คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Character of สมาพันธ์รั่ว : Spontasia Melle (โปรไฟล์เพิ่มเติม+แก้คำผิดอีกครั้ง)
ภาพตัวละคร..
ประเภทตัวละคร : NPC
ชื่อตัวละคร: สปอนตาเซีย เมลล์ (Spontasia Melle)
ชื่อเรียก(ชื่อเล่น) : สปอนท์
อายุ : 17 ปี
ชั้นเรียน : ปี 5
วันเดือนปีเกิด : 18 ตุลาคม
กรุ๊ปเลือด : o
เพศ: (หญิง ชาย สองเพศ ไม่มีเพศ ก็เอาเลย สองตัวอย่างหลังกรณีที่คุณลงตัวละครเป็นตัวประหลาดมองเพศไม่ออก) ฮะๆๆๆ เอาเป็นเพศหญิงค่ะ^^
สรรพนาม แทนตัวเองว่า: ดิฉัน เรียกคนอื่นว่า เธอ คุณ ท่าน ตามแต่สถานการณ์และความอาวุโส ในตอนเจรจาจะใช้สรรพนามที่ดูสุภาพเป็นทางการ
เผ่าพันธุ์: มนุษย์
สายการเรียน : สาย Trade(Merchant) ค่ะ
ลักษณะรูปลักษณ์ตัวละคร: รูปร่างสมส่วน ผิวสีขาวอมเหลืองสุขภาพดี สูงปานกลาง ประมาณ
การแต่งกาย (ไปรเวท) : ใส่ชุดเสื้อคอกว้างสบายๆซึ่งถูกสวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีน้ำตาลเข้มตัวเก่ง ใส่ กระโปรงบานสไตล์เรียบๆยาวเลยเข่าซึ่งข้างในก็ใส่กางเกงสามส่วนไว้อีกที(ดังนั้นมุขลมเซอร์วิสจึงใช้ไม่ได้~(?)) และรองเท้าหุ้มส้น ซึ่งเป็นชุดชาวบ้านเรียบๆแบบทะมัดทะแมงพร้อมตะลุยทุกที่และมิดชิดแบบไม่มีโชว์หวิว
อุปนิสัย : หลักๆคือ “เรียบร้อยแบบเรื่อยๆ” แล้วกัน ภายนอกนิ่งๆ ไม่ค่อยยิ้มนัก แต่ไม่ได้ดูขรึม ดูออกเป็นพวกเหม่อลอยบวกหน้าตายเสียมากกว่า มักจะมีถ้วยชาถือประจำไว้ที่มือเสมอ เป็นคนชอบให้ไปพร้อมๆกับชอบเงิน(?)ไปในตัว ในขณะที่ปฏิบัติจริงในการขายของต่างๆ ท่าทางเธอจะเปลี่ยนไปจากตอนปกติ เพราะเธอจะพูดมากขึ้น(เชิญชวนซื้อสินค้า)และดูกระฉับกระเฉง ในขณะนั้นเธอสามารถดึงเอาวิชาความรู้รวมถึงไหวพริบฉลาดแกมโกงในตัวออกมาใช้ขูดรีด(?)เงินจากเหยื่อ.. เอ้ยลูกค้าเสมอ แต่ทุกอาทิตย์เธอมักจะเอากำไรที่ขายได้ไปซื้อของมาแจกจ่ายฟรีๆ เธอจึงเป็นที่รู้จักในด้านความหน้าเลือดสุดๆในสายชั้นไปพร้อมๆกับความเป็นแม่พระประจำสายชั้น คำพูดติดปากของเธอประจำคือ “จะทำยังไงให้ขายได้กำไรดีๆบ้างนะ..” ในด้านตำแหน่งเสนาธิการฝ่ายหลัง ถ้าจะต้องวางแผนเรื่องต่างๆ แม้จะเอากลยุทธการตลาดมาดัดแปลงได้ก็จริง แต่สุดท้ายเธอก็ต้องขอคำปรึกษาจากเอเลส นักสู้แนวหลัง เสมอ (ซึ่งเธอจะได้มาโดยไม่ต้องคิดอะไรเลย แค่เอามาเขียนตามเท่านั้น(เปล่าแอบเลว ก็เขาเขียนมาให้หมดแล้วนี่)) ไม่ยอมให้ตนเสียเปรียบ(โดยเฉพาะทางการค้า) ในการไปเจรจาซื้อขายกับพวกโจรสลัดหรือองค์กรต่างๆ เธอจะกินยาให้กลายเป็นเพศชายทุกประการ และใช้นามแทนตัวว่า สปอนฟองเซ่ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกกดขี่ระหว่าง"เพศที่แข็งแกร่ง"กับ"เพศที่อ่อนแอกว่า"
