!!!
เสียงบางอย่างตกลงไปในแม่น้ำอัน กว้างใหญ่ เป็นเสียงที่ดังเอาการเลยทีเดียว ของที่หล่นลงไปไม่ใช่สัมภาระของพวกเราคนใดคนหนึ่ง แต่เป็น...
"ว้ากกกกก!!! ช่วยด้วย!!!"
"คะ คุณบัซ!!!"
ดราโก้หันหลังขวับกลับมาทันทีที่ได้ยิน เสียงบัซลื่นตกลงไปในน้ำ ไม่สิ ต้องเรียก ว่าหน้าดินมันเซาะจนพื้นที่บัซควรจะยืน อยู่จนถึงเมื่อครู่หายไปในพริบตา
"เฮ้ย! ลงไปได้ยังไงกันน่ะ"
"วะ หวา!"
ทั้งฉันและเมอร์ซี่ต่างตกใจจนทำอะไร กันไม่ถูก แต่เมอร์ซี่ที่ได้สติก่อนก็รีบกลับ ไปเอาเชือกในกระเป๋าเป้ทันที
"บัซ! จับนี่ไว้!!!"
"เร็วๆ!!! อ๊าากกกก!!! ฮึบ!!!"
หลังจากตะเกียกตะกายอยู่นาน ในที่สุด เชือกที่เมอร์ซี่โยนให้ก็ลอยไปตกอยู่ในมือ ของบัซข้างหนึ่ง เมอร์ซี่รีบดึงเจ้านั่นขึ้นมา ทันทีขณะที่อีกฝ่ายก็เกาะเชือกไว้แน่น
แล้วในที่สุด ร่างของนักบวชแห่งไฟ จอมขี้หลีก็พ้นจากน้ำ
"แฮ่กๆ...ไม่คิดว่าอยู่ดีๆตลิ่งมันจะพัง นะเนี่ย..."
"เฮ้อ...ก็รู้ๆกันอยู่ว่าดินแถวนี้มันชื้น ไม่ค่อยแข็งแรง"
ทั้งสองคนนั่งเหนื่อยหอบกันพักใหญ่ อยู่ตรงจุดที่ห่างจากที่เกิดเหตุมาได้สักสองเมตร และแล้วเมอร์ซี่ก็หันมาหาฉัน
"แล้วก็เอามือออกจากปากเธอได้แล้ว คิฟุโคะ ไม่จำเป็นต้องตกใจนานขนาดนั้น หรอกน่า"
"อะ อุ๊ย!"
ฉันพึ่งสังเกตว่ามือทั้งสองข้างของฉัน กำลังประกบกันอยู่ที่ปากตัวเอง ส่วนขาก็รู้ สึกว่าจะอ่อนแรงไปเหมือนกัน
"เห~? นี่เธอเป็นห่วงฉันเหรอเนี่ย คิฟุโคะ"
"อย่าได้คิดเชียวนะ..."
ถึงจะพูดประโยคนั้นออกไป แต่ไม่รู้ ทำไมน้ำเสียงถึงตะกุกตะกักชอบกลทั้งๆที่ สิ่งที่บัซพูดมาเมื่อครู่มันก็ไม่ได้จริงอย่างที่ ว่าซักหน่อย
แล้วฉันไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงบัซขนาด นั้นด้วยสิ
"รึว่าเธอจะมีอะไรฝังใจกับน้ำรึไง?"
คราวนี้เมอร์ซี่เป็นฝ่ายถามบ้าง ฉันจึง พยายามคิดถึงเรื่องในอดีตเพื่อหาคำตอบ
"ไม่รู้สิ...ฉันจำไม่ได้ว่าเคยไปตกน้ำ ที่ไหน แต่ก็รู้สึกเหมือนจะเคยอยู่นะ..."
"งั้นเหรอ..."
เมอร์ซี่หันกลับไปด้วยท่าทางเหงาๆ เหมือนเมื่อครู่ก่อน แต่เจ้าหมอนั่นต้องไม่ ได้รู้สึกแบบนั้นจริงแน่ๆ คงจะแค่บังเอิญ เส้นผมปิดหน้าไว้จนมองไม่เห็นดวงตาอีก แหงๆ
"เออใช่! เมื่อกี้นี้ฉันเห็นอะไรแปลกๆ ด้วยล่ะ"
คำถามนั้นทำให้ฉันหยุดคิดเรื่องของ เจ้าบ้าเมอร์ซี่
"เอ๋? เห็นอะไรเหรอฮะ?"
"มันเป็นอะไรที่คล้ายๆสิ่งก่อสร้างน่ะ ดูๆไปแล้วคล้ายปราสาทนะ"
"โกหกน่า..."
ฉันพึมพำขึ้นมาเบาๆก่อนจะว่าต่อไป
"วิหารใต้ทะเลงั้นเหรอ?!"
"คิฟุโคะ วิหารใต้ทะเลก็ต้องอยู่ใน ทะเลสิ จะมาอยู่ในแม่น้ำได้ไง"
"เออจริงสิ! ลืมไป..."
พลาดไปครั้งใหญ่เลยสิเนี่ย ทะเลกับ แม่น้ำมันไม่เหมือนกันซักหน่อย...
"ว่าแต่ไปรู้เรื่องวิหารใต้ทะเลนั่นมาจาก ไหนละนั่น"
เป็นคำถามขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวที่เหมือน จะพยายามออกเสียงให้เป็นธรรมชาติสุดๆ เลยแฮะ หมอนี่จะอยากรู้ไปทำไมกันนะว่า ฉันไปจำเรื่องนี้มาจากไหน
"เอ๋? เอ่อ...มันผุดขึ้นมาในหัวเอง น่ะ..."
"เหรอ...ว่าแต่แน่ใจนะว่านายเห็น จริงๆน่ะบัซ"
หมอนั่นหันกลับไปอีกครั้งด้วยท่าทาง เหมือนเมื่อครู่ก่อนจะเอ่ยถามบัซที่นอนแผ่ อยู่บนพื้นด้วยสภาพที่ดูเหมือนกำลังนั่งคอ ตกเสียใจทั้งๆที่น้ำเสียงกับอารมณ์ก็ปกติดี หมอนี่จะหัดทำตัวให้คนอื่นคิดว่าปกติเป็น บ้างมั้ยเนี่ย?
"ไม่ผิดแน่ ตอนฉันตกลงไปฉันเอา หน้าลงตีน้ำ เจ็บแทบแย่"
"ถ้างั้นก็แปลกนะ ที่แบบนี้ไม่น่าจะมี วิหารอะไรมาตั้งอยู่นี่นา"
"ฉันก็ว่างั้น..."
ถึงแม่น้ำข้างๆจะค่อนข้างกว้าง แต่การ จะมีวิหารจมอยู่ใต้แม่น้ำที่นี่มันไม่น่าจะเป็นไปได้ ตอนนั้นฉันกำลังคิดว่าใครจะอุตริ ไปสร้างของพรรค์นั้นไว้ในแม่น้ำกัน และ ฉันก็คิดว่าเมอร์ซี่น่าจะคิดเหมือนกัน
"ถ้ายังไงลองลงไปดูมั้ยละครับ?"
