ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Magic Quest : Thunder Legend

    ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ 8 : บททดสอบแห่งเจ็ดปราชญ์

    • อัปเดตล่าสุด 22 พ.ย. 60


    Magic Quest Ep.8
    "บททดสอบแห่งเจ็ดปราชญ์"
          เสียงสวดมนต์ดังก้องไปทั่วบริเวณ
          แม้จะเป็นในช่วงนี้ที่กองโจรอาละวาด แต่เหล่าชาวบ้านก็ไม่ได้เสื่อมศรัทธาที่มีต่อพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย
          ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์หรือศาสนสถานของ ลัทธิไหนๆในอาณาจักรต่างก็เต็มไปด้วยผู้ คนที่สวดภาวนาให้เมืองรอดพ้นจากกองโจร
          ถึงอย่างนั้นก็ยังมีโจรกลุ่มเล็กๆที่ลอบ เข้ามาในอาณาจักรและตระเวนปล้นชาวบ้านในย่านคนรวยไปทั่ว แต่สุดท้ายก็ถูกทาง การจับตัวได้และถูกส่งไปดำเนินคดี ชาว บ้านหลายคนเชื่อว่า เป็นไปตามประสงค์ ของพระผู้เป็นเจ้า
          วันนี้เป็นวันหนึ่งในฤดูร้อนที่มีอากาศ อบอุ่น แต่ก็ทำให้ร่างกายรู้สึกเร่าร้อนเป็น อย่างยิ่ง สิ่งที่ฉันต้องทำในฐานะนักบวชก็ คือการนำทางชาวบ้านที่มาสวดมนต์ทำกุศลต่างๆที่วิหารแห่งนี้ และก็...
          "ว่าไงสาวน้อย มาสวดมนต์เหรอ?"
          "อ่ะ อ่า...ค่ะ..."
          การต้อนรับสาวๆด้วยหัวใจชายหนุ่มที่ ร้อนแรงก็เป็นหน้าที่(ส่วนตัว)ของฉันเช่นกัน
          "งั้นก็เชิญทางนี้เลยแม่หนู เด็กสาวๆน่า รักๆอย่างเธอ เทพมาร์สต้องอวยพรให้ อย่างแน่นอนเลย"
          "งั้นเหรอคะ ดีจัง..."
          "มีปัญหาอะไรงั้นเหรอ?"
          "ที่บ้านฉันทำสวนทำไร่ ฤดูนี้ผลผลิตดี มากเลยค่ะ ก็เลยอยากจะขอให้พระองค์ ช่วยคุ้มครองผลผลิตทั้งหลายให้ปลอดภัย ไม่ถูกใครปล้นก่อนจะเอาไปขายน่ะ"
          "งั้นเหรอ เธอนี่ใส่ใจอุตสาหกรรม ครอบครัวดีนะ น่ารักจริงๆ"
          "อ่ะ อ่า...ค่ะ..."
          คงจะเขินหน้าแดงแล้วสิท่า ไม่ว่าใคร ก็ต้องหลงใหลในเสน่ห์ของตัวเราอย่าง แน่นอน เพราะฉันคือนักบวชหนุ่มรูปหล่อ แห่งลัทธิบูชามาร์ส เทพแห่งไฟและ สงคราม...
          "บัซ!!! อย่ามัวไปหลีสาวสิ!!!"
          "อ๊ะ! ขอโทษด้วยครับท่านเกธิส"
          "อย่าถือสาเลยนะ เจ้านี่มันก็เป็นซะ อย่างนี้ล่ะ"
          "ค ค่ะ..."
          ชื่อของฉันคือบัซ เบิร์สเบิร์นเนอร์ อย่างที่บอกไปแล้วว่าฉันสังกัตอยู่ในวิหาร มาร์ส และเป็นนักบวชของลัทธินี้
          "เอ้าๆ เข้ามาก่อนสิ มีธุระอะไรล่ะ"
          "ค่ะ คือว่า..."
          และแล้วท่านเจ้าลัทธิเกธิส บลาเทอร์ผู้ ดูแลผู้มีจิตศรัทธาอย่างเท่าเทียมกันกับสาวน้อยผู้มีจิตศรัทธาคนนั้นก็หายเข้าไปในวิหาร
          ที่นี่เป็นเมืองศาสนา ดังนั้นจึงมีลัทธิ และศาสนาต่างๆกระจายอยู่ทั่วไปอย่างที่ เคยเล่าไปแล้ว ที่นี่เองก็เป็นส่วนหนึ่งของ พิวเทอร์เนี่ยน อาณาจักรอันศักดิ์สิทธิ์ที่ เลื่องชื่อไปทั่ว
          อาณาจักรนี้เป็นหนึ่งในอาณาจักรที่ยัง ไม่ถูกกองโจรหมวกดำเข้าทำลายอย่างจริง จัง ดังนั้นจึงยังคงความเจริญรุ่งเรืองอยู่ แต่ก็ใช่ว่าชาวเมืองจะอยู่กันอย่างสงบสุขนัก เพราะโจรบางคนก็ลอบเข้ามาก่อความ วุ่นวายไม่รู้จักจบสิ้น เหตุการณ์เช่นนี้ดำ เนินเรื่อยมาได้สักระยะแล้ว แต่อาณาจักร เราเองก็ป้องกันตนเองได้เสมอมา
          ได้ข่าวว่าเร็วๆนี้จะมีการจัดตั้งกอง กำลังทหารเพื่อออกไปปราบปรามพวกโจร อย่างเป็นทางการ แต่มันก็เป็นเพียงอนาคต อันเลื่อนลอย
          ในเมืองก็ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยผู้คนที่ สัญจรไปมา ไม่ว่าจะเป็นชาวเมือง หรือกอง คาราวาน หรือนีกท่องเที่ยวต่างก็สัญจรกัน โดยอิสระ
          นอกจากนี้ยังมีทหารคอยเดินลาดตระ เวนและพระราชาที่มาตรวจตราความสงบ สุขเป็นครั้งคราว
          ที่วิหารมาร์สแห่งนี้เองก็เคยเป็นสถานที่ ที่สงบสุขมาตลอดจนกระทั่งวันนี้...
          "ขอบคุณมากนะคะ"
          "ยินดีต้อนรับเสมออยู่แล้วล่ะนะ ขอให้ องค์เทพมาร์สอวยพรแด่เธอนะ"
          "ค่ะ"
          ฉันยืนอยู่ตรงบริเวณลานกว้างหน้าวิ หาร มองดูความเป็นไปในทุกวันนี้ของ อาณาจักรตนเอง เด็กสาวคนเดิมเดินออก มาจากวิหาร ท่าทางจะเสร็จธุระแล้ว
          ระหว่างที่เธอเดินออกไป ฉันก็ได้ยิ้มส่ง เธอคนนั้นไป แต่ไม่รู้ทำไมเธอที่หันกลับ มาถึงมองมาด้วยสายตาเอือมระอา
          ทันใดนั้นเอง...
          "ว้าย!!!"
          "วะฮ่าๆ ทรัพย์สกปรกของพวกชนชั้น สูงนี่ขอรับไปละนะ!!!"
          "อ๊ะ! กระเป๋าของฉัน!"
          เมื่อมองไปตามเสียงกรีดร้องก็เห็นสาว น้อยคนนั้นถูกโจรหมวกดำฉกกระเป๋าไป ฉันจึงรีบเข้าไปช่วยทันที
          "เป็นอะไรรึเปล่าครับ?"
          "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่กระเป๋าฉัน..."
          "งั้นเดี๋ยวผมไปเอาคืนมาให้เองครับ"
          "อ๊ะ!"
          ยังไม่ทันที่เธอจะได้ว่าอะไร ฉันก็วิ่ง ออกไปสุดฝีเท้าตามโจรที่ปิดหน้าปิดตาคน นั้นเข้าไป เจ้านั่นวิ่งไปเรื่อยๆแล้วก็หาย เข้าไปยังซอยหนึ่งในเมืองที่ถึงจะดูกว้าง ขวางแต่ก็ไร้ร้างซึ่งผู้คน ไม่มีใครอื่นนอก จากเจ้านั่นและตัวฉันเองที่ต่างก็วิ่งอย่างสุดกำลัง
          "นี่แก! หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!!"
          "หยุดให้โง่เซ่เจ้าบ้า ฮ่าๆๆๆ!!!"
          ระหว่างที่กำลังวิ่งอยู่นั้น ฉันก็วิ่งเข้ามา กระชั้นชิดมาเรื่อยๆ แต่เจ้านั่นก็หันกลับมา ชักดาบสั้นเล่มเล็กออกมาขู่
          "วะ เหวอ~!"
          "ทีนี้ยังจะกล้าเข้ามาอีกมั้ยล่ะ ไปก่อน ละ!"
          "นะ นี่! หยุดนะ!!!"
          ที่จริงฉันสามารถจู่โจมใส่เจ้านั่นได้ แต่วิ่งมาเหนื่อยๆแบบนี้ไม่มีแรงพอจะรวบรวมพลัง แถมถ้าโจมตีพลาดไปถูกกระเป๋า นั้นเข้าคงเสียหน้าแย่
          ตอนนั้นเองที่มีบางสิ่ง ไม่สิ คนๆหนึ่ง ปรากฏขึ้นในสายตา
          คนคนนั้นใช้มือซ้ายถือกล่องอะไรบาง อย่างที่ดูแบนๆ มือขวาซุกเอาไว้ในกระเป๋า กางเกง เดินมาทางนี้อย่างไม่สนใจอะไร เลยแม้แต่น้อย ดูท่าจะห่วงของที่อยู่ใน กล่องนั้นจนไม่อาจละสายตาจากมันได้ หลังจากที่เข้ามาใกล้ก็เห็นใบหน้าชัดขึ้น ใบหน้านั้นดูเผินๆนั้นค่อนข้างหวาน แต่ ถ้ามองให้ดีๆจะเห็นว่าเป็นผู้ชาย เส้นผมสี ฟ้าครามนั้นแทบไม่ได้สั่นไหวเลยระหว่าง ที่เดินเข้ามาเรื่อยๆ
          "เฮ้ย! หลบไปซะ!"
          ในที่สุดก็ตามมาทัน เจ้านั่นชักดาบสั้นขู่ อีกครั้งแต่ก็ถูกฉันปัดป้องไว้ทัน เจ้านั่น พยายามชักดาบสั้นหลบและแทงเข้ามาเรื่อยๆแต่ก็ถูกกันไว้ จึงได้วิ่งหนีไปพร้อม พยายามกวัดแกว่งดาบสั้นเพื่อเปิดทาง
          "เฮ้ย!"
          "อ๊ะ! เกือบไปแล้ว..."
          เหตุไม่คาดฝันเกือบจะเกิดขึ้น ใน ระหว่างที่เจ้านั่นคิดว่าสู้ไม่ไหวและหมุนตัวกลับไปจะวิ่งหนี ดาบสั้นนั่นได้แฉลบผ่าน คอของเจ้านั่นที่เดินมานิ่งๆจนเกือบจะ โดนอยู่แล้ว โชคดีที่คนๆนั้นไม่ได้รับบาด เจ็บอะไรเพราะฟันไม่โดน
          แล้วในที่สุดฉันก็จับเจ้านั่นได้หลังจาก พยายามวิ่งตามอยู่นานที่ใกล้ๆนั่น
          "เสร็จล่ะ!"
          "หวา!"
          พอจับตัวเจ้านั่นได้ก็จับมันกดลงกับ พื้น ในระหว่างที่เจ้านั่นพยายามดิ้นสุด ชีวิต ฉันก็แหกปากสุดเสียงตะโกนใส่เจ้า นั่นที่เดินผ่านไปโดยไม่สะทกสะท้าน
          "เฮ้ยนาย! มันอันตรายนะ! ทำไมไม่ หลบไปเล่า?!"
          ได้ยินดังนั้นเจ้านั่นก็เลยตอบกลับมา ง่ายๆโดยที่ยังคงเดินต่อไปในท่าเดิม ไม่มี แม้กระทั่งจะหันกลับมา
          "ขอโทษแล้วกันนะ แต่ถึงยังไงฉันก็ ไม่โดนใครฟันง่ายๆหรอก"
          "ว่าไงนะ-!"
          "ถ้าจะให้พูดก็ ฉันเป็นผู้กำหนดเส้น ทางของตัวเองละมั้ง แล้วก็ถ้ารีบร้อนไป เค้กนี่อาจจะเละก็ได้"
          ในกล่องนั่นคือเค้กนี่เอง แต่ถึงขั้นเดิน สบายๆโดยไม่มีแม้แต่จะหลบคมมีดเพราะ กลัวเค้กจะเละมันก็เกินไปนะ
          "งั้นเหรอ! ครั้งนี้นายแค่โชคดีเท่านั้น ล่ะ! ไม่อย่างนั้นนายโดนเสียบไปแล้วรู้ไว้ ซะด้วย! ฮะ เฮ้ย!"
          "หนีละโว้ย!!!"
          ระหว่างที่กำลังเถียงกัน เจ้าโจรนั่นก็ถีบ ฉันออกแล้ววิ่งหนีสุดแรงไปทางเจ้านั่น โดยเผลอเตะดาบสั้นกระเด็นไปกองอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มนัยน์ตาสีครามคนนั้น
          "โชคดี? ก็อาจใช่นะ แต่ก็แค่ตอน จังหวะเหมาะๆเท่านั้นละ ไม่ได้โชคดี ตลอดหรอก"
          ระหว่างที่กำลังคุยกันอยู่นั้น โจรคน นั้นก็วิ่งอย่างไม่คิดชีวิตผ่านข้างตัวเจ้านั่น ไปพอดี
          "ลืมของน่ะ!"
          แล้วเจ้านั่นก็ขยับเท้าเตะดาบสั้นที่เล็ก เหมือนมีดนั้นขึ้นไปกลางอากาศและเตะ เข้าที่โคนด้ามพอดี ดาบสั้นกลายเป็นมีด บินลอยเคว้งไปกลางอากาศ
          "เฮ้ย! นั่นมันของมีคมนะ!"
          "แว้ก!!! โอ๊ย!!!"
          ดาบนั่นปลิวไปกระแทกเข้ากับกำแพง ซึ่งเจ้าโจรตั้งใจจะปีนหนีไปเบื้องหน้า เจ้า นั่นจึงตกใจและร่วงลงมาหัวกระแทกพื้น สลบไป ส่วนมีดสั้นเมื่อครู่ก็กระเด็นกลับมา ทางเด็กหนุ่มหน้าอ่อนคนนั้น เขาคว้ามีด นั้นไว้ด้วยมือขวา ถือด้ามโดยชี้ปลายลง ทางขวาของตัวเองด้วยการยื่นมือออกไป รับง่ายๆแทบไม่งอข้อมือเลย จะงอก็แค่ข้อ ศอกที่ทำให้รับด้ามดาบที่กำลังจะกระเด็นเข้าหน้าได้พอดีเท่านั้น หลังจากนั้นก็โยน เจ้ามีดสั้นข้ามไหล่มาตกลงในมือฉันพอดี
          "วะหวา!"
          "เจ้านั่นนายเก็บไว้ละกัน ก็นะ...จัง หวะโชคช่วยมันก็มักจะเจอโชคช่วยติดๆ กันอย่างนี้แหละ ฉันถึงได้มั่นใจว่าจะ สามารถหยุดเจ้านั่นได้ แต่ที่รับมีดได้นี่ก็ บังเอิญนะ หรืออาจจะโชคช่วยอีกก็ได้ ไอ้การที่นายรับมีดเจ้าปัญหานั่นได้ก็น่าจะ เพราะโชคช่วยเหมือนกัน"
          ฉันรู้สึกคาใจในตัวตนของเจ้านั่นเป็น อย่างยิ่ง สุดท้ายจึงถามออกไป
          "นี่นายเป็นใครกันแน่เนี่ย..."
          ทันทีที่จบประโยคคำถามนั่น เขาก็ชูนิ้ว ชี้ขวาขึ้นฟ้า ราวกับสังเกตเห็นอะไรเข้าที่ เบื้องหน้าของสายตาซึ่งฉันไม่อาจรู้สึกได้ ใบหน้าของเด็กหนุ่มจึงกระตุกเล็กน้อย
          "คุณพ่อเคยพูดเอาไว้ ก้าวไปบนวิถี แห่งนักรบเพื่อปกครองสรรพสิ่ง"
          เขาหันหน้ากลับมาเพื่อตอบคำถามของ ฉัน รอยยิ้มประสาเด็กหนุ่มทะเล้นปรากฏ ขึ้นทันที ไม่สิ ก่อนที่จะทันได้เห็นหน้าเจ้า นั่นที่หันกลับมาซะอีก
          เจ้าหมอนั่นชี้นิ้วไปทางแสงอาทิตย์ที่ กำลังจะลับหายไปเบื้องหลังปราสาท แสงสี แดงฉานสาดส่องไปทั่วอาณาบริเวณ
          "ชื่อของฉันคือ  เมอร์ซี่ ทันเดรียส"
          ฉันได้แต่พึมพำกับตัวเองคนเดียวใน ใจว่า'โอ้โห แค่เปิดตัวยังอลังการงานสร้าง'
          วงดนตรีท้องถิ่นกำลังบันเลงเพลงราว กับต้อนรับการมาเยือนของเด็กหนุ่มคนนี้ เพลงอันสุดจะอลังการ แสงอาทิตย์อัสดง แล้วก็ท่าทางอันเจนจัดนั่นทำให้ฉันถึงขั้นตกตะลึงและรับรู้ได้ว่าในโลกนี้ยังมีคนที่ เท่กว่าตัวเองอยู่
          ป๊อก!
          "โอ๊ย!"
          ความประทับใจนั้นหายไปในพริบตา
          "ฮิๆ นี่นาย! ฉันรอตั้งนานแล้วนะ! ฮะ ฮ่าๆ ไปซื้อเค้กถึงไหนมา ละ แล้วทำไมถึง ต้องเล่นมุขล้อเลียนคาเมนอสตอหน้าต่อ ตาฉันอีก โอ๊ย~! ขำไปหมดแล้ว! ฮ่าๆๆๆ"
          "อู้ย~ ไม่เห็นจะต้องเอารองเท้าแตะ เคาะหัวกันแบบนี้ก็ได้นี่คิฟุโคะ..."
          ถึงกับยอมสยบเพราะเด็กสาวเพียงคน เดียวอย่างนี้ใช้ไม่ได้เลยน้า...
          "หะๆ ถึงจะแน่แค่ไหนก็แพ้ผู้หญิงสินะ ยังอ่อนหัดนะนายน่ะ"
          "ฮ่าๆ แน่แค่ไหนฉันก็เก่งที่สุดอยู่ดี ไม่ เก่งจริงอย่ามาซ่ากับฉันว่างั้นสิน้า~"
          "เอาที่สบายใจ..."
          และนั้นก็คือการพบพานแห่งโชคชะตา ของฉัน ราวกับว่าองค์เทพมาร์สได้นำพา ให้พวกเรามาพบกัน ต่อจากนี้จะเป็นเรื่อง ราวระหว่างพวกเรา เรื้องราวของฉันเอง...
          ...และสาวน้อยแสนน่ารักคิฟุโคะจัง
          "โอ้~! ดั่งลิขิตสวรรค์ การที่เราได้พาน พบกันนั้นช่างเป็นเรื่องที่แสนวิเศษ~"
          " "ห๊ะ?" "
          ฉันค่อยๆก้าวเขาไปยังคนทั้งสองที่ยืน อยู่ตรงหน้า และหันไปยังเด็กสาวที่ยืนทำ หน้าเอ๋อแบบเดียวกับเด็กหนุ่มข้างๆ
          "ชื่อว่าคิฟุโคะสินะ? เพื่อฉลองที่เรา สองคนได้พบกัน วันนี้เดี๋ยวเราไปดินเน---แอ้ก!!!"
          รู้สึกตัวอีกที ใบหน้าอันหล่อเหลาของ ฉันก็ลงไปคลุกดินอยู่บนพื้น ความรู้สึกมัน เกือบจะหายไปในทันทีที่แรงกระแทกบาง อย่างอัดเข้าที่ปลายคาง
          "อย่าได้คิดจะจับมือฉันเชียวเจ้าคน พิลึก"
          "เฮ้ๆ ระวังหน่---สิคิฟุโคะ เดี๋---เขาก็ เห็---กางเกงในหร---เตะสูงแบ---นั้น ..."
          "อะ เอ่อ...ขอโท--นะค---คือว่---กระเป๋---นั่---"
          เสียงสุดท้ายที่ดังก้องอยู่ในโสตประ สาทนั่นคงจะเป็นเสียงของสาวน้อยที่ถูก วิ่งราวกระเป๋านั่นสินะ...
          หลังจากนั้น ฉันก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย

          ***

          "งั้นก็แปลว่าพวกนายกำลังออกเดิน ทางรวบรวมลูกแก้วที่ว่านั่นสินะ"
          "ก็ประมาณนั้นแหละ"
          ณ โรงแรมพิวเทอร์เนียนโฮเตล(อ่านงี้ ถูกมั้ยอ่ะ?)เจ้าบ้าเมอร์ซี่กับชายแปลกหน้า พิลึกที่ชื่อบัซกำลังนั่งคุยกันอยู่ที่ล็อบบี้ของ โรงแรม ฉันเองก็กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะเดียว กัน นั่งดื่มนมสดสีขาวบริสุทธิ์อยู่ข้างๆเจ้า บ้าเมอร์ซี่ ส่วนดราโก้กับเมอร์ซี่ก็สั่งชานม เย็นมาดื่มกันทั้งคู่ ในขณะที่คนที่ชื่อบัซสั่ง กาแฟ
          "แล้วก็เลยเดินทางมาจนถึงพิวเทอร์ เนียนแห่งนี้สินะ องค์มาร์สคงชักนำให้ เราได้มาเจอกัน คิฟุโคะจัง~ ชาวนิฮงเรียก ผู้หญิงสาวๆน่ารักๆอย่างนี้สินะ?"
          "ไม่สนิทอย่าติดจังย่ะ!"
          "ระวังหน้าพังไม่รู้ตัวเน้อ"
          "อะไรคือเทพมาร์สเหรอฮะ?"
          เจอแบบนี้เข้าไปเป็นใครก็คงขนลุกกัน ทั้งนั้นล่ะ ฉันเลยตอกกลับไปซะจนเจ้านั่น เหวอไปเลย
          "ให้ตายสิ ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยเจอผู้หญิงที่ โหดร้ายขนาดนี้มาก่อนเลยนะเนี่ย"
          "แล้วจะทำไม?"
          แค่ประโยคเดียวสั้นๆของฉันก็เพียง พอที่จะทำให้อีกฝ่ายหน้าซีดเผือดได้ เป็น เรื่องที่เหนือกว่าระดับสามัญสำนึกของฉัน อยู่เหมือนกัน
          "นี่เมอร์ซี่ นายทนอยู่กับผู้หญิงแบบนี้ ได้ยังไงกันเนี่ย?"
          "ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน"
          กลายเป็นบทสนทนาระหว่างเจ้าบ้าสอง คนไปซะแล้ว ระหว่างที่กำลังคิดแบบนั้น อยู่ก็...
          "แต่ฉันก็มีเหตุผลของฉันละนะ"
          "หา?"
          "หา?"
          "หา~?"
          ทั้งฉัน บัซ แล้วก็ดราโก้ต่างก็ตกใจจน เผลอร้องออกมา
          "เอ๋? ผมเข้าใจว่าคนที่ขอมาด้วยคือคุณ คิฟุโคะนี่ฮะ? แล้วทำไมวิธีพูดแบบนั้นมัน เหมือนกับคุณเมอร์ซี่ขอตามมา เอ...แต่ผม ก็อธิบายไม่ค่อยถูกนักเหมือนกันนะฮะ..."
          "ฉันว่าไม่ค่อยเหมือนนะ..."
          "ก็รู้ฮะ แต่มันไม่รู้จะเรียบเรียงยังไง... แต่มันรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆนี่นา..."
          "มันมีอะไรแปลกตรงไหนรึไง?"
          คราวนี้เมอร์ซี่เองก็โวยขึ้นมาบ้าง
          "ฉันพูดอะไรแปลกๆงั้นเหรอคิฟุโคะ?"
          "อ่ะ เอ๋?! อะ อ่า...ก็ นิดหน่อยน่ะนะ"
          พูดอะไรออกมาไม่รู้ตัวอีกคนหนึ่งแล้ว แฮะ...
          "ฉันเริ่มรู้สึกปวดหัวกับนายแล้วแฮะ..."
          "อะไรล่ะ..."
          สีหน้าของเมอร์ซี่เริ่มเปลี่ยนไปจนดู ตลกสุดๆ ฉันเริ่มรู้สึกอยากหัวเราะขึ้นมาใน ตอนนั้นเอง
          "ฮิ...ฮิๆๆ"
          "ห่ะ?!"
          "มะ ไม่มีอะไร ฮิๆๆ ขอโทษๆ"
          "โอ...เวลาเธอหัวเราะช่างงดงามยิ่งนัก คิฟุโคะจัง~"
          "อะไรเล่า!"
          "ขอโทษจ้า..."
          คราวนี้บัซเป็นฝ่ายจ๋อยไปบ้าง หลังจาก กลั้นหัวเราะตอกกลับอีกฝ่ายไปฉันก็เริ่ม กลั้นไว้ไม่ไหวแล้วก็หัวเราะออกมาอีก
          "ที่ฉันหัวเราะก็เพราะนายนั่นแหละอีตา บ้าเมอร์ซี่! ฮิๆๆๆ คนอะไรทำหน้าได้งี่เง่า สุดๆเลย...ฮ่ะๆ ฮ่าๆๆ"
          "เอ่อ...ขอบคุณที่ด่าผมได้เจ็บมาก..."
          "อ๊าาาาา!!! ฮ่าๆๆๆๆ!!!"
          ราวกับเสียงหัวเราะทั้งหมดในร่างกาย มันระเบิดออกมาในคราวเดียว จนฉันไม่ อาจแม้แต่จะหยุดมันไว้ได้ซักวินาที
          "คุณคิฟุโคะเป็นอะไรไปแล้วฮะ..."
          "ฉันก็ไม่รู้..."
          "แต่ดูรวมๆแล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน~"
          "ฮ่าๆๆ โอ้ย~! ใครก็ได้ช่วยหยุดชั้น ที~! ฮ่าๆๆๆๆ"
          ...
          ยามสายัณห์ของพิวเทอร์เนี่ยนกำลังจะ ผ่านไป ณ ตอนนี้ดวงดาวต่างๆปรากฏขึ้น บนท้องฟ้า สายธารดาราพาดผ่านม่านสีดำ ที่ปกคลุมโลกใบนี้ ยิ่งทำให้ดูงดงามยิ่ง
          ยามราตรีมาเยือนสู่สายตา ผู้คนมากมาย ต่างหายไปจากสายตา ค่อยๆทยอยกลับสู่ที่ พักของตัวเอง พวกเราเองก็เช่นกัน
          "แล้ว...ตกลงจะเอายังไงกับห้องพักดี ล่ะ"
          "เอายังไง หมายความว่ายังไง?"
          "ก็นายจองแค่สองห้องนี่นา แปลว่า ต้องมีห้องใดห้องหนึ่งนอนกันสองคนสิ จริงมั้ย?"
          "ก็ฉันกับดราโก้ไง เธอไม่ชอบนอนกับ ฉันนี่นา"
          "เออจริงด้วย"
          ฉันวางกำปั้นลงบนฝ่ามือทำท่าเหมือน พึ่งจะคิดได้ ทั้งที่จริงๆแล้วมันก็เป็นเรื่อง ธรรมดาอยู่แล้ว
          "ก็นึกว่านายจะเป็นพวกชอบนอนกับ ผู้หญิงก็เลยระแวงไว้ก่อนน่ะ 'โทษทีๆ"
          "เธอนี่เคยมองฉันดีๆบ้างมั้ยเนี่ย..."
          "เออ! ขอโทษที! ลืมไปว่านายเป็นพวก กินพืช!"
          "เฮ้อ...เหนื่อยใจกับเธอจริงๆ"
          "เอาน่าๆ เมอร์ซี่ ล้อเล่นขำๆไง"
          "เธออยากขำนักใช่มั้ย? เดี๋ยวจัดให้"
          "เอ๋? หมายความว่างะ---"
          อยู่ดีๆเมอร์ซี่ที่เดินตามหลังฉันมาห่างๆ พร้อมกับดราโก้ก็เร่งความเร็วขึ้น พอฉัน หันหลังมาก็ถูกจ้องในระยะประชิดด้วยสาย ตาอาฆาตชนิดไม่เคยเห็นมาก่อน นั่นทำ ให้ฉันรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาทันที
          แต่ก็เปลี่ยนกลับมาเป็นสายตางี่เง่าแทบ จะทันทีหลังจากที่...
          "ง๊าาาาา!!!! ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ!!!"
          "ไง ได้หัวเราะสมใจแล้วมั้ยล่ะ?"
          "อ๊าาาา!!! ม่าาาายยยย!!! ปล่อยช้าาานนนนน ฮ่าๆๆๆๆๆ!!! อ๊า!!! อ๊าาาาาาา!!! ม่าาาายยยยย~"
          ฉันรู้สึกถึงจิตสังหารของเขาช้าไป นิ้ว มือทั้งสิบของเจ้าบ้าเมอร์ซี่ต่างบรรเลงท่วง ทำนองมรณะอยู่บนเอวของฉันเอง ความรู้ สึกอันไม่พึงประสงค์แล่นไปทั่วร่างกาย จน เรี่ยวแรงทั้งหมดในร่างกายหายไปในพริบตา
          "ม่าาายยยย!!! อย่าจั๊กจี้ช้านน้าาา~!!! หยุดน้า~!!! อ๊า~!!!"
          "โอ~ เธอนี่ก็เส้นตื้นเหมือนกันนะ โดนจั๊กจี้นิดหน่อยหัวเราะใหญ่เลย"
          "ง๊าาาา~!!! เส้นตื้นบ้าอาไรล้า~!!! ไม่น้า~!!! ไม่อาาาาวววว~!!! ปล่ออออยย ยยย~!!! ฮ่าาาาาๆๆๆๆๆๆ!!!"
          "คะ คุณเมอร์ซี่! ผมว่าพอเถอะฮะ! เดี๋ยวคุณคิฟุโคะจะแย่เอา"
          "อา! ก็ไม่ได้กะเอาถึงตายอยู่แล้ว เดี๋ยว ถ้าเกิดกลายเป็นฆาตกรก็แย่น่ะสิ อ่ะ พอแค่ นี้ก่อนละกัน"
          "อ๊า~! อา... แฮ่ก แฮ่ก เฮ้อ~ หยุดซัก ที~"
          ในที่สุดท่วงทำนองมรณะก็หยุดลง เสียงหัวเราะอันแฝงไปด้วยความทรมาน ของตัวเองก็ได้หยุดลงไปพร้อมกัน แต่ผล ที่ตามมาก็คือร่างกายที่อ่อนปวกเปียกไร้ เรี่ยวแรงจนถึงขั้นต้องล้มลงไปนั่งแหมะ อยู่บนพื้น
          "ฮ้า~! นะ นายรู้ได้ยังไงอ่า~ ว่าฉันบ้าจี้ อ่ะ~"
          "ฉันควรจะรู้ตั้งแต่จิ้มเอวเธอที่วิริเดียน แล้วมั้ยล่ะ?"
          "ฮึก...ฝากไว้ก่อนเถอะ..."
          ในที่สุดก็รู้สึกตัวว่ามีน้ำตาใสๆคลออยู่ ในดวงตาของตัวเองที่กำลังนิ่วหน้าเพราะ แค้นที่ถูกเจ้าบ้าเมอร์ซี่เล่นงาน จึงรีบเช็ด มันออกก่อนที่จะถูกเห็น
          "อ่ะ..."
          แต่ก็เหมือนจะไม่ทัน ตานั่นยืนมือมา หาฉันที่ร่วงลงไปนั่งอยู่บนพื้นตั้งแต่เจ้านั่นปล่อยมือจากฉัน ราวกับจะช่วยดึงฉันขึ้น ไป พร้อมๆกับสีหน้าที่เหมือนจะสำนึกผิด แต่ก็เหมือนจะสมเพชฉันมากกว่า
          "เอ้า ลุกขึ้นมาสิ เดี๋ยวจะพาไปส่ง"
          "อึก..."
          ไม่มีช่องว่างให้เล่นงานกลับได้เลย คง ได้แต่ทำใจยอมรับความพ่ายแพ้แล้วยอม จับมือเขาลุกขึ้นแต่โดยดี
          "เอ้า! ไปกันเถอะ"
          "อะ อืม..."
          เขาดึงฉันให้ลุกขึ้นอย่างช้าๆ จากนั้นก็ ค่อยๆพยุงตัวฉันพาเดินไปส่งที่หน้าห้อง ซึ่งเขาจองไว้
          "เดี๋ยวสิ...ทำไมนายจองห้องแบบนี้ ล่ะ?"
          เท่าที่ดู นี่มันห้องชั้นประหยัดสุดๆ ห้อง เล็กๆที่มีแค่เตียงกับโต๊ะที่มีโคมไฟเล็กๆตั้ง อยู่เท่านั้น
          "ทำไงได้...เงินฉันเหลือไม่เยอะแล้ว นี่"
          "ใช่แล้วละฮะ แค่นี้ก็แทบจะกัดก้อน เกลือกินแล้ว"
          " "ไปจำคำนี้มาจากไหนเนี่ย?" "
          "อ่ะ อ่า...จากพ่อน่ะฮะ"
          เคยได้ยินเรื่องของเจ้ามังกรจากเมอร์ซี่ เหมือนกัน แต่ไม่นึกว่าจะสอนอะไรลูกมา แปลกๆแบบนี้
          "อ่า...เอาเป็นว่าฉันขอไปนอนก่อนก็ แล้วกัน เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว"
          "เหนื่อยขนาดนั้นเลยเหรอ?"
          พอได้ยินเจ้าบ้าเมอร์ซี่ถามด้วยน้ำเสียง ยียวนแบบนั้นก็รู้สึกความดันขึ้นมาทันที
          "เหนื่อยกับการที่นายจั๊กจี้ฉันนี่ล่ะอีตา บ้า! นี่ถ้าฉันเหลือแรงซักหน่อยนะ! ฉัน จะ..."
          "อยากโดนอีกซักรอบมั้ย?"
          "ฮี้~! ไม่เอาแล้ว~!"
          ทันทึที่ได้ยินแบบนั้น ฉันก็รีบเอามือทั้ง สองข้างปกปิดร่างกายตัวเองอย่างเต็มที่ มือ ทั้งสองข้างมาประสานไขว้กันที่หน้าอกโดยอัตโนมัติ
          "ดีมาก..."
          "อึก..."
          พลาดซะแล้ว...ฉันรู้สึกตัวได้ในทันที ว่าเสียทีเจ้าบ้าเมอร์ซี่เข้าเต็มๆจนทำให้ตัว เองรู้สึกกลัวที่จะปะทะกับเจ้านั่นขึ้นมาแบบ นี้
          "งั้นฉันก็ไปบ้างละ ห้องฉันอยู่ข้างๆนี่ เอง มีอะไรก็ไปเรียกได้นะ"
          "ไม่มีหรอกย่ะ แบร่~ ว้าย!!!"
          ฉันตั้งใจจะแลบลิ้นไล่เมอร์ซี่กลับไป เท่านั้นเอง แต่กลับถูกจิ้มเอวเข้าอีกครั้งจน สะดุ้งอย่างแรง
          "เอาล่ะ ราตรีสวัสดิ์"
          "อะ อา~ น่ากลัว~"
          "ฮ่าๆ เอาน่าๆ ขอโทษนะ"
          "อ๊ะ!"
          เผลอแปปเดียว ระหว่างที่ฉันกำลังทำ แก้มป่องหันตัวกลับหลังจะเข้าห้อง ก็ถูก อะไรบางอย่างสัมผัสเข้าที่ด้านบนของศรีษะจากทางด้านหลัง
          "อะ~ อ่าาา~"
          พอรู้สึกตัวฉันก็รู้สึกได้ว่ามือขวาของ เขาวางอยู่บนหัวของตัวเองและกำลังลูบหัวฉันอยู่ การเคลื่อนไหวของฝ่ามือนั่นทำ ให้ฉันมีความรู้สึกบางอย่างที่ค่อนข้างอธิบายยากผุดขึ้นมา
          ฉันได้แต่ยืนนิ่งอึ้งเนื่องจากถูกเจ้าบ้า เมอร์ซี่ลูบหัว หมอนั่นคงจะสนุกกับท่าทาง อึ้งกิมกี่ของฉันเลยลูบหัวฉันต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับส่งรอยยิ้มอันสดใสมาให้ฉันซึ่ง มองไปหาเจ้านั่นด้วยหางตา
          "อิ...อิ...อิ...อีตาบ้าาาา!!!!!!"
          "อ๊าาาากกกกก!!!"
          ฉันทนเก็บความรู้สึกไว้ไม่ได้อีกต่อไป จึงหมุนตัวใช้เท้าขวาตวัดฟาดเข้าที่หน้าเจ้าบ้านั่นอย่างแรงแบบเดียวกับ'บีเทิ้ลคาเมนอส'ซึ่งมีท่าไม้ตายเป็นการหมุนตัวตวัดเท้าเตะเช่นกัน
          "หวา!!! คุณเมอร์ซี่!!!"
          "ทะ ทะ ทะ ทำอะไรของนายน่ะ?!! กล้า ดียังไงมาลูบหัวฉันกัน?!!"
          "หูยยยย~ ถ้าเขินก็บอกกันหน่อยสิ ทำ แบบนี้มันเจ็บนะ ถึงจะไม่ระเบิดไปแบบ พวกปีศาจหนอนในนิยายแต่เจอแบบนี้ฉัน ก็เจ็บได้นะ อูยยย~"
          "ขะ ขะ ขะ เขินบ้าอะไรของนาย?! ใคร จะไปเขินนายกัน?! บ้าเหรอ?!"
          "ก็เธอหน้าแดงแจ๋เลยนี่นา รึเป็นเพราะ เธอโกรธรึเปล่า?"
          "กะ ก็เออสิ! ฉันต้องโกรธอยู่แล้ว! อยู่ๆ ก็มีคนมาเล่นหัวกันแบบนี้!"
          "ครับๆ ขอโทษครับ งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉัน เลี้ยงก็แล้วกัน ถือซะว่าเป็นการไถ่โทษ"
          อยู่ๆก็ถูกเสนอข้อเสนอแปลกๆมา ถ้า เป็นตอนปกติก็คงจะตอบรับไปโดยไม่คิด อะไร แต่ว่า...
          "เห...นายมีเงินเหลือพอเหรอ?"
          "ก็คงพอเลี้ยงเธอได้ซักมื้อน่ะนะ"
          "หึ! คนถังแตกน่ะเลี้ยงปากท้องตัวเอง ให้รอดก็พอแล้วล่ะย่ะ!!!"
          "มันก็จริง..."
          เจ้านั่นยังคงใช้มือซ้ายกุมใบหน้าด้าน ซ้ายที่ถูกเตะจนล้มกลิ้งไม่เป็นท่าไปเมื่อกี้อยู่ คงจะเตะไปแรงพอสมควรล่ะ ดูเหมือน จะช้ำในด้วย
          "คุณเมอร์ซี่เป็นอะไรมากมั้ยครับ?"
          "ไม่เป็นไรมากหรอก แค่นี้รับได้"
          "หึ นายผิดเองนะที่มาลูบหัวฉัน เชอะ!"
          "ด่าเสร็จก็เชิดใส่ สุดยอดจริงๆเธอนี่..."
          "แล้วทำไม?!"
          "ครับๆ ขอโทษที่สอด งั้นเจอกันพรุ่งนี้"
          "อืม!"
          "ราตรีสวัสดิ์นะ"
          "อึก..."
          เมอร์ซี่เข้าห้องของตัวเองไปนอน ฉัน เองก็เข้าห้องตัวเองไปเช่นกัน
          ฉันล้มตัวนอนลงบนเตียงในห้องตัว เอง ปล่อยให้ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้ง วัน นำพาไปยังห้วงนิทรา
          ห้วงความคิดต่างๆสับสนปนเปกันเต็ม ไปหมด คืนนั้นประโยคสุดท้ายที่ฉันพูดกับ ตัวเองก็ค่อยๆดังขึ้น และเงียบหายไป
          "โดนไปขนาดนั้นยังมาบอกราตรีสวัสดิ์ เราอีก จิตใจทำด้วยอะไรกันเนี่ย..."

