The Sorrow - The Sorrow นิยาย The Sorrow : Dek-D.com - Writer

    The Sorrow

    บางสิ่งก็ยากที่จะลืมเลือนไปจากหัวใจ บางครั้งยิ่งอยากลืมยิ่งจดจำมันมากขึ้น

    ผู้เข้าชมรวม

    85

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    85

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  30 ก.ย. 54 / 14:37 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
     
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
            ถนนที่แสนเงียบงันในวันธรรมดาที่มีไม่อะไรน่าจะจดเสียเท่าไหร่และเปียกปอนด้วยน้ำฝน ผมได้กลิ่นอ่อน ๆ ของฝนและพื้นถนนปะปนกันซึ่งมันไม่เข้ากันเลย หากเปรียบเทียบกับกลิ่นของดินกับฝนที่มันเข้ากันได้อย่างดีราวกับทั้งสองสิ่งถูกสร้างขึ้นมาให้เข้าคู่กันเพื่ออย่างเดียว ข้างถนนหันทางไร้ซึ่งผู้คนและรถราเพราะไม่มีใครชอบออกมาเดินตากฝนแบบนี้แน่นอนซึ่งไม่รวมถึงตัวผม สายฝนเป็นสิ่งที่ทำให้ผมไม่ลืมเลือนในสิ่งที่เคยสำคัญกับผมมาก ถึงในตอนนี้สิ่งสำคัญที่ผมว่านั้นจะไม่ได้คงอยู่บนนี้อีกต่อแล้วก็ตาม สายฝนจึงเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมระลึกได้ว่าเคยมีสิ่งสำคัญนั้น มันเป็นเหมือนกับนาฬิกาที่คอยปลุกเตือน เหมือนกับโน๊ตที่จดใส่กระดาษกันลืม

           มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ลืมเลือนง่ายดังนั้นจึงต้องมีบางสิ่งมาค่อยเตือนไว้ว่าเคยที่จะทำสิ่งใดมากก่อน เคยที่จะรักใครมาก่อน เคยที่จะไปเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ มาก่อน และเคยมีใครสักคนที่ไม่สามารถจะลืมเลือนได้ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่สามารถจะลืมเลือนสิ่งสำคัญของผมเมื่อนานมาแล้วไปได้ มันต่างตรงที่ว่าแม้จะพยายามที่จะลืมมันเท่าไรความทรงจำนั้นมันยิ่งจะเด่นชัดขึ้นและมันรู้สึกเจ็บปวดหากลืมมันไป ผมจึงลืมมันไม่ได้ ถึงมันจะเป็นความทรงจำที่ทำให้มีความสุขขณะเดียวกันมันก็เจ็บหัวใจทุกทีเวลาคิดถึง 

           ซากของตุ๊กตากลที่ถูกทิ้งไว้ข้างถังขยะดูไม่น่าสนใจ ทว่ากับต้องสะดุดตากับดวงหน้าสวยของมัน ตุ๊กตาเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์เพลินเพลิด แต่พอเบื่อพวกมันก็ถูกทิ้งอย่างไร้ค่าไม่ตามจากขยะ ไม่ใช้เพียงตุ๊กตา ทว่าสิ่งอื่น ๆ ที่ทำให้มนุษย์มีความสุขก็ถูกทอดทิ้งเช่นเดียวกันนั้นก็มากมายไม่แพ้กัน เพียงแค่ว่าเบื่อก็ถูกทิ้งอย่างง่ายดายราวกับว่าสิ่งพวกนั้นไม่เคยมีค่าใด ๆ ต่อพวกเขาเลย ทั้งที่มันสามารถทำให้พวกเขามีความสุขแท้ ๆ

           ดวงหน้าของตุ๊กตาดูเผิน ๆ จะเรียบเฉย แต่นัยน์ตาของมันกับดูโศกเศร้าเหมือนเด็กที่ถูกทิ้งให้หลงทาง แต่ไม่พบใครเลยนอกจากคนแปลกหน้าและความเงียบเหงา ผมเบือนหน้าหนีด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถจะตอบได้ว่า เศร้าหรือโกธรกันแน่ ในอกผมหัวใจเต้นด้วยจังหวะที่ถี่ขึ้นเล็กน้อย รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างจุกที่ลำคอและข้างในอกเหมือนกับถูกกดเอาไว้จนแน่นอึดอัด  ร่างกายยืนนิ่งสงบราวกับกำลังสวดมนตร์ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ ทว่าในใจผมเพียงแค่ภาวนาขอให้ตุ๊กตาตัวนี้มีความสุขก็เท่านั้น

           ท่ามกลางถนนที่ไร้ผู้คนและเสียงฝนกับปรากฏร่มสีแดงคันหนึ่งกับผู้ เด็กสาวอายุราว 17 ปี สูงระหงส์ เรือนผมสีดำยาว กระทบแผ่นหลังเบายามเดิน นัยน์ตาสีฟ้ากวาดมองสิ่งแวดล้อมรอบข้างราวกับว่ากำลังหาบางสิ่งบางอย่าง เธอสบตากับผมขณะที่เดิน เอียงคอเล็กน้อย ผมรู้สึกได้ถึงบางอย่างข้างในตาสีฟ้าคู่นั้น เธอไม่เหมือนกับคนธรรมดาที่ผมเคยพบเจอทั่วไป เธอแตกต่างและพิเศษกว่านั้น เด็กสาวก้าวเท้าเดินต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอเดินผ่านหน้าผมไปเหมือนกับว่าผมไม่มีตัวตน เดินตรงเข้าไปหาตุ๊กตาที่ถูกทิ้งไว้ข้างถังขน แววตาที่เธอมองมันเหมือนกับแม่ที่มองดูลูกด้วยความรักใคร่ เธอลูบหัวตุ๊กตาอย่างแผ่วเบา

           “ เด็กน้อยเธอถูกทิ้งใช่ไหม เธอเจ็บปวดหรือเปล่า ” น้ำเสียงอันอ่อนโยนถามขึ้น เด็กสาวโน้มต่ำลงจับข้อมือของตุ๊กตา

           “ ไม่เป็นไรนะไม่ต้องห่วงเธอจะไม่เหงาอีกต่อไปแล้ว ฉันจะอยู่กับเธอเอง ” คำพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกว่าคล้ายกับเป็นเวทมนตร์บางอย่างที่แสนจะอบอุ่นทำให้มีกำลังใจอีกครั้ง  เสียงบางอย่างดังมาจากตุ๊กตาหลังจากที่เด็กสาวกล่าวจบ เสียงของฟันเฟื่องกำลังทำงาน แต่มันกลับลื่นหูผิดกับสภาพที่ผุพังของตุ๊กตา เสียงเสนาะลื่นหูราวกับว่ามันได้เกิดใหม่อีกครั้ง นิ้วของตุ๊กตากระดิกน้อย ๆ มันค่อยใช้มือยันร่างของมันลุกยืน เด็กสาวยังจับมืออีกข้างของมันไม่ปล่อย   เธอเฝ้าดูมันยืนขึ้นด้วยความยินดีเหมือนมองลูกกำลังหัดเดินด้วยตัวเอง

           “ นับจากนี้เป็นต้นไปฉันจะเรียกเธอว่า ไนล่า ” ตุ๊กตาพะงกหัวและยิ้มอย่างดีใจ ออกเดินไปพร้อมกับเด็กสาวใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ผมมองเด็กสาวเดินจูงมือกับตุ๊กตาใต้ร่มสีแดงด้วยความตื้นตันเล็กน้อยจนร่างของทั้งสองหายไปตรงมุมถนน ผมก็ยังรู้สึกอบอุ่นลึก ๆ ในอกอย่างน่าประหลาด

       

           ภาพนั้นยังคงเด่นชัดในความทรงจำทั้งที่มันไม่ได้สำคัญกับผมแท้ ๆ แต่ไม่สามารถที่จะลืมมันไปได้ ผมเดินเหยียบบนพรมที่ถูกปูนไว้บนทางเดินด้วยรองเท้าที่เปียกโชก คนเดินข้าง ๆ มองผมด้วยความรังเกียจน้อย ๆ ที่แสดงออกจากสายตา เขาเป็นคนเจ้าระเบียบ ไม่ชอบสิ่งที่แตกต่างจากแบบแผนที่ถูกวางเอาไว้ ตรงกับผมที่เป็นคนชอบทำอะไรต่างจากแบบแผนอะไรนั้นเหลือเกิน ผมไม่ชอบสิ่งที่เรียกว่ากรอบ เพราะไม่เคยอยู่ในกรอบ มันแคบจนอึดอัดน่ารำคาญ แต่เขาเชื่อว่าคนที่อยู่ในกรอบนั้นจะเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ ถึงยังไงเราก็เป็นเพื่อนสนิทกันแม้จะต่างกันคนล่ะขั้วเลยก็ตาม

           “ คุณนี้ซกมกไม่เปลี่ยนเลยนะ ” เขาตำหนิอย่างอดไม่ได้

           “ ก็ฝนมันตกนี้ ”

           “ ทำไมไม่พกร่มล่ะ ”

           “ ฉันไม่รู้ว่ามันจะตก ลืมดูพยากรณ์อากาศ ” ผมตอบตามความเป็นจริง มันยิ่งทำให้เขามองผมด้วยความรังเกียจมากกว่าเดิม ผมก็ไม่โกธรเขาหรอกเพราะเขามันเป็นแบบนี้เสมอมันเป็นนิสัยของเขา

           “ แล้วจะเข้าไปพบ ท่าน ด้วยสภาพแบบนี้เหรอ  ”  

           “ ใช่ ” พูดจบผมก็รีบเดินเข้าไปในห้องก่อนจะโดนเขาเทศนาชุดใหญ่ ผมก้าวเดินต่ออย่างสำรวมไปกลางห้องขณะที่ประตูปิดอยู่ข้างหลัง  โต๊ะสีขาวสะอาดไม่มีสิ่งใดประดับนอกจากกระดานหมากรุกหนึ่งกระดานกับคนเล่นหนึ่งคนที่ไม่มีผู้เล่นเป็นฝ่ายตรงข้าม มือที่ขาวซีดจับตัวพอนขยับไปวางอีกช่องอย่างแช่มช้า ก่อนจะหันดวงหน้ามา