อยู่ๆดราโก้ก็เสนอออกมาแบบนั้น
"ไม่ดีกว่าน่า ดูท่ามันจะลึกไม่ใช่เล่นๆ เลยนะ แล้วโบราณสถานใต้น้ำนี่มันจะมี กับดักหรืออันตรายแบบไหนเราก็ยังไม่รู้ เลยนะ"
เมอร์ซี่ยังคงพูดตามหลักเหตุและผล เหมือนอย่างเคยทำให้ยากที่จะปฏิเสธว่าสิ่งที่เขาพูดมานั้นไม่ถูกต้อง แต่คราวนี้ฉันมั่น ใจว่าจะสามารถทำให้หมอนั่นเปลี่ยนใจได้
"นี่ ว่าแต่นายไม่คิดบ้างเหรอว่าที่แบบ นั้นมันเหมาะจะซ่อนอะไรน่ะ"
"เธอหมายความว่าไง?"
ในที่สุดเมอร์ซี่ก็หันหน้ามาด้วยท่าทาง ฉงน ฉันจึงตอบกลับไป
"ถ้าสมมติว่าข้างล่างนั่นเป็นฐานทัพ ของพวกหมวกดำอะไรนั่นที่เก็บลูกแก้วศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่นเอาไว้ล่ะ?"
"หา?!"
"สมมตินะว่า แถวนี้เคยมีสัตว์อยู่เต็มไป หมด แต่เจ้าพวกหมวกดำใช้พลังจากลูก แก้วทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่จนสัตว์ป่าหนีหายไปจากแถวนี้หมดล่ะ"
เมอร์ซี่เริ่มทำท่าคิดหนัก หมอนั่นนิ่ง เงียบไปพักใหญ่ๆทีเดียว
"อืม... มันก็มีสิทธิ์เป็นไปได้นะ"
"เห็นมั้ยล่ะ?! ฉันบอกแล้ว"
และแล้วหมอนั่นก็นิ่งไปอีกครั้งหนึ่ง ท่าทางจะกำลังคิดอยู่ว่าจะเอายังไงต่อไป
"ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ถ้าอย่างนั้นลองไปดู หนอยแล้วกัน"
"วะ หวา! ฉันขอผ่านนะ!"
อยู่ๆบัซก็รีบเสนอขอผ่านด้วยเสียงที่ เปล่งออกมาอย่างหวาดกลัว สีหน้าดูซีด เซียวเป็นอย่างมาก
"อะ อะไรของนายบัซ..."
เมอร์ซี่ถามด้วยสีหน้าที่คาดว่าคงพอจะ เดาคำตอบออก
"อะ เอ่อ...คือว่า..."
บัซยังคงอ้ำอึ้งอยู่อย่างนั้น ถึงตัวจะเริ่ม แห้งแล้วแต่ก็คงยังตกใจอยู่
"ผืนน้ำมัน...เอ่อ...เป็นดินแดนต้อง ห้ามสำหรับฉันน่ะ...คือ แล้วฉันก็ไม่ถูก โฉลกกับการลงไปยังดินแดนใต้น้ำแบบนั้นซักเท่าไหร่..."
"เอ๋~? รึว่านายจะกลัวน้ำ?"
"ไม่ใช่อย่างนั้นนะ!"
"งั้นก็ว่ายน้ำไม่เป็นล่ะสิ?"
"อึก..."
หมอนั่นกลืนน้ำลาย สีหน้าดูตลกสุดๆ ถึงแม้จะสู้เมอร์ซี่ตอนที่ทำหน้าน่าสมเพชไม่ได้ก็เถอะ
"ชะ...ใช่..."
"หวาวๆ! ทายถูกด้วย!"
"แต่ไม่มีรางวัลให้นะ"
"โถ่~ เซ็งเล- เดี๋ยว! เมอร์ซี่!!!"
โดนเมอร์ซี่ปั่นหัวเข้าอีกจนได้แฮะ ให้ตายสิ!
"ผมก็ขอไม่ลงนะฮะ"
"อ่า ก็ไม่ได้จะให้นายไปด้วยอยู่แล้ว คิฟุโคะ ยืมแรงหน่อยได้มั้ย?"
อยู่ๆตานั่นก็หันกลับมาทางนี้แล้วพูดมา ได้หน้าตาเฉยว่าอยากให้ฉันไปด้วย
"อ่ะ เอ๋?! ทำไมต้องเป็นฉันล่ะ?!"
"ก็เธอดูท่าจะปลอดภัยสุดแล้วนี่ น่าจะว่ายน้ำเป็นแล้วใช่มั้ย"
"ฉันว่ายน้ำได้ตั้งนานแล้วย่ะ!!!"
"เชื่อดีมั้ยนะ..."
"นี่! ฉันจะโกรธแล้วนะ!"
"จ้าๆ"
ในที่สุดเมอร์ซี่ก็ยอมเลิกแซะแต่โดยดี แล้วทันใดนั้นเสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นมา
"ว่าแต่...พวกนายจะลงไปกันยังไง ะอดเสื้อผ้าทิ้งไว้รึเปล่า?"
"จริงสิ ถ้าลงไปทั้งอย่างนี้เสื้อผ้าเปียก หมดแน่ๆ"
เมอร์ซี่สบถออกมาอย่างรู้สึกเหนื่อย หน่ายที่มีปัญหาไม่จบไม่สิ้น ส่วนบัซก็กำลัง นั่งยิ้มชวนสยอง คงคิดอะไรสกปรกอยู่ แน่ๆ
"ไม่ต้องห่วงเมอร์ซี่! ตอนซื้อแอ็คชั่น คาเมนอสมาฉันซื้อนี่มาด้วย!"
"นั่นอะไรน่ะ?"
ฉันหยิบหนังสือปกหนังสีเขียวออกมา โชว์ให้เมอร์ซี่เห็น บนปกนั้นมีตัวหนังสือสี ทองเขียนเอาไว้เหนือรูปของชายผมหยักศกสีทองที่หน้าตาดีพอสมควร
"คาถาง่ายๆสำหรับนักผจญภัย โดย กิลรอยด์ ฮาร์ทรอคัส!"
"กิลรอ-- อะไรนะ?"
เขาทำหน้าเหยเกอย่างไม่เคยได้ยินชื่อ มาก่อน
"นายไม่รู้จักได้ยังไงเนี่ย? คนดังใน โลกของนักเวทเลยนะ เขาเป็นนักเดินทาง แล้วก็อาจารย์ของโรงเรียนสอนเวทมนต์ที่โด่งดังมากหลายแห่งเลยนะ แม้แต่ฮิลลารี่ พลอว์เทอร์ก็ยังเคยเรียนกับอาจารย์คนนี้เลย"
"ก็ฉันไม่ได้อยู่ในโลกของพวกจอม เวทอะไรนั่นซักหน่อยนี่นา เรื่องนั้นช่าง มันเถอะ หนังสือนี่ทำไมเหรอ"
ฉันพักเรื่องมากมายที่ตั้งใจจะเล่าให้ เมอร์ซี่ฟังเอาไว้ก่อน ทั้งดินแดนของจอม เวทอันรุ่งโรจน์ทั้งประวัติศาสตร์เวทมนต์ซึ่งฟังมาจากชั่วโมงเรียนแสนน่าเบื่อของท่ายปู่ ยังไงซะก็มีไม่กี่เรื่องที่ฉันสนใจอยู่แล้ว
"เอาล่ะ ฟังให้ดี ในหนังสือเล่มนี้บรรจุ คาถาสำหรับนักเวทฝึกหัดที่กำลังออกผจญภัยเยอะแยะเลย ไม่ว่าจะเป็นคาถาของนัก เวทเผ่าจงกว่อหรือสยาม หรือแม้กระทั่ง วิชาเวทมนต์ของเผ่านิฮงก็มีเขียนไว้"
"แล้วมันยังไงล่ะ"
เมอร์ซี่เร่งเร้าให้ฉันเริ่มเล่า มันทำให้ ฉันรู้สึกหัวเสียเล็กน้อย
"มันมีคาถาที่ช่วยกันน้ำด้วยน่ะสิ นั่นหมายความว่าระหว่างช่วงเวลาสองชั่ว โมงที่คาถาออกฤทธิ์ ต่อให้เราว่ายตกจาก น้ำตกเราก็จะไม่เปียกเลยแม้แต่นิดเดียว!"
"เอ๋?!"
น่าแปลกที่คนที่ตกใจไม่ใช่เมอร์ซี่หรือ ดราโก้แต่เป็นบัซ ที่จริงก็พอจะเดาได้อยู่ หรอกนะ
"นั่นหมายความว่าเราไม่ต้องถอดเสื้อ ผ้าไง"
"ไม่จริงน่า..."
และอีกครั้งที่บัซร้องครางออกมาอย่าง เศร้าใจ
"เห~ มีของดีเลยนี่นา"
"เว้นเสียแต่ว่าคาถามันร่ายยากชะมัด ต้องเสียเวลาร่ายเป็นนาทีเลยมั้งเนี่ย"
"เธอก็เปิดหนังสือนั่นแล้วร่ายเอาสิ"
"ก็ตั้งใจจะทำอย่างนั้นอยู่แล้ว"
ฉันถือหนังสือด้วยมือซ้ายโดยเปิดกาง ไว้ในหน้าที่ต้องใช้ ยื่นมือขวาออกไปทาง เมอร์ซี่แล้วเริ่มต้นร่ายเวทมนต์
"Domine Deus,da mihi virtutem ab aquis off corpus aqua,et mortuus est!"
วงแหวนเวทย์ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าฝ่า มือของฉันที่แบออก มันมีสีฟ้าสดใสราวกับ ท้องฟ้า ใสเหมือนวารี ระหว่างที่มันกำลัง หมุนอยู่อย่างอ่อนช้อย เมอร์ซี่ก็ถูกออร่า จางๆสีฟ้าใสปกคลุมทั้งตัวและหายไปในพริบตา แน่นอนว่าฉันเองก็เช่นกัน
"ไปกันเถอะเมอร์ซี่!"
"อ่า! ไปกันเถอะ"
และแล้ว พวกเราสองคนที่ได้รับการ คุ้มครองจากเวทมนต์กันน้ำก็กระโดดลงน้ำไป
แต่ไม่ทันไรพวกเราก็โผล่ขึ้นมาอีก
"ฮ้า!!! ลืมร่ายคาถาหายใจใต้น้ำล่ะ!"
"ให้ตาย เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ แฮ่กๆ"
"พวกนายนี่ดูตลกยังไงไม่รู้แฮะ..."
...
"นี่มันอะไรกันเนี่ย..."
ไม่นานหลังจากที่ลงน้ำมา พวกเราก็ได้ เห็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่จมอยู่ใต้น้ำ
มันเป็นสิ่งก่อสร้างที่แลดูราวกับเป็น ปราสาทโบราณ สร้างด้วยอิฐสีฟ้าอมเขียว และอิฐที่สีเข้มจนใกล้สีดำในโทนสีเดียวกัน มันอยู่ห่างไกลซะจนมองจากผิวน้ำเห็น เป็นเพียงบ้านหลังเล็กๆเท่านั้น
แต่สิ่งที่อยู่ในแม่น้ำแห่งนี้ไม่ได้มีแค่ นั้น...
กี๊ซ!!!
"หวา! สัตว์อสูรอีกแล้ว!"
"ใจเย็นไว้คิฟุโคะ"
สัตว์อสูรแหวกว่ายไปมาในสายน้ำ นัยน์ตาที่มีเพียงดวงเดียวนั้นใหญ่เสียจนดูน่าขนลุก ลำตัวเป็นทรงเหลี่ยมมุมมน มี หนามสีส้มๆล้อมรอบลำตัวสีฟ้าอมเขียวของมันหางที่ยาวเมื่อเทียบกับขนาดตัวกำลังโบกสะบัดพัดอยู่เบื้องหลัง
"พวกมันเป็นสัตว์พิทักษ์วิหารงั้นเหรอ เนี่ย..."
"เอาไงต่อดีล่ะ เราควรจะไปต่อมั้ย รึจะกลับไปวางแผนกันก่อนดี"
อย่างที่เมอร์ซี่กังวลไว้ ถ้าหากเข้าไป ใกล้มันมากกว่านี้แล้วถูกเจอตัวเข้าก็อาจจะโดนโจมตีได้ เว้นซะแต่ว่าจะมีวิธีหลบ เลี่ยงจากดวงตาสีแดงเลือดนั่นได้...
ใช่แล้ว! มีวิธีอยู่นี่นา วิธีที่จะผ่านเข้าไป โดยไม่ต้องต่อสู้กับพวกนั้น
"ไม่เป็นไรเมอร์ซี่ เดี๋ยวฉันจะร่าย คาถาล่องหน ฉันพอจำมันได้อยู่"
"งั้นก็เยี่ยมเลย"
ฉันนึกถึงความทรงจำที่ผ่านพ้นมาไม่ นาน คาถาล่องหนร่ายว่าอย่างไรนะ...
""
แสงสว่างเปล่งประกายอย่างอ่อนโยน มันปกคลุมร่างของพวกเรา จากนั้นร่างกาย ของพวกเราก็หายไป
"เอ๋! ล่องหนแล้วจริงๆด้วย!"
"เตือนไว้ก่อนนะ ถึงจะล่องหนได้แต่ก็ ทะลุกำแพงไม่ได้นะ"
"ครับๆ"
พวกเรายังคงมองเห็นกันและกันด้วย เหตุผลบางประการซึ่งคงจะแปรผันตามพลังเวท ร่างของอีกฝ่ายที่ใครคนหนึ่งเห็นจะ เป็นร่างโปร่งแสง ทำให้สามารถมองทะลุ ไปได้
"มองแบบนี้แล้วเหมือนผีเลยเนอะ"
"แต่ทะลุกำแพงไม่ได้นะ"
"ฉันรู้น่า! อย่ามาย้อนกันสิ"
และแล้วพวกเราก็เริ่มว่ายน้ำไปเรื่อยๆ ดำดิ่งลึกลงไปหลายเมตร จนกระทั่งเริ่ม เห็นปราสาทสีฟ้าอมเขียวเก่าๆนั่นชัดขึ้น
คงจะรู้สึกไปเองที่ว่าตัวเองกำลังถูกเพ่ง เล็งจากสัตว์พิทักษ์ปราสาทหลายตัว สายตา ของพวกมันทำให้ฉันรู้สึกขนลุก
เมอร์ซี่ว่ายน้ำอยู่ใกล้ๆฉัน ฟองอากาศ เล็กๆผุดขึ้นมาจากในกระเป็าเสื้อนอกของ หมอนั่น และนั่นทำให้ฉันนึกอะไรได้ อย่างหนึ่ง
"มะ เมอร์ซี่...ฉันลืมไปเลย..."
"อะไร?"
สายตาของพวกสัตว์พิทักษ์จ้องมองมา ราวกับจะสูบวิญญาณไป
"พวกเรากำลังล่องหน แต่ไม่ได้กำลัง หายตัว หมายความว่าการที่เราดำลงมาใน น้ำนี่พวกเราไม่ได้ทะลุผ่านน้ำมานะ"
"ระ รึว่า..."
ราวกับตัดสินใจได้ในที่สุด พวกสัตว์ พิทักษ์พุ่งมาทางนี้อย่างรวดเร็วและชัดเจน
พวกเรายังคงมีตัวตน นั่นหมายถึงการที่ พวกเราล่องหนไม่ได้ทำให้ไม่เกิดช่องว่างขึ้นในน้ำ ในที่ที่เราอยู่
"วิ่ง!!!"
"วิ่งได้ที่ไหนล่ะอีตาบ้า!!!"
และแล้วพวกเราก็รีบว่ายน้ำเผ่นไปจาก ตรงนั้นทันที
...
"โอ้ย~! ไม่เคยเหนื่อยอะไรขนาดนี้มา ก่อนเลย..."
"ฉันแทบจะไม่เหลือแรงไว้ว่ายกลับ แล้วเนี่ย..."
ในที่สุดพวกเราก็สลัดปีศาจปลาพวก นั้นพ้น และเข้ามาในวิหารอย่างปลอดภัย
"เราเหลือเวลาอีกเท่าไหร่?"
"เอ...น่าจะราวๆชั่วโมงนึงละมั้ง"
ข้อจำกัดของเวทมนต์ที่ใช้เพื่อลงมาใน น้ำโดยไม่เปียกคือมันจะหมดฤทธิ์ภายในสองชั่วโมง แต่เพราะเรามัวแต่หนีการโจมตี ด้วยลำแสงพิฆาตจากดวงตาของพวกสัตว์พิทักษ์วิหาร เราจึงเสียเวลาไปแล้วหนึ่งชั่ว โมง และเหลือเวลาอีกเพียงชั่วโมงเดียว เท่านั้น
"ก็ยังดีที่เราไม่เสียเวลาไปมากกว่านี้ รีบเข้าไปข้างในกันเถอะ"
จากนั้นพวกเราสองคนก็เดินสำรวจอยู่ ตามจุดต่างๆของปราสาท ทุกครั้งที่เจอเจ้า สัตว์ปีศาจปลานั่นเราก็จะหลบและพยายามที่จะไม่ทำเสียงใดๆ
ทางเดินทอดยาวไปเรื่อยๆ ผ่านเสาหิน ขึ้นราผุๆไม่รู้กี่ต้นต่อกี่ต้น ห้องเป็นร้อยๆที่ พวกเราเดินผ่านต่างก็มีหีบเปล่าๆตั้งเอาไว้
"เมอร์ซี่"
"อะไรเหรอ?"
"นายว่าจะเป็นไปได้มั้ยว่าจะเป็นพวก หมวกดำจริงๆน่ะ"
เมอร์ซี่ครุ่นคิดเล็กน้อย
"ก็มีโอกาสอยู่หรอกนะ แต่ทำไมเธอถึง พึ่งจะมาไม่มั่นใจเอาป่านนี้ล่ะ?"
"ไม่ใช่ซักหน่อย! แค่อยากจะยืนยัน ความเห็นของนายเท่านั้นเองน่า!"
"อ้อเหรอ..."
สีหน้าของเมอร์ซี่บ่งบอกถึงความไม่รู้ สึกว่าเลื่อคำพูดของฉันได้เลยซักนิด มัน ทำให้ฉันค่อนข้างอายที่เสนออะไรออกไป โดยไม่ทันคิดว่าจะมีโอกาสมากแค่ไหน
แต่เพราะคำถามคราวนั้นพวกเราจึงได้ ลงมาที่นี่
"คิฟุโคะ หลบ!"
"อุ๊บ!"
อยู่ๆเมอร์ซี่ก็ปิดปากฉันแล้วดึงให้ไป หลบข้างมุมหนึ่งของกำแพงพลางชะเง้อ หน้าออกไปมอง ฉันจึงพยายามหันไปมอง ด้วย
เขตน้ำสิ้นสุดลงอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ข้างในทางเดินที่พวกเรามองเข้าไปไม่มีน้ำอยู่เลยแม้แต่หยดเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนยืนอยู่ถึงสองคน ด้วยกัน ชายหญิงที่ดูอายุประมาณยี่สิบกว่า สวมเสื้อผ้าที่มีสีหลักเป็นสีดำ เสื้อยืดบางๆ สีน้ำเงินเข้มและผ้าโพกหัวที่มีสีดำและยังมี สัญลักษณ์แปลกๆสีขาวตรงด้านหน้า
"พวกกองโจรจริงด้วย แต่เครื่องแบบดู จะแปลกไปนะ"
"เอ๋? นั่นคือพวกโจรหมวกดำงั้นเหรอ? ดูอ่อนแอจังแฮะ..."