*เพิ่มตรงการใช้คำพูด มักจะใช้คำที่เป็นกึ่งทางการหน่อยๆ และที่เธอพูดหรือเตือนเรื่องความเหมาะสมบางอย่างนั้น ไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนระเบียบจัด แต่เธอแค่ต้องการ “รักษาสิทธิและเสรีภาพของตน”เท่านั้นเอง
อาวุธ : ขวานที่ทำจากเหล็กกล้าที่ขึ้นชื่อว่าหายากและแข็งแกร่งที่สุดผ่านการตีดาบจากแบล็กสมิธผู้เลื่องชื่อ มีลายอักขระงดงามสมเป็นของราคาแพง ภายใต้เสื้อกั๊กจะมีระเบิดมือหลายลูกแอบซ่อนไว้ ใช้ยามต้องการทำลายล้างในวงกว้าง ระเบิดแต่ละลูกจะมีสกิลออกมาต่างกัน เช่น ระเบิดควัน ระเบิดแปรสภาพ ระเบิดกรด(กัดกร่อนอาวุธศัตรู) ฯลฯ แล้วแต่จะแรนด้อมหยิบมาได้ และก็ที่ขาดไม่ได้... กระเป๋าโดเรม่อน เอ้ย! กระเป๋าสะพายหลังซึ่งเต็มไปด้วยสินค้าที่มีทั้งอาวุธ ยารักษาโรค กับดัก บลาๆ นั่นเอง!! ..ระวังของข้างในให้ดี...
ท่าต่อสู้/วิธีการสู้: (ท่าไม้ตายและท่าย่อย อธิบายลักษณะและอาจใส่ชื่อให้ท่าด้วย ที่อาจเพิ่มภายหลังได้ในเนื้อเรื่องตามการพัฒนาของตัวละคร) ชื่อท่าจะพูดออกมาตามแต่จะคิดได้ในขณะนั้น ไม่มีชื่อเฉพาะ(เช่นท่าขวานฟันลงพื้นให้แผ่นดินสะเทือน บ้างจะชื่อว่า ‘ขวานทะลายภูผา’ แต่ถ้าเหม่อไปหาของกินก็จะพูดว่า ท่า ‘หั่นเนื้อขาดสองท่อน’) ส่วนท่าที่จะใช้ยามคับขันสุดๆจริงๆคือ “ท่าเงินฟาดหัว(ชื่อทางการ)” *เป็นการนำเงินเหรียญมาบรรจุในกระบอกปืนคล้ายบาซูก้า(สั่งทำพิเศษ) เวลายิงเงินจะถูกยิงออกมาเหมือนปืนกล ต่อเนื่องและรวดเร็ว น่าแปลกที่เธอเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ยินปืน แต่พอใช้วิธีนี้เธอกลับสามารถยิงให้เงินไปโดนหัวศัตรูอย่างรุนแรงและแม่นยำ(อาจเพราะความงกก็เป็นได้..) ท่าต่อสู้ตั้งหลักจะถือขวานในแนวเฉียงบังหน้าและตัว ส่วนอีกมือจับตรงส่วนหัวของขวาน เป็นการรวมสมาธิอย่างหนึ่ง วิธีการสู้นั้นจะเป็นแบบตั้งรับเสียมากกว่า โดนการเจรจาทำลายสมาธิ ประกอบกับใช้ระเบิดสนับสนุนเมื่ออีกฝ่ายใช้กองทัพอะไรบางอย่างมาโจมตี และใช้แทนการโจมตีระยะไกลด้วย
จุดแข็ง: (ไม่ควรใส่มากจนโอเว่อร์ เทพเกินจนลำบากตัวละครอื่นหากต้องตีกันในโจทย์ ควรสอดคล้องกับอาชีพ เช่น อาชีพนักลอบสังหาร เน้นความเร็วเป็นจุดแข็ง เป็นต้น) มีไหวพริบดี ทั้งด้านคำพูดและกลยุทธการต่อสู้(ที่ได้เรียนรู้มาจากเอเลสตอนที่ทำงานสภา) ในด้านคำพูดคือการพูดจาชักจูงให้อีกฝ่ายชะงักเปิดช่องว่าง อีกทั้งสามารถจับจุดด้อยของท่าที่ศัตรูใช้ได้ถูกต้องแม้เพียงได้เห็นแค่ครั้งเดียว
จุดอ่อน: (สอดคล้องกับอาชีพ) เป็นพวกเคลื่อนไหวช้าอยู่สักหน่อย ถึงไหวพริบดี แต่การเคลื่อนที่ไม่ได้เป็นตามที่คิดเท่าไรนัก ดังนั้นหากเจอพวกเคลื่อนไหวเร็วมากๆ ก็อาจจะโดนทำลายแผนได้ง่ายๆ (แต่บางครั้งถ้าวางแผนเร็วแล้วกะเวลาไว้เยอะก็จะพอช่วยหลบการโจมตีของอีกฝ่ายได้บ้าง แต่ทุลักทุเลนิดหน่อย)
ความสามารถ (แบบคนธรรมดา) : หาเงินจำนวนมากได้ในวันเดียว แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถทำให้มันหายไปในวันเดียวได้เช่นกัน
ความสามารถ (แบบพิเศษ) : เรียนรู้อะไรต่างๆได้เร็วกว่าคนทั่วไปมาก จึงไม่น่าแปลกนักที่เอเลสเขียนแผนกลยุทธให้เห็นเพียงครั้งเดียวก็จะจำได้ (แต่ยังคงถามเพราะว่าเจ้าตัวไม่รู้ว่าตนเรียนรู้แล้ว ประกอบกับรู้สึกว่ากลยุทธที่เอเลสให้คำปรึกษา(?)มันดีกว่าที่ตนคิด) รวมถึงการที่เธอสามารถจับจุดด้อยของท่าที่ศัตรูใช้ได้ถูกต้องแม้เพียงเห็นแค่ครั้งเดียว
สิ่งที่ชอบ : เงิน แต่ก็ชอบพอๆกับการให้ , สินค้าคุณภาพดี ไอเทมระดับแรร์
สิ่งที่เกลียด : เกลียดตัวเองเรื่องที่ยังทำกำไรงามๆไม่ได้ (ทั้งๆที่ก็มากกว่าคนในสายชั้นหลายเท่าแล้ว เพียงแต่ที่ไม่อยู่กับตัวเพราะเอาไปซื้อของแจกคนอื่นเท่านั้นเอง) , คนที่ทำให้ตนเสียเปรียบ...
Background(ภูมิหลัง ที่มาของตัวละคร) : เป็นเด็กกำพร้าที่ทางโบสถ์คริสต์เก็บมาเลี้ยง แต่เพราะเป็นโบสถ์เล็กๆที่รับเลี้ยงเด็กหลายคน จึงมีการเงินย่ำแย่ รายรับไม่ค่อยมี เธอจึงมีความคิดแต่เด็กๆที่อยากจะหาเงินเยอะๆเพื่อมาช่วยเหลือ ‘บ้าน’หลังนี้ของตน จึงได้คิดจะมาเข้าสายอาชีพเกี่ยวกับการค้านั่นเอง
เหตุผลที่เข้าโรงเรียน(เป้าหมายที่อาจจะนอกเนื้อจากธีมเรื่อง) : เพราะชอบเครื่องแบบ..
ความปรารถนา : อยากมีเงินเก็บมหาศาลและได้ช่วยให้ผู้คนมีความสุขได้
Intro
Spontasia’s Intro : Give Or Money Is Important?
ทุกอย่างมันเริ่มต้นจากวันนั้น.........
‘เจ้าเด็กไร้ค่า อย่าเข้ามานะ!’
‘อี๊~ เหม็นสาบ’
‘ต้องทำโทษซะให้เข็ดจะได้ไม่โผล่หน้ามาที่นี่อีก’
ณ ลานกว้างหน้าโบสถ์เล็กๆของหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่สำหรับให้เด็กๆทุกคนได้มาวิ่งเล่น เสียงกลุ่มเด็กชาวบ้านในชุดใหม่สะอาดยืนล้อมเด็กน้อยที่ใส่เสื้อผ้าเก่า สกปรกและขาดวิ่น พวกเขาพูดต่อว่าด้วยความรังเกียจ พร้อมกับเอาก้อนหินขว้างใส่อย่างสนุกสนาน ไม่สนใจแม้แต่ว่าการกระทำของพวกเขาจะทำร้ายใครหรือไม่
.....เด็กน้อยผู้น่าสงสาร.. ไม่มีใครเลยหรือที่จะมาช่วยเธอ....
ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!
แต่ในไม่กี่อึดใจ หัวที่สะอาดเรียบร้อยของเด็กเหล่านั้นถูกพัดกระดาษบรรจงตีใส่ด้วยแรงแห่งความรัก ซึ่งพวกเขาทุกคนพร้อมใจตอบรับความรักนั้นด้วยการ ร้อง “โอ๊ย!” ขึ้นมาสุดเสียง
เด็กๆที่กำลังเกรี้ยวกราดกับการถูกทำร้ายหันขวับไปมอง และได้พบกับเด็กสาวที่สูงกว่าพวกตนในชุดซิสเตอร์ นัยน์ตาสีโทพาสมองไปหาพวกเด็กเหล่านั้นด้วยสายตาเรียบเฉย
“ยัยซิสเตอร์นี่มีปัญหาอะไรกับพวกข้างั้นเรอะ??”
เธอคนนั้นนิ่งไปสักครู่ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ “ทำไมไปว่าคนนั้นไร้ค่าล่ะ?”
พวกเขาหันมามองหน้ากันเองและระเบิดเสียงหัวเราะกร๊ากออกมาราวกับเป็นเรื่องตลก
“ถามอะไรพิลึกแบบนั้น คนที่ไม่มีเงินน่ะไร้ค่าทุกคนแหละ!”
“ใช่ๆ ซื้ออะไรไม่ได้ ได้แต่ขอคนอื่นไปทั่ว น่าสมเพช”
“งั้นหรอ?” เสียงจากซิสเตอร์ผู้นั้น ทำให้เหล่าเด็กๆขุ่นมัวด้วยความโกรธเคืองกับคำรับที่ขัดความคิดพวกเขา ซึ่งพวกเขาก็เหมือนกับนึกอะไรออกและหันมาดูถูกเธอแทน
“จะบอกอะไรให้นะ ท่านซิสเตอร์~ เธอและโบสถ์ซอมซ่อนั่นก็ไร้ค่าเหมือนกัน ต้องขอบริจาคเงินจากผู้ใจบุญ เดี๋ยวนี้เขาไม่มีใครมาทำบุญให้กับโบสถ์เล็กๆแบบนี้แล้ว เขาไปโบสถ์ใหญ่ๆที่หรูหราน่าเข้าไปฟังสวดอวยพรนู่น ฮะๆๆๆ ไร้ค่าๆๆ” เด็กคนหนึ่งพูดออกมาอย่างเหยียดหยาม ซึ่งมีพวกเด็กในแก๊งส่งเสียงเฮให้ท้ายด้วย และเริ่มทำเสียงล้อเลียนใส่เธอ
ซิสเตอร์ที่นิ่งสงบปากสงบคำมาตลอด จ้องพวกเขาด้วยแววตาที่นิ่งแต่มีรังสีอาฆาตข่มขู่ ซึ่งทำให้พวกเด็กปากกล้าเหล่านั้นสะดุ้งเหวอเล็กน้อย
“ถ้างั้น..คนไร้ค่าคนนี้จะขอทำอะไรหน่อยแล้วกันนะ” เธอพูดด้วยเสียงเรียบเช่นเดิมพร้อมกับกระชับพัดกระดาษแน่น ซึ่งข้างหลังเธอก็มีแผ่นไม้กระดานด้วย....
.
.
“หนีไปซะแล้วสิ...ชิ..”
ซิสเตอร์วัย10 ปี มีสีหน้านิ่งเฉยหลังจากลงโทษพวกเด็กเหล่านั้นแล้วก่อนจะไปพยุงคนเจ็บเข้าไปในสถานที่อันศักดิ์สิทธิเบื้องหน้า
ภายในนั้นเป็นห้องกว้างซึ่งมีเก้าอี้ยาวจัดเป็นแถวตอนลึกสองฝั่ง เบื้องหน้านั้นคือไม้กางเขนสีทองตั้งตระหง่าน เพียงแต่ไร้แล้วซึ่งความเปล่าประกาย ภายในทุกอย่างล้วนเก่าซอมซ่อ เพราะขาดการบำรุง และ เงินบริจาค
“บอกกี่ครั้งแล้ว สปอนท์ ว่าอย่าเอาชุดซิสเตอร์มาใส่แล้วออกไปทะเลาะกับคนอื่นแบบนี้!” บาทหลวงวัยกลางคนบ่นออกมาในขณะที่ทำแผลให้แก่เด็กในความดูแลซึ่งบาดเจ็บสาหัส โดยมีเด็กตัวเล็กตัวใหญ่ในชุดมอซอรายล้อมรอบบาทหลวงผู้นั้น
ซิสเตอร์ถอดหมวกคลุมออก เผยให้เห็นผมยาวสีน้ำตาลแดงซึ่งยาวระบ่า แต่ข้างหน้าตัดซอยให้ยาวไล่ลงมาละเลียดแก้ม เธอถอนหายใจยาวออกมา “ก็พวกนั้นมันมาหาเรื่องก่อนนี่นา คุณพ่อ”
เด็กสาวเล่า ‘ทุกคำ’ ที่เด็กพวกนั้นว่า ซึ่งเมื่อบาทหลวงผู้นั้นได้ยินก็มีสีหน้าหมองลง พร้อมกับแย้มรอยยิ้มเศร้าๆ
“มันอาจจะจริงก็ได้นะ เพราะช่วงนี้เงินบริจาคลดลงไปมาก วันพิธีต่างๆ คนส่วนใหญ่ก็หันไปหาโบสถ์สร้างใหม่หลังใหญ่กันหมด แถมนับวันคนยากจนก็มีเพิ่มมากขึ้นทุกทีๆ เด็กที่ถูกทิ้งก็มีมากยิ่งขึ้นไปอีก....” เขาพูดในขณะที่น้ำตาคลอเบ้า เด็กเล็กๆที่โบสถ์นั้นต่างเข้าไปกอดปลอบคนที่เราเรียกว่า ‘คุณพ่อ’ บ้างก็ลูบหัว บ้างก็กอด บ้างก็หอมแก้ม แต่เด็กที่มีอายุซักหน่อยจะมีน้ำตาคลอ
“คุณพ่อพูดแบบนี้ แสดงว่าซักวันก็จะทิ้งพวกเราไปด้วยหรอ”
เมื่อบาทหลวงเห็นเหล่าเด็กในอุปการะพูดเช่นนี้ออกมา เขาก็ปล่อยโฮพร้อมกับกอดพวกเขา.. “เด็กน่ารัก...อย่างพวกลูกๆ....ฮึก...พ่อจะทิ้งลงได้อย่างไรล่ะ.. เพียงแต่ ต้องมีซักวันหนึ่ง....ที่พวกเราต้องอดอยากกัน พ่อไม่อยากให้พวกลูกต้อง...เจอเรื่องลำบาก..ฮึก..” ซึ่งคำพูดของเขาบอกได้ถึงความสงสารและเป็นห่วงทำให้ทุกคนที่นั่นร้องไห้โฮกันออกมา
เด็กสาวผมน้ำตาลแดงนั่งแกว่งขาตรงเก้าอี้ยาว เธอเป็นเพียงคนเดียวในตอนนี้ที่ไม่ร้องไห้ แววตานิ่งๆนั้นเหมือนคิดอะไรอยู่.. “คุณพ่อ... เงินมันช่วยให้คนมีค่าได้จริงๆหรอ”
“เงินน่ะ..จริงๆแล้วมันไม่ได้เป็นตัววัดถึงคุณค่าชีวิตมนุษย์หรอก แต่ค่านิยมของมนุษย์ต่างหาก ที่ยกให้วัตถุเหล่านั้นเป็นสิ่งประเมินค่า ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ที่อยู่ในสังคมเหล่านั้น พวกเราจึงต้องถือตามคนส่วนมาก”
“แล้วสิ่งที่ประเมินค่ามนุษย์จริงๆคืออะไรหรอ?...” เธอยังคงถามต่อด้วยเสียงนิ่งเรียบ
บาทหลวงผู้นั้นยิ้มบาง... แม้จะยังมีน้ำตาอยู่
“ การให้ไงล่ะ ค่ามนุษย์จริงๆอยู่ทีการให้ มนุษย์เราเกิดมาเพื่อเป็นผู้ให้ ให้ต่อกันเป็นทอดๆ มอบความสุขให้ทุกคน และไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ซึ่งทำให้สังคมเราสงบสุข และเมื่อตายก็ได้ไปอยู่รับใช้พระเจ้าบนสวรรค์ด้วย...”
เด็กสาวนิ่งเงียบไป.......
“แต่หากไร้เงินตรา เราก็ไม่สามารถให้ความสุขแก่คนอื่นได้เต็มที่ล่ะ..” เขาพูดทิ้งท้ายไว้ซึ่งไปกระทบกับความคิดของเด็กสาวทันที
“ถ้างั้น ถ้าเราหาเงินได้เยอะๆ เราก็จะเป็นผู้ให้ที่สมบูรณ์ รวมถึงช่วยคุณพ่อและน้องๆทุกคนได้สินะ” คำพูดหนึ่งเปรยออกมาทำให้ทุกคนหันมาที่เด็กสาวเป็นตาเดียว
ถ้าเรามีเงินเยอะๆเราก็จะเป็นคนมีค่าในสังคมสินะ...
ถ้าเราเป็นผู้ให้ที่สมบูรณ์ได้เราก็จะเป็นคนมีค่าอย่างแท้จริงสินะ...
เอ....จะมีอาชีพอะไรที่ทำให้เงินเยอะได้น้า...
อ๊ะ... อาชีพนี้ไง!!!
“.....คุณพ่อ หนูตัดสินใจแล้ว” เธอพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจซึ่งเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นท่าทางเช่นนั้นของเธอ
“ตัดสินอะไรรึ..” เขาถาม
“หนูจะเป็นแม่ค้าค่ะ!!!!”
เป็นคำตอบที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจไปพร้อมกับสร้างความหวังให้แก่โบสถ์เล็กๆแห่งนี้...
.......................................................................
เสียงรองเท้าหนังดังกึกกักมาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องสภานักเรียนอันใหญ่โต พร้อมกับประตูที่เปิดปึงเข้ามา เผยให้เห็นร่างบุรุษในชุดเสื้อโค้ทผมยาวมัดรวบสีน้ำตาลแดง ไว้ผมตัดซอยละเลียดแก้มปิดหู แว่นตากรอบสีทองข้างเดียวของเขาสะท้อนแสงตรงหน้าเด่นจนเห็นเพียงผิวเลนส์หม่นๆ ผู้อยู่หน้าทางเข้าโค้งให้แก่ผู้อยู่ในห้องทุกคนก่อนจะก้าวเข้ามา ก่อนจะถือวิสาสะนั่งตรงโซฟาแถวนั้นและรินชาที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นยกขึ้นดื่ม
“พึ่งกลับมาจากการขูดรีดพวกโจรสลัดมาสินะครับเนี่ย คุณเสนาธิการฝ่ายหลัง” เสียงของชายหนุ่มผมสีน้ำเงินนามเรเรส ราฟาเอลิสที่นำเค้กพึ่งอบเสร็จมาวางเตรียมไว้บนโต๊ะ
ทั้งๆที่คำพูดของคนตรงหน้าออกจะเป็นคำที่รุนแรงไปหน่อย แต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่เขาไม่คิดจะปฏิเสธ
“อืม” เขาคนนั้นตอบเสียงสั้นได้ใจความก่อนจะจิบชาดื่มตามประสา “อืม...ชงชาเก่งเหมือนเดิม.....”
“เฮ้อ...ไม่น่าแกล้งเลยจริงๆนะครับ..” เลขาหนุ่มยิ้มแต่ท่าทางดูหน่ายๆเล็กน้อย “เอ้อ... แล้ววิธีเจรจาที่ผมสอนไป ใช้ได้กับการคุยการค้าครั้งนี้มั้ยครับ”
เด็กหนุ่มผมน้ำตาลแดงพยักหน้าตอบรับ “ใช้ได้ดี โดยเฉพาะวิธี ‘ยิ้ม’ นั่น ทำให้เจ้าพวกนั้นรับข้อตกลงโดยไม่ถึงห้านาทีเลยล่ะ..” ไม่ว่าเปล่าเขาก็แสดงให้เห็น “ยิ้ม” นั่นด้วยรอยยิ้มสุภาพพร้อมกับแผ่ “รังสี” ข่มขู่บางอย่างออกมา ซึ่งเจ้าของวิธีก็ยิ้มอย่างพอใจ(?)
เดลฟินิลาเอล เมