คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Character of สมาพันธ์รั่ว : Eles von Clarence (เพิ่มรูป "ด้วยรักและผูกพัน")
ด้วยรักและผูกพันในการตามหาปาฏิหาริย์ของสองเรา...
ไม่รักไม่ขึ้นให้หรอกนะตัว (ชื่อตอนไม่พอ)
ขอบคุณตัวเองขาสำหรับของหมั้... เอ๊ย รูป
หมัวะะะะ
(แล้วอิแม่ก็หัวเราะ โฮะๆๆๆๆ~ จากไป...)
ประเภทตัวละคร :NPC
ชื่อ-นามสกุล : เอลาเรนทิส ฌานเนร์ ฟอน คลาเรนซ์ (Elarentis Jeanniere von Clarence)
ชื่อเรียก(ชื่อเล่น) : เอเลส (Eles) แต่บางทีถูกเรียกด้วยชื่ออื่นก็มี
อายุ : 18
ชั้นเรียน : ปี 6
วันเดือนปีเกิด : 23 กุมภาพันธ์
กรุ๊ปเลือด : AB
เพศ : ชาย
สรรพนามแทนตัวเองว่า : 'ฉัน' (แต่กับสัตว์เลี้ยงและบางกรณีที่ต้องแสดงฐานะเต็มที่ จะแทนว่า 'เรา')
เผ่าพันธุ์ : กิเลน
สายการเรียน : Warlord (สายพิเศษของนักรบ เน้นยุทธศาสตร์ กลวิธีต่างๆ และให้ความสำคัญกับเกียรติภูมิในการรบมากขึ้น)
ตำแหน่ง : นักสู้แนวหลัง
หน้าตา : เด็กหนุ่มผิวขาวจัด หน้าตาคมคาย ผมดำซอยสั้นแต่ไม่ชี้ยุ่ง ตาเรียวติดจะดุ แก้วตาสีเขียวจางอมฟ้าอ่อนๆ ขมวดคิ้วจนเป็นนิสัย หารอยยิ้มบนใบหน้าได้ยาก มีแผลเป็นคล้ายเปลวไฟที่แผ่นหลัง
การแต่งกาย (ไปรเวท) : เสื้อเชิ้ตขาวพับแขน ทับด้วยกั๊ก/แจ๊กเกตสีเทาเข้ม(แล้วแต่อากาศ) กางเกง(มักจะเป็นยีนส์)สีเข้ม รองเท้าเป็นบู๊ทหนังสีดำ(สั้น/ยาว)-ผ้าใบแล้วแต่โอกาส สวมสร้อยเหล็กห้อยแท็ก นาฬิกาข้อมือข้างซ้าย
อุปนิสัย : ขรึม ไม่ค่อยยุ่งกับชาวบ้าน ถือตัว ซึนอย่าบอกใคร หัวดื้อ เจ้าระเบียบ ขี้อาย คิดมาก(แต่ไม่ถึงขั้นวิตกจริต) รับผิดชอบสูงจนบางทีก็น่ารำคาญ ชอบปล่อยออร่ามืดมนเวลาพึมพำเรื่องงาน ฮิคิโคโมริเป็นบางเวลา ซึกโคมิ บ้างาน มีงานอะไรมาก็ทำหมด ไม่ชอบให้ใครมาแตะเนื้อต้องตัว มักถูกมองว่ามนุษยสัมพันธ์แย่เพราะนิยมความสันโดษ (แต่สุดท้ายก็โดนผู้มีตำแหน่งทั้งหลายลากไปไหนมาไหนอยู่ดี) ละเอียดอ่อนกับเรื่องที่คนคาดไม่ถึง ใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นแต่ไม่แสดงออก เครียดง่ายและมักจะปวดหัวอย่างหนัก(จนต้องออกไปอาเจียน)อยู่เสมอ