           “ นั่งก่อนสิ ”  ผมนั่งลงตรงข้ามตามคำเชิญ คนตรงหน้าดูไม่กังวลที่ร่างกายอันเปียกโชกของผมทำให้เก้าอี้ของเขาเปียก

           “ ตัวเปียกมาระวังเป็นหวัดล่ะ ”

           “ ผมแข็งแรงพอที่จะเป็นหวัดง่าย ๆ อยู่แล้ว ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ ท่านนายพล ” เขาก้มมองที่กระดานหมากรุกโดยไม่มีท่าทีจะเงยหน้า ผมเอื้อมหยิบตัวหมากรุกสีดำขยับวางเปลี่ยนช่อง

           “ ยังอายุน้อยแบบนั้นร่างกายยังแข็งแรงก็ไม่แปลกหรอก ” เกมเริ่มขึ้นโดยที่ผมเป็นคนท้าทาย  ชายวัยกลางตรงหน้าขยับตัวหมากรุกอย่างใจเย็น

           “ งานที่ท่านจะมอบให้เป็นงานแบบไหน ”

           “ งานที่เธอถนัดนั้นแหละนะ ” ผมชะงักมือเล็กน้อยก่อนจะทำเป็นไม่หยี่ระ

           “ จะให้ผมฆ่าคนเหรอ ผมวางมือไปนานแล้วคุณเป็นคนที่รู้ดีที่สุด ” รูทสีดำโดนกินไป แต่บีชอปสีขาวก็โดนกินคืน

           “ ที่จริงฉันไม่อย่างใจไปฆ่าคนหรอกแต่มันเป็นเสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุม ” ดวงตาสีเทามองผมด้วยความเหนื่อยใจ    ผมรู้ดีว่าเขาไม่ชอบที่จะพรากชีวิตใครต่อใคร เขามักจะค้านในที่ประชุมเสมอหากจะมีใครโดนคราดชีวิต แต่ก็ต้องยอมรับในเสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุม

           “ มนุษย์มักจะฆ่ากันเองโดนอ้างว่าเพื่อความดีความชอบ ที่จริงเพราะความกลัวต่างหากที่แรงผลักดันให้มนุษย์ต้องฆ่ากันเองเพื่อความอยู่รอด ”

           “ แต่เราก็สามารถอยู่รอดได้เพราะความกลัว ” ผมกล่าว ชายตรงหน้ามองผมด้วยนัยน์ตาสีเทาคู่นั้น

           “ ไม่ว่าใครก็อยากที่จะมีชีวิตอยู่ทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าฉันหรือเธอก็ตามจริงไหม บลัด  ” ในที่สุดคิงสีดำก็ถูกกิน ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ถอดหายใจอย่างช้า ๆ

           “ แล้วใครคือเป้าหมายล่ะ ” เขาไม่ตอบ มือเรียวยาวยืนแผ่นกระดาษให้แผ่นหนึ่ง ผมรับมันมา และลุกขึ้นยืมอย่างช้า ๆ

            เกมหมากรุกจบไปแล้วชายวัยกลางก็ยังคงตั้งกระดานใหม่และเริ่มเล่นคนเดียวอีกครั้ง ผมหันไปมองเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกจากห้องทิ้งเขาไว้เบื้องหลังกับกระดานหมากรุกที่ไม่มีผู้เล่นอีกคน การอยู่คนเดียวมันก็เหงาเหมือนกับถูกทอดทิ้งนั้นแหละ ผมมองรูปถ่ายในมือด้วยความรู้สึกสับสนและไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น รูปของเด็กสาวผมยาวสีดำ นัยน์ตาสีฟ้าสดใส ถือร่มสีแดง...

           เมื่อก่อนนี้ผมเคยได้รับตำแหน่งเป็นหน่วยทหารลับที่มีแต่นักฆ่า เราฆ่าคนตามที่เบื้องบนสั่งลง ไม่รู้ว่าคนคนนั้นจะทำอะไรผิด เป็นผู้ชายหรือหญิง เราฆ่าหมดทุกคนในหัวของเราไม่มีอะไรเลยนอกจากคำว่าหน้าที่ เราทุกคนต่างเป็นเด็กที่ถูกทอดทิ้งและก็ถูกเก็บมาฝึกให้กลายเป็นนักฆ่า ไม่เคยปล่อยให้เหยื่อหลุดไปได้แม้แต่รายเดียว ผมใช้ชีวิตเป็นนักฆ่าอยู่หลายปีก่อนที่ผมจะพบกับสิ่งสำคัญที่ทำให้ผมเข้าใจถึงการมีชีวิตอยู่มากขึ้น ผมจึงวางมือจากการเป็นนักฆ่ามาทำงานเป็นทหารธรรมดา ๆ ที่ไม่มียศสูงมากนั้น แต่มันก็ทำให้ผมมีความสุขกว่าการที่จะกลับไปเป็นนักฆ่าอีกครั้ง ไม่นานก็มีการลงมติให้สลายกลุ่มนักฆ่าไปเพราะเบื้องบนต่างกลัวเกรงต่อความสามารถของนักฆ่า พวกเขาจึงได้กลายเป็นทหารธรรมดาแบบผม แต่เราก็ยังมีการพบปะกันเสมอเมื่อมีโอกาส

             ที่จริงแล้วผมก็ไม่อยากรับงานนี้เท่าไหร่นัก แต่พอเบื้องบนบอกว่าเป็นมติผมก็ต้องทำตามที่สั่ง ไม่เข้าใจว่าทำไมคนคนนั้นจะต้องเป็นผมด้วย มีหลายคนที่เป็นนักฆ่าเก่าที่มีฝีมือและใจแข็งมากกว่าผมในตอนนี้ ผมไม่แน่ใจว่าจะสามารถกลับไปฆ่าคนแบบในอดีตได้อีกครั้ง สิ่งที่ผมต้องทำในตอนนี้คือทำใจให้ว่างเปล่าและพยายามไม่คิดถึงความทรงจำเก่า ทว่าเสียงฝนที่ตกลงมากระทบบนหลังคาทำให้จิตใจผมวอกแวกจนไม่สามารถจะคิดถึงสิ่งใดได้นอกจากความทรงจำเมื่อนานมาแล้วที่ยังคงตามกินกร่อนหัวใจของผมไปที่ละนิด มันทรมาน เนินนาน และเจ็บปวด

           ในห้องนอนที่แสนเงียบเหงาและมืดหม่น ผมเหยียดร่างนอนลงบนเตียงสายตามองไปที่เพดานห้องที่ดูมืดทั้งที่มันเป็นสีขาว ผมครุ่นถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นอย่าถี่ถ้วน มันยิ่งทำให้ผมลังเลที่จะฆ่า หรือว่าผมควรจะไปของยกเลิกงานนี้ แล้วปล่อยให้เบื้องบนตำหนิผม มันทำให้ผมหงุดหงิดมากที่คนในสภาเลือกผม ทำไมกันนะพวกเขาหวังจะทำให้ผมกลับไปฆ่าคนได้เหมือนเดิมหรืออย่างไร พวกเขามักอ้างว่าทำเพื่อส่วนรวมเสมอทั้งที่สายตาพวกเขามันบ่งบอกว่าทำเพื่อไม่ให้ตนเองมีอันตรายเสียมากกว่า พวกเขาต่างหวาดกลัวไปซะทุกอย่างที่มีสิ่งที่เหนือกว่าพวกเขา โดยที่ไม่คิดเลยว่ามันจะไปทำลายพวกเขาจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ กำมือแน่น หลับตาลงทำใจให้ว่างเปล่าและสงบ      

       

           เด็กสาวในชุดสีแดงเดินย่างกายอย่างเนิบนานด้วยความสงบ มือเรียวทั้งสองกำไมโครโฟนแบบไดนามิกช้า ๆ ประสานกุมไว้ น้ำเสียงที่ถูกเปล่งจากลำคอดังกังวาน พลันสายตาทุกคู่จับจ้องแต่เพียงเธอ ท่วงทำนองที่ไม่คุ้นหูทว่ามันกลับไพเราะอย่างน่าประหลาดทั้งที่ผมพึ่งจะเคยฟังเพลง ๆ นี้เป็นครั้งแรก มันก็ไพเราะราวกับว่าผมเคยฟังมันมาแล้ว ปกติแล้วเวลาที่ผมฟังเพลงผมจะฟังตั้งแต่สองครั้งขึ้นไปถึงจะสามารถตัดสินได้ว่าไพเราะหรือไม่ เนื้อร้องและท่วงทำนองมีความหมายที่ลึกซึ้งผมจดจำทั้งสองอย่างเอาไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ทั้งหมดถูกสมองจดจำไว้อย่างแม่นยำเหมือนฟังมาหลายต่อหลายรอบ ในอกผมรู้สึกโล่งราวมันว่าไม่มีสิ่งใดมาบีบทับมันไว้ เหมือนที่เคยรู้สึกยามที่อึดอัดในอกมักจะแน่นราวกับถูกบีบรัดที่หัวใจเสมอ ในตอนนี้ผมได้ลืมความรู้สึกนั้นไปช่วงขณะหนึ่งเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้นกับผมมาก่อน เด็กสาวมองมาทางผมแต่จะมองผมหรือเปล่าก็ไม่แน่นใจ เธออาจจะมองใครแถว ๆ นี้ก็ได้ นัยน์สีฟ้าจ้องมองเข้ามาข้างในดวงตาของผมมันทำให้แน่ใจว่าเธอกำลังมองมาที่ผมจริง ๆ หลังจากเพลงจบเด็กสาวก็โค้งคำนับในผู้ฟังด้วยความยินดี ท่วงท่าอ่อนช้อยงดงาม เสียงปรบมือของทุกคนทำให้เด็กสาวยิ้ม ก่อนที่เธอจะเดินกลับเข้าไปหลังเวที ผมรีบปลีกตัวออกจากฝูงชนโดยไม่รอช้า