          "คุณเมอร์ซี่ไม่เป็นไรแน่เหรอฮะ? เหมือนจะช้ำในด้วยนี่ฮะ"
          "ไม่เป็นไรหรอกน่า นอนซักคืนเดี๋ยว ก็หาย"
          "แต่เจ็บขนาดนั้นไม่เป็นไรเหรอฮะ?"
          "สบายๆน่า แล้วอีกอย่าง..."

          "เจ็บกว่านี้ก็เคยโดนมาแล้ว แม้อีกฝ่าย จะไม่ได้ทำอะไรเลยก็ตาม"

          ***

          "เอ๋?! ทำไมเมนูของโรงแรมนี้มันหนา จังอ่ะ?"
          เช้าวันใหม่มาเยือนสู่สายตาอีกครั้ง วัน ที่ 5 กรกฎาคม ที่พิวเทอร์เนี่ยนแห่งนี้
          หลังจากตื่นขึ้นมา พวกเราก็ลงมาที่ ร้านอาหารโรงแรมที่ชั้นหนึ่งเพื่อมาทาน อาหารเช้า
          "เมนูของร้านเราเป็นเมนูอาหารนานา ชาติค่ะ มีทั้งอาหารแบบชาวนิฮง ชาวบริช เทียน ชาวสยาม ชาวจงกวอ และอีกมาก มายค่ะ"
          "เห~?! มีอาหารนิฮงด้วยเหรอคะเนี่ย? งั้นคงต้องขอสั่งคัตสึด้งแล้วล่ะ!"
          "ผมขอลองกินบะหมี่มังกรแบบจงกวอ ดีกว่าฮะ"
          "งั้นฉันขอผัดกะเพราละกัน..."
          "เป็นกะเพราแบบไหนดีคะ?"
          เช้าวันนี้หลังจากที่ฉันเจอกับคิฟุโคะก็ สังเกตได้ว่าเธอยังโกรธเรื่องเมื่อคืนอยู่ แล้วก็คิดอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดต่อไป
          ผมตั้งใจจะสั่งผัดกะเพราแบบกะเพรา ไก่ไข่ดาวที่เห็นอยู่ในเมนู
          "เอาเป็นกะเพราไก่...ไม่ใส่ถั่วฝักยาว ..."
          "ค่ะ..."
          "แล้วก็ไม่ใส่แตงกวา..."
          "ค่ะ..."
          "ไม่งอก ไม่ผัก ไม่เล็ก ไม่น้ำ"
          "ค คะ?"
          "ไม่พริก ไม่กงไม่กินมันแล้ว จ้าโว้ยยยยยย ย่าาาาา!!!"
          "พรูดดดดด!!!"
          แค่ปล่อยมันออกไป คิฟุโคะก็ถึงกับพ่น น้ำอัญชัญมะนาวในปากออกมาจนหมด แล้วหัวเราะทั้งน้ำตา สีหน้าท่าทางของ ตัวเองที่จงใจทำให้ดูตลกนั่นคงได้ผลเอาการ
          "คุณเมอร์ซี่พูดอะไรน่ะฮะ?"
          "ฮึฮ่าๆๆๆๆๆ เมอร์ซี่! นาย~! บังอาจ~! ฮ่าๆๆๆๆ~!!!"
          "ขะ ขอโทษที น้ำพุ่งเลยเหรอ?"
          "ผ้าพันคอฉันเลอะเลยเห็นมั้ยเนี่ย?!"
          เธอยังคงใส่ผ้าพันคอสีแดงสดนั่นไว้ ตลอดเวลาเหมือนแต่ก่อน เธอพยายามชี้ รอยเปื้อนบนชายผ้าพันคอให้ผมดู
          "ขอโทษๆ เดี๋ยวซักให้นะ"
          "ไม่เอา! เดี๋ยวฉันซักเอง!"
          "เอาที่สบายใจ..."
          "เอ่อ...แล้วตกลงเรื่องกะเพราละคะ?"
          คุณพนักงานหญิงในชุดเมดเริ่มกระวน กระวายกับสถานการณ์ จึงเริ่มเร่งเร้าให้ผม สั่งใหม่
          "ขอโทษครับ เอากะเพราะไก่ไข่ดาว นั่นล่ะ"
          "ค ค่ะ...ทราบแล้วค่ะ..."
          แล้วเขาก็เดินจากไปแบบมึนๆ
          "คิดอะไรของนายมาปล่อยมุขกลางโต๊ะ อาหารแบบนี้เนี่ย?"
          "ก็แบบ อยากให้เธอหายโกรธไง..."
          "หา? นาย...นายยังคิดว่าฉันโกรธนาย อยู่อีกเหรอ?"
          "แค่เห็นสีหน้าเธอฉันก็รู้แล้ว"
          "เอ๋...โดนดูออกง่ายขนาดนั้นเลย เหรอ ขนาดตัวเองยังไม่รู้เลย นายดูออก ได้ไงกันน่ะ?"
          "แปลว่าเธอคิดว่าเธอหายแล้วเหรอ?"
          "ก็...ประมาณนั้นล่ะ จนมาหายเป็น ปลิดทิ้งจริงๆก็เมื่อกี้ที่นายยิงมุขเสียงสูง อะไรนั่นแหละ ฮ่าๆ..."
          "ยังไงก็ดีแล้วล่ะที่เธอหายโกรธน่ะ"
          "มะ มันมีความหมายอะไรรึไง?"
          "เปล่าหรอก ไม่มีอะไร"
          แล้วอาหารนานาชาติอันชวนน้ำลายสอ ก็มาเสริฟถึงโต๊ะ ทั้งคัตสึด้งกลิ่นหอมฉุย บะหมี่มังกรอันตระการตา แล้วก็กะเพราไก่ ราดไข่ดาวที่ดูเรียบง่ายแต่ชวนให้กระเพาะส่งเสียงครางอย่างหิวโหยจากต่างแดน
          "ทานละนะคะ~!"
          "ทานละนะครับ~!"
          "อย่ามาพูดเลียนแบบกันนะยะ!"
          "ทำไมล่ะ? จะพูดอะไรก็เรื่องของฉัน"
          "อิตาดาคิมัส!~"
          "อ่ะ อะไรล่ะนั่น?!"
          "ความลับ นายไม่รู้หรอกว่าจะเป็น คาถาอันตรายแบบไหน ฮี่ๆ!"
          ผมตัดสินใจหยุดการล้อเล่นไว้แค่นั้น แล้วลงมือทานจริงๆซักที
          ...
          "อ้าว? นั่นคาร่าใช่มั้ย?"
          "เอ๋? เมอร์ซี่? มาทำอะไรที่นี่เนี่ย?"
          หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จเราก็ออกมาซื้อ ของที่จำเป็น คิฟุโคะเองก็เดินตามมาเรื่อย ๆพร้อมกับดราโก้
          เดินออกจากโรงแรมมาได้ไม่ทันไรก็ เจอกับกองคาราวานกองหนึ่งเข้าที่ด้าน หน้าโรงแรมแห่งหนึ่งใกล้ๆกัน
          "ฉันควรจะถามเธอมากกว่านะนั่น"
          "แฮะๆ โทษที ลืมไปว่านายกำลังปฏิบัติ ภารกิจให้พระราชาอยู่ ส่วนที่ฉันมาอยู่นี่ก็ เพราะเราตั้งใจจะมาหาของเพิ่มเติมที่นี่ แล้วก็ขายของที่เหลือน่ะนะ"
          "อ๋อ งี้นี่เอง"
          ตลอดการสนทนาสั้นๆเมื่อครู่ คิฟุโคะ ยืนนิ่งๆอยู่ข้างหลังมาตลอดจนตอนนี้ที่เธอน่าจะทนเก็บสิ่งที่สงสัยในใจเอาไว้ไม่อยู่จึงได้ถามออกมา
          "เอ่อ...เมอร์ซี่ ใครเหรอ?"
          "อ๋อ! จริงสินะลืมแนะนำไป เธอชื่อ คาร่า ไคนด์ เป็นเพื่อนเก่าของฉันเองล่ะ"
          พริบตานั้น คิฟุโคะก็ทำหน้าตะลึงโดย ที่ตัวผมในตอนนั้นไม่ทราบสาเหตุ
          "อ๋อ! คนที่เราเจอที่วิริเดียนใช่มั้ยฮะ?"
          "เอะ เอ๋?!"
          ไม่รู้ทำไมคิฟุโคะถึงต้องตกใจขนาด นั้น แต่ร้องออกมาเสียงดังพอดูเลยล่ะ ถึงจะไม่ดังขนาดปลุกคนที่นอนอยู่ใน คาราวานก็เถอะ
          "เมอร์ซี่ นายมีเพื่อนด้วยเหรอ?"
          "เป็นเพื่อนสมัยเรียนดาบน่ะนะ แล้วก็ อย่าทำหน้าเหมือนฉันเป็นคนไม่คบหาเพื่อนแบบนั้นสิ!"
          ตอนนี้ผมว่าผมรู้แล้วล่ะว่าทำไมเธอถึง ตกตะลึงเมื่อรู้ว่าคนที่ผมเข้าไปทักเป็นเพื่อนของผม
          "แต่ถึงจะเป็นเพื่อนกันก็ไม่ได้สนิท อะไรกันมากนักหรอก แล้วก็ ยัยนี่ก็มีแฟน แล้วด้วยนี่เนอะ?"
          "บะ บ้า! แค่คบเป็นเพื่อนกันเฉยๆ"
          "เหรอ...แต่ฉันว่าเธอกับโบรเนียสก็ เข้ากันได้ดีนะ"
          "ไม่รู้ไม่ชี้ด้วยแล้ว!"
          "ห่ะๆ..."
          ราวกับพึ่งจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เธอจึงเข้ามาคุยกับผมแบบกระซิบ ถ้าใครที่ ไม่รู้เรื่องมาเห็นเข้าด้วยระยะความใกล้ ขนาดนี้อาจจะโดนหลงคิดว่าเป็นแฟนกัน ก็ได้
          "นี่เมอร์ซี่ หรือว่าคนนั้นจะเป็น..."
          "อย่างที่เธอรู้นั้นล่ะ"
          พอได้ยินดังนั้นสีหน้าของเธอก็เปลี่ยน ไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มออกมาแปลกๆ หลังจากถอนหน้าออกไป
          "อ๋อ~ งี้นี่เอง! สวัสดี! ฉันคาร่านะ"
          "คะ คิฟุโคะค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก"
          หญิงสาวทั้งสองจับมือทักทายกัน แต่ สถานการณ์ก็ไม่ได้ปกติเหมือนคนไม่รู้จัก ทักทายกันซักเท่าไหร่ คิฟุโคะมองเข้าไป ในดวงตาของคาร่าเหมือนกับสงสัยบาง อย่าง
          "วะ ว่าแต่...เคยเรียนดาบมากับตานี่งั้น เหรอ?"
          "อ่า! แต่ก็เก่งสู้คนอื่นเขาไม่ได้นัก หรอก"
          "งะ งั้นเหรอ..."
          "ทำเป็นพูดไป สอบภาคทฤษฎีทีไรเธอไม่เคยได้ต่ำกว่าเก้าสิบจากร้อยเลยนะ"
          "แหะๆ ก็..."
          "เห~?"
          คิฟุโคะยิ้มเจื่อนๆออกไปพลางว่าต่อไป อีก
          "นี่ เมอร์ซี่เคยเล่าให้ฉันฟังล่ะว่าเขามี เพื่อนที่จำเขาไม่ได้อยู่ เธอพอจะรู้จักมั้ย?"
          "อะ เอ๋?"
          ทันใดนั้นคาร่าก็หันมามองหน้าผมด้วย สีหน้าฉงน ผมจึงพยายามจะส่งสัญญาณไป ทางนั้นด้วยสายตาว่าไม่มีอะไร แต่ก็ไม่รู้ ทำไมอีกฝ่ายถึงสะดุ้งแล้วทำหน้ากลัวนิดๆ ก่อนจะหันกลับไปก็ไม่รู้แฮะ
          "มะ ไม่รู้สิ มีคนแบบนั้นด้วยเหรอ?"
          "ก็เห็นว่ามีละนะ..."
          "งั้นเหรอ ฮะๆๆๆ"
          คงพยายามหัวเราะกลบเกลื่อนอยู่แน่ๆ ระหว่างที่กำลังคิดอย่างนั้นเธอก็หันกลับมาหาผม
          "เออนี่เมอร์ซี่ นายกำลังตามหาลูกแก้ว สินะ คือว่าฉันได้ยินข่าวแปลกๆมาล่ะ"
          "ข่าวแปลกๆ?"
          คราวนี้เป็นฝ่ายผมบ้างที่รู้สึกสงสัยกับสิ่ง ที่เธอพูดออกมา
          "ฉันได้ยินมาว่ามีนักบวชที่ใช้พลังไฟ ได้อยู่ที่วิหารแห่งมาร์สน่ะนะ ดูเหมือนว่า จะเก่งที่สุดในแถบนี้เลย เป็นไปได้นะว่า เขาจะมีลูกแก้วไฟนะ"
          "เอ๋? จริงดิ?"
          "ไม่รู้สินะค้า~"
          "ไม่เห็นต้องทำเสียงเฉื่อยยังงั้นเลยนี่ แต่ยังไงก็ขอบใจนะ"
          "จ้า~!"
          "คิฟุโคะ ดราโก้ ไปกันเถอะ"
          "อ๊ะ! เดี๋ยวก่อน!"
          "รอด้วยสิฮะ~!"
          แล้วพวกเราก็รีบบึ่งหน้าไปทันที เป้า หมายคือวิหารมาร์ส