สำหรับฉันแล้วพึ่งจะเคยเจอกองโจร หมวกดำเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงค่อนข้าง รู้สึกตื่นตาตื่นใจ
"แต่ว่านะ ถ้าเข้าไปในเขตอากาศเราก็ ล่องหนต่อได้น่ะสิ ดีเลย! ถ้างั้นเราหายตัว อีกรอบกันจะดีกว่า"
"นั่นสิ"
แล้วฉันก็ร่ายคาถาล่องหนอีกรอบและ เดินทะลุจากเขตน้ำไปยังเขตอากาศไปพร้อมกับเมอร์ซี่ โจรสองคนดูจะตกใจเล็ก น้อยก่อนจะหันกลับไปเพราะไม่เห็นอะไร
"ฮ่าๆ ดูพวกนั้นสิเมอร์ซี่ งงใหญ่เลย"
"อ่า! ดูตลกดีเนอะ"
พวกเรากระซิบคุยกันโดยไม่ให้ใครได้ ยินจากนั้นจึงค่อยๆย่องไปใกล้ๆโจรพวกนั้นก่อนจะหาทางไปต่อ
"นี่คิฟุโคะ"
"อะ อะไร?"
อยู่ๆเมอร์ซี่ก็จับบ่าฉันไว้ราวกับเป็น สัญญาณบอกให้หยุด แล้วกระซิบบางอย่าง ใกล้หูของฉัน ซึ่งมันทำให้รู้สึกจั๊กจี้ชอบกล
"อยากจะเล่นอะไรสนุกๆมั้ย?"
"เอ๋?"
"ฉันคิดว่าถ้าเกิดคราวหน้าต้องลอบเข้า รังของพวกโจรอีกก็จะใช้เสื้อผ้าของพวกนั้นปลอมตัวไปแทน จะได้ไม่ต้องเสี่ยงกับ เวทมนต์ที่กำหนดเวลา ที่เราต้องทำก็คือหา ทางทำให้เจ้าพวกนี้ไม่รู้สึกตัว เธอคิดว่า ไง"
"อืม~ น่าสนใจดี และฉันก็มีอะไร เสนอล่ะ"
ฉันเดินกลับไปที่เขตน้ำและร่ายคาถา เล็กน้อยก่อนจะหยิบน้ำมาสองก้อน มันคือ น้ำจริงๆที่จับตัวเป็นก้อนเด้งไปมาอยู่ในมือฉัน
"ทำให้พวกนั้นหายใจไม่ออกแล้วสลบ ไปเป็นไง?"
"อืม อย่ารุนแรงมากแล้วกัน"
แล้วเมอร์ซี่ยิ้มอย่างอ่อนโยนจนฉันรู้ สึกเขินขึ้นมาอีก
"มะ ไม่ถึงตายหรอกน่า! แหม..."
และแล้วฉันก็เดินย่องๆเข้าไปหาโจร หนุ่มสาวสองคนนั้น พวกนั้นไม่รู้สึกเลย ซักนิดเดียวว่าฉันกำลังเข้ามาใกล้
"นี่แน่ะ!"
"อุ!!!"
"อุบ!!!"
ฉันวางมันลงไปในหัวของพวกโจร หน้าของพวกนั้นที่ปรากฏขึ้นในลูกบอลน้ำของฉันดูตกใจและทุกข์ทรมาน ฉันเสกคา ถาให้เจ้าพวกนั้นขยับไม่ได้ และเมื่อเวลา ผ่านไปหลายสิบวินาทีพวกนั้นก็ล้มลง
"สบายใจได้ ยังไม่ตายหรอก"
ฉันเอาบอลน้ำออกจากหัวของพวกนั้น ก่อนจะเรียกเมอร์ซี่ทีเดินตามมาให้มาช่วย กัน
"โหดเหมือนกันนี่นา"
"ฮี่ๆ"
"เอาล่ะ ที่เราต้องทำต่อไปคือปลดเสื้อ ผ้าเจ้าพวกนี้แล้วเก็บเอาไว้"
"เราใส่ปลอมตัวไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ ฉันรู้สึกสังหรณ์ว่าเราจะล่องหนไม่ได้อีกนานนักหรอกนะ พลังเวทเริ่มจะอ่อนแล้ว ด้วย"
"เหรอ งั้นก็ช่วยไม่ได้นะ ใส่ไปเลยก็ แล้วกัน"
พวกเราช่วยกันจัดแจงลากสองคนนั่น เข้าไปในห้องคนละห้องที่อยู่ใกล้ๆกันใน มุมอับ แล้วพวกเราก็เปลี่ยนชุดเป็นชุดของ พวกโจร เมื่อเรียบร้อยก็จับโจรทั้งสองคน ในชุดชั้นในมัดไว้ด้วยกันและเก็บชุดเดิมใส่กระเป๋าไร้ขอบเขตของฉัน
"ถ้าตื่นมาคงตกใจแน่ๆเลยล่ะ"
"ฉันก็ว่างั้น แต่ว่านะ ปลอมตัวอีกแล้ว เหรอ รู้สึกเบื่อๆยังไงชอบกลแฮะ"
"งั้นเหรอ"
"ว่าแต่ใส่ชุดนั้นก็ดูดีเหมือนกันนี่"
"ขอบใจ งั้นก็ไปกันเถอะ"
"อ่า"
"ว่าแต่นายไม่คิดจะเหลียวไปมองพี่ สาวคนนั้นที่ฉันเปลี่ยนชุดด้วยหน่อยเหรอ~"
"หนวกหูน่า!"
"อ้อ! ลืมไป นายมันพวกกินพืช"
...
"นี่พวกเราก็เดินมานานแล้วนะ"
"นั่นสิ แต่ในเมื่อเราอยู่ในเขตอากาศ แบบนี้แล้วมันก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรนี่นา ก็แค่เสกคาถาใหม่เท่านี้เราก็ออกไปได้แล้ว"
พวกเรายังคงเดินสำรวจในวิหารนั้น ต่อไปเรื่อยๆโดยไม่สังเกตเห็นอะไรที่ผิดปกติ พวกโจรคนอื่นเข้ามาทักเป็นครั้งคราว บางคนก็พยายามเข้ามาเกาะแกะฉัน ถ้า เมอร์ซี่ไม่ห้ามไว้ฉันก็คงเผลอต่อยหน้า พวกนั้นจนถูกเพ่งเล็งแน่ๆ แต่ก็โชคดีที่ รอดมาได้โดยไม่ถูกใครสัมผัสเนื้อตัวเลย
"คือว่านะ...ฉันจำคาถาไม่ได้ล่ะ"
"อ้าว! งั้นก็...รีบหาทางออกกันเถอะ"
"ขอโทษทีนะที่จำคาถาไม่ได้น่ะ"
"ไม่เป็นไรๆ ก็คาถาออกจะยาวนี่เนอะ"
"ว่าก็ว่าเถอะ ทั้งที่เป็นคาถาที่ค่อนข้าง ใช้ยากแต่ดันมาอยู่ในหนังสือคาถาพื้นฐานเนี่ยนะ?"