           ในห้องที่มีแสงไฟสีเหลืองนวลเด็กสาวในชุดแดงดูโดดเด่นภายในห้อง นิ้วเรียวยาวขยับปลดสร้อยคอวางไว้บนโต๊ะแต่งหน้า ก่อนที่จะถอดกำไลออกจากข้อมือบางเล็ก เธอมองที่กระจกซึ่งสะท้อนภาพของเธอกับผมอยู่ในนั้น ผมยืนอยู่ข้างหลังเธอห่างออกมา 2 เมตร เด็กสาวยังทำตัวราวกับว่าผมไม่ได้มีตัวตนอยู่ในห้องนี้กับเธอ กลิ่นหอมบาง ๆ ของน้ำหอมที่ไม่เข้ากับเด็กสาวอย่างเธอลอยมา ผมเอามือปัดมันออกเพื่อไม่ให้กลิ่นของมันเข้ามาในจมูก

           “ กลิ่นฉุนใช่ไหมล่ะ นี้แหละนะน้ำหอมราคาถูกที่ผู้ใหญ่เขาชอบใช้กัน ” เด็กสาวกล่าว แล้วหันมาหา เธอเอนตัวนั่งไขว่ห้างอย่างสบาย ๆ พร้อมกอดอก

           “ คุณคงมีธุระกับฉันคนเดียวสินะ แล้วก็ต้องเป็นธุระที่สำคัญมาก ๆ ด้วย ” ผมพยักหน้าและก้าวไปข้างหน้า

           “ ฉันมาฆ่าเธอ ” เด็กสาวพยักหน้า ครุ่นคิดตามที่ผมบอก

           “ งั้นเหรอแปลกจัง ปกตินักฆ่าจะไม่บอกว่าตัวเองเป็นนักฆ่าไม่ใช่เหรอ ”  เธอสบตาจ้องมองเข้ามาในดวงตาของผมเพื่อที่จะหาคำตอบจากข้างในนั้น ผมกำมือแน่นจนทั้งร่างเกร็ง หัวใจผมเต้นรัว ถี่เร็ว ภาพของเธอตรงหน้าถูกภาพเมื่อวันฝนตกนั้นซ้อนทับกัน ผมสันสนและลังเลจนทำอะไรไม่ถูก เดี๋ยวอีกไม่นานเธอคงจะร้องเรียกให้คนมาช่วยแล้วผมก็ต้องทำงานล้มเหลวเป็นแน่น ผมหลุบตาลงมองที่พื้น ถอนหายใจ ก่อนจะเอื้อมหยิบปืนที่ว่อนไว้ในเสื้อออกมา ผมเล็งปืนไปที่เด็กสาวตรงหน้าผากเธอ ถ้ายิงทะลุหน้าผากเธอก็จะไม่ทรมาน เธอจะไม่ทรมาน... ผมทำใจให้สงบแล้วตัดสินใจเหนี่ยวไกทันที เสียงปืนดังลั่นห้อง ผมไม่เห็นอะไรเลยเพราะผมหลับตาลงโดยไม่รู้สึกตัว ในห้องอากาศเย็นมากแต่เหงื่อผมกลับไหลเหมือนกับตกน้ำมา ผมค่อย ๆ ลืมตาช้า ๆ เด็กสาวชุดแดงยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ กระสุนไม่ได้ทะลุเข้าที่หน้าผากเธอ มันทะลุพนังหนังห้อง ไม่รู้ทำไมผมกลับโล่งใจอย่างประหลาดที่มันไม่ได้ทะลุศีรษะเธอ เด็กสาวมองผมคิ้วขมวด

           “ คุณกำลังเล่นตลกอยู่หรือเปล่า ” เธอถามพร้อมลุกขึ้นยืน ผมก้มหน้าลงกับพื้นด้วยจิตใจที่สับสนเกินจะตอบคำถามเธอได้ เด็กสาวลูบพนังห้องแล้วกล่าวขึ้น

           “ คนอย่างคุณน่ะฆ่าคนไม่ได้หรอกนะ ”

           “...”

           “ ในตาของคุณน่ะบอกว่าจะไม่ฆ่าคนเด็ดขาด ” ผมปล่อยปืนลงกับพื้น มองที่พื้นอย่างเลื่อนลอย จนกระทั่งมือเล็ก ๆ ของเด็กสาวแตะที่ดวงหน้าของผม มือเล็กค่อย ๆ ดันให้ผมเงยหน้าขึ้น เราสบตากันชั่วครู่ ผมก็หลุบตาลง

           “ แต่ถ้าฆ่าฉันไม่ได้คุณก็คงจะโดนตำหนิ และก็กลับมาฆ่าฉันใหม่แน่ เพราะฉะนั้นฉันมีข้อเสนอให้คุณ ซึ่งคุณต้องตอบตกลงเท่านั้นคุณถึงจะสามารถฆ่าฉันได้ ”

           “ อะไรนะ...” ผมจ้องมองใบหน้าของเด็กสาวด้วยความพิศวง คลายกับว่าข้างในดวงตาสีฟ้านั้นบอกกับผมว่ามีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในตัวของเธอ ไม่สามารถที่จะแตะต้องมันได้ สิ่งที่ลึกล้ำและทรงพลังมหาศาลอย่างที่ไม่พบเห็นในคนปกติ ผมเชื่อว่าหากเธอไม่ต้องการ ผมก็ไม่สามารถที่จะฆ่าเธอได้เลย พลันเสียงจากข้างนอกดังโวยวายขึ้น ผมสะดุ้งและหันไปมองที่ประตู โชคดีที่ผมล็อคมันเอาไว้แล้วยังพอถ่วงเวลาให้คนอื่นเข้ามาไม่ได้สักพักหนึ่ง

           “ ว่ายังไงล่ะ ” เด็กสาวยังคงรอคำตอบจากปากผม เธอด้วยสายตาที่แน่นแน่และกดดันมันเป็นอย่างมาก

           “ ก็ได้ ฉันรับขอเสนอ ” ผมตอบไปแบบส่ง ๆ ในเมื่อมันไม่มีทางเลือกแล้วนี้ เธอยิ้มออกมา และดึงผมไปที่หน้าต่าง ผมได้แต่เดินตามหลังอย่างุนงง เธอผลักม่านออกและเปิดกระจกหน้าต่าง

           “ ไปก่อนเลย ” พอถูกผลักไสผมก็ปีนข้ามหน้าต่างไปยืนข้างนอก เด็กสาวสลัดชุดกระโปรงสีแดงออกเหลือไว้แต่เพียงชุดบอดี้สูทสีดำ เธอรีบปีนข้ามหน้าต่างมา ฉวยจับข้อมือผมออกวิ่ง เสียงหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนานทำให้ผมรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น เหมือนกับว่าเราทั้งสองเป็นเด็กน้อยที่กำลังวิ่งเล่นในเมืองตามถนนสัมผัสกับสายลมและกลิ่นของถนน           เราซอกแซกไปตามซอกซอยต่าง ๆ  เด็กสาววิ่งลากผมไปที่ไหนก็ไม่รู้ พาผมเข้าไปในตึกร้างหลังหนึ่ง ตรงขึ้นไปด้านบนสุดของอาคาร ข้างบนดาดฟ้ามองเห็นตัวเมืองได้ชัดเจน อากาศเหมือนจะหนาวขึ้นเล็กน้อยเมื่อมาอยู่ข้างบนนี้ ร่างของเด็กสาวหมุนไปรอบ ๆ เธอกางแขนออก สูดลมหายใจเข้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเปี่ยมสุข ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ก้อนเมฆสีเทากลุ่มใหญ่อยู่เหนือหัวเป็นสัญญาณว่าอีกไม่นานฝนจะตกลงมา

           “ ฝนจะตกแล้ว ” ผมกล่าว

           “ ใช่ แต่ฉันชอบฝน ” เธอกล่าว หมุนตัวหันกลับมามองผม รอยยิ้มประดับบนใบหน้าอ่อนเยาว์และงดงาม

           “ คุณชื่ออะไร ฉันชื่อซันนี่ แต่ทุกคนชอบเรียกฉันว่าซัน ”

           “ ฉัน บลัด ”

           “ คุณอายุเท่าไหร่ ฉัน 17 ”

          “ 28 ”

           “ อายุมากกว่าฉันตั้ง 11 ปี ” ซันหัวเราะคิกคัก ขณะที่ผมมองไปที่วิวของเมืองที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่อง

           “ นี้ ข้อเสนอของฉันน่ะ ฉันอยากจะให้คุณช่วยฉันหาอะไรบางอย่างหน่อย ” เด็กสาวกล่าวประเด็นนี้ขึ้นมาเหมือนพึ่งนึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่เราสัญญากันเอาไว้

           “  อะไรล่ะ ”

           “ ฉันอยากให้คุณช่วยฉันหาอะไรบางสิ่ง ” สีหน้าของเด็กสาวดูจริงจังมากผิดกับเมื่อครู่ หัวคิ้วเธอขมวดเข้าหากันเล็กน้อย หากไม่สังเกตให้ดีก็จะไม่รู้

           “ มันคืออะไรล่ะ ”

           “ ไม่รู้สิ รู้แต่ว่าสิ่งนั้นมันสำคัญมาก สำคัญกว่าชีวิตของฉันเลยล่ะ ”

           สิ่งที่เธอบอกนั้นผมเข้าใจแล้วว่าเธออยากจะให้ผมช่วยเธอตามหาอะไร สิ่งที่เธอต้องการนั้นก็คือ สิ่งสำคัญ เพียงหนึ่งเดียวของเธอเอง ผมเคยมีสิ่งนั้น แต่ทว่าสิ่งที่สำคัญของเธอนั้นผมก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะพาเธอไปหาได้ยังไง เพราะมันเป็นเรื่องของโชคชะตาที่จะเป็นตัวบันดาลให้เราได้พบกับสิ่งสำคัญที่ว่านั้น บางคนใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่รู้ว่าสิ่งสำคัญของตัวเองคืออะไร บางคนก็ไม่มีเลย ผมครุ่นคิดอย่างหนัก ไม่รู้ว่าจะอธิบายใช้เธอฟังยังไง

           เด็กสาวบรรจงหวีผมให้ตุ๊กตาแต่ล่ะตัวอย่างรักใคร่ ในตึกร้างที่เธอพาผมมาเป็นที่อยู่อาศัยของเธอกับตุ๊กตาทั้งตัวที่เธอเก็บมาในวันที่ฝนตกนั้น กับตัวอื่น ๆ ที่เธอเก็บมาก่อนหน้านี้ ภายในตึกร้างมีห้องต่าง ๆ เต็มไปหมดสภาพของมันกลับดูใหม่ไม่เข้ากับสภาพภายนอกตึกเลย เหล่าตุ๊กตาทั้งหมดต่างห้อมล้อมเด็กสาวด้วยความรัก ขณะที่ผมนั่งสูบบุหรี่ข้างหน้าต่าง ไอเย็นของฝนทำให้ผมยังคงสติไม่ให้เหม่อลอยไปกับความว่างเปล่า

           “ นี้ บลัดคุณมีสิ่งสำคัญของคุณหรือเปล่า ” ซันถามขึ้น

           “ เคยมี ” ผมตอบพร้อมพ่นควันสีเทาออกมาจากริมฝีปาก ก่อนจะโยนก้านบุหรี่ออกนอกหน้าต่าง

           “ มันเป็นยังไง ”

           “ ... ไม่รู้สิ ถ้าจะให้อธิบายคงจะยาก ” เด็กสาวมองผม ด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ และหันไปหวีผมให้ตุ๊กตาต่อ

           “ ทีแรกฉันคิดว่าเด็กพวกนี้คือสิ่งสำคัญของฉัน พวกเธอสำคัญจริง ๆ นะ แต่ว่ามันก็ไม่ใช่...” ตุ๊กตามองเธอด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยเหมือนกับว่าโดนทอดทิ้งอีกครั้ง เด็กสาวเงยหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ดูเสแสร้ง

           “ แต่พวกเธอสำคัญต่อฉันจริง ๆ นะ ถึงแม้จะไม่ใช่ ”  ทุกตัวต่างยิ้มด้วยความดีใจ และกุมมือเด็กสาว ทุกตัวต่างเคยโดนทิ้งมา และคงจะไม่อยากถูกทิ้งอีกรอบแน่ แต่ไม่ว่าใครก็ไม่อยากที่จะถูกทิ้งอีกรอบหรอก แค่รอบเดียวมันก็น่าเศร้าเกินจะรับไว้แล้วมันทั้งหนักอึ้งและหนาวยะเยือก

           ซันบอกลาตุ๊กตาทุกตัวก่อนที่จะพาผมออกห้อง เธอพาผมไปอีกห้องหนึ่งที่อยู่ถัดมาสองประตู เด็กสาวเชื้อเชิญผมให้เข้าห้องของเธอ ภายในถูกตกแต่งไว้สมเป็นห้องของเด็กผู้หญิง เรียบร้อยและสะอาด เด็กสาวให้ผมนั่งรอบนเก้าอี้และขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมนั่งลงรอพลางจุดบุหรี่อีกม้วน เมื่อนึกได้ว่าห้องไม่ได้เปิดหน้าต่างไว้ผมจึงเดินยกเก้าไปข้างหน้าต่างและเปิดมันขึ้นเพื่อให้ควันบุหรี่ไม่อบอวลอยู่ในห้อง ผมนั่งฟังเสียงนาฬิกาและฝนที่กระทบข้างหน้าต่างกับระเบียงข้างนอก ที่ระเบียงมีกระถางดอกไฮเดนเยียร์สีฟ้าและสีชมพู มันเป็นดอกไม้ที่เหมาะกับฝนเหลือเกิน

           “ ขอโทษที่ให้รอ ” เด็กสาวออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อด้วยชุดกระโปรงสีขาวสะอาด เธอยิ้มให้

           “ ชอบดอกไม้เหรอ ”

           “ ก็นิดหน่อย ”

           “ ดอกไม้ชอบฝน ” เธอกล่าวพร้อมมองไปที่ดอกไม้นอกระเบียง ท่าทีคล้ายเหม่อลอย

           “ ฉันชอบสีแดงนะ แต่มันทำให้ดอกไม้ดูสกปรก ” ผมนิ่งเงียบจ้องที่ดอกไม้และพยายามนึกดูว่ามันจะเป็นสีแดงยังไง พลันดอกไม้สีอ่อนพวกนั้นกลับเข้มขึ้นเรื่อยจนกลายเป็นสีแดงฉาดราวกับเลอะเลือด มันดูสกปรกจริง ๆ

           “จริงด้วย” เมื่อผมเห็นด้วยกับเธอ ดอกไม้ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีอ่อนดังเดิม มันดูบริสุทธิ์กลางสายฝนดั่งสาวเยาว์วัยที่แสนงดงามและอ่อนโยนนุ่มนวล ผมรู้สึกอยากกลับบ้านขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ อาจเป็นเพราะผมรู้สึกง่วงนอนแล้วก็เป็นได้

           “ คุณอยากกลับบ้านหรือเปล่า ” เด็กสาวกล่าวขึ้นราวกับรู้ว่าผมคิดอะไร

           “ มันก็ดึกมากแล้วนี้ ” ผมตอบพลางขยี้เปลือกตา

           “ งั้นค้างที่นี้ไหมล่ะ มีห้องอยู่มากจนแทบเปิดเป็นโรงแรมได้เลยล่ะ”

           “ ไม่เป็นไร ฉันจะนอนไม่หลับน่ะถ้าไม่ใช่ที่ห้องตัวเอง ” เธอพยักหน้าอย่างเข้าใจ เด็กสาวออกปากจะไปส่งถึงแม้ผมจะปฏิเสธไปแล้วก็ตาม เธอก็ยังยืนกรานว่าจะไปส่งและลากผมขึ้นไปบนดาดฟ้า

           “ เราต้องลงไปข้างล่างไม่ใช่เหรอ ” เด็กสาวหัวเราะอย่างซุกซน เธอกากร่มสีแดงออก จับมือผมไม่และเดินออกไปดาดฟ้าด้วยเท้าเปล่า เธอบอกไม่ให้ผมปล่อยมือออกจากกันเด็ดขาด เด็กสาวพาผมออกเดินเรื่อย ๆ จนถึงขอบของพื้นที่ พอมองลงไปข้างล่างสูงจนน่าหวาดเสียว

          “ หยุดเดินทำไม” 

           “ ก็มันหมดพื้นที่ที่จะเดินแล้วนี้ ” เด็กสาวหัวเราะและออกแรงลากผม ร่างกายเซไปข้างหน้าอัตโนมัติ ผมคิดว่าตัวเองจะต้องตกไปข้างล่างพร้อมเด็กสาวแน่ แต่เท้าของผมกลับค้างอยู่กลางอากาศ เด็กสาวหัวเราะด้วยความขบขัน

           “ วิธีนี้ใช้แกล้งใครก็มีแต่คนตกใจทั้งนั้น ” ผมอยากรู้เหลือเกินว่าใครจะไม่ตกใจกับวิธีการแกล้งของเธอ ตลกร้ายสิ้นดี

           “ ไปเถอะเราไม่หล่นลงไปข้างล่างหรอกตราบได้ที่ฉันไม่ต้องการ ” เด็กสาวจูงมือผมและออกเดินเท้าเปลือยเปล่าของเธอเหยียบย่างไปท่ามกลางความว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรนอกจากอากาศ ทว่าเราก็ยังเดินไปได้ราวกับมีถนนที่มองไม่เห็นรองรับฝ่าเท้าสองคู่ของเราไว้  เด็กสาวกำมือของผมแน่นราวกับกลัวว่าผมจะปล่อยออก ผมคิดว่าถ้าผมปล่อยมือออกแล้วคงจะต้องตกลงไปข้างล่างแน่ เพราะผมคิดว่าคนธรรมดาอย่างผมคงจะเดินกลางอากาศแบบนี้ไม่ได้หรอกถ้าไม่มีเธอ

           “ รู้หรือเปล่านี้ว่าฉันอยู่ที่ไหน ”

           “ รู้สิ ”

           “ ทำไมถึงรู้ล่ะ” เด็กสาวยิ้มอย่างภูมิใจ

           “ เป็นความลับ ”  

           เราไปถึงตึกแห่งหนึ่งที่มีห้าชั้น ตึกของผมเองแหละ เด็กสาวส่งผมลงที่ระเบียงทางเดินชั้นห้า และกล่าวลา ผมยืนมองร่างของเธอเดินออกไปไกลทุกขณะ เท้าเปล่าเล็ก ๆ แดงระเรื่อด้วยความเย็นของไอฝน ผมมองจนเท้าคู่นั้นหายไป ที่มือยังคงมีรอยร่องของสัมผัสอุ่นจากมือของเด็กสาวแม้ว่ามือของผมจะค่อย ๆ เย็นขึ้นเรื่อย ๆ ก็ตาม

           ผมนอนครุ่นคิดเรื่องของเด็กสาวและเรื่องของเบื้องบนภายในห้องที่ไร้แสงสว่างในยามค่ำคืน ทุกอย่างดูเหมือนจะไม่มีตัวตนในความมืดมิด นอกจากเสียงของเครื่องยนต์ และเสียงเพลงที่แว่วมาจากบาร์ เพลงนั้นของเด็กสาว เสียงผะแผ่วเหมือนกระซิบแว่วลอยมา ผมหลับตาลงพยายามใช้หูสดับถ้อยคำที่เปล่งออกมาด้วยใจ

       

           สามวันต่อผมไปพบเด็กสาวที่ตึกของเธอ จากข้อความที่ให้บุรุษไปรษณีย์ส่งถึงผม แม้ว่าข้างนอกจะไม่มีเมฆเยอะเท่าไหร่แต่ก็ยังไม่ค่อยมีคนออกมาข้างนอกเยอะเท่าที่ควร พยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้ฝนจะตก ผู้คนจึงไม่ค่อยออกไปไหนมาไหนเพราะไม่อยากโดนฝน ถึงแม้จะมีร่มแต่เวลาไปไหนมาไหนโดยที่ฝนตกมันจะทำให้รู้สึกหงุดหงิดเพราะมันรู้สึกยุ่งยาก เดินทางจราจรลำบาก ผมก็เคยเป็นแบบนั้น ใช้เวลานานพอสมควรกว่าผมจะเดินไปถึงตึกของเด็กสาว ที่จริงผมมีมอเตอร์ไซค์อยู่คันหนึ่งถ้าขี่มาคงจะใช้เวลานิดเดียว แต่ผมคิดว่าระยะทางมันก็พอที่ผมจะเดินเอาเองได้และมันก็ไม่เปลือง ผมมีเวลาทั้งวันมากพอที่จะใช้เสียไปกับการเดิน

           “ คุณมาเสียที ฉันน่ะรอตั้งนาน ” เสียงสดใสตำหนิผมเล็กน้อย เด็กสาวเดินออกมาจากประตู ทันทีที่ผมถึง เธอมารอผมที่ชั้นล่าง เพื่อไม่ให้ผมเสียเวลาขึ้นไปหาเธอข้างบนห้อง เด็กสาวสวมชุดกระโปรงสีเหลืองข้าวโพดและเสื่อคลุมสีน้ำตาลอ่อนพร้อมกับถือร่มสีแดง ผมสีดำถูกปล่อยยาวเคลื่อนไหวไปตามสายลม เธอเดินเข้ามาจับมือผมอย่างกับว่าเราคุ้นเคยกันมานาน แต่ผมก็ไม่ขัดเธอเราดูเหมือนพี่น้องสองคนกำลังออกไปเดินเล่นด้วยกัน มืออีกข้างแกว่งร่มคันสีแดงขณะที่เราเดินอย่างเป็นจังหวะด้วยความไม่รีบร้อน

           “เราจะไปไหนกัน” ผมถามขึ้น

           “ไม่รู้สิไปเรื่อย ๆ สนใจอะไรก็หยุด” คำตอบของเด็กสาวทำให้ผมเกิดอาการเหมือนคนโง่ชั่วครู่ เธอยิ้มเหมือนเข้าใจว่าผมคิดอะไร

           “สิ่งที่สำคัญนั้นมันจะต้องเป็นสิ่งที่เราสนใจก่อนไม่ใช่เหรอ”

           “ก็คงอย่างงั้น” เด็กสาวกำมือผมแน่นขึ้นเล็กน้อย เธอมองผมด้วยนัยน์สีฟ้าคู่นั้นด้วยความรู้สึกที่คาดเดาไม่ออกว่าเธอกำลังคิดหรือ รู้สึกอย่างไร

          “งั้นเหรอ” เธอตอบเบา ๆ ก่อนจะก้มหน้าเดินต่อ ในหัวสมองเธอคงมีอะไรหลาย ๆ ที่วิ่งพล่านไปมาจนทำให้คิดไม่ออกว่าจะพูดอะไรออกมา

           เราเดินกันเกือบจะทั่วเมืองเลยก็ว่าได้ไม่ว่าจะเป็นที่ที่ผมรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม เด็กสาวหยุดดูทุกสิ่งที่เธอสนใจไม่ว่าจะเป็นผู้คน ตึกรามบ้านช่อง สิ่งของต่าง ๆ นานา รอบตัวเรา แต่สุดท้ายเธอก็เดินกลับมาจูงมือผมเดินต่อ ผ่านไปเมื่อคิดว่าคงจะไม่ใช่ เธอดูซึมเสร้าเล็กน้อยกว่าเมื่อเช้าแต่เธอก็ยังแสร้งยิ้มแย้มทั้งทีมันดูแย่ก็ตาม เราพากันเดินไปเรื่อย ๆ จนบางทีก็วนกลับมาทางเก่าบางทีก็ไปโผล่ที่ไหนก็ไม่รู้ ความสดใสเริ่มหายไปจากดวงตาสีฟ้า เราเริ่มเหนื่อยแต่ก็ไม่มีใครเป็นฝ่ายพูดขึ้นว่าเหนื่อย เด็กสาวเดินเหมือนจะลากขาเลยด้วยซ้ำ ผมจึงพาเธอไปนั่งพักที่ม้านั่งข้างทาง เด็กสาวนั่งก้มหน้าหมุนร่มสีแดงเล่น ผมล้วงหยิบบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อขึ้นมาจุดสูบ ถึงแม้ว่าวันนี้ท้องฟ้าดูเหมือนฝนจะตกว่าได้ทุกเวลามันก็ไม่มีท่าทีจะตกเสีย แต่ก็ดีที่ไม่ค่อยมีแดดไม่งั้นคงจะแย่กว่านี้ได้ แดดยิ่งทำให้เหนื่อยง่ายและหงุดหงิด

           “ มันทำไมหายากอย่างนี้ล่ะ ” เด็กสาวเปรยขึ้นลอย ๆ ดวงหน้าเธอว่างเปล่า ผมนิ่งเงียบปล่อยควันสีเทาออกจากริมฝีปากก่อนจะตอบคำถามลอย ๆ

           “ ไม่รู้สิ ฉันคิดว่าของแบบนี้ไม่ใช่ว่าวิ่งหาแล้วมันจะเจอ มันขึ้นอยู่กับเวลาและโชคชะตาของเรา บางคนทั้งชีวิตอาจจะไม่มีเลยก็ได้ แต่บางคนก็ไม่รู้เลยว่าอาจจะเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุดก็เป็นได้ มันไม่ใช่ว่าจู่ ๆ จะโผล่ขึ้นมาง่าย ๆ หรอก ”

           “ งั้นเหรอ” ผมรู้สึกผิดที่พูดจาขวานผ่าซากเกินไป เด็กสาวดูคล้ายกับว่าจะร้องไห้ออกมา แต่เธอก็ฝืนยิ้มแห้ง ๆ ให้ผม มือเล็กสองข้างกำร่มในมือแน่น ผมเอื้อมมือโอบไหล่เล็กของเด็กสาวปลอบ

           “ ฉันขอโทษ”

           “ ไม่...ไม่เป็นไร จริงอย่างที่คุณพูดนั้นแหละบางทีฉันอาจจะไม่มีก็เป็นได้สิ่งที่สำคัญที่สุด หรืออาจจะเป็นสิ่งที่ฉันเคยสูญเสียไปแล้วก็เป็นได้ สิ่งสำคัญนั้น ” เธอซบหน้าลงกับไหล่ผม

           “ ไม่หรอกสักวันเธออาจจะเจอมันอาจจะนานไปน้อยแต่ก็จะเจอเองแหละ ” ผมโยนบุหรี่ลงบนพื้นและเหยียบมัน ในสมองของผมตอนนี้มีหลายอย่างวิ่งไปมาทำเอาผมสับสนไปหมด หรือว่าผมควรจะไปขอยกเลิกงานนี้ดี แต่ถ้าผมทำแบบนั้นก็จะเกิดการซ้ำรอยเก่าขึ้น ทางเบื้องบนคงจะมองดูผมด้วยความสมเพชและส่งคนอื่นมากำจัดเธอ ผมคงจะทนไม่ได้ที่คนอื่นจะมาฆ่าเธอ ผมควรหาทางออกทางอื่นเสียแล้วล่ะ

           ผมพาเด็กสาวกลับตึกของเธอ ผมกอดเด็กสาวไว้ด้วยมือข้างเดียวส่วนอีกข้างถือร่มสีแดงที่กางอยู่เหนือหัวเรา ที่จริงผมกางให้เด็กสาวไม่เปียกคนเดียวเพราะร่มมันเล็กเกินที่จะบังคนสองคน ผมจึงเป็นฝ่ายเปียกแต่ผมก็ไม่สนใจหรอก เพราะผมมักจะเปียกฝนทุกครั้งทั้งด้วยความตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ บนถนนที่ไร้ผู้คนมีเพียงผมและเด็กสาวเดินบนถนนที่เปียกชื่นด้วยความเชื่องช้าและไม่สนใจสายฝนที่กระหน่ำตกใส่เรา  เด็กสาวกอดแขนผมเพราะอากาศเริ่มหนาวขึ้น ดวงหน้าผมเริมเปียกเพราะละอองฝนที่สาดกระเซ็นใส่ เด็กสาวหยุดเดินคลายกับคิดอะไรบางอย่างออก เธอเงยหน้าขึ้นมองผม หยาดน้ำตาเล็ก ๆ ไหลออกมาจากดวงตาข้างซ้าย

           “ นี้ ฉันขอร้องอะไรบางอย่างกับคุณหน่อยได้ไหม” ผมลูบเช็ดน้ำตาบนดวงหน้าของเด็กสาวและยิ้มบาง ๆ

            เด็กสาวบอกให้ผมพาเธอไปที่ที่หนึ่งที่ผมรู้จัก ผมก็ตกลงพาเธอไปที่นั้น มันเป็นสถานที่นอกเมืองที่ผมเคยได้ยินแต่ชื่อ ทว่ายังไม่เคยที่จะเหยียบสถานที่นั้นเลย มันเป็นทุ่งหญ้าที่ผมเคยได้ยินเรื่องเล่าของมันว่ามันจะทำให้ความปรารถนาของคนที่ไปที่นั้นเป็นจริงได้ มันเป็นเรื่องเล่าของชายคนหนึ่งที่ผมบังเอิญรู้จักกับเขาที่ร้านเหล้าในเมือง เขาเป็นคนที่เต็มไปด้วยปริศนา ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน รู้แต่ว่าเขาชอบมาที่ร้านเหล้าร้านนี้มาก เขาบอกว่าเพราะเคยมีความทรงจำกับที่นี้จึงต้องมา แต่ก็ไม่ได้บอกอะไรมาก วันหนึ่งที่เขาเมา เรื่องทุ่งหญ้านี้ก็หลุดออกมาจากปากของเขา ไม่มีใครเชื่อและคิดว่ามันมีจริงเลย ทุกคนรวมถึงผมต่างคิดว่าเป็นนิทานที่เขาแต่งขึ้นมา และไม่มีใครพูดถึงมันอีก ในวันต่อมาก็ไม่มีใครพบชายคนนั้นอีกเลย ลือกันว่าเขาไม่ใช่คนแถวนี้ มาจากที่ที่แสนไกลเกินกว่าที่ใครต่อใครจะคาดถึง

           ผมมองไปข้างหน้าพยายามที่จะตั้งสติไม่ให้วอกแวกกับเรื่องต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในหัว เด็กสาวกอดผมแน่นแนบศีรษะติดแผ่นหลังผม เธอพยายามไม่ให้ตัวเองหลับไป ผมผ่อนแรงให้มอเตอร์ไซค์แล่นช้าลง และถามเด็กสาวว่าเธอต้องการจะนอนพักก่อนหรือเปล่า แต่เธอก็ปฏิเสธและบอกให้ผมขับต่อไปไม่ต้องหยุด เราออกจากเมืองและขึ้นเหนือ ทุกอย่างรอบตัวผมมีแต่ป่า ต้นไม้ และทุ่งหญ้า ไม่เคยมีใครออกจากเมืองโดยใช้ทางบก ตั้งแต่มี เรืออากาศผู้คนก็พึ่งพาแต่เทคโนโลยีที่ทำให้ตนไม่ยุ่งยากเวลาเดินทางอีกทั้ง พวกเขาเชื่อว่า ภายนอกของเมืองจะเต็มไปด้วยอันตรายและสัตว์ดุร้ายที่อาจจะทำร้ายใครต่อใครได้ ผมคิดว่ามันเป็นแค่ข่าวลือไม่มีมูลเหตุ ความกลัวสามารถทำให้เรื่องพวกนี้เป็นจริง ทั้งที่ยังไม่เคยมีใครมาสัมผัสด้วยตัวเองมาก่อน เท่าที่เห็นผมไม่เห็นว่าจะมีอันตรายอะไรอย่างที่เขาว่า ผมเห็นแต่สัตว์ที่คอยหลบหมอบด้วยความกลัว ที่เห็นผมขี่พาหนะผ่านพวกมัน ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะคิดแบบเดียวกับมนุษย์หรือเปล่า แต่มันก็คงจะหวาดกลัวกับสิ่งที่อยู่ภายในเมืองแบบที่มนุษย์หวาดกลัวสิ่งที่อยู่นอกเมืองก็เป็นได้ ซันสะกิดผมและพยายามถามเรื่องราวต่าง ๆ เธอชวนคุยเพราะไม่อยากหลับ ผมก็ตอบไปตามที่รู้

           “ ใครสั่งให้คุณมาฆ่าฉันเหรอ ”

           “ คนที่มีอำนาจมากกว่าฉัน ”

           “ เพราะอะไร ”

           “ ไม่รู้สิ เขาไม่บอก ”

           “ พวกเขากลัวฉันแน่ ” ผมครุ่นคิดตาม

           “ ฉันพิเศษกว่าพวกเขา มันถึงได้ทำให้พวกเขากลัว ” อาจใช่ผมรับรู้ได้ถึงความพิเศษที่เธอว่านั้น สิ่งนั้นคงจะทำให้พวกคนในสภาหวาดกลัวและต้องการจะกำจัดเป็นแน่

           “ ทำไมเขาถึงให้คุณมาฆ่าฉันล่ะ คุณไม่ฆ่าคนไม่ใช้หรือไง ”

           “ มันเป็นคำสั่ง ฉันถึงต้องทำ ”

           “ น่าสงสารจัง ทั้งที่ไม่อยากทำแต่ก็ต้องทำเพราะถูกบังคับ ” ผมนิ่งเงียบ สิ่งที่เธอพูดนั้นแทงใจดำผมเข้าอย่างเจ็บปวด

           “ ทำไมคุณถึงฆ่าคนไม่ได้ล่ะ ”

           “ มีแผลเก่าน่ะ ”

           “ ฉันก็มีนะ เจ็บมากด้วย อยากฟังไหม ” ผมตอบตกลง

           “ ฉันมีเพื่อนคนหนึ่งที่รู้จักกับมาตั้งแต่เด็ก เธอกับฉันเราต่างมีอะไรที่คล้าย ๆ กัน เราสองคนกับเด็กคนอื่นๆ ถูกคนแปลกหน้าจับไปขังไว้ในห้องมืด ๆ เราต่างหวาดกลัวที่พวกเขาชอบมาทดลองอะไรบางอย่างกับร่างกายของเรา มันเจ็บ พวกเขาชอบจับเราไปนั่งเก้าอี้เหล็กและช็อตด้วยไฟฟ้า ไม่ก็จับเราไปกดน้ำนาน ๆ ให้เราหายใจไม่ออก แต่เราก็ไม่ตาย เพราะว่าพวกเราน่ะพิเศษกว่าคนทั่วไป ฉันกับเพื่อนสนิทน่ะยิ่งพิเศษกว่าเด็กพวกนั้น เราก็เลยถูกทดลองบ่อย ฉันกับเพื่อนสนิทจะถูกขังแยกกับเด็กคนอื่น ๆ เราอยู่ด้วยกันสองคน เวลาที่ฉันร้องไห้เธอมักจะปลอบโยนและร้องเพลงให้ฉันฟังเสมอ เราสองคนตกลงใจแอบหนีออกไปจากที่นั้นพร้อมเด็กคนอื่น ๆ คนแปลกหน้าตามหาและฆ่าพวกเราทุกคน จนเหลือฉันกับเพื่อน เธอให้ฉันหนีและตายแทน ฉันจึงเหลือตัวคนเดียวไม่มีใคร และฉันก็ไปเก็บตุ๊กตามาและให้เป็นเพื่อนกับฉันแก้เหงา มีคนบอกว่าถ้าหากพบ สิ่งสำคัญของตัวเองแล้วจะมีความสุข ฉันจึงตามหา แต่ก็ไม่เคยพบ ” มือเล็กของเด็กสาวกำเสื้อผมแน่น

           “ เพื่อนสนิทคนนั้นน่ะไม่ใช่ สิ่งสำคัญของเธอเหรอ ”

           “ คงใช่ แต่เธอก็ตายไปแล้วนี้ ” เด็กสาวเงียบหลังจากที่ตอบ เธอเคยพูดว่าสิ่งที่เคยสูญอาจจะเป็นสิ่งสำคัญของเธอ

           “ คุณล่ะ เรื่องของคุณเป็นยังไง ”

           “ ฉันน่ะเหรอ...ฉันน่ะ แต่ก่อนเคยเป็นนักฆ่ามาก่อน เป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีใครต้องการ ฉันเก็บไปฝึกกับเด็กคนอื่นให้ฆ่าคน และคอยรับงานจากเบื้องบนตลอด ฉันฆ่าคนไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่เคยคิดว่าทำไมต้องฆ่าคนเหล่านั้น จนกระทั้งฉันได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่ง ”

           “ เธอสวยไหม ”

           “ อืม... เธอเป็นคนที่ฉันต้องฆ่าตามคำสั่ง เธอเป็นแค่คนขายดอกไม้แต่เธอกลับไปรู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้เข้า เธอบอกว่าขอให้เธอขายดอกไม้จนถึงหน้าหนาวเสียก่อนเธอถึงจะตายตาหลับ ฉันก็เลยให้สัญญาว่าจะไม่ฆ่าเธอจนกว่าจะถึงหนาวหน้า เราบังเอิญพบกันบ่อย ๆ เธอไม่มีท่าทีจะรังเกียจฉันเลยทั้งที่รู้ว่า ฉันจะเป็นคนฆ่าเธอ กลับชวนฉันให้ไปซื้อดอกไม้ที่ร้านของเธอด้วยซ้ำ เรารู้จักกันมากขึ้น ฉันก็ได้เรียนรู้อะไรต่าง ๆ ที่ฉันไม่เคยรู้จากเธอ มันทำให้ความคิดของฉันเปลี่ยนไป ฉันเริ่มคิดว่าชีวิตต่างมีค่าทุกคน และไม่ควรจะไปพรากมันไปจากใครได้ตามใจชอบ เมื่อถึงหน้าหนาวฉันจึงลาออกจากทีมนักฆ่า และไปหาเธอคนนั้นที่ร้านดอกไม้ พอฉันไปถึงก็เห็นร่างหนึ่งนอนจมกองหิมะที่หน้าร้าน ฉันภาวนาขอให้เป็นใครคนอื่นที่ฉันไม่รู้จัก มันยิ่งเจ็บปวดที่รู้ว่าเป็นเธอ เบื้องบนออกคำสั่งให้คนอื่นมาฆ่าเธอแทนฉัน วินาทีนั้นที่ฉันพยุงเธอขึ้นจากกองหิมะมันก็ได้ทำให้ฉันรู้ว่าเธอเป็นสิ่งสำคัญของฉัน และฉันก็รักเธอ นับจากนั้นฉันก็ฆ่าใครไม่ได้เลย และก็เกือบจะตายเพราะความทรงจำนั้น มันฝังเข้าไปในสมองหยั่งลึกเหมือนรากต้นไม้ ”

           “ ... คุณคิดถึงเธอไหม ”

           “ คิดถึง เธอชอบฝนตกมาก เพราะว่ามันทำให้ดอกไม้และต้นได้เติบโต ” ผมนึกสีหน้าของเธอเวลาที่เธอมองขึ้นไปบนฟ้ายามที่ฝนตกลงมา เธอจะยิ้มจะสูดลมหายใจช้า ๆ อย่างมีความสุข

           “ ฉันเองก็ชอบฝน เพราะว่ามันทำให้ฉันได้เติบโตขึ้น ” เด็กสาวเปรยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาลงกว่าเมื่อครู่

           “ ฟ้าสางแล้ว ” แสงสีส้มที่ขอบฟ้าดูเหมือนกับเส้นด้ายเล็ก ๆ ที่ส่องประกายทักทายอย่างซุกซน มันดูนุ่มนวลและงดงาม สองข้างทางเริ่มไร้ต้นไม้ มีแต่พื้นหญ้าต้นเล็กเต็มไปทั่ว ดวงตะวันค่อย ๆ เปล่งแสงเจิดจ้าลงมาทักทายยังพื้นโลก ทุกอย่างดูสวยสดใต้ดวงตะวันที่ฉายแสงส่งพลังงานชีวิตให้แก่ทุกสรรพสิ่งในโลก ต้นหญ้าดูสดชื่นขึ้นที่ได้รับแสง

           ผมดับเครื่องมอเตอร์ไซค์ เด็กสาวรีบลงจากรถบิดร่างกายให้กระตือรือร้น ผมกวาดมองไปรอบ ๆ ตัว มีแต่ทุ่งหญ้าสีเขียวและแสงแดดอ่อน ๆ ทำให้สดชื่น ผมรู้สึกมีความสุขล้น ในอกหัวใจผมเต้นระรัวราวกับได้พบคนรัก เหมือนกับว่าผมได้หลุดมาสถานที่ที่ไม่ใช่โลกใบเดิมที่ผมได้อาศัยอยู่ มันเป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าพิเศษและแตกต่าง กว่าสถานที่ใด ๆ ที่ผมเคยรู้จัก ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกสงบใจอย่างน่าประหลาดเด็กสาววิ่งไปรอบหัวเราะด้วยน้ำเสียงอันสดใสเปี่ยมได้ด้วยความดีใจ

           “ เรามาถึงแล้วเหรอ ” เธอส่ายหน้า แต่ยิ้มไม่หุบ

           “ เราใกล้จะถึงแล้ว ฉันรู้สึกได้ ที่นี้เป็นแค่ส่วนหนึ่ง ”  เด็กสาวนั่งลงบนพื้นหญ้า และลูบไล้มันอย่างอ่อนโยน

           “ ฉันดีใจจัง มันทำให้หัวใจของฉันสงบลงมาก ไม่รู้ว่าเพราะอะไร” ผมเองก็ไม่สามารถจะอธิบายได้ว่าความรู้สึกนั้นมันคืออะไร แต่ผมเองก็รู้สึกในแบบเดียวกันกับเธอ มันคงเป็นเพราะผมได้ออกมาจากสถานที่ที่ผมรู้จักที่มีความทรงจำทิ้งร่องรอยเอาไว้ในหัวใจของผม เมื่อมาอยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้จักเช่นนี้มันจึงทำให้ผมลืมความเจ็บปวดในความทรงจำไป ราวกับว่าความทรงจำนั้นถูกลบออกไปจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่มันช่างสงบเหลือเกิน ถึงแม้จะลืมความทรงจำของเธอคนนั้นไปชั่วครู่ก็ตาม ผมไม่อาจจะจะลืมเธอได้ถึงมันจะเจ็บก็ตาม แต่การที่ลืมเธอไปนั้นมันทำให้รู้สึกผิดยิ่งกว่า

           “ ฉันรู้สึกเจ็บในอกจัง ” เด็กสาวกล่าวพลางวางมือลงทาบอก

           “ ถึงแม้ลืมเลือนจะทำให้สงบ แต่มันยิ่งเจ็บถ้าหากลืมไป ”

           เรารีบเดินทางต่อให้จุดหมาย ยิ่งใกล้สถานที่นั้นเท่าไหร่ผมยิ่งรู้สึกว่าผมจะลืมเลือนความทรงจำนั้นมากขึ้นทุกที่ เด็กสาวกำเสื้อผมแน่นเธอเองก็คงจะรู้สึกแบบเดียวกัน มันทำให้ผมรู้สึกกลัว ต้นรอบ ๆ เริ่มบางตาขึ้นมากจนในที่สุดก็ไม่เหลือต้นไม้ในสถานที่นั้นอีกต่อไป ทุ่งหญ้าสีทองที่ส่องประกายกับแสงอาทิตย์ ผมจอดมอเตอร์ไซค์นิ่งไม่ขยับชั่วครู่หนึ่งจนเด็กสาวสะกิดให้ผมรู้สึกตัว เราเดินออกไปไกลจากจุดที่เราอยู่เมื่อครู่ เด็กสาวเหม่อมองไปข้างหน้า สีหน้าเธอเหมือนจะร้องไห้มากกว่ามีความสุข เธอเอื้อมจับมือผมและหยุดเดิน มือเล็กสั่นระริกคล้ายหวาดกลัวต่ออะไรบางอย่าง

           “ ฉัน...แค่อยากมีความสุข แต่ไม่ได้อยากลืมเพื่อนสนิทคนนั้นไป การที่ลืมเธออาจจะทำให้มีความสุขแต่ มันก็รู้สึกผิดที่ลืมเธอไป ” เด็กสาวร้องไห้ และกำมือผมแน่น สั่นระริกแลดูบอบบางจนเหมือนจะถูกลมพัดปลิวไปได้ สถานที่นี้ไม่ใช่ที่ ๆ ทำให้เราสมปรารถนา แต่จะทำให้เราลืมเลือนความทรงจำที่อยู่ในหัวใจเป็นบาดแผลที่ชอนไชรากยึดติด ให้หายไปราวกับไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้นมันจะทำให้เรามีความสุขดั่งกับว่าเราได้สมปรารถนาที่เราต้องการ แต่ ณ ขณะนี้ผมกลับรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่หัวใจ บีบรัดแน่น อึดอัด แม้ว่าความทรงจำนี่จะเจ็บปวด หากลืมเลือนแล้วมันยิ่งเจ็บปวดยิ่งกว่า

           “ ฉันรักคุณ” เด็กสาสาวกล่าวถ้อยคำเพียงสั้น ๆ  ทว่าความหมายของมันกลับทำให้รู้สึกมีความสุขยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด

           “ ฉันน่ะน่าจะรู้ตัวตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอคุณ ” เด็กสาวยกฝ่ามือผมทาบกับแก้มอุ่นของเธอ

           “ จริงอย่างที่คุณว่า มันอาจอยู่ใกล้จนเราไม่รู้สึก ฉันมีความสุขที่ได้อยู่กับคุณโดยที่ไม่ต้องมาที่นี้ก็ได้ ”

           “แต่ฉันก็มีความสุขที่คุณพาฉันมาที่นี้ ที่ฉันไม่กล้าบอกเพราะกลัวว่าฉันจะอยู่กับคุณได้ไม่นาน ” เธอปล่อยมือผมและเดินถอยหลังออกไป หัวใจของผมวูบลงทันที

           “ ที่นี้ฉันก็ได้เจอกับสิ่งสำคัญแล้ว คุณฆ่าฉันได้แล้วล่ะ” เธอยิ้มด้วยรอยยิ้มสดใสทั้งทีน้ำตายังอาบแก้ม แล้วผมควรจะทำยังไงดี ผมฆ่าเธอไม่ลงในเวลานี้มีความรู้บางอย่างที่บางเบาดั่งเส้นใบถักทอก่อตัวขึ้นช้า ๆ ในจิตใจแต่ก็รู้สึกเป็นสุข

      แต่ถ้าหากผมไม่ฆ่าเธอเองเธอก็ต้องโดนคนอื่นตามฆ่าอยู่ดี ผมจำใจล้วงปืนออกมาเล็งไปที่อกของเด็กสาว

           “มันคงจะไม่มีทางเลือกจริง ๆ สินะ ” เด็กสาวพยักหน้า ผมยิ้มบาง ๆ และเคลื่อนมาจ่อที่ศีรษะของผมเอง

           “ บางที่มันคงจะต้องเป็นแบบนี้ ” เสียงปืนดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณไม่มีเสียงกรีดร้องของเด็กสาว แต่มีเพียงสีหน้าที่ตื่นตกใจของผมเพียงเท่านั้น เลือดสีแดงไหลทะลันล้นออกมาจากอกของเด็กสาวสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นหญ้าสีเขียว  เธอยกมือขึ้นกุมที่แผลก่อนจะล้มลงกับพื้นช้า ๆ  ข้างหลังเธอมีทหารจากสังกัดเดียวกันกับผมที่ผมไม่รู้จักอยู่ 6 นายด้วยกัน

           “ ยืนยันการกำจัดเป้าหมายเรียบร้อย  ”

           “ ทำไม...” 

           “ ทางเบื้องบนสั่งให้เรามาทำงานเมื่อพบว่าคุณจะไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง คุณบลัด ” เขาตอบทันทีด้วยน้ำเสียงอันเย็นชาไม่ต่างจากใบหน้าของเขาและทหารอีก 5 นายด้วยเช่นกัน ผมหาได้สนใจเขาไม่ รีบปราดเข้าไปประคองร่างเด็กสาวขึ้นแม้ว่าเลือดจะทะลักจากบาดแผลเลอะผมก็ตาม  ร่างเธอเบามากจนน่าตกใจ ผมลูบผมเปิดใบหน้าเด็กสาว ดวงหน้าซีดเซียวไร้เลือดฝาด ริมฝีปากที่เคยแดงปลั่ง ซีดเซียวเกือบจะม่วง เปลือกตาเธอปรือขึ้นแช่มช้า ริมฝีปากขยับคล้ายกับจะพูดอะไรบางอย่าง   จู่ ๆ นายทหารทั้งหมดก็กระเด็นออกจากที่ที่พวกเขายืนคล้ายกับโดนบางสิ่งที่มองไม่เห็นกระแทกเข้าอย่างรุนแรง จังหวะนั้นผมอุ้มเด็กสาววิ่งไปที่มอเตอร์ไซค์ ขี่พุ่งจากไปจากบริเวณนั้นและไม่หันกลับไปมองข้างหลัง ในใจผมคิดอย่างหนักว่าควรจะไปที่ไหนดี ถ้ากลับเข้าเมืองคงจะเกิดความกลหลขึ้นอย่างแน่นอน

           “กลับเข้าเมือง...” มือเล็กเกาะแขนเสื้อผม น้ำที่ฟังแล้วแหบพร่า

           “พวกเขาไม่รู้ว่าฉันอยู่ที่ไหน เพราะฉันไม่ต้องการให้พวกเขารู้ กลับไปที่ตึกของฉัน ” ซันสำลักไอออกมาแรง ๆ ผมใช้มือที่ว่างข้างหนึ่งกอดเธอไว้ พยายามเร่งความเร็วให้เร็วมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

       

           หลังจากที่เข้าเมืองผมก็ติดต่อไปหาเพื่อนสนิท และเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง แม้แต่เขาเองก็ยังแปลกใจที่มีคนแอบสั่งให้ส่งทหารมาตามล่าผมกับเด็กสาว ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นหนึ่งในสภาที่ต้องการกำจัดเด็กสาวก็เป็นได้ ใครคนนั้นเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังคำสั่งฆ่า แต่ผมก็นึกไม่ออกว่าจะเป็นใครมันไม่สำคัญแล้วล่ะในเมื่อตอนนี้เราต้องหนีกลับไปที่ตึกให้ได้เสียก่อน เด็กสาวแสดงพลังอำนาจประจักแก่สายตาผม เพียงแค่เธอมองไปที่เสาไป จู่ ๆ สายไฟก็หลุดออกมาจากเสาพุ่งเข้ารัดคนที่ตามล่าเรา มันขยับว่องไวคล้ายกับเป็นงูที่มีชีวิต เรารีบพุ่งดิ่งไปที่ตึกไม่สนใจสิ่งใด

           “ไปถึงที่นั้นเราจะปลอดภัย ...ฉันไม่สามารถหยุดคนพวกนี้ไว้ได้จนกว่าความตายจะมาเป็นตัวหยุด แต่ฉันไม่อยากฆ่าพวกเขา ” ผมเข้าใจเธอ เด็กสาวสูดลมหายและเอามือวางทาบที่บาดแผล พอเคลื่อนมือออกบาดแผลนั้นก็อันตธานหายไปด้วยเธอคงจะรักษาตัวเอง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ดวงหน้าของเธอดูมีสีสันขึ้นเลย พอเราเขามาในตึกของเธอ คนที่ตามล่าเราก็หยุดชะงักร่างแข็งทื่อไม่สามารถก้าวเข้ามาในเขตของตึกได้  นั้นทำให้เราทั้งสองโล่งใจมากทีเดียว ผมพาเธอขึ้นมาบนห้องของเธอ และให้เด็กสาวเปลี่ยนเสื้อผาให้เรียบร้อย ขณะที่เราจะเดินไปที่ห้องตุ๊กตา ซันก็เกิดอาการแปลก ๆ ขึ้นมาร่างกายเธอหยุดแข็งและล้มลงไป สีหน้าดูย่ำแย่กว่าเดิม ผมประคองเธอขึ้น

           “มีคนผ่าเขตเข้า” เธอกล่าว

           “ใคร..”

           “หนึ่งในสภา..” เธอพึมพำ ลุกขึ้นลากผมวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้า เธอหอบหายใจถี่ อ่อนเพลียคล้ายจะเป็นลมได้ทุกเมื่อ

           “ ฉันมีอะไรจะบอกคุณ ” เด็กสาวพูดเหมือนกำลังสารภาพความผิด

           “ ฉันแทบไม่หลงเหลือพลังอีกต่อไปแล้ว ”  ผมงุนงงกับคำพูดของเธอ

           “ คุณไม่สังเกตเหรอ ? คุณคิดว่าเด็กพวกนั้นยังเป็น ตุ๊กตา อยู่เหรอ ” ความทรงจำผมย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เราอยู่ที่ห้อง ตุ๊กตา เป็นครั้งแรก เด็กสาวทั้งหมดในห้องนั้น ไม่ใช่ ตุ๊กตา หากแต่เป็นคนจริง ๆ ทำไมนะผมถึงไม่สังเกตนิ้วที่ไร้ข้อต่อ สีหน้าที่เปลี่ยนแปลงได้พวกนั้น

           “ ตลอดเวลาที่พบกับเด็กพวกนั้นฉันแบ่งพลังของตัวเองไปให้ จนทำให้เด็กพวกนั้นกลายเป็นมนุษย์จริง ๆ มันเป็นการบั่นทอนพลัง ที่จริงแล้วในตอนแรกที่เจอกันคุณก็สามารถฆ่าฉันได้แล้วด้วยซ้ำ ”  ร่างกายเธอเซมาซบพิง เธอเอื้อมมือกอดผม บางเบาแต่รู้สึกได้ถึงความสุขที่เธอมี

           “ฉันดีใจที่ฉันอ่อนแอแบบนี้ มันทำให้ฉันไม่ใช่ปีศาจที่ใคร ๆ และแม้แต่ตัวฉันเองหวาดกลัว รู้สึกดีจังที่มีคนมาปกป้อง” ผมกอดเด็กสาวตอบ เธอซุกใบหน้าเข้ากับอกผม กอดแน่นขึ้น คล้ายกับได้ยินเสียงสะอื้นแว่วผะแผ่วจากเธอ

           “ คุณอย่าลืมฉันนะ..”

           “ไม่ลืมหรอก จะไม่ลืมเด็ดขาด ”

           “สัญญานะ ”  มือเธอกำเสื้อของผมแน่นจนเหมือนมันจะขาดหลุดติดมือ เธอเงยหน้าขึ้นน้ำตานองหน้า แต่ยังคงมีรอยยิ้มประดับดวงหน้าที่เศร้าหมอง เด็กสาวขยับปากร้องเพลง เพลงนี้ที่ผมฟังตอนที่พบเธอเป็นครั้งที่สองเธอร้องมันในบาร์แห่งหนึ่งที่เราได้คุยกันเป็นครั้งแรก ทว่าฟังครั้งนี้มันช่างโศกเศร้าจนรู้สึกเหมือนกำลังใจสลาย ผมรู้สึกคล้ายกับหัวใจแตกเป็นเสี่ยง ๆ และค่อย ๆ สลายเป็นเถาหายไปกับสายลม ทว่าเด็กสาวคงจะรู้สึกมากกว่าผม

           “ ฉันมีความสุขจัง ” เธอกระโตนยืดตัวกางแขนออก เงยหน้าขึ้นมองฟ้าสีเทาเต็มไปด้วยเมฆฝนลอยล่องอย่างแช่มช้า วินาทีที่ฝนหยดแรกตกกระทกหน้าผากของเด็กสาว หยดน้ำก็ไหลลงมาจากหน้าผากผ่านดวงตา มันดูคล้ายกับว่ามีหยดน้ำตาเพิ่มมาบนใบหน้าของเด็กสาว สายฝนอาจจะกำลังร้องไห้กับเธอ

           “ ฉันรักคุณ ” เด็กสาวยิ้มตาเรียวเป็นรูปจันทร์เสี้ยว น้ำตาไหลทะลักราวกับธารน้ำตกในดวงตา ผมยืนมือไปหาหมายจับสัมผัสมือเล็กอ่อนนุ่มเป็นครั้งสุดท้าย

           สีแดงที่เจือปนกับสายฝนสาดกระเซ็นเป็นวงกว้าง และค่อย ๆ จางหายไปกับสายฝนที่ชะล้างเอาชีวิตไปจากเด็กสาว เข่าสองข้างคล้ายกับเป็นอัมพาต ผมไม่สามารถที่จะประคองร่างกายให้ยืนอยู่ได้นานกว่านี้แม้แต่วินาทีได้อีกต่อไป ไหล่ของผมถูกบีบ เพื่อนสนิทของผม เขาฉุดดึงผมให้ลุกขึ้นยืน

           “ เธอตายแล้ว ” ผมแทบไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง

           “ ฉันรู้ ” เขาก้มหน้า และไม่มองไปที่เด็กสาว

           “ ฉันไม่สามารถห้าม เขา ไว้ได้ ”

           “ ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก ” ผมบอก สายตายังไม่ละไปจากร่างที่นองเลือดและเปียกชุ่มด้วยน้ำฝน ผมเดินไปหาร่างนั้นที่ไร้ซึ่งวิญญาณ ประคองขึ้นอย่างแผ่วเบา  ปัดเส้นผมสีดำที่ปรกใบหน้าออก ดวงหน้าเธอช่างขาวซีกเซียวไร้เลือดฝาดหล่อเลี้ยง ริมฝีปากที่เคยแดงระเรื่อ ตอนนี้ขาวซีกและเริ่มจะเป็นสีม่วง ผมกอดร่างของเด็กสาวแนบอก ช่างหนาวเย็นเหลือเกิน ร่างเล็กแค่นี้แต่หนาวซึมเข้าไปในหัวใจ

           “ บางที่มันอาจจะเป็นทางเลือกที่โง่ แต่ถ้ามันทำให้ความกลัวของ พวกเขา หายไปฉันก็จะเลือก... ”

           “ บลัด ” เพื่อนสนิทมองผมดวงความเศร้า และความไม่เข้าใจต่อสิ่งที่ผมกล่าว ผมหยิบปืนขึ้นจ่อที่ขมับ

           “ ลาก่อน ” สิ้นเสียง ในหูผมก็ก้องไปด้วยเสียงปืนลั่น ดังเสียไม่ได้ยินเสียงห้ามของเพื่อนสนิทของผม น่าแปลกที่ผมไม่รู้สึกเจ็บปวดที่บาดแผลเลยแม้แต่น้อย ทว่าผมยังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เหมือนหัวใจถูกบีบ และความเย็นจากสายฝน

           สิ่งที่ผมรู้สึกได้เป็นครั้งสุดท้ายคือ ความนุ่มจากมือของเด็กสาวในมือของผม ผมมองดวงหน้าของเด็กสาวอย่างถี่ถ้วนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนทุกอย่างเบื้องหน้าจะดับวูบและมืดมิด

             

       

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×