          "เฮ้อ...ตกใจหมดเลย อยู่ดีๆก็ส่งสายตา คมกริบจนน่ากลัวแบบนั้นมา"
          คาร่าพึมพำกับตัวเอง
          "ว่าแต่ทำไม เมอร์ซี่ถึงต้องทำแบบนี้กัน นะ...แล้วเราทำถูกรึเปล่าเนี่ย..."
          ...
          พวกเราออกวิ่งมาได้ซักพักก็ลืมนึกไป ว่าเรายังไม่รู้เลยว่าเป้าหมายของเราอยู่ที่ไหน ดังนั้นก็เลยหยุดวิ่งแล้วก็พยายามถาม ทางคนอื่นมาเรื่อยๆตลอดทาง
          "วิหารมาร์สเหรอ ตรงไปทางนั้นน่ะนะ"

          "เลี้ยวซ้ายเข้าซอยไป"

          "เดินขึ้นเนินไปนะ"

          "เลี้ยวตรงนั้นไปแล้วเดินไปทางขวา"

          "มาจากทางนั้นเหรอ เลยมาไกลแล้วนะ "

          กว่าจะหาทางมาจนถึงที่วิหารมาร์สได้ ก็กินเวลาไปจนถึงบ่ายโมงแล้ว ช่วงเวลา อันเหน็ดเหนื่อยก็ผ่านพ้นไปเสียที
          "โอย~ กว่าจะมาได้ถึงนี่"
          "เพราะนายแท้ๆเลย พาหลงมาจนถึงนี่"
          "พวกเราก็หลงกันหมดไม่ใช่เหรอฮะ?"
          "ช่างมันเถอะน่า ไหนๆเราก็มาถึงแล้วนี่ เข้าไปกันเถอะ"
          หลังจากหอบเหนื่อยกันอยู่ตรงด้านบน สุดของบันไดหน้าวิหาร พวกเราก็พากัน เดินเข้าไปในวิหาร ทีละก้าวๆ
          แม้จะเป็นวิหารที่บูชาเทพเจ้าแห่งไฟ และสงคราม แต่ตัววิหารกลับให้ความรู้สึก ร่มรื่น ไอความเย็นที่ส่งผ่านมาจากผนัง กำแพงทำให้รู้สึกสดชื่นยิ่งนัก
          "สวัสดี...มาทำอะไรกันเหรอ"
          ชายวัยกลางคนท่าทางสง่างามปรากฏ ตัวขึ้นในลุดนักบวช นอกจากจะเป็นนัก บวชแล้วก็ยังดูคล้ายนักปราชญ์อีกต่างหาก
          "คือว่า พวกเรามาที่นี่เพราะได้ข่าวว่า ที่นี่มีนักบวชที่ใช้ไฟได้ก็เลยตั้งใจมาพบ..."
          ผมรวบรวมความกล้าพูดประโยคนั้น ออกไป ท่านนักบวชทำหน้าลำบากใจก่อน จะตอบกลับมา
          "แย่หน่อยนะ ที่นี่ไม่ว่านักบวชคนไหน ก็ใช้พลังไฟได้ทั้งนั้นล่ะ ต้องระบุให้ชัดว่า คนไหน"
          "เอ๋?!"
          คนที่ร้องเสียงดังตกใจไม่ใช่ผม แต่ เป็นสองคนข้างหลัง คิฟุโคะกับดราโก้นั่น เอง
          "พลังจากลูกแก้วมันรุนแรงจริงๆนั่นล่ะ นะ ส่งผ่านให้ได้หลายคนเลย"
          "เบาๆหน่อยสิคิฟุโคะ!"
          "อุ๊ย..."
          เธอครางออกมาเล็กน้อยก่อนจะเอามือ ทั้งสองข้างปิดปากตัวเอง จากนั้ยก็ทำหน้า บึ้งร่วกับว่าเจ็บใจที่ถูกต่อว่าแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ประมาณนั้น
          "หืม? ลูกแก้วเหรอ?"
          "อ่ะ เอ่อ...คือ..."
          มาถึงขั้นนี้แล้วยังไงก็คงทำกลบเกลื่อน ไม่ได้แล้วล่ะ ลูกแก้วเอย พลังเอย พอพูด ถึงลูกแก้วที่มีพลังยังไงก็น่าจะนึกได้แค่ลูก แก้วเวทจากพัลเลเทียเท่านั้นล่ะ
          "คือว่า ผมมาจากพัลเลเทีย กำลังตามหา สมบัติประจำอาณาจักรเพือนำกลับคืนสู่เมืองน่ะครับ"
          "อ๋อ! เธอเองสินะเด็กหนุ่มชาวนาที่ กษัตริย์พัลเลเทียทรงกล่าวถึงน่ะ"
          อะไรกันน่ะ เขาเรียกเราว่าเด็กหนุ่ม ชาวนา รึว่าเขาจะรู้จักเรา
          "พอดีเลย ก่อนหน้านี้เราได้รับสาส์น พัลเลเทียว่าจะมีเด็กหนุ่มจากพัลเลเทียมา ตามหาลูกแก้วศักดิ์สิทธิ์แล้วขอความร่วมมือน่ะ แล้วไม่นานมานี้เราก็ได้พบสิ่งที่น่าจะ เป็นลูกแก้วเวทนั่นด้วยล่ะ"
          "เอ๋?"
          เรื่องลูกแก้วเวทก็ตกใจอยู่หรอก แต่ เรื่องที่ทางนั้นส่งข่าวมาถึงก่อนที่เราจะมา นี่สิน่าตกใจกว่า รึว่าจะใช้ม้าเร็วนะ...
          แต่ถ้าใช้นกพิราบสื่อสารก็น่าจะพอไหว อยู่นะ...
          "ชื่อของข้าคือเกธิส ตามมาสิ เดี๋ยวฉัน จะพาไป"
          "อ่ะ ครับ...ผมเมอร์ซี่นะครับ ยินดีที่ได้ รู้จัก"
          "หนูคิฟุโคะค่า!"
          "ผมดราโก้ฮะ!"
          "เสียงใสดีจังน้า~ ทำให้ฉันนึกถึงตอน ตัวเองหนุ่มๆเลย"
          ว่าแล้วท่านนักบวชอาวุโสก็เดินนำไป พวกเราเดินลึกเข้าไปในวิหารเรื่อยๆ ระหว่างนั้นก็ชวนคุยกันตลอดทาง
          "เอ่อ...ท่านเกธิสรู้ได้ยังไงครับว่าเป็น ผมจริงๆน่ะ อาจจะมีใครแอบอ้างมาก็ได้"
          "ก็ดาบไรริวที่อยู่ที่กลางหลังเจ้านั่นไง"
          ท่านเกธิสว่าพลางก็ชี้มาที่ดาบไรริวที่ผม สะพายไว้ที่หลัง เพราะเมื่อวานนี้เจอพวก โจรในเมืองก็เลยเก็บดาบไว้ห่างตัวไม่ได้ แต่การพกดาบเข้ามาในวิหารศักดิ์สิทธิ์ของ ลัทธิบูชาเทพมาร์สแบบนี้จะเป็นอะไรมั้ยนะ
          "ว่ากันว่ามันเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้กล้า แห่งพัลเลเทียเคยใช้มันกำจัดปีศาจจนสิ้น ไปมากมาย เป็นดาบเวทมนต์ที่สร้างขึ้น เพื่อรองรับพลังเวทมหาศาลโดยเฉพาะ"
          "อย่างนั้นเหรอครับ"
          "แล้วก็เห็นว่า...คนที่สร้างดาบนั่นจะ เป็นชนเผ่านิฮงด้วยนะ"
          "เอ๋?! งั้นเหรอคะ?!"
          "เธอนี่นะ~ แค่ชื่อก็น่าจะรู้ได้แล้วว่า เป็นดาบที่เกี่ยวข้องกับชาวนิฮงน่ะ"
          "จะ จริงด้วย..."
          ในภาษานิฮง 'ไร'แปลว่าสายฟ้า ส่วน 'ริว'แปลว่ามังกร ดังนั้นดาบไรริวจึงแปลว่า 'ดาบมังกรสายฟ้า'นั่นเอง
          "ประวัติศาสตร์กล่าวเอาไว้ว่าในสมัย โบราณ นักรบแห่งพัลเลเทียผู้มีพลังไร้ขีด จำกัดเกิดปัญหาในการควบคุมพลังที่มาก เกินไปของตัวเอง ดังนั้นคู่หูของเขาจึง สร้างดาบขั้นสุดยอดที่สามารถรองรับเวท สายฟ้าปริมาณมหาศาลนั้นได้ ดาบนั่นทำ ให้นักรบคนนั้นได้รับการขนานนามว่า เป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล มีพลังที่มหาศาลขนาดสามารถทำลายล้าง ดวงดาวหรืออวกาศได้เลยล่ะ"
          ตำนานนี่บางทีมันก็โอเวอร์ไปนะ
          "เอ๋?! งั้นดาบนี่ก็เป็นของอันตรายน่ะสิ! เอาไปเผาทิ้งเลยนะ!"
          "ทำยังงั้นได้ไงเล่า!"
          "ล้อเล่นน่า ฮ่าๆ"
          ระหว่างที่เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ผ่านห้อง ต่างๆมากมาย ท่านเกธิสก็ว่าต่อไป
          "แล้วก็นะ เจ้านะเป็นเด็กที่มีลักษณะ ตรงตามที่ราชาพัลเลเทียทรงว่าไว้เป๊ะ ข้าถึงมั่นใจไง"
          "ลักษณะงั้นเหรอครับ?"
          "เป็นเด็กอายุ 12 ปี ผมสีฟ้าคราม ใส่เสื้อ ยืดปอนๆแล้วก็เสื้อคลุมหนังสีน้ำตาลดูซอมซ่อน่ะ"
          "สะ ซอมซ่อ..."
          "พรืดดดดด!!! ฮ่าๆๆๆๆ"
          "จะขำอีกนานมั้ยหา?!"
          ผมเริ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์จึงจิ้มไปที่เอว ของคิฟุโคะทีนึง
          "อิย๊า! ขอโทษๆ! จะไม่หัวเราะแล้ว"
          "อย่าครางเสียงชวนคิดลึกแบบนั้นสิ มันไม่สุภาพนะ"
          "ก็นายมาจิ้มเอวฉันเองทำไมล่ะ?!"
          คิฟุโคะตอนนี้อยู่ในสภาพขดตัวซะจน ตัวเล็กน่ารัก มือสองข้างไขว้กันอยู่ที่หน้า อกอย่างไร้ความหมาย ใบหน้าบึ้งตึงที่มี แก้มสีแดงเรื่อๆนั่นดูน่ารักดีเหมือนกัน ถ้า ปกติยิ้มบ่อยๆได้จะดูเจริญหูเจริญตาขึ้นมากแน่นอน
          "เฮ้อ...ทะเลาะกันได้ทุกวันเลยนะฮะ ..."
          และแล้วพวกเราก็เดินทางมาจนถึงห้อง ๆหนึ่งที่ดูเหมือนกับเป็นห้องทำงานส่วนตัว ของท่านเกธิส
          "เข้ามาสิ"
          ท่านนักบวชเชื้อเชิญพวกเราเข้าไปภาย ในห้องทำงานส่วนตัวของท่าน มันเป็น ห้องทรงสี่เหลี่ยมก็จริงแต่ก็ดูกว้างขวางเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นชั้นหนังสือไม้ที่มี แต่หนังสือเล่มหนาๆที่ดูเก่าแก่ เทวรูปของ เทพเจ้ามาร์ส หรือตู้เก็บของขนาดยักษ์ที่ ชวนให้นึกว่าเอาไว้ให้ท่านเทพมาร์สใช้ หรืออย่างไร
          ที่เบื้องหน้ามีโต๊ะทำงานเล็กๆไม่เข้ากับ ขนาดห้องตั้งอยู่ บนนั้นมีทั้งปากกาขนนก ทั้งกองเอกสารทั้งคัมภีร์คำสอนมากมาย
          ท่านนักบวชเกธิสค่อยๆเดินไปที่ด้าน หลังโต๊ะทำงานนั้นอย่างคล่องแคล่วพลาง เปิดลิ้นลักที่อยู่ชั้นล่างสุดของลิ้นชักทางฝั่งขวา
          สิ่งที่อยู่ข้างในนั้นถูกหยิบขึ้นมาด้วยมือ ขนาดใหญ่ของท่านนักบวชอาวุโส
          "นั่นมัน!"
          "ไม่ผิดแน่ ลูกแก้วเพลิงสินะ"
          มันคือลูกแก้วที่มีสีแดงเพลิงสดใสราว กับว่ามีเปลวเพลิงโหมกระหน่ำอยู่ภายในตลอดเวลา
          "การที่ลูกแก้วนี้ปรากฏขึ้นภายในวิหาร แห่งนี้อาจจะเป็นการชี้นำจากท่านมาร์สก็เป็นได้"
          ผมรับมันมาจากท่านนักบวช สัมผัสนั้น เรียบลื่นแต่ก็แฝงด้วยความร้อนแรง
          "เท่านี้ก็ได้สองแล้วนะเมอร์ซี่!"
          "นั่นสินะ!"
          "ดีจังเลยนะฮะ!"
          ตอนนี้ลูกแก้วที่อยู่ในมือของพวกเราก็ มีถึงสองลูกแล้ว คือลูกแก้วสายฟ้ากับลูก แก้วอัคคี ถึงจะยังได้ไม่มากแต่ก็ได้มาแล้ว สองลูก ถือเป็นอีกก้าวนึงที่สำคัญทีเดียว
          "แต่ว่านะ ก็ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ เหมือนกันนะ..."
          "ทำไมเหรอฮะ?"
          "ก็ตอนที่ลูกแก้วลูกนี้ปรากฏขึ้น มันพุ่ง ทะลุกระจกหน้าต่างวิหารมา นี่ต้องเสียค่า ซ่อมไปเยอะเลยน่ะสิ"
          "เหรอครับ..."
          "เหรอคะ..."
          "เหรอฮะ..."
          ไม่คิดว่าท่านนักบวชจะพูดอะไรแบบนี้ ออกมาได้ รู้สึกเสื่อมศรัทธานิดๆแฮะ
          "จะว่าไปแล้ว ที่นักบวชที่นี่ใช้ไฟได้ ทุกคนนี่เพราะลูกแก้วนี้รึเปล่าครับ"
          "ไม่หรอก นักบวชที่นี่ใช้พลังไฟได้ เพราะฝึกฝนน่ะ"
          "เอ๋? ฝึกเหรอคะ?"
          การฝึกตนเพื่อการใช้เวทย์สายเพลิง อัคคีงั้นเหรอ การฝึกตนของพวกนักบวชนี่ จะเป็นอย่างไรกันนะ
          "เอ่อ ท่านเกธิสครับ ผมอยากทราบว่า การฝึกตนของนักบวชที่นี่เป็นอย่างไรหรือครับ?"
          "อยากรู้งั้นรึ?"