ฉันบ่นออกมาอย่างช่วยไม่ได้ที่คาถาที่ จำเป็นต้องใช้มันค่อนข้างยากเกินกว่าจะ ท่องจำ แล้วหนังสือคาถาพื้นฐานก็วางลืม ไว้ข้างบนนั่นซะด้วยสิ
"บางทีมันอาจจะเป็นหนึ่งในคาถาที่ผู้ ใช้เวทมนต์ฝึกหัดก็สามารถใช้ได้สบายล่ะมั้ง บางทีพวกเวทมนต์ที่ยากกว่านี้ก็จำเป็น ต้องมีอุปกรณ์ช่วยนี่ อย่างพวกไม้กายสิทธิ์ หรือคทาเวทมนต์อะไรอย่างนั้นน่ะ ใช่มั้ย ล่ะ?"
"มันก็จริง..."
หลังจากเดินหาทางออกอยู่นาน พวก เราก็มาถึงเส้นทางที่คุ้นตา อีกไม่นานก็น่า จะไปถึงเขตกำแพงน้ำ หรือเขตที่จะเปลี่ยน จากการเดินท่ามกลางสภาพที่มีอากาศเติมเต็มห้องแบบนี้กลับไปเป็นน้ำแทน
ถึงจะไม่ได้อยากคิดแบบนี้ก็เถอะ แต่ บางทีบัซคงจะรอแย่แล้ว ดราโก้ก็ด้วย คง ต้องรีบกลับขึ้นไปแล้วล่ะ
พวกเราแยกกันไปคนละห้องอีกครั้ง เพื่อเปลี่ยนกลับเป็นชุดเดิมก่อนที่เมอร์ซี่จะ เดินเข้ามาผิดจังหวะทำให้พวกเราทั้งคู่ผงะ ไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า นั้น
เมอร์ซี่เอาชุดโจรของเขามาฝากไว้ที่ ฉันเพื่อให้ใส่กระเป๋าต่างมิติของฉันกลับขึ้นไป
และระหว่างนั้นที่เรากำลังจะออกไปสู่ เขตน้ำนั้นเอง
"เฮ้ คิฟุโคะ"
"อ่ะ อะไร?"
"ฉันว่าวิหารแห่งนี้มันมีเสียงแปลกๆนะ ว่ามั้ย"
"นั่นสิ...อย่างกับว่าจะถล่มเลย"
วิหารส่งเสียงร้องคำรามราวกับจะไล่ผู้ บุกรุก มันค่อยๆสั่นไหว และทันใดนั้นเอง
สัตว์พิทักษ์ฝูงใหญ่ปรากฏตัวขึ้นมาจาก ในเขตน้ำและในเขตอากาศจากทุกทิศทาง บางทีพวกมันคงมีไม่ต่ำกว่าสองร้อยตัว
"อะไรกันเนี่ย?!"
"อะ อ๊าาาา!!! สัตว์พิทักษ์เต็มไปหมด เลย!!! ยะ แย่แล้ว!!!"
ฉันถึงกับกลัวจนตัวสั่นเมื่อถูกสัตว์ พิทักษ์ล้อมไว้จากทุกทิศทุกทาง มันมี จำนวนมากเสียจนน่าขนลุก
"ใจเย็นก่อนคิฟุโคะ! มานี่เร็ว!"
"อะ อ๊ะ!"
ขาของตัวเองกำลังออกวิ่งสุดฤทธิ์ตาม เมอร์ซี่ไปด้วยความเร็วพอๆกับเจ้าหมอนั่น
แต่มันไม่ใช่ความเร็วที่ฉันเร่งเอง เท้า ของฉันขยับไปเพราะตอบสนองต่อความเร็วของแรงที่กำลังกระชากฉันให้ไปด้วยกัน
"ปะ ปล่อยนะเมอร์ซี่! ฉันวิ่งเองได้นะ!"
มือซ้ายของเจ้านั่นคว้าข้อมือขวาของ ฉันเอาไว้แน่นแล้วเริ่มออกวิ่ง นั่นเป็น สาเหตุให้ฉันต้องวิ่งตามอย่างช่วยไม่ได้
"นะ นายคิดจะทำอะไรน่ะ!"
"ก็จะฝ่าเจ้าพวกนี้ออกไปไง!"
เมอร์ซี่ชักดาบของตัวเองออกมาด้วยมือ ขวาและวิ่งเข้าใส่ฝูงสัตว์พิทักษ์ เพียงแต่ ว่าถ้ามันจะไม่ใช่ตัวที่เฝ้าอยู่ในเขตน้ำล่ะก็...
เมอร์ซี่ฟันดาบอย่างแรงทำลายพวก สัตว์พิทักษ์ที่พุ่งเข้ามาอย่างเต็มแรงและพา ฉันวิ่งลึกเข้าไปข้างในเรื่อยๆ
"นายพาฉันมาทางนี้ทำไม?! นี่มันจะ กลับเข้าไปข้างในอีกนะ!"
"ดาบสายฟ้าใช้ในน้ำไม่ได้นี่นา ไม่ ต้องห่วง เดี๋ยวเราก็ได้ออกไปข้างนอก แล้ว"
ไม่รู้จะเชื่อได้มั้ยเลยแฮะ แต่มาถึงขั้นนี้ แล้วก็คงต้องตามเจ้านี่ไปก่อนละ
พวกเราวิ่งต่อไปเรื่อยๆ เจ้าเมอร์ซี่ก็ฟัน พวกสัตว์พิทักษ์ไปตลอดทาง ยิ่งเข้าไปลึก มันก็ยิ่งออกมามาก
พวกเรายังคงวิ่งต่อไป ทั้งเร็วและติดต่อ กันเป็นเวลานาน แม้แต่ฉันที่มั่นใจในตัว เองพอสมควรเรื่องความเร็วยังรู้สึกเหนื่อย
"แฮ่กๆ เมอร์ซี่ นี่เราจะวิ่งไปถึงไหน? อ๊ะ!"
พวกเรากลับเข้าสู่เขตน้ำอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่เจอใครเลย ทั้งพวกสัตว์ พิทักษ์หรือพวกโจร
"นะ นี่มัน..."
"อย่างที่คิดไว้เลย วิหารแบบนี้ไม่น่าจะ มีทางเข้าออกแค่ทางเดียวหรอก มาทางนี้ คิฟุโคะ!"
"ฉันไปไหนไม่ได้หรอกน่า! ก็นายจับ ข้อมือฉันไว้ซะแน่นแบบนี้นี่นา"
ควา,รู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้ากำลังตีกับ ความรู้สึกหนาวเย็นที่เข้ามาปะทะ อีกไม่ นานก็จะหมดเวลาของเวทมนต์ที่ช่วยกันไม่ให้ตัวเองเปียกแล้ว รวมทั้งเวทมนต์ หายใจในน้ำก็จะหมดเวลาหลังจากนั้นไม่ นาน
"ยะ แย่ละ เหลือเวลาไม่มากแล้ว..."
"งั้นเหรอ งั้นก็รีบไปกันเถอะ"
พวกเราพุ่งไปในสายน้ำและพุ่งไป เรื่อยๆจนออกจากวิหารมาได้โดยไม่เจอใครหรือตัวอะไรเลย
"นะ ในที่สุดก็ออกมาข้างนอกได้แล้ว ..."
"อย่าพึ่งดีใจไปคิฟุโคะ ดูข้างหลังสิ"
เมื่อฉันหันกลับไปมองอย่างหวาดหวั่น หลังจากที่พึ่งจะรู้สึกดีใจที่ออกมาข้างนอกได้ไม่นาน ก็พบกับบางอย่างที่น่สะพรึง กลัว
"หวา!!! ผู้พิทักษ์เต็มไปหมดเลย!"
"ไม่เป็นไรน่า รีบว่ายน้ำขึ้นไปให้ถึง ข้างบนเร็วๆก็ไม่เป็นไรแล้ว"
"อะ อา! ไปกันเถอะ!"
และระหว่างที่กำลังคิดแบบนั้น อะไรบางอย่างที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
"วะ เหวอ!"
"อะไรกันเนี่ย?!"
กระแสน้ำเริ่มหมุนวนเป็นวงกว้าง และ ดูดทุกสิ่งที่ไหลมาตามประแสน้ำให้ลงไปสู่ วิหาร ซ้ำร้ายกว่านั้น พวกผู้พิทักษ์กลับไม่ ถูกกระแสน้ำดูดเข้าไปด้วย มันพุ่งเข้ามา และเข้าคลุกคลีกับเมอร์ซี่
"แย่ละสิ รีบไปเร็วเข้า!"
"รู้แล้วน่า! อึ๊บ~! อีกนิด~! อุ๊บ!!!"
ความรู้สึกอันไม่พึงประสงค์เริ่มเข้าจู่ โจม ความรู้สึกอึดอัดเหมือนถูกขังไว้ใน ความมืดที่ไร้ซึ่งทุกสิ่งแม้แต่อากาษที่ใช้หายใจ
เวลาของเวทมนต์หมดแล้ว
คิดว่าเมอร์ซี่เองก็คงรู้สึกได้แล้วจึง พยายามตะเกียกตะกายไหว้ตามหลังฉันอย่างเต็มที่ ในขณะที่ฉันเริ่มสติแตกและว่าย น้ำอย่างเต็มที่เพื่อขึ้นไปข้างบนให้ได้
โดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่าผู้พิทักษ์ทั้ง หลายเปลี่ยนเป้าหมายโจมตีจากเจ้านั่นมา เป็นฉัน
"คิฟุโคะ!! ระวัง!!!"
ในจังหวะเดียวกับที่ฉันหันหลังกลับมา ด้วยความตกใจที่เวทมนต์ที่ฉันเสกให้เมอร์ซี่ยังไม่หมดฤทธิ์ อะไรบางอย่างก็พุ่งเข้า ชนที่หลังของฉันอย่างเต็มแรง
"อ๊าาาาาา!!!!"
ฟองอากาศขนาดใหญ่หลุดรอดออกมา จากปากของฉันเมื่อฉันร้องครางด้วยความเจ็บปวด รู้สึกเหมือนกระดูกทั่วร่างแหลก สลายไปในคราวเดียว
จากนั้น สติของฉันก็เริ่มหลุดลอยไป
"คิฟุโคะ! คิฟุโคะ!! คิฟุบบ?! อุก!!"
เวลาของเมอร์ซี่หมดลงเช่นกัน
***
"เฮ้อ...เมื่อไหร่เจ้าพวกนั้นจะขึ้นมา นะ"
"นั่นสิฮะ นี่มันก็น่าจะสองชั่วโมงได้ แล้วนะฮะ"
ฟองอากาศขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่ผิว น้ำและจางหายไป
"หือ...เอ๊ะ?! ฟองอากาศ?! อย่าบอกนะ ว่าเจ้าพวกนั้นจะ"
"รึว่า?! เวลาเวทมนต์ของคุณเมอร์ซี่กับ คุณคิฟุโคะจะหมดแล้วน่ะ?!"
"ไม่ได้การล่ะ! ต้องรีบไปช่วยซะแล้ว ตะ แต่ฉันว่ายน้ำไม่ได้นี่นา..."
"แล้วจะทำยังไงกันดีล่ะครับเนี่ย"
"ฉันไม่รู้! ฉันควรจะทำยังไงดี! เอ๋?"
และในตอนนั้นเองที่น้ำวนเริ่มปรากฏ เป็นรูเล็กๆกลางแม่น้ำกว้าง จากนั้นก็ค่อยๆ ขยายออกจนกินพื้นที่เป็นวงกว้าง
"นะ นั่นอะไรน่ะ?"
"ไม่รู้สิฮะ...เหวอ!!!"
"ว๊ากกกกก!!!"
มวลน้ำมหาศาลลอยขึ้นกลางอากาศ โดยที่ไม่ขาดจากระดับน้ำปกติ มันยกตัวสูง ขึ้นและกระจายไปทั่วจนเกิดน้ำท่วมใหญ่
"ยะ แย่แล้ว! พวกเราจะจมน้ำแล้ว!"
"ชะ ช่วยผมด้วย!! ช่วยด้วยครับ!!"
"ดราโก้!!! อย่าไป!!!"
ทั้งบัซและดราโก้ต่างถูกสายน้ำกลืนกิน เข้าไปโดยไม่ทันตั้งตัว บัซพยายาม ตะเกียกตะกายเพื่อให้หัวพ้นน้ำ แต่มันไม่ เป็นผล
ในที่สุด ร่างของเด็กหนุ่มก็จมลงไปใน น้ำอย่างหมดเรี่ยวแรง
และในตอนนั้นเอง ที่มีบางอย่างพุ่ง เข้ามา มันช่างดูงดงามราวกับดาวหางสีฟ้า ไม่มีผิด
นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่บัซจะคิดได้ ก่อนที่ ดวงตาของเขาทั้งสองข้างจะปิดสนิท
[ตัวอย่างตอนต่อไป]
ไม่รู้สึกว่าร่างกายมีเรี่ยวแรงอยู่เลย
ไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าตัวเองยังคงมีร่างกายอยู่ ไม่รู้สึกถึงภาพตรงเบื้องหน้าของสายตา
ไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้นแม้แต่เสียงน้ำไหลหรือเสียงของสายลม
ไม่อาจรับรู้รสได้แม้น้ำจะไหลเข้าปากไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ไม่อาจได้กลิ่นของอากาศได้เนื่องจากมีน้ำอุดอยู่เต็มช่องจมูก
ไม่รู้สึกถึงสัมผัสอันเย็นเฉียบที่ควรจะซัดสาดผ่านร่างกายไป
และ...ไม่รู้สึกว่าตัวเองมีชีวิต
เฮ้! เป็นอะไรรึเปล่า?!
แม้จะเรือนรางแต่ก็สัมผัสได้ ใครบางคนกำลังเรียกเราอยู่
เฮ้! ตอบหน่อยสิ!
ไม่ใช่แค่ครั้งหรือสองครั้ง
เธอ! ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?!
เขาร้องเรียกอยู่อย่างนั้น แม้เสียงนั้นจะฟังดูเด็กและเบาเสียจนไม่รู้ว่าเป็นเสียงของใคร
ทำใจดีๆไว้นะ! เธออย่าพึ่งเป็นอะไรนะ!
เสียงนั้นฟังดูเด็กมากแท้ๆ น่าจะเด็กกว่าดราโก้อีก แต่ทั้งอย่างนั้นกลับเรียกเราอย่างกับเป็นรุ่นราวคราวเดียวกัน
แล้วฉันก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลยนอกจากความอบอุ่นนั่นที่ไหลมาแทนที่จิตใจอันหนาวเหน็บของฉัน
[คุยกับคนเขียน]
จริงๆก็แต่งเสร็จนานแล้วล่ะแต่ก็ลืมเอามาลงตลอดเลย 2-3 วันได้แล้วมั้ง ก็มาถึงกลับบ้านแบตมือถือก็หมดแล้ว เซ็งเลย...
ทุกท่านเคยเจอฝึกปัญหาเล่นๆมั้ยครับ? อย่างเช่นสำหรับผมนะ ก็อย่างที่เคยบอกล่ะครับว่าจะพยายามเขียนมาลงภายในหนึ่งเดือนให้ได้ในทุกๆตอน แต่ผมเคยลองไปนอนคิดดู มันน่ากลัวนะถ้าจะเขียนเดือนละตอนจริงๆน่ะ ผมคงเคยบอกแล้วว่าไม่ได้วางแผนไว้แค่ภาคเดียวแต่มีแผนจะทำภาคต่อ แ่ผมว่าผมอาจจะไม่เคยบอกทุกท่านว่าผมวางเป้าไว้กี่ภาค ให้บอกตรงๆนะเรื่องนี้ที่อยู่ในสมองของผม นับเฉพาะภาคหลักนะ มีทั้งหมด 18 ภาค! แล้วภาคนึงก็วางแผนให้เฉลี่ยภาคละ 60 ตอน ดังนั้น 18×60=1,080 ตอน ลบไป 9 ตอนที่เขียนเสร็จไปแล้วก็เหลือ 1,071 ตอน เดือนละตอนก็เป็น 1,071 เดือน แล้วมันเท่ากับกี่ปีน้า? วิธีคิดก็ต้องเอา 1,071÷12=89.25 ตีเป็น 89 ปี 3 เดือน โอ้แม่เจ้า!!! ยิ่งถ้าบวกอายุปัจจุบันของผมแล้วมันน่ากลัวมาก ผมต้องมีชีวิตอยู่ราว 100 ปีกว่าจะแต่งเรื่องนี้จบ! โอ้ย!!! จะอยู่ถึงมั้ยเนี่ย?!!
ดังนั้นผมเลยลองมาคิดหาวิธีแก้ดู บางภาคที่ผมไม่ได้มีความคิดอะไรมากมายหรือไม่ได้ลงรายละเอียดผมคงต้องลดจำนวนตอนลงให้มันรวบรัดขึ้น เนื้อเรื่องก็จะไม่ออกทะเลมาก
อีกวิธีที่จะทำให้เราสบายใจขึ้นคือการมองโลกในแง่ดีครับ อย่างเช่นการนึกถึงกรณีตัวอย่าง ในที่นี้ผมขอพูดถึงอาจารย์คาวฮาระ เรคิผู้แต่งเรื่อง Sword Art Online และ Accel World ซึ่งปัจจุบันนี้ SAO ออกมาแล้วเกือบจะ 20 เล่ม บวกกับภาคเสริมอย่าง Sword Art Online Progressive และนิยายเรื่องอื่นอย่าง Accel World ที่ผมไม่ได้ติดตามแล้ว มันทำให้ผมคิดว่า ถ้าว่างซะอย่างกี่ภาคก็เขียนได้จริงๆน่ะแหละ 555+
สุดท้ายนี้ก็ขอโทษที่ปล่อยให้รอซะนานนะครับ บอกตามตรงว่าตอนนี้มันค่อนข้างตัน รายละเอียดบางอย่างที่มีผลต่อเนื้อเรื่องก็ถูกเพิ่มเข้าไปบ้างแล้ว มาถึงขั้นนี้ทุกท่านที่มาอ่านคงพล็อตเนื้อเรื่องได้แล้วว่าเมอร์ซี่กับคิฟุโคะมีความเกี่ยวข้องกันยังไง บอกตามตรงว่ามันค่อนข้างยากเหมือนกันว่าจะวางเนื้อเรื่องยังไงให้แปลกแหวกแนว โดยเฉพาะการเขียนตอนที่ไม่ได้วางแผนไว้ดีนักเช่นตอนนี้หรือตอนที่เจอฮารูมิครั้งแรก ที่จริงตอนนี้ผมวางแผนไว้ตั้งแต่แรกๆที่ผมกำลังสร้างสรรค์เนื้อเรื่องที่ยังไม่มีอะไรเลยแล้ว(ก็หลายปีแล้วล่ะ)ว่าจะให้สองคนนี้ลงไปที่วิหารใต้น้ำ แต่รายละเอียดก็เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะ ในเนื้อเรื่องตอนนั้นยังไม่เจอบัซเลยมั้ง แล้ววิหารก็อยู่ก่อนจะถึงวิริเดียนอีก อีกทั้งคาแร็คเตอร์ของคิฟุโคะในตอนนั้นก็ยังไม่ได้ห้าวขนาดนี้ด้วยซ้ำ แล้วเมอร์ซี่ในนตอนนั้นยังมีชื่อเล่นที่คิฟุโคะตั้งให้อีก หลายๆอย่างมันเปลี่ยนไปเยอะจริงๆน่ะแหละนะ แล้วก็ถ้าท่านสังเกต ตัวละครใหม่กำลังจะปรากฏตัวออกมาในตอนหน้าแล้ว เธอคนนี้เรียกได้ว่าชิพได้กับตัวละครหลักทั้งสามคนได้อย่างลงตัวทีเดียว เป็นแม่สื่อให้เมอร์ซี่ เป็นเพื่อนสนิทของคิฟุโคะ และเป็นคู่รักคู่แค้นกับบัซ นั่นคือแผนที่ผมกำหนดเอาไว้สำหรับตัวละครตัวนี้ แล้วประวัติความเป็นมาหรือข้อมูลของตัวละครตัวนี้จะเป็นยังไงก็สามารถติดตามได้ตั้งแต่ตอนหน้าเลยครับ สมาชิกร่วมเดินทางในคณะของเมอร์ซี่คนที่ 5 กำลังจะมาแล้ว! โอ๊ะ! ลืมไป ถ้านับเฉพาะที่เป็นมนุษย์ก็แค่ 4 คนนะ แต่ยังไงก็คนที่ 5 ดีกว่านั่นแหละ
ปล.นี่เป็นครั้งแรกนะที่แต่งให้ตอนจบค้างคา 555+
วันที่ลง : 18/6/60
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น