อาวุธ : ง้าว (Halberd) สีเงินสลักอักขระเวทที่ไม่ค่อยเรียกออกมาใช้ (ก็มือมันไปเร็วกว่านี่นา...) แล้วก็มีดพกแผงเล็กๆยามฉุกเฉิน
ท่า/วิธีการต่อสู้ : N/A แต่ส่วนมากน่ะมือเท้าไปก่อนแล้วล่ะ
จุดแข็ง : นอกจากหัวแข็ง(ดื้อ)และปากแข็ง(ซึน)แล้ว เจ้าตัวยังมีปฏิกิริยาโต้กลับรุนแรงมาก เรียกว่าถ้าไม่อยากลงไปกองกับพื้น อย่าแอบเข้ามาใกล้ๆให้ตกใจดีกว่านะ ประสาทรับรู้ไวแล้วก็มีพลังพิเศษตามเผ่าพันธุ์
จุดอ่อน : ไม่ถูกกับเวทจำพวกลดทอนความสามารถเท่าไหร่ ยิ่งช่วงนี้โหมงานมากไปก็เลยทรุดบ่อยๆ ถ้ามีกับดักจำพวกกลิ่นหรือเสียงจะได้รับผลกระทบมากกว่าใครเพื่อน (เพราะเป็นกิเลนไง)
ความสามารถ(แบบคนธรรมดา) : เก่งการดนตรี แต่ที่ชอบคือฮาร์โมนิก้า(พกไปด้วยเสมอ) ไวโอลิน เป่าใบไม้ เจ้าตัวสามารถคว้าอะไรก็ตามที่ใกล้มือมาเป็นอาวุธได้หมด เตะต่อยเก่ง โดยเฉพาะเรื่องถีบ(คน) ซึนได้ทุกที่ทุกเวลาแต่จะเปลี่ยนไปทันตาเห็นเมื่อมีเรื่องเกี่ยวกับของหวาน
ความสามารถ(แบบพิเศษ) : เหาะได้ เวลากลายร่างจะมีเขาสีทองงอกออกมาจากหัว ตรงแก้มจะมีริ้วสีดำสามเส้นปรากฏขึ้นมา ตาดำเรียวเป็นแนวขวาง มีพลังของท้องฟ้าและแสงสว่าง
สิ่งที่ชอบ : ขนมหวานจำพวกแพทิสเซอรี่ (Patisserie) ผลไม้เปรี้ยวจัด ชาดีๆ ดนตรี ความสงบและการได้อยู่คนเดียว น้ำมันหอม สัตว์เลี้ยงของตัวเอง
สิ่งที่เกลียด : พวกที่ชอบไม่มีมารยาท พวกไม่มีความรับผิดชอบ พวกสกินชิปเข้าว่า พวกทำลายธรรมชาติ และยาบำรุงกำลังขมๆเฝื่อนๆ (โดยเฉพาะถ้าโดนบังคับให้กิน)
สัตว์เลี้ยง : ลิเวียธานเพศผู้ ชื่อโนเว
Background (ภูมิหลัง ที่มาของตัวละคร) : กิเลนหนุ่มเชืื้อสายรีปเปอร์(ยมทูต)ห่างๆ หนึ่งในผู้สืบทอดสายเลือดของเผ่าแห่งท้องฟ้า ไม่ชอบชื่ออันยาวเหยียด เวลาแนะนำตัวก็จะบอกแค่ 'เอเลส ฟอน คลาเรนซ์'(แล้วก็จะต้องมีใครสักคนในสภาตะโกนชื่อเต็มออกมาทุกที) ไม่ค่อยมีใครกล้ายุ่งด้วยเท่าไหร่เพราะเหตุผลบางประการ เป็นที่รู้จักแต่ไม่ค่อยเข้าสังคม
นอกจากนั้นไม่มีใครรู้เรื่องของเขาเลย (หรือถึงรู้ก็ไม่มีใครเปิดปากเล่า) ส่วนแผลเป็นนั่นเจ้าตัวบอกแค่ว่าเป็นเพราะ 'ฝันร้าย'...
เหตุผลที่เข้าโรงเรียน : N/A
ความปรารถนา : N/A
: + : + : + : + : + : + : + : + : + : + : + : + :
Elarentis Introduction Turn :: Lament of Serenity
...ความโศกเศร้าของแสงสว่างท่ามกลางอ้อมกอดของเวิ้งนภา...
...ถูกวางพาดไว้บนบ่าของใครกันนะ?...
โลกใบนี้... ไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่าความจริง
ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงทั้งสิ้น
แล้วต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด...
...ก็คือมนุษย์...
หมอกขาวลอยอ้อยอิ่งเหนือห้วงสมุทรเวิ้งว้างสุดสายตา บดบังมิให้เกิดแสงสะท้อนจากเทหวัตถุบนฟากฟ้ายามราตรี เสียงดนตรีโหยละห้อยลอยฝ่าความสงบเงียบวังเวง ประสานไปกับสำเนียงขับขานอันไพเราะลึกซึ้งของนางพรายไซเรนในคืนเดือนดับที่แสนมืดมิด
เจ้าของท่วงทำนองโหยหวนเป็นบุรุษร่างผอมในชุดคลุมสีเข้มเดินเส้นเงิน เขานั่งอยู่เดียวดายบนโขดหินโสโครกที่โผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำสีกรมท่า มือทั้งสองประคองเปลือกหอยสีขาวขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อยที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องเเป่าบรรเลงบทเพลงแด่ยามราตรีอันเงียบสงัด
เสียงนทีแยกออกจากกันและเกลี่ยวคลื่นที่ซัดกระทบโขดหินทำให้ดนตรีแห่งรัตติกาลชะงักกลางคัน ก่อให้เกิดเสียงกรีดแหลมสูงอย่างไม่พอใจในการขัดจังหวะจากเหล่าพรายน้ำทั้งหลาย คนผู้นั้นค่อยปรือเปลือกตาที่ปิดมาตลอดระหว่างการบรรเลงขึ้น เผยให้เห็นแก้วตาสีเขียวใสอมฟ้าจางราวกับถูกแต้มด้วยสีสันของน้ำทะเลชายฝั่งในเขตร้อน เขาเงยขึ้นมองเบื้องหน้าตน สิ่งมีชีวิตลักษณะละม้ายมังกรวารีกึ่งอสรพิษค่อยโผล่ขึ้นจากสาคร นัยน์ตาสีเหลืองส้มของมันจับจ้องมายังร่างเล็กกว่าหลายสิบเท่านัก..ร่างของมนุษย์ตัวจ้อยที่ไม่มีทีท่าหวาดกลัวแต่อย่างใดเลย
แม้ว่าสิ่งมีชีวิตตรงหน้าจะถูกขนานนามว่าอสูรร้ายกระหายเลือดแห่งท้องทะเล....
'ลิเวียธาน'
"โนเว... มีอะไร?"
จ้าวสมุทรโน้มศีรษะคล้ายมังกรของมันลงมาจนเกือบแตะผิวน้ำ เพื่อให้มือขาวที่ยื่นพ้นผ้าคลุมออกมาได้สัมผัสหน้าผากลักษณะเป็นเกล็ดเหมือนงูแผ่วเบา เด็กหนุ่มใช้มืออีกข้างเลิกผ้าคลุมศีรษะออก เผยให้เห็นดวงหน้าคมคายของเด็กหนุ่มรุ่น เจ้าของผิวขาวจัดตัดกับเส้นผมสีนิลกาฬ
"งั้นเหรอ... ได้เวลาแล้วสินะ" เสียงพึมพำแผ่วเบาขณะลุกขึ้นยืนตรง เด็กหนุ่มหลุบตาลงต่ำ มองคลื่นแผ่วๆที่ซัดเข้ากระทบโขดหินเบื้องล่างพลางถอนหายใจ "เข้าใจแล้ว ขอบใจที่ช่วยเตือนนะโนเว.."
ลิเวียธานผงกศีรษะของมันพลางส่งเสียงเบาๆเป็นการตอบรับ เด็กหนุ่มเก็บสิ่งที่ถูกใช้เป็นเครื่องดนตรีลงในถุงย่ามแล้วเหน็บไว้ข้างเอว
'จะไปแล้วหรือ? เอลาเรนทิส...'
เสียงหวานใสราวคลื่นสะท้อนของผลึกแก้วเรียกให้ผู้ถูกเรียกชี่อผินหน้ากลับไปหาร่างเกือบกึ่งโปร่งใสของนางพรายผู้ขับขานบทร้องส่งวิญญาณพลางขมวดคิ้วน้อยๆ
"เรียกชื่อเต็มแบบนั้นเดี๋ยวก็ไม่หันซะหรอก.. อือ อยู่นานกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ"
คำบ่นอุบอิบนั้นก่อให้เกิดเสียงหัวเราะใสกังวาน
'ถูกเรียกตัวแล้วสิท่า'
สิ่งมีชีวิตลักษณะคล้ายม้าโผล่หน้าขึ้นมาพ้นผิวน้ำ นัยน์ตาสีอ่อนเหลือบมองมันพลางทำหน้าไม่สบแก่อารมณ์
“รู้ดีเชียวนะเคลพี...”
เคลพี หัสนัยแห่งท้องน้ำหัวเราะในลำคอ เกิดเป็นเสียงดังฮี่... ฮี่...
'ปกติพวกคีลินอย่างเจ้าไม่ชอบเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจอะไรของเผ่าอื่นอยู่แล้วนี่ ยิ่งต้องมาอยู่ในร่างมนุษย์... เอลาเรนทิส ถ้าเจ้าไม่มีพันธะล่ะก็ ให้ตายก็ไม่ต้องมานั่งทำหน้าเซ็งโลกแบบนี้หรอก ..ข้าพูดถูกมั้ยล่ะ?'
'ปากน่ะระวังให้มันดีๆหน่อยนะเจ้าน่ะ แล้วอย่าเรียกชื่อเผ่าพันธุ์ของนายท่านด้วยสำเนียงเพี้ยนๆวิบัติแบบนั้น ที่สำคัญอย่ามาทำเล่นลิ้นเสียมารยาทกับเจ้านายข้า!'
เสียงปรามจากลิเวียธานหนุ่มที่เงียบมาตลอดดังก้องในโสตประสาทแทนการพูดออกเสียง เจ้าม้าน้ำส่งเสียง 'ชิ' เบาๆพลางพึมพำเรื่องงูทะเลหวงเจ้านาย ก่อให้เกิดคำบริภาษจากผู้ถูกกระทบตามมายาวเหยียด
เด็กหนุ่มไม่สนใจเสียงถกเถียงของเหล่าภูตพรายแห่งวารีที่มีนางไซเรนเป็นกรรมการห้ามทัพ อันที่จริง เขาทำราวกับว่าเป็นเรื่องที่ตนเคยชินมานานแสนนาน เรื่องที่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี
..ก็เหมือนกับวันสิ้นโลกนั่นแหละ
ทำลายล้าง... เริ่มต้นใหม่... ถูกทำลาย...
มันก็แค่วัฏจักรของความไม่จีรัง เช่นเดียวกับกลีบบุปผาที่ร่วงโรยด้วยอำนาจแห่งกาลเวลา
...ความเป็นอมตะนั้น.. ให้อย่างไรสักวันก็ต้องตาย
ไม่ถูกฆ่า... ก็ตายไปพร้อมผืนแผ่นดินที่เน่าเฟะด้วยมือของพวกมนุษย์นั่นไงล่ะ...
“...โนเว” เสียงเรียกแผ่วเบา นิ่งสงบ หากก็ทำให้วงทะเลาะที่ลากเอาคราเคน ปิศาจจากก้นทะเลลึกมาช่วยหย่าศึกสงบลงทันตา
'ขอรับเจ้านาย..'
“...ไปกันได้แล้ว” เด็กหนุ่มเอ่ยโดยไม่หันไปมองเบื้องหลัง ดวงหน้าคมคายเงยขึ้นมองเวิ้งฟ้าเบื้องบนแล้วหลับตาลง ร่างกายเรืองแสงสีเดียวกับนัยน์ตา สายลมทะเลยามค่ำคืนพัดวนรอบกาย เด็นหนุ่มปรือเปลือกตาขึ้นเล็กน้อยพลางหันไปพยักหน้าน้อยๆให้แก่เหล่าพรายน้ำเป็นเชิงขอตัว
...ไม่ต้องมีคำอำลา เพราะเขารู้ว่าอย่างไรก็ต้องกลับมาที่นี่อยู่ดี
...การอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางห้วงอากาศเวิ้งว้างโดยไม่มีผู้ใดเข้ามายุ่งเกี่ยว คือยามที่เป็นตัวของตัวเองได้มากที่สุด
...เขาที่สมเพชการสวมหน้ากากเข้าหากันถึงได้ชอบอยู่คนเดียว... หากไม่มีหน้าที่...
วงเวทปรากฏใต้ฝ่าเท้า เด็กหนุ่มร่างสูงเหลือบสายตาขึ้นอำลาดวงดาวก่อนที่ร่างทั้งร่างจะหายวับไปพร้อมกับอสูรสมุทรร่างยักษ์ เหลือเพียงความเงียบที่กระจายเข้าครอบคลุมบริเวณนั้นแทน บทเพลงของเหล่าไซเรนถูกขับขานต่อไป หากปราศจากท่วงทำนองดนตรีหวานโศกอ้อยอิ่งคลอไปดังเคย
บางครั้ง... ก็เคยปรารถนาให้โลกใบนี้ไม่มีตะวัน...
เพื่อว่าวันนี้... จะได้เป็นวันนี้อยู่เช่นเดิมตลอดไป...
นี่... ความคิดเช่นนั้น ถือเป็นความขลาดเขลาหรือเปล่า?
อา... มนุษย์ตัวจ้อยที่มีชีวิตราวกับฟองคลื่นเอย
เหตุใดเจ้าจึงไม่รู้คุณของท้องฟ้า
เหตุใดเจ้าจึงปรารถนาจะครอบครองห้วงวารี
เหตุใดเจ้าจึงกล่าวโทษอัคคีที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
เหตุใดเจ้าไม่เคยซาบซึ้งในปฐพีที่ให้กำเนิดเจ้ามา
เจ้ายังจะสร้างความโสมมวิบัติแก่ดวงดาวนี้ไปอีกเท่าใด
มวลมนุษย์เอย?...
: + : + : + : + : + :
“เรียกมามีอะไร?”
น้ำเสียงห้วนเจือเค้าหงุดหงิดคุ้นหูเรียกให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากกองกระดาษบนโต๊ะ เจ้าตัวคลี่ยิ้มเมื่อเห็นว่าร่างที่กำลังยืนตีสีหน้าไม่ถูกอารมณ์อยู่เบื้องหน้าตนเป็นใคร
“มาเร็วกว่าที่คิดนะเอเลส”
คนถูกขานด้วยชื่อย่อพ้นลมหายใจพรืด นัยน์ตาสีจางหรี่จ้องหน้ายิ้มๆของอีกฝ่ายพลางกอดอก "ไม่ต้องมาทำเป็นทัก บอกธุระของนายที่เรียกให้ฉันถ่อมาถึงนี่เลยดีกว่า”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก" ประโยคนั้นเรียกให้คิ้วเรียวขมวดมุ่น ดวงตาคมยิ่งแลดูดุหนัก "อย่าเพิ่งหงุดหงิดน่า.. แค่มีเรื่องจะบอกให้รู้เท่านั้นแหละ เรเรส...”
ผู้ถูกเรียกชื่อก้าวขึ้นมาจากการยืนเยื้องด้านหลัง เด็กหนุ่มร่างผอมสูงเจ้าของเส้นผมสีน้ำเงินขยับยิ้มทักทายอีกฝ่ายที่ตอบรับด้วยการจ้องหน้าตนแทน
“ไม่ได้พบกันนานนะครับ คุณ 'นักสู้แนวหลัง'...”
“ไม่ต้องมาถากกันด้วยชื่อตำแหน่งหรอก 'เลขาฯหน้ายิ้มบ้าเลือด' จะพูดอะไรก็พูดมา ฉันไม่ได้มีเวลาว่างให้พวกนายเรียกมาใช้งานทั้งวันหรอกนะ”
คนที่ถูกแขวะกลับด้วยฉายายังคงยิ้มหน้าเป็น “ผมกำลังจะบอกนี่ไงครับ.. อย่าลืมว่าพรุ่งนี้มีประชุมฯนะครับ”
“ไม่เข้า!”
คำชี้แจงได้รับการตอบกลับเป็นคำปฏิเสธสวนทันควัน
“อ้าว? ทำไมยังงั้นล่ะครับเอเลส...”
“ไม่อยาก" เหตุผลสั้นง่ายแต่ได้ใจความ...อย่างยิ่ง "เรื่องที่พวกนายประชุมกันมันไม่เคยเกี่ยวกับเรื่องในความรับผิดชอบของฉันสักครั้งนี่ ไม่อยากเข้าไปรับรู้ให้เปลืองสมองหรอก”
“แต่คราวนี้มันเรื่องสำคัญเลยนะครับ...”
“สำคัญอะไรล่ะ ระดมสมองหาวิธีง้อแฟนของประธานมันอีกหรือไง?” แขวะจากความทรงจำฝังใจ ทำเอา 'ประธาน' ได้แต่ส่งเสียงขลุกขลักในลำคอ
“เรื่องมันแล้วไปแล้วก็แล้วไปน่า... เอเลส” ต้นเรื่องแก้ตัวอุบอิบ เจ้าของแก้วตาสีอ่อนราวผลึกมณีส่งเสียง 'ฮึ' ในลำคอก่อนจะหันหน้าไปอีกทาง
“หมดเรื่องแล้วใช่ไหม ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ขอตัวล่ะ”
“เดี๋ยวครับ!...”
เด็กหนุ่มไม่รอคำตอบจากบุคคลทั้งสอง เขาหันหลังกลับ เดินออกจากประตูห้องนั้นไปทันที หากแล้วก็ต้องชะงักเมื่อมือของใครสักคนคว้าหมับเข้าที่หัวไหล่ขวา
“อย่ามาแตะตัวฉัน!!”
ท่อนแขนเหวี่ยงสะบัดให้หลุดพ้นจากการสัมผัสที่ตนติดจะเกลียด เจ้าของมือนั้นแสดงท่าทีตกใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มตามนิสัย
“ขอโทษครับ ลืมไปว่าคุณไม่ชอบ...”
คำขอโทษกลั้วหัวเราะนั้นยิ่งกวนให้อารมณ์ที่ขุ่นอยู่แล้วยิ่งมัวหนัก เรเรสยิ้มกว้างกว่าเดิมเล็กน้อยก่อนจะก้มลงกระซิบ
“เย็นนี้ผมจะลองอบขนมใหม่ มากินด้วยกันไหมครับ?”
ดวงตาคมเบิกกว้างเล็กน้อยก่อนจะกลับไปเรียบเฉยเฉกยามปกติ เด็กหนุ่มทำเสียงในลำคอเบาๆก่อนจะตอบกลับ
“ก็ไม่ได้อยากหรอกนะ”
เด็กหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าหัวเราะเบาๆ “งั้นเจอกันที่ครัวนะครับ”
“ยังถือตัวไม่เปลี่ยนเลยนะหมอนั่น...” 'ประธาน' นั่งเท้าคางมองคนที่เดินออกไปจนเสียงฝีเท้ากลืนหายไปในความเงียบ คนเป็นเลขานุการมองบานประตูไม้นั้นพลางแย้มรอยยิ้มบาง น้ำเสียงที่เอ่ยกลั้วหัวเราะ
"ก็ทำไงได้ล่ะครับ... เขาน่ะเป็น 'กิเลน' นี่นา..”
กิเลน... เผ่าพันธุ์ที่มีหน้าที่คุ้มครองทิศตะวันตก
ถึงจะไม่ใช้เลือดแท้เหมือนกันทั้งหมด แต่คุณลักษณะที่ชาวกิเลนทั้งหลายต่างมีไม่แผกกันกันก็คือเรื่องความรับผิดชอบ รักศักดิ์ศรี และถือตัว โดยเฉพาะกิเลนผู้มีพลังของแสงสว่างและอำนาจของเทหวัตถุบนฟากฟ้าเช่นเอเลส
...ถึงรายนี้จะหนักไปหน่อยก็ตามทีเถอะ...
“แล้วไม่บอกเขาไปจะดีเหรอครับประธาน เรื่องอาญาสิทธิ์ฯอะไรนั่นน่ะ?”
เรเรส ราฟาเอลิสถามเด็กหนุ่มผู้มีตำแหน่งสูงกว่า หากรอยยิ้มมากเล่ห์กับคำตอบนั้นกลับทำให้เขาเป็นฝ่ายประหลาดใจแทน
“หมอนั่นน่ะรู้เรื่องอยู่แล้วล่ะ.. ถึงได้รีบมาไง...”
ถูกไหม.. 'เอลาเรนทิส ฌานเนร์ ฟอน คลาเรนซ์'?...
...จุดจบกำลังใกล้เข้ามา...
เป็นเพราะทัณฑ์แห่งกาลเวลาหรือเปล่าที่ทำให้ความสงบศานติที่เคยเป็นมาต้องสูญสลายไป...?
...'อาญาสิทธิ์สั่งอสูร'....
เครื่องเล่นของเหล่าสิ่งซึ่งมีชีวิตแสนสั้นพรรค์นั้นไม่อยู่ในความสนใจของเราหรอก...
เหล่ามนุษย์และมวลชีวิตที่ดวงวิญญาณถูกกัดกินด้วยความละโมบและตัณหาเอ๋ย...
จงจดจำเอาไว้เสียล่ะ!
ดวงตาคู่นี้จะเฝ้ามองพวกเจ้าที่โสมมด้วยตะกอนขุ่นมัวร่วงหล่นลงแตกสลาย..กลายเป็นเถ้าละอองธุลี!
หากเศร้าโศกก็จงคร่ำครวญเสียให้สาแก่ใจเถิด
แล้วอย่าได้พะวักพะวงสิ่งใดอีก...
ความสงบสุขที่เจ้าจะหาได้นั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว
ทางที่เจ้าจะหันกลับไปนั้นก็ได้ถูกทำลายไปจนสิ้นแล้วเช่นกัน...ด้วยการเลือกของตัวเจ้าเอง!
..เอาล่ะ... ต่อหน้าเราผู้นี้.. จงเลือกดวงดาวที่จะกำหนดชะตาของเจ้าเสียสิ!...
...ถ้าหากว่าโชคยังพอมี...
...ท้องนภาอาจจะมอบความเมตตาแก่เจ้าก็เป็นได้!...
:: ... At the end of the Horizon, the Story begins... ::
ความคิดเห็น