          ท่านนักบวชมองมาทางนี้ด้วยสายตา เหมือนจะเป็นห่วง บางทีอาจจะมีอัไรหนัก หนาสาหัสเกินไปรึเปล่านะ
          "ตามมาสิ"
          คิฟุโคะกับดราโก้เดินตามท่านนักบวช นำหน้าผมไป ส่วนผมหลังจากเก็บลูกแก้ว ไฟลงไปในกระเป๋าเสื้อนอกก็เดินตามพวก เขาไป
          ...
          "ที่นี่คือห้องฝึกตนน่ะ"
          มันเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ เพดานทรง กลมโค้งด้านบนถ้ามองจากด้านนอกคงจะ เห็นเป็นรูปโดมละมั้ง มันใหญ่ขนาดที่ว่า สามารถบรรจุบ้านเล็กๆที่ชายเมืองพัลเลเทียของผมได้ซักสองถึงสามหลังในแนวตั้งได้เลย
          ตอนนี้ที่นี่นอกจากจะมีแค่ผม คิฟุโคะ ดราโก้ และท่านเกธิสแล้ว ยังมีนักบวชอีก เจ็ดคนอยู่ที่นี่ด้วย
          นอกจากนั้นยังมีสัตว์ประหลาดที่ดู เหมือนโกเล็มที่สร้างจากหินอัคนียืนอยู่ ตรงนั้นด้วย บนตัวของเจ้านั่นปรากฏลวด ลายที่เหมือนกับธายลาวาขนาดเล็กเท่าเชือกเปล่งแสงสีส้มแดงพันอยู่ทั่วทั้งตัว
          เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นกำลังพ่นไฟใส่ นักบวชคนหนึ่งที่ดูคุ้นเคย เขายกมือขวา ขึ้นดูดซึมเปลวเพลิงที่ถูกปล่อยออกมาจาก ปากของโกเล็มไฟนั่น
          "เอ๋?! นั่นคุณบัซนี่ฮะ?"
          "เจ้าบ้าลามกนั่นอีกแล้วเหรอ..."
          "อะไรกันน่ะ ฉันนึกว่าถ้ามองจากมุม ของผู้หญิงแล้วจะดูเท่ซะอีก"
          "ต่อให้เท่แค่ไหนแต่ถ้าลองมีความหลัง แบบนั้นกับเจ้านั่น เท่แค่ไหนก็ไม่รู้สึกหลง ใหลหรอก"
          "ก็ไม่เห็นเธอจะเคยสนใจใครนี่นา"
          "ฉันก็ไม่เคยเห็นนายไปจีบผู้หญิงคน ไหนจริงๆจังๆซักครั้งเหมือนกันนี่นา"
          "พอได้แล้วทั้งสองคน พวกเขาต้องการ สมาธินะ"
          "ครับ" "ค่ะ..."
          นักบวชหนุ่มที่เคยอยู่ท่ามกลางเปลว เพลิงกระโดดขึ้นสูงจากพื้นแล้วพุ่งตัวเตะ จนเจ้าโกเล็มนั่นล้มลงแล้วอาศัยแรงส่งจากเจ้าโกเล็มนั่นกระโดดขึ้นไปบนอากาศอีกครั้ง
          "ย้ากกกก!!!"
          "โฮฮฮกกกกกก"
          เจ้าสัตว์ประหลาดร้องอย่างทรมาน บัซ ปล่อยพลังไฟลูกใหญ่ลงไปยังลำตัวขนาดใหญ่ประมาณชายวัยกลางคนตัวอ้วนใหญ่นั่นจนเกิดแรงกระแทกมหาศาล เศษหิน และก้อนหินอัคนีจำนวนมากหล่นกระจาย อยู่บนพื้น ไม่เหลือเค้าโครงของเจ้าโกเล็ม ทีอาละวาดอยู่เมื่อครู่ก่อนอยู่เลย
          "ที่เห็นนั่นคือการฝึกตนของเหล่านัก บวชในวิหารนี้น่ะ สู้กับโกเล็มเพลิงที่ใช้ พลังเวทสร้างขึ้นแล้วดูดซับเปลวเพลิงมาให้ได้มากที่สุดจากนั้นค่อยปิดฉากน่ะ"
          "อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง"
          เป็นการฝึกที่ประหลาดดีแฮะ...
          "ฟู่!"
          "ทำเวลาได้ดีขึ้นนะบัซ"
          "อ่ะครับ ขอบคุณครับท่านเกธิส อ๊ะ! นั่น..."
          ขนาดมองอยู่จากประตูที่อยู่ห่างไกลยัง รับรู้ได้ สายตาของเจ้านั่นหลังจากมองไป ที่เกธิสก็ไม่ได้เลือนไปจับที่เหล่านักบวชอาวุโสทั้งหกคนในห้องนั้นหรือแม้กระทั่งตัวผมหรือดราโก้เลย แต่เป็น...
          "นั่นคิฟุโคะจังนี่? คิฟุโคะจาง~"
          เส้นผมอันเงางามสะบัดอย่างแรงจนผม รู้สึกได้ เธอหันหลังกลับแทบจะในทันทีที่ เสียงอันสดใสของเด็กหนุ่มนักบวชนั่นทัก ขึ้นมา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้ใบหน้าที่ผม อุตส่าห์ทำให้ร่าเริงแจ่มใสขึ้นมาได้กลับไป บูดสนิทอีกครั้ง
          "มาหาฉันเหรอคิฟุโคะจัง~"
          "อย่าเข้ามา"
          เสียงนั้นเย็นยะเยือกราวกับ ณ ยอดบน สุดของเทือกเขาหิมาลัย ราวกับไม่มีสิ่งใด จะฟังดูเย็นชาไปกว่านี้อีกแล้ว
          แต่กับคิฟุโคะแล้ว การปฏิบัติกับผู้ชาย หน้าม่อที่ตัวเองไม่รู้จักก็คงไม่แปลกกระไรนัก
          "แหม~ ไม่ต้องเขินหรอกน่า มาหาฉันก็ บอกกันได้นี่~"
          เจ้านั่นกางแขนออกกว้างขณะวิ่งมา ทางนี้ ไม่สิ ดูยังไงก็เหมือนกับกำลังวิ่งไป หาแม่สาวน้อยแสนน่ารักในสายตาของคุณ นักบวชหนุ่มหัวงูมากกว่า ผมอดสงสัยไม่ ได้ว่าลัทธินี้เขาไม่มีกฏข้อบังคับเรื่องนี้กันเหรอ...
          "ระวังไว้จะดีกว่านะ แอ้ก!!!"
          "คะ คุณเมอร์ซี่!"
          "อย่ามาเกะกะน่า!"
          ผมโดนผลักกระเด็นอย่างแรงจนล้ม ก้นจ้ำเบ้าลงไปกับพื้น คิฟุโคะที่หันหลัง เดินกลับไปกับบัซที่วิ่งเข้าไปหาอยู่ห่างกันไม่มากแล้ว
          แล้วทันใดนั้น ผมก็สังเกตเห็นว่าทาง เดินที่คิฟุโคะเดินไปนั้นเพดานมันสูงกว่า ทางเดินทั่วๆไปในวิหาร
          "ฉันเตือนแล้วนะ"
          เสียงอันแสนจะหนาวเหน็บเย็นชาดัง ก้องขึ้นอีกครั้ง แต่มันก็ส่งไปไม่ถึงเจ้านัก บวชจอมหื่นที่กำลังวิ่งมาหาราวกับตะโผเข้ากอดเธอให้ได้
          "ย่าห์!!!"
          "ฮะ เฮ้ย! นี่หรือว่าจะ..."
          การโจมตีนั่น ผมจำมันได้ดี มันไม่ใช่ การโจมตีของคิฟุโคะ แต่เป็นการโจมตีที่ เธอคงจะเคยอ่านเจอมาจากคาเมนอสซีรี่ย์สักเล่มหนึ่ง
          วงแหวนเวทสีแดงอมชมพูที่มีลวดลาย ดูอลังการตระการตาปรากฏขึ้นระหว่างตัวเธอที่หันกลับมาทางนี้กับบัซที่เหมือนจะพึ่ง สังเกตเห็นทั้งหมดสิบวง และแล้ว...
          "ย้าาากกกกก!!!"
          เธอกระโดดขึ้นไปยังมุมบนเพดานที่ อยู่ด้านหน้าของเธอและถีบส่งตัวเองจากมุมนั้นหมุนตัวกลับมาแล้วพุ่งเข้าใส่วงแหวนเวทที่ลอยสูงขึ้นเพื่อรักษารูปร่างกระบวนท่าที่ต้องสร้างวงแหวนให้อยู่ระหว่างเธอกับบัซโดยให้ขาของเธอพุ่งเข้าใส่วงแหวนเวทเป็นอันดับแรก
          "อะ เอ๋~?"
          ร่างของคิฟุโคะหายเข้าไปในวงแหวน เวทวงแรกและปรากฏตัวออกมาจากวงแหวนวงที่สอง จากนั้นก็หายเข้าไปในวงที่ สามและโผล่ออกมาจากวงที่สี่
          บัซยังคงยืนแข็งทื่อโดยมองไปยัง คิฟุโคะที่ผลุบๆโผล่ๆและพุ่งลงมาในแนวเฉียง ขนาดผมยังสัมผัสได้ เจ้านั่นไม่ได้สน ใจเลยว่าตัวเองกำลังจะถูกเตะกระเด็น แต่ กำลังเพ่งสมาธิไปยังจุดๆเดียวที่น่านะรวบรวมจุดสนใจจากผู้ชายได้เป็นอย่างดี
          กางเกงในสีขาวบริสุทธิ์นั่นเอง ทั้งที่ อุตส่าห์เตือนไปตั้งหลายครั้งแล้วแท้ๆ ผมได้แต่กุมขมับและปวดตับกับตัวเองเงียบๆ
          ในที่สุดร่างของคิฟุโคะที่หายเข้าไปใน วงแหวนเวทวงที่เก้าก็โผล่ออกมาจากวงแหวนเวทวงที่สิบตรงหน้าของบัซ
          "ย้าาากกกกก!!!"
          "อึกกก!!! อ๊าาาากกกกกกกกก!!!"
          ตูมมมมม!!!
          ระเบิดพลังงานที่เกิดขึ้นระหว่างผมที่ยัง คงยืนไม่ขึ้นกับคิฟุโคะที่ลงจอดบนพื้นอย่างสวยงามนั้นตระการตายิ่งนักจนไม่น่าเชื่อว่าเธอจะเป็นคนสร้างขึ้นด้วยการใช้ขาของเธอเตะนักบวชลามกคนหนึ่งจนกระเด็นกลับไปแล้วระเบิดออกมา
          "ฮะ เฮ้ย! เอาจริงดิ?!"
          "คุณคิฟุโคะฆ่าเขาไปแล้วเหรอฮะ?"
          "ไม่หรอกน่า! ก็แค่วิชาที่ฉันแอบฝึก ด้วยตัวเองเล่นๆน่ะ อ่านเจอมาในซีรี่ย์ 'เดคเคดคาเมนอส'เล่มแรกล่ะ เห็นว่าเป็น ท่าโจมตีที่เท่แล้วก็ครีเอทดีก็เลยลองฝึกใช้บ้างน่ะนะ วางใจได้ แค่ปลดปล่อยพลังเวท ออกจากตัวเจ้านั่นเท่านั้นล่ะ จะสอนให้ นายก็ได้นะถ้านายอยากประยุกต์ใช้กับดาบน่ะ"
          แค่วิชาที่เธอฝึกเล่นๆเลียนแบบพระเอก ในซีรี่ย์ชื่อดังอย่าง'เดคเคดคาเมนอส'ยัง รุนแรงขนาดนี้ ท่าเกิดว่าท่าของบีเทิ้ลคาเม นอสที่เธอใช้กับผมเมื่อคืนเป็นของจริงผมก็อาจจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆไปเหมือนกับพวกปีศาจหนอนที่ปรากฏตัวในซีรี่ย์แน่ๆ
          สรุปแล้วก็คือ อย่าไปแหยมกับเธอที่มี วิชาต่อสู้ที่เลียนแบบมาจากเหล่าคาเมนอสจะดีที่สุด
          "โอ้...เตะเจ้าขี้หลีนั่นกระเด็นไปเลย"
          "พลังเวทที่สะสมมาเมื่อครู่ดูเหมือนจะ ถูกผลักดันออกมานอกร่างกายหมดเลยนะ"
          "แบบว่า...ข้ารู้สึกร้อนขึ้นมาเลย..."
          เหล่านักบวชที่อยู่ตรงนั้นพากันส่งเสียง ขึ้นมาต่างๆนานา บ้างก็สบประมาทบัซที่ดำ เป็นตอตะโกและนอนสลบเหมือดอยู่บนพื้น บ้างก็ชื่นชมความสามารถของคิฟุโคะ
          แน่นอนว่าไม่มีใครพูดถึงผมที่โดนปัด กระเด็นไปเมื่อครู่นี้เลย
          "แหะๆ ถึงจะดูจูนิเบียวไปนิดแต่พวก ท่าไม้ตายของเหล่าคาเมนอสน่ะถ้าประยุกต์ใช้ดีๆจะรุนแรงและมีประโยชน์มากเลยนะ"
          "อะไรคือจูนิเบียว..."
          "อุ! ขอโทษ ศัพท์นิฮงนายคงไม่เข้าใจ สินะ"
          ดูเหมือนจะอารมณ์ดีสุดๆไปเลยแฮะ พอได้อัดใครแล้วคงจะอารมณ์ดีขึ้นละมั้ง
          "เป็นแม่หนูที่ท่าทางกระฉับกระเฉงดีนะ "
          "ขอบคุณค่ะ!"
          ท่านเกธิสกล่าวชมคิฟุโคะอย่างพึงพอ ใจ ดูเหมือนอยากจะหาทางดัดนิสัยเจ้าบัซ อยู่พอดีสินะ
          "ว่าแต่ว่าเธอน่ะ"
          "ครับ?"
          อยู่ๆท่านเกธิสก็หันกลับมาทางนี่แล้ว กล่าวกับผมด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มลึก
          "อยากจะลองฝึกดูมั้ยล่ะ"
          "อะ เอ๋...?"
          อยู่ดีๆก็ถูกชวนให้ไปฝึกแบบนี้ผมก็เลย รู้สึกแปลกๆขึ้นมา ค่อนข้างตัดสินใจยากที เดียว
          ทำไมน่ะเหรอ ก็การฝึกนี้มันอันตราย แค่ไหนก็ไม่รู้ อาจจะเป็นการฝึกระดับมือ อาชีพก็ได้ใครจะไปรู้
          "ไม่ต้องห่วงหรอก การฝึกนี้ควบคุม โดยเหล่านักปราชญ์แห่งมหาวิหารทั้งเจ็ด เพราะฉะนั้นปลอดภัยแน่นอน"
          "อ่า...งั้นเหรอครับ"
          บอกตามตรงว่าไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ เลยแฮะ
          "เมอร์ซี่ ไม่ลองก็ไม่รู้นะ"
          "เอ๋? จะให้ฉันลองงั้นเหรอ?"
          "น่า~ เผื่อเจอเจ้านั่นอีกจะได้ใช้ไฟจัด การให้อยู่หมัดไง!"
          ไฟมันต้องใช้น้ำจัดการไม่ใช่เหรอ แล้วนี่จะอาฆาตเขาไปถึงไหนละเนี่ย...
          "คุณเมอร์ซี่ฮะ! ไหนๆก็มาแล้ว ลองซักตั้งดูน่าจะดีนะฮะ"
          "เฮ้อ...เอางั้นก็ได้! โธ่~"
          รู้สึกเหมือนโดนกดดันอย่างหนักสุดๆ เลยวุ้ย! ให้ตายเถอะ! ระหว่างนั้นท่านเกธิส ก็เอ่ยขึ้น
          "เอ่อ...ไม่ทำก็ไม่มีใครว่านะ?"
          "ช่างเถอะครับ ผมจะทำ!"
          คงต้องตัดสินใจลงมือทำซักทีแล้วล่ะ
          "อย่าฝืนเลยดีกว่ามั้งเมอร์ซี่?"
          ในที่สุดผมก็เริ่มจะมีน้ำโหแล้ว
          "เธอกวนประสาทฉันเหรอคิฟุโคะ?!"
          "ต๊าย! โกรธเหรอ? ก็แค่เอาคืนเล็กน้อย ๆ--- อ๊าาาาาา!!!! ฮ่าาาาาๆๆๆๆๆ"
          ยังไม่ทันที่เธอจะพูดอะไรจบ ผมก็ใช้ มือทั้งสองข้างจับเอวเธอไว้แล้วจั๊กจี้เธออีก ครั้งเหมือนเมื่อคืนนี้ สัมผัสอันเนียนนุ่มที่ ได้รับจากเอวบางๆสมส่วนของเธอนั้นมันทำให้ผมรู้สึกเคลิ้มจนอยากจะจั๊กจี้เธอต่อไปเรื่อยๆ
          "อ๊าาาา!!! ม่าาาายยยยย~!!! ยอมแล้ว! ฮ่าๆๆๆๆ~!!! ยอมแล้วๆ~!!! ขอโทษ! ฉันขอโทษ!!! ฮ่าๆๆๆๆ!!!!"
          ผมยังคงจั๊กจี้เธอต่อไปเรื่อยๆอย่างเมา มันส์ ตัวผมในตอนนี้คงจะทำหน้าแบบที่ว่า ทำให้เธอหลอนไปทั้งชีวิตได้สบายๆ
          "เธอนี่ยังมีช่องว่างให้ฉันจู่โจมได้ เสมอเลยนะ ถ้าไม่อยากหัวเราะจนท้อง แข็งตายทีหลังก็อย่ากวนประสาทฉัน"
          "อ๊าาาา!!! ไม่แล้วววว~!!! ไม่เอาแล้วววววว~!!! อิย๊า~!!! อ๊าาาาา~!!! ฮ่าาาาาฮ่าๆๆๆๆๆๆ~!"
          "เอ่อ...คุณเมอร์ซี่เบามือหน่อยก็ดีนะ ฮะ"
          "ข้าเห็นด้วยกับเจ้าหนุ่มนี่นะ..."
          "อยากจั๊กจี้สาวแบบเจ้านั่นบ้างจัง..."
          ผู้คนที่อยู่แถวนั้นเริ่มสงเสียงต่างๆนา นา ไม่ว่าจะเป็นดราโก้กับท่านเกธิสที่พยา ยามห้ามผม บัซที่พยายามดันตัวเองให้ลุก ขึ้นจากพื้น เหล่านักบวชที่กำลังมองตาไม่ กะพริบด้วนความเพลิดเพลิน
          ผมยังจั๊กจี้เธอต่อไปจนเธอทนไม่ไหว ล้มลงไปนอนขดอยู่บนพื้นที่ท่าทางเย็นสบายกว่าที่คิดแล้วเริ่มดิ้นไปมาอย่างน่าเวทนา ถึงอย่างนั้นแต่ท่วงท่าของเธอก็น่ารักเสีย ยิ่งกว่าอะไรที่ผมเคยเจอมา
          "อ๊าาาายยยยย~!!! ม่าาายยยยย~!!! ฮ่าๆๆๆๆๆๆ~!!! พอแล้วววว~!!! หยุดซักที ~!!! มว๊าาาาาา~!!! ง๊าาาาาา~!!! อ๊าาาาา~!!!"
          เริ่มจะครางเสียงที่ฟังดูไม่ใช่ภาษา มนุษย์เสียแล้วสิ ผมคิดว่าตัวเองเล่นมาก ไปแล้ว น้ำตาของคิฟุโคะเอ่อคลออยู่ที่เบ้า ตาและไรลงมาราวกับน้ำตกสรวงสวรรค์อันเปล่งประกาย
          "เสร็จฉันจนได้นะคุณนักเวทจอมซน หึๆ"
          ผมถอนมือจากเอวเล็กๆบางๆทั้งสอง ข้างของคิฟุโคะที่กำลังนอนหงายพลางทำ หน้าแดงแย้มปากอย่างเคลิบเคลิ้ม ผมใช้ มือขวาตบเบาๆที่หน้าท้องของเธอสองครั้ง ก่อนจะพูดประโยคนั้นในระหว่างที่เธอพึ่งจะหยุดหัวเราะได้ เธอครางออกมาราวกับ ลูกแมวน้อยที่อ้อนแม่ยังไงยังงั้น
          "อ๋อย~ ฉันกลัวนายสุดๆแล้วตอนนี้..."
          "ก็ไม่แปลกใจอะไร"
          ผมพยุงตัวเธอให้ลุกขึ้น เธอค่อยๆลุก ขึ้นจากพื้นแล้วเดินโซซัดโซเซหนีจากผม ไปนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของทางเดินที่บัซเคยนอนอยู่จนถึงเมื่อครู่ แม้แต่ตอนที่ผมเดิน เข้าไปคุยกับท่านเกธิสเธอก็ยังคงหน้าบาน และหัวเราะออกมาเล็กน้อยแบบที่แม้ตัวเธอเองก็คงจะหยุดไม่ได้
         แหงละ เธอถูกผมจั๊กจี้เข้าไปเต็มๆขนาด นั้น ตอนนั้นเธอหัวเราะราวกับเป็นบ้าไป แล้วโดยที่เธอพยายามจะดีดตัวหนีจากผม แต่เธอก็ทำไม่ได้ แม้แต่จะต่อยผมให้โดน ซักหมัดยังทำไม่ได้เลย
          ทำไมน่ะเหรอ ก็เรี่ยวแรงของเธอจะ หายไปทันทีที่ถูกจั๊กจี้น่ะสิ ผมได้เรียนรู้ เรื่องนี้มาจากการที่ผมกับคิฟุโคะต้องอยู่ด้วยกันเป็นเวลานาน
          "ว่าแต่ ผมต้องทำอะไรบ้างครับ?"
          "เอ่อ...ก็ง่ายๆ แค่ล้มเจ้าโกเล็มนั่นให้ ได้อย่างที่เจ้าเห็นเมื่อครู่นี้นั่นแหละ"
          อย่างที่เห็นเมื่อครู่นี้ก็คือให้ทำเหมือน บัซสินะ ต่อสู้แล้วก็ซึมซับพลังไฟไปด้วย
          "สำหรับเจ้าที่ไม่ใช่สายเปลวเพลิงก็ควร ใช้ลูกแก้วนั่นจะดีกว่านะ"
          ท่านเกธิสชี้มาทางลูกแก้วเปลวเพลิงซึ่ง ตอนนี้อยู่ในครอบครองของผม ผมรู้สึกได้ ว่านักปราชญ์คนอื่นๆที่ยืนดูอยู่ต่างก็ตกใจกันไปตามๆกัน
          "เอ๋? ลูกแก้ว?"
          "นี่ท่านเอาลูกแก้วให้เด็กหนุ่มคนนี้รึ เกธิส?!"
          "ไหนท่านว่ามันเป็นความลับสูงสุดของ ทางวิหารไง?"
          "ใจเย็นก่อนน่าพวกท่าน ก็เขาคนนี้ไง ที่เป็นผู้รวบรวมลูกแก้วกลับคืนสู่อาณาจักรพัลเลเทียน่ะ หลักฐานก็คือดาบอันเปล่ง ประกายนั่นไง"
          ว่าแล้วเขาก็ชี้มาทางดาบของผม นักปราชญ์ที่อยู่ตรงนั้นอีกหกคนต่างตกตะลึงไปตามๆกัน
          "อย่างนี้นี่เอง เข้าใจแล้ว..."
          "พยายามเข้าล่ะเจ้าหนุ่ม"
          "คงผ่านอะไรมาเยอะสินะ ไหนๆก็ไหน ๆ จะลองปรับหลักสูตรให้ก็แล้วกันนะ"
          "อ่า...ครับ"
          ...
          ตอนนี้ สัตว์ประหลาดศิลาอัคคีถูกปลุก ให้ฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครั้ง
          มันเป็นสัตว์ประหลาดที่ถูกสร้างขึ้นจาก เวทมนต์ดังนั้นจึงไม่มีชีวิต พยายามจะคิด อย่างนี้เหมือนกันแต่ก็อดรู้สึกกลัวมันไม้ได้เมื่อต้องมายืนต่อหน้าโกเล็มไฟตัวนี้
          "โออออออ"
          "หวา...แค่เสียงก็จะปลิวแล้วแฮะ"
          "พยายามเข้าเจ้าหนู!"
          มีเสียงๆหนึ่งดังขึ้นมาจากใครซักคน ในเหล่าเจ็ดปราชญ์ที่กำลังส่งพลังไปยังโกเล็มเพลิงนั่น มันคำรามอย่างอาจหาญ
          "จำไว้นะ วิธีสู้คือต้องซึมซับพลังจาก มันมาแล้วโจมตีกลับไปเท่านั้น"
          "ครับๆ...จะจำไว้ครับ..."
          โกเล็มเพลิงส่งเสียงคำรามอีกครั้ง มันมุ่งหน้าเข้ามาทางนี้แล้วต่อยเข้าใส่ผม
          "ฮึบ!"
          ผมกระโดดขึ้นสูงแล้วใช้ดาบไรริวแทง ลงไปยังส่วนที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นหลังมือของเจ้าสัตว์ประหลาดทั้งอย่างนั้น แต่มัน กลับแทงไม่เข้า เสียงที่ฟังไม่รื่นหูเท่าไหร่ ดัง'แก๊ง'ก้องกังวาลไปทั่วทั้งห้อง
          "ว่าแล้วเชียว ใช้ดาบไม่ได้สินะ ฮึบ"
          เจ้าปีศาจยกมือข้างที่ต่อยมาขึ้นราวกับ จะปัดให้ผมร่วงลงไป ผมจึงกระโดดขึ้นอีก ครั้งแล้วลงมาที่พื้นโดยปรับร่างกายให้อยู่ในท่าที่จะได้รับความเสียหายน้อยที่สุดหากตกจากที่สูง
          "งั้นก็คงมีแต่ต้องซึมซับพลังไฟมาสินะ "
          ก๊าาาาซซซซ!!!
          เสียงคำรามนั่นราวกับตั้งใจจะให้มันส่ง ไปยังทุกๆคนในวิหาร ตัวของมันเปล่งประ กายสีแดงชาด แล้วทันใดนั้นปากของมันก็ เริ่มส่องประกาย
          "เหวอ!"
          เสาแสงสีแดงเพลิงปรากฏออกมาจาก ปากขนาดใหญ่ของเจ้าสัตว์ประหลาด แต่ ถึงกระนั้นผมกลับมัวแต่ตกใจจนรีบพุ่งตัวไปด้านข้างเพื่อหลบลำแสงนั้น
          "ใช้ลูกแก้วเพลิงนั่นสิ!"
          "คะ ครับ!"
          เส้นแสงที่ส่องประกายอยู่รอบตัวของ โกเล็มเปล่งประกายราวกับสายโลหิต รอบ ตัวปกคลุมไปด้วยไอเพลิง มันก็กำลังจะ พ่นไฟออกมาอีกครั้งนึง
          ผมรีบหยิบลูกแก้วเพลิงที่ได้รับมาจาก ท่านเกธิสขึ้นมาไว้ในมือ เฝ้ารอจังหวะที่จะ ใช้มันต่อกรกับเจ้า
          "มาแล้ว!"
          ในที่สุดลำแสงสีแดงเพลิงก็พุ่งออกมา อีกครั้ง คราวนี้ผมชูลูดแก้วในมือขึ้นสูง เพื่อดูดซับพลังจากเปลวเพลิง
          ลูกแก้วในมือเปล่งประกายสาดแสงแรง กล้า ไม่ช้าเสาแสงสีแดงเพลิงนั้นก็เข้ามา วนเวียนอยู่รอบตัวผมและจางหายเข้าไปในลูกแก้ว
          "โอ้!"
          "สุดยอดไปเลยฮะคุณเมอร์ซี่!"
          "เจ้านั่นก็ใช่ย่อยนะเนี่ย"
          คิฟุโคะ ดราโก้ และบัซที่ยืนดูอยู่ริม ห้องต่างส่งเสียงดังเซ็งแซ่ที่ผมซึ่งยืนอยู่ ไกลจากพวกเขาจับใจความไม่ได้
          "โห! เส้นผมเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยละ"
          "อะไรนะ?!"
          มีแค่ประโยคนั้นของคิฟุโคะเท่านั้นที่ ผมจับใจความได้ ผมรีบใช้มือซ้ายจับที่ ปลายเส้นผมของผมเพื่อดูให้แน่ชัด มันยาวพอสมควรจึงพอจะสามารถมองเห็นมันในระดับสายตาของผมได้
          เป็นอย่างที่เธอว่าจริงๆ เส้นผมของตัว เองที่ผมเห็นนั้นตอนนี้กลายเป็นสีแดงเพลิง บางทีตาสีฟ้าของผมก็อาจจะเปลี่ยนไป ด้วยเหมือนกัน
          "นี่มันบ้ากันใหญ่แล้ว..."
          "เมอร์ซี่! ระวัง!"
          ฉับพลันเจ้าโกเล็มก็ต่อยมาด้วยกำปั้น หินอัคนีนั่น รวดเร็วเสียจนผมเกือบจะหลบ ไม่ทัน
          "ไหนๆก็ไหนๆ ลองโจมตีกลับบ้างแล้ว กัน"
          ผมลองเกร็งกำปั้นเร่งพลังไปยังหมัด ขวา เปลวเพลิงสีแดงฉานลุกไหม้อยู่บนมือ ข้างนั้นอย่างง่ายดาย แม้จะรู้สึกร้อนแต่ก็ ไม่ได้มีความรู้สึกว่าจะไหม้มือเลย
          "ย้าก!"
          พอต่อยมันออกไป ลูกไฟขนาดย่อมๆก็ พุ่งออกไปยังเบื้องหน้าและพุ่งเข้าชนเจ้าโกเล็มนั่น สร้างความเสียหายให้ได้บ้าง เหมือนกัน
          "โฮฮฮกกกกก!!!"
          "ไม่ต้องร้องๆ เดี๋ยวจะค่อยๆทยอยส่ง คืนให้ก็แล้วกัน"
          มันร้องคำรามราวกับโกรธจัดและเริ่มวิ่ง มาทางนี้ด้วยความเร็วมากกว่าที่คิด
          "เริ่มจะสู้เป็นแล้วสินะเจ้าหนู"
          ท่านเกธิสยืนชมการฝึกฝนนี้อยู่ข้างๆ คิฟุโคะ ในที่สุดก็พอจะจับทริคการต่อสู่กับ เจ้านี่ได้แล้ว คือซึมซับพลังแล้วโจมตีกลับ ไป
          ผมเริ่มวิ่งไปรอบๆ จากนั้นก็เริ่มเปิด ฉากต่อสู้กับเจ้าโกเล็มอย่างจริงจัง

          ***

          "โอออออ"
          "ไม่ได้กินหรอกน่า!"
          หมัดแล้วหมัดเล่าที่โกเล็มปล่อยออกมา แต่เมอร์ซี่ก็หลบมันได้ทุกครั้ง
          "เมอร์ซี่สู้ๆ!!!"
          "คุณเมอร์ซี่! ล้มเจ้านั่นให้ได้นะ!"
          "พวกเธอ เบาๆหน่อยสิ"
          คิฟุโคะและดราโก้ส่งเสียงเชียร์อยู่ริม โถงอย่างสุดกำลังโดยมีบัซคอยปราม
          "อืม...ถึงจะใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่ไม่บาดเจ็บเลยแบบนี้ถือว่าใช้ได้ทีเดียว"
          หัวหน้าเหล่าปราชญ์แห่งมหาวิหาร มาร์ส'เกธิส บลาเคนไวท์'กล่าวชื่นชม
          "เห็นมั้ยละคะ! เมอร์ซี่น่ะใครก็กินไม่ ลงหรอก"
          "จ้าๆ เธอเชียร์เขามากไปแล้วนะ ไหนว่าไม่ชอบหน้าเจ้านั่นไง"
          "เรื่องของฉันสิ!"
          ในระหว่างที่คิฟุโคะกับบัซถกเถียงกัน เล็กน้อย เมอร์ซี่ก็กระโดดขึ้นไปอยู่บน ไหล่ของเจ้าโกเล็มตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจ รู้ได้ ดาบในมือของเขาเปล่งประกายสีแดง เพลิง
          "ย้าาากกก!!!"
          "ก๊าาาาซซซซซซซ!!!"
          สัตว์ประหลายศิลาเพลิงร้องอย่างเจ็บ ปวดราวกับว่ามันมีชีวิตมีความรู้สึก บนตัว ของมันเต็มไปด้วยบาดแผลที่เกิดจากดาบไรริวที่ใช้พลังไฟนับไม่ถ้วน แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้ทำให้มันอ่อนกำลังลงไปเท่าไรนัก
          เมอร์ซี่ลงมาที่พื้น หันหลังให้กับด้าน หลังของเจ้าปีศาจพลางสะบัดดาบฟันขาทั้ง สองข้างเป็นแผลใหญ่จนท่อนขาของมันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
          "ว้าว!"
          "คุณเมอร์ซี่เท่ไปเลยฮะ!"
          "เฮอะ ก็งั้นๆ"
          ริมโถงเริ่มส่งเสียงดังเซ็งแซ่ขึ้นมาอีก หน แต่คราวนี้เมอร์ซี่ไม่สนใจจะฟังมัน สมาธิจดจ่ออยู่กับศัตรูไร้ชีวิตเบื้องหน้า
          "โฮฮฮกกกกก!!!"
          "วะ เหวอ!!!"
          แต่ถึงส่วนขาของมันจะถูกทำลายไป แต่ไม่นานนักมันก็กลับมาใหม่เหมือนไม่มี อะไรเกิดขึ้น
          "อืม ตัวเล็กลงงั้นเหรอเนี่ย"
          แต่ขนาดตัวอันมโหราฬของมันกลับ หดเล็กลงจนเหลือแค่สามในสี่จากเดิม
          "ระวังล่ะ ถ้าปล่อยไว้นานเกินไปมันจะ ขยายใหญ่ขึ้นเหมือนเดิม"
          "เอ๋? งั้นเหรอครับ"
          เมอร์ซี่จับดาบไว้แน่นอีกครั้งแล้วสะบัด อย่างแรง
          "ก๊าาาซซซ!!!"
          แขนซ้ายขวาของมันถูกสะบั้นจน แหลกไม่มีชิ้นดีด้วยพลังของมันเอง ถ้าหากมันมีความรู้สึกคงจะรู้สึกเสียหน้าอย่างหนักทีเดียว
          ไม่ช้าแขนของมันก็งอกออกมาใหม่ แต่ขนาดตัวของมันเล็กลงจนใหญ่กว่าเมอร์ซี่แค่ประมาณครึ่งเมตรเท่านั้น
          "ในเมื่อทำยังไงก็ไม่ยอมล้ม งั้นก็คง ต้องเล็งจุดจายสินะ"
          บนตัวของโกเล็มศิลาเพลิงมีจุดที่ เมอร์ซี่คาดว่าเป็นจุดตายอยู่สองแห่ง หนึ่งคือผลึกสีเหลืองกลางหน้าผากเหนือตาสีเหลืองทองที่กำลังเปล่งประกายของมัน สองคือจุดศูนย์กลางของหินก้อนที่ใหญ่ที่สุดหรือก็คือลำตัวของมันซึ่งเมอร์ซี่เฉือนมันขาดไปทีละเล็กทีละน้อยจนความหนาของลำตัวบางลงอย่างเห็นได้ชัด แสงสีเหลือง เปล่งประกายอย่างแรงกล้ายิ่งกว่าส่วนใดบนร่างกายของมันเป็นหลักฐานอย่างชัดเจนว่าแกนพลังงานอยู่ไม่ไกลแล้ว
          "เอาละนะ!!!"
          เมอร์ซี่ตั้งดาบให้อยู่ในท่าเตรียมแทง แล้ววิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว เป้าหมายของ เขาคือศูนย์กลางของลำตัวของเจ้าปีศาจโกเล็มที่ไร้ชีวิตตัวนี้
          แต่ทว่า...
          "โอ๊ะ!"
          ดาบของเขาถูกแขนที่เล็กลงจนน่าสม เพชของโกเล็มศิลาเพลิงจับเอาไว้ มันกำ ไว้แน่นจนน่ากลัวว่าใบดาบจะงอ
          "หวาย! แย่ละสิ!"
          "อ๊ะ! ระวังฮะ!"
          "ว้าาากกกก!!!"
          โกเล็มสะบัดดาบของเมอร์ซี่ทิ้งไป ดาบ ปลิวไปปักอยู่บนพื้นไม่ไกล้ไม่ไกลจากจุดที่บัซยืนอยู่มากมายนักชนิดที่ว่าถ้าบัซหลบ ไม่ทันอาจถูกแรงกระแทกจากดาบที่ปักลง บนพื้นจนปลิวไปติดกำแพงก็เป็นได้
          "อึ๋ย..."
          เมอร์ซี่ศูนย์เสียดาบไปแล้ว หากจะวิ่ง ไปเก็บก็คงจะไม่ดี เขายืนแข็งทื่ออยู่เบื้อง หน้าปีศาจศิลาเพลิง
          "โฮฮฮกกกกกก"
          "วะ ว้าาากกกกก"
          เมอร์ซี่เค้นพลังเต็มที่ใช้แขนปกป้องตัว เองจากหมัดของปีศาจศิลาเพลิง ไม่นาน ร่างของเขาก็ถูกแรงกระแทกพัดไปตกที่อีก ฟากหนึ่งของห้อง
          "อึก...แย่แล้วเรา"
          "ก๊าาาซซซซซ!!!"
          ระหว่างเมอร์ซี่และโกเล็มศิลาเพลิงนั้น ห่างกันพอสมควร หากจะวิ่งไปหามัน เมอร์ซี่คงต้องเสียเวลาหลายนาที
          แต่คนที่วื่งมากลับเป็นเจ้าปีศาจโกเล็ม
          "โอ๊ะ!"
          เมอร์ซี่สังเกตเห็นว่าสีข้างด้านซ้ายของ มันบอบช้ำเต็มที บางทีแค่ต่อยก็คงจะ ทำลายมันได้ไม่ยาก
          "อย่างนี้นี่เอง นานๆทีลองทำอะไร พิเรนๆบ้างก็น่าจะเหมือนกันนะ"
          ทันใดนั้นเอง...
          "อะ อะไรกันน่ะฮะ?"
          "เจ้านั่น..."
          "เมอร์ซี่! ทำบ้าอะไรของนายยะ?!"
          เมอร์ซี่ที่ลุกขึ้นยืนได้กลับหลังหันไป มองกำแพง ช่องว่างเปิดโล่งเต็มไปหมด มีเพียงเสียงและแรงสั่นสะเทือนเท่านั้นที่เป็นเบาะแสให้เมอร์ซี่โจมตีมันได้
          "ดะ เดี๋ยวก่อนนะฮะ นั่นอะไรน่ะ?"
          "เอ๋?"
          "นั่นมัน..."
          ประกายไฟหมุนเวียนไปทั่วร่างกาย ของเมอร์ซี่และไหลไปรวมกันที่เท้าขวา
          "3..."
          โกเล็มวิ่งเข้ามาใกล้เมอร์ซี่เรื่อยๆ เขาหลับตาลงรวบรวมสมาธิ
          "2..."
          ทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ มีเพียง เสียงโกเล็มกับเสียงเมอร์ซี่นับถอยหลังเท่านั้น
          "1..."
          "ก๊าาาซซซซซซ!!!"
          ปีศาจศิลาเพลิงวิ่งมาถึงข้างหลังของ เขาในไม่กี่อึดใจและกำลังจะฟาดแขนขวา เข้าใส่ แต่ทว่า...
          ลูกเตะเพลิงอัคคี(Flaming Kick)
          เสียงนั้นเปล่งประกายอย่างเงียบๆ เมอร์ซี่หมุนตัวด้วยเท้าซ้าย ตวัดเท้าขวา ฟาดไปยังสีข้างของเจ้าโกเล็ม
          เปรี้ยงงงงง!!!!!!
          ลูกเตะเปลวเพลิงนั่นกระแทกกับสัตว์ ประหลาดศิลาเพลิงนั้นอย่างเต็มกำลัง ใน จังหวะที่เมอร์ซี่หมุนตัวกลับมาอยู่ในท่าเดิม พลางนั่งยองๆราวกับจะพักจากการเตะที่เต็มแรงนั้น ปีศาจศิลาเพลิงก็ระเบิดอย่างแรง และแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ก่อให้เกิด ไอของเวทเพลิงคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
          "โอ้!!!"
          "สุดยอดเลยฮะคุณเมอร์ซี่!!!"
          "เท่สุดๆไปเลย! นายทำได้เหมือนกว่า ฉันอีกอ้ะ! ต้องขอโทษที่เตะนายเมือคืน เลย!"
          ท่ามกลางกลุ่มควันที่คละคลุ้ง เมอร์ซี่ ค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆและชี้นิ้วชี้ขวาขึ้น เพดานราวกับจะประกาศชัยชนะ
          ...
          "งั้นเหรอ ที่แท้ลูกแก้วนั่นท่านเกธิสก็ เป็นคนเก็บไว้นี่เอง ก็น่าจะบอกกันซัก หน่อยบ้างสิครับ..."
          "ที่จริงฉันตั้งใจว่าจะไม่บอกใครเลย ด้วยซ้ำนะนั่น แล้วอีกอย่างถ้าเจ้ารู้แล้ว เที่ยวโม้ไปทั่วแล้วจะว่ายังไงหา?"
          "ผมไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า!"
          หลังการต่อสู้จบลง เกธิสและบัซต่างถก กันเล็กน้อยถึงเรื่องที่เกิด
          เมอร์ซี่สามารถล้มโกเล็มศิลาเพลิงลง ได้ และได้รับลูกแก้วเพลิงไปเป็นที่เรียบ ร้อยท่ามกลางความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจในการเอาชนะโกเล็มตัวนั้นได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่สู้ด้วย
          "แล้ว...พวกเธอจะไปไหนต่อล่ะ?"
          "ตั้งใจว่าจะกลับไปพักที่โรงแรมอีกวัน น่ะค่ะ"
          คิฟุโคะตอบเสียงใสโดยไม่ได้ดูสีหน้า ของเมอร์ซี่เลย
          "อะไร? จะพักอีกวันเหรอ เงินฉันเหลือ น้อยแล้วนะ"
          "อะ เอ๋? จริงดิ?!"
          คราวนี้คิฟุโคะเองก็เริ่มจะหน้าซีดขึ้นมา แต่ระหว่างนั้นเกธิสก็หัวเราะลั่น
          "ฮ่าๆๆๆ ไม่ต้องห่วงๆ พระราชาจากอาณาจักรของเธอฝากเจ้านี่มากับสาส์นแจ้ง ด้วยนะ ตอนที่พวกเราได้รับสาส์นมานี่ก็ ตกใจแทบแย่แน่ะ"
          สาส์นนั้นดูเหมือนจะไม่ได้ส่งมาถึงมือ ของเกธิสตั้งแต่แรกทบางทีอาจจะไปถึง กษัตริย์ของพิวเทอร์เนี่ยนก่อนจะถูกนำมา ให้เหล่านักบวชในวิหารนี้ก็เป็นได้
          เกธิสยื่นซองๆหนี่งให้ดู และเมื่อเมอร์ซี่ รับมาอย่างไม่เข้าใจนักก็ถึงกับตกตะลึง
          "นี่มัน?!"
          "เงินตราสากลของภูมิภาคนี้ยังไงล่ะ อย่างที่เจ้ารู้นั่นแหละ มันค่อนข้างมากมาย ทีเดียวล่ะ"
          "หวาว! เงินเต็มไปหมดเลยฮะ!"
          "เท่านี้ก็หมดปัญหาแล้วใช่มั้ยเมอร์ซี่?!"
          คิฟุโคะดูกระตือรือร้นขึ้นมาสุดๆ เมอร์ซี่ตอบด้วยน้ำเสียงแห้งๆกลับไปว่า
          "ก็นะ ก็แล้วแต่เธอละกัน"
          "ไชโย! งั้นก็ต่ออีกซักคืนนะ กำลัง อยากกินเค้กนั่นอีกพอดี นายช่วยพาฉันไป ดูที่ร้านหน่อยได้มั้ย?"
          "ได้อยู่แล้ว ถ้าจำทางไปได้นะ"
          "อะไรกัน ต้องจำได้สิ!"
          "ครับๆ เข้าใจแล้วครับ"
          ระหว่างที่เมอร์ซี่กำลังคุยกับคิฟุโคะนั้น เอง เกธิสก็เอ่ยขึ้นมา
          "เด็กๆ หลังจากออกจากที่นี่ไปก็ระวัง ตัวกันหน่อยนะ ตอนนี้ข้าได้ข่าวมาว่ากอง โจรกระจายกำลังกันออกไปยังอาณาจักรต่างๆเต็มไปหมด ค่อนข้างอันตรายเลยล่ะ"
          ปราชญ์และนักบวชสูงสุดแห่งมหาวิหาร กล่าวเตือนพวกเมอร์ซี่
          "แต่พวกเธอก็มีฝีมือพอตัว คงจะพอ ป้องกันตัวได้ละนะ"
          "ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ จะระวังก็ แล้วกันนะครับ"
          "อืม! ดี แล้วก็..."
          ในตอนนั้น เสียงที่ท้ายประโยคนั้นก็ เบาลงราวกับลังเลใจเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงดังกังวาล
          "บัซ ฉันอยากให้นายออกเดินทางไป กับพวกเขาด้วย"
          "เอ๋?"
          "ห่ะ?"
          "ห๊ะ?!"
          "ครับ?!"
          เสียงร้องอย่างตื่นตกใจของทั้งสี่คนดัง ขึ้นพร้อมๆกัน เป็นเสียงจองบัซ ดราโก้ คิฟุโคะและเมอร์ซี่ตามลำดับ
          "นายรู้เส้นทางภูมิประเทศต่างๆดีสินะ เมอร์ซี่ ถ้าเธอพาเขาไปด้วยเธอก็จะรู้จัก เส้นทางมากขึ้นนะ บัซเคยเดินทางไป หลายที่ น่าจะช่วยพวกเธอได้"
          "ยินดีอย่างยิ่งครับท่านเกธิส!"
          "อ่า...ครับ..."
          "แต่เตือนไว้ก่อนนะ อย่าเอาแต่มอง สาวจนเสียงานเสียการล่ะ ฉันให้นายไป ช่วยนำทางพวกเมอร์ซี่เขานะไม่ใช่ไปจีบ สาว"
          "ครับ! วางใจได้เลย!"
          น้ำเสียงนั่นฟังแล้วมั่นใจได้เลยว่าจะ ไม่รักษาสัญญา
          "ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้ก็ฝากตัวด้วยนะ เมอร์ซี่ คิฟุโคะ แล้วก็ดราโก้ด้วยนะ"
          "อืม ฝากตัวด้วย"
          "ชิ! ฝากตัวด้วยย่ะ!"
          "ฝากตัวด้วยนะครับ!"
          และแล้วเมอร์ซี่ก็ได้เพื่อนร่วมทางมา อีกหนึ่งคน
          วันนั้นเมอร์ซี่ คิฟุโคะ และดราโก้ตัด สินใจพักอยู่ที่พิวเทอร์เนี่ยนอีกวันหนึ่ง ส่วนบัซเองก็กลับไปเตรียมตัวยังที่พักของ ตัวเอง
          คืนนั้นก็เป็นอีกคืนหนึ่งของพวกเมอร์ ซี่ที่พิวเทอร์เนี่ยนที่สงบสุขไม่มีเหตุร้ายใดๆ
          ...
          เมอร์ซี่ตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ หลังจากจัด แจงของเรียบร้อยและลงชื่อคืนห้องพักแล้วคิฟุโคะที่หายไปแต่เช้าก็วิ่งกลับมาหาเมอร์ซี่
          "นี่เมอร์ซี่! ดูสิ! ไมท์ตี้คาเมนอส ภาค การโต้กลับของอันเดดคาเมนอสวางแผง แล้วล่ะ เล่มนี้น่าสนใจสุดๆเลยนะ เห็นว่า พาลาดีนคาเมนอสกับสไนเปอร์คาเมนอส จะได้ร่างสุดยอดด้วย!"
          "เห~! เล่มสองออกแล้วงั้นเหรอเนี่ย? งั้นเดี๋ยวขอยืมอ่านด้วยนะ"
          "ขอดีๆก่อนสิ!"
          "ครับ...ขอกระผมยืมอ่านด้วยนะขอรับ ท่านหญิงคิฟุโคะ"
          เมอร์ซี่ยอมทำตามแต่โดยดี นั่นทำให้ คิฟุโคะหัวเราะออกมา
          "ได้อยู่แล้ว ฮ่าๆ"
          "คุณคิฟุโคะดูร่าเริงมากเลยนะครับ?"
          "แน่นอนสิ ระหว่างทางมาฉันอ่านไป นิดหน่อยแล้วด้วย เห็นว่าแม้แต่ไมท์ตี้คาเมนอสเองก็ได้พลังใหม่มาด้วยล่ะ!"
          "เอ๋? พลังอะไรเหรอ?"
          "ความลับ! นายไปอ่านเองดีกว่า"
          "แล้วกัน..."
          พวกเขาเดินออกจากโรงแรมไปได้ซัก ระยะก็ถึงจุดนัดพบ และที่นั่นเมอร์ซี่ก็ได้ พบกับคนอีกคนหนึ่ง
          "ว่าไงแม่นางน้อย? อยากไปดื่มชากับ ผมมั้ยครับ?"
          "อ่าาาา~~ คือว่าาา~~"
          บัซซึ่งมาถึงก่อนพวกเขาและคาร่าทีกำลังถูกล่วงล้ำสิทธิส่วนบุคคลอย่างแรง
          "ดูท่าทางนายไม่คิดจะรักษาสัญญาเลย สินะ"
          "อ๊ะ! เมอร์ซี่~! ช่วยด้วย~! ใครก็ไม่รู้ มาชวนฉันไปดื่มชาอ่า~"
          เมื่อเห็นเมอร์ซี่ สีหน้าของนักบวชหนุ่ม ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
          "ไง! เมอร์ซี่ นายนี่ควบทีเดียวสองเลย เหรอ? น่าอิจฉานะ"
          ประโยคนั้นทำให้หญิงสาวทั้งสองคนที่ อยู่ข้างๆเมอร์ซี่สะดุ้งเฮือก
          "ไม่ใช่นะ! อย่าเข้าใจผิดสิ!"
          "คนพรรค์นี้ฉันไม่เอาด้วยหรอก!"
          "พรรค์นี้นี่หมายความว่าไงห๊ะ?!"
          "อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้พูดนะว่านาย เป็นคนยังไงน่ะ"
          "เออเอาเหอะ!"
          การสนทนาระหว่างหนุ่มสาวดำเนินต่อ ไปเล็กน้อย
          และช่วงเวลาสายของวันนั้น พวกเมอร์ ซี่ก็ออกเดินทางจากพิวเทอร์เนี่ยน

    [ตัวอย่างตอนต่อไป]
          "อะไรกันเนี่ย?!"
          "อะ อ๊าาาา!!! สัตว์พิทักษ์เต็มไปหมด เลย!!! ยะ แย่แล้ว!!!"
          ฉันถึงกับกลัวจนตัวสั่นเมื่อถูกสัตว์ พิทักษ์ล้อมไว้จากทุกทิศทุกทาง มันมี จำนวนมากเสียจนน่าขนลุก
          "ใจเย็นก่อนคิฟุโคะ! มานี่เร็ว!"
          "อะ อ๊ะ!"
          ขาของตัวเองกำลังออกวิ่งสุดฤทธิ์ตาม เมอร์ซี่ไปด้วยความเร็วพอๆกับเจ้าหมอนั่น
          แต่มันไม่ใช่ความเร็วที่ฉันเร่งเอง เท้า ของฉันขยับไปเพราะตอบสนองต่อความเร็วของแรงที่กำลังกระชากฉันให้ไปด้วยกัน
          "ปะ ปล่อยนะเมอร์ซี่! ฉันวิ่งเองได้นะ!"
          มือซ้ายของเจ้านั่นคว้าข้อมือขวาของ ฉันเอาไว้แน่นแล้วเริ่มออกวิ่ง นั่นเป็น สาเหตุให้ฉันต้องวิ่งตามอย่างช่วยไม่ได้
          "นะ นายคิดจะทำอะไรน่ะ!"
          "ก็จะฝ่าเจ้าพวกนี้ออกไปไง!"
          เมอร์ซี่ชักดาบของตัวเองออกมาด้วยมือ ขวาและวิ่งเข้าใส่ฝูงสัตว์พิทักษ์ เพียงแต่ ว่าถ้ามันจะไม่ใช่ตัวที่เฝ้าอยู่ในเขตน้ำล่ะก็...
          เมอร์ซี่ฟันดาบอย่างแรงทำลายพวก สัตว์พิทักษ์ที่พุ่งเข้ามาอย่างเต็มแรงและพา ฉันวิ่งลึกเข้าไปข้างในเรื่อยๆ
          "นายพาฉันมาทางนี้ทำไม?! นี่มันจะ กลับเข้าไปข้างในอีกนะ!"
          "ดาบสายฟ้าใช้ในน้ำไม่ได้นี่นา ไม่ ต้องห่วง เดี๋ยวเราก็ได้ออกไปข้างนอก แล้ว"
          ไม่รู้จะเชื่อได้มั้ยเลยแฮะ แต่มาถึงขั้นนี้ แล้วก็คงต้องตามเจ้านี่ไปก่อนละ
          พวกเราวิ่งต่อไปเรื่อยๆ เจ้าเมอร์ซี่ก็ฟัน พวกสัตว์พิทักษ์ไปตลอดทาง ยิ่งเข้าไปลึก มันก็ยิ่งออกมามาก
          พวกเรายังคงวิ่งต่อไป ทั้งเร็วและติดต่อ กันเป็นเวลานาน แม้แต่ฉันที่มั่นใจในตัว เองพอสมควรเรื่องความเร็วยังรู้สึกเหนื่อย
          "แฮ่กๆ เมอร์ซี่ นี่เราจะวิ่งไปถึงไหน? อ๊ะ!"
          พวกเรากลับเข้าสู่เขตน้ำอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่เจอใครเลย ทั้งพวกสัตว์ พิทักษ์หรือพวกโจร
          "นะ นี่มัน..."

    [คุยกับคนเขียน]
          เหนื่อย! เหนื่อยมากๆกับบทนี้! ถ้าคุณสังเกตดูอาจจะรับรู้ได้ซักนิดนึงว่าตอนนี้มันยาวกว่าปกติ หลังๆมานี้ผมจะเขียนโดยใช้เนื้อที่สามไฟล์ของแอพสมุดจดในมือถือ หรือก็คือแบ่งตอนตอนหนึ่งเป็นสามพาร์ท แต่ว่าตอนนี้ ตอนที่แปดผมแต่งไปห้าพาร์ท เหตุผลคือมันแต่งเพลินครับ แล้วแต่งไปตั้งนานก็ยังไม่เข้าประเด็นหลักเลยมั้ง กว่าจะเข้าก็ครึ่งหลังๆของพาร์ทสามที่แต่งจบไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นก็เลยอาจจะกลายเป็นว่าเล่าเรื่องไร้สาระไปเรื่อย แต่ก็เพื่ออรรถรสล่ะนะ
          และในตอนนี้เองก็มีีตัวละครใหม่โผล่มาแล้ว ชื่อนั้นคือบัซ เบิร์สเบิร์นเนอร์(Buzz Burstburner) ตอนที่ผมสร้างตัวละครนี้ครั้งแรก(ไม่เชิงสร้างหรอก เดี๋ยวจะบอกว่าทำไม)ผมวางโครงให้มันเป็นนักบวชแห่งไฟเหมือนที่ท่านจะอ่านเจอในตอนนี้นี่แหละครับ แต่ปกติผมเป็นคนชอบวาดรูป และผมก็ได้ออกแบบตัวละครนี้ซึ่งก็ค่อนข้างยาก เพราะไม่รู้ว่าชุดนักบวชควรเป็นแบบไหน แล้วยิ่งเป็นลัทธิที่ตัวเองแต่งเองด้วย ไปๆมาๆมันชักจะหลุดคอนเซ็ปต์ไปเรื่อยๆ และในระหว่างนั้นไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่บัซกลายเป็นนักบวชหน้าม่อเจ้าสำราญที่เที่ยวจีบสาวไปทั่ว เอ้อ! พูดมาถึงตรงนี้ผมต้องกราบขอประทานอภัยเพื่อนผมทั้งสามคนซึ่งเป็นต้นแบบของตัวละครสามตัวที่ปรากฏออกมาในตอนนี้อันได้แก่คิฟุโคะ บัซ และคาร่า กับคาร่านี่ต้นแบบของเธอเป็นเพื่อนผมสมัยม.ปลาย เรียนห้องเดียวกันมาปีนึงแล้วปีนี้ก็ยังอยู่ห้องเดียวกันอยู่ บทบาทที่ออกมาในตอนนี้ยังไม่หลุดจากตัวจริงมากนัก(ถึงจะหลุดไปเยอะก็เถอะ) ที่หนักคือคิฟุโคะกับบัซมากกว่า สองคนนี้มีต้นแบบมาจากเพื่อนผมสมัยประถมปลายซึ่งช่วง ป.6-ม.3 นี้เป็นช่วงที่ผมมีความต้องการอันแรงกล้าที่จะสร้างเรื่องราวของตัวเองเพื่อให้ผู้คนได้ติดตาม แน่นอนว่ายังมีแต่โครงทุกเรื่อง มีเรื่องนี้แหละที่เด่นกว่าใครและได้มีโอกาสเขียนในที่สุด กลับมาเข้าเรื่อง ต้นแบบของตัวละครทั้งสองตัวนี้ในตอนแรกคือเพื่อนของผมสมัย ป.5-ป.6 คิฟุโคะนี่ต้นแบบเขาเป็นเพื่อนสนิทผมเอง ตอนนี้ก็ยังแชทคุยกันบ่อยๆ(แต่เจ้านางอาจจะไม่รู้ตัวว่าผมเคยใช้เธอเป็นต้นแบบตัวละครของผม)ตัวจริงไม่ได้ป่าเถื่อนขนาดในเรื่องนะ และก็ไม่ได้เป็นติ่งของเรื่องที่คุณก็รู้ว่าเรื่องอะไร โทษฮะ พอดีผมพึ่งเริ่มอ่านนิยายชื่อก้องโลกเรื่องนึงก็เลยยืมมาใช้เล็กน้อย เข้าเรื่องต่อ ตั้งแต่ผมตัดสินใจจะให้เธอเป็นนางเอกในเรื่อง ตัวละครที่ชื่อว่าคิฟุโคะ มาโฮสึไคนั้นก็มีพัฒนาการมาเรื่อยๆจนกระทั่งกลายเป็นคนอีกคนหนึ่ง คอนเซ็ปต์ของคิฟุโคะที่ผมวางไว้ในตอนนี้คือเด็กสาวที่มีความร่าเริงสดใสประสาหนุ่มสาวแต่ก็ค่อนข้างหัวรุนแรงและอารมณ์ร้อน แต่นั่นเป็นเพียงบุคลิกหนึ่งของเธอนะครับ เธอยังมีอีกประมาณ 2-3 บุคลิกซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือบุคลิกตอนที่รู้สึกสำนึกผิดหรือเศร้า ที่เหลือยังไม่เปิดเผยแต่ทุกคนคือคิฟุโคะ ไม่ได้แยกออกมาเป็นอีกคนหรือไม่เกี่ยวข้องกัน จะว่าไปมันก็เหมือนแค่อารมณ์แปรปรวนนั่นแหละ เอาล่ะกลับมาเข้าเรื่องกันต่อ ส่วนบัซนี่คาแรคเตอร์ของคนที่เป็นต้นแบบผมเองก็จำไม่ค่อยได้แล้วเพราะไม่ได้เจอกันนานมาก แต่ก็คงจะเหมือนผู้ชายวัยรุ่นทั่วๆไปละมั้ง และคาแรคเตอร์ที่ได้ต้นแบบมาจากเขาผมก็เคยวางไว้ว่าอยากให้เขาเป็นคนที่ฉลาดซึ่งอาจได้เสริมในภายภาคหน้า ตรงนี้อยากจะขอเล่าอะไรเพิ่มเติมซักนิดนึง ตอนสมัย ป.5-ป.6 ผมเคยวาดรูปเป็นการ์ตูนซีรีาย์ที่เพื่อนๆของผมรวมถึงตัวผมเองจะกลายเป็นฮีโร่ที่มีพลังพิเศษ ในตอนนั้นคนที่เป็นต้นแบบของบัซเขาได้ขอให้ผมออกแบบทรงผมให้เขาตามที่เขาต้องการด้วย ลักษณะเป็นภูเขาสามลูกที่ลูกกลางสูงที่สุดอะไรประมาณนั้น ผมยังจำตัวละครนั้นได้และตัวละครตัวนั้นก็เป็นต้นแบบของบัซในยุคแรกด้วย ทีนี้ในเรื่องลักษณะนิสัยของตัวละครที่ปรากฏในตอนนี้ผมต้องขอกราบประทานอภัยกับทั้งสองท่านจริงๆที่ดัดแปลงตัวละครจนพูดได้ไม่เต็มปากว่าได้ต้นแบบมาจากพวกเขา นอกจากนี้นาสึเกะกับฮารูมิเองก็มีต้นแบบมาจากเพื่อนสมัย ป.6 เหมือนกันนะ ฮารูมินี่เจ้าตัวเขารู้แล้วแต่นาสึเกะนี่ทุกวันนี้ยังติดต่อไม่ได้เลย ไม่สิ ไม่เคยคิดจะติดต่อไปหาต่างหาก แต่ว่าสองคนนี้เองก็ไม่ได้มีลักษณะนิสัยแบบในเรื่องนะ ยิ่งนาสึเกะนี่ยิ่งไปกันใหญ่เลย แม้แต่เมอร์ซี่เองก็ยังไม่เหมือนต้นแบบเป๊ะๆเลย ไม่เหมือนเลยดีกว่าเอางี้
          แล้วก็ในตอนนี้มีมุกที่เขียนเพื่อล้อเลียนอยู่ค่อนข้างเยอะทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นมุกของคาเมนอสซึ่งคุณก็น่าจะรู้ว่าล้อเลียนเรื่องอะไรมา เรื่องกะเพราไก่ของเมอร์ซี่ หรือเรื่องมุกเปิดตัวของเมอร์ซี่ในตอนนี้ที่ถ้าใครเป็นแฟนคาเมนอสก็คงรู้ทันทีว่าบีเทิลคาเมนอสที่โผล่มาบ่อยๆในตอนนี้ผมหมายถึงใคร รวมถึงเดคเคดคาเมนอส ไมท์ตี้คาเมนอส พาลาดีนคาเมนอส สไนเปอร์คาเมนอส และอันเดดคาเมนอสก็ไม่น่าเดายากนัก ยังไงซะก็ขอให้ใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ
          เนื้อเรื่องในตอนต่อไปขอกลับไปดูแผนที่วางไว้ก่อนว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ที่แน่ๆหลังจากนี้พวกเมอร์ซี่จะออกเดินทางไปยังอาณาจักรเซรูลีน่าซึ่งเรียกได้ว่าเป็นนครแห่งสายน้ำในภูมิภาคนั้นเลยทีเดียว และที่นั่นเขาก็จะได้เพื่อนร่วมทางมาอีกคนซึ่งก็ได้ต้นแบบมาจากเพื่อนสมัย ป.5-ป.6 ของผมเช่นกัน แน่นอนว่าดัดแปลงไปเยอะแล้ว และที่สำคัญคนคนนี้ยังเป็นเพื่อนสนิทของคิฟุโคะทั้งในเนื้อเรื่องของผมและในโลกจริงด้วยนะ แต่ก็ไม่ได้คุยกันนานแล้วเหมือนกันเพราะงั้นคงตอบไม่ได้ว่าเธอเป็นคนยังไง แต่ผมก็พอจะสนิทกับเขาอยู่บ้าง พูดถึงเรื่องนี้แล้วเดิมทีคาร่าซึ่งอยู่ในหมวดตัวละครที่ได้ต้นแบบมาากเพื่อนสมัยม.ปลายควรจะไปโผล่ในภาคหกนะ แต่ถึงตอนนั้นผมก็คงจะลำบากในการจัดบทบาทเหมือนกัน เพราะงั้นก็ให้ทยอยโผล่มาดีกว่า
          เอาล่ะคงได้เวลาแล้ว ก็ขอจากไปแต่เพียงเท่านี้ ตอนหน้าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรก็ขอให้ติดตามชมกันด้วยนะครับ สวัสดีครับ!

    วันที่ลง : 17/5/60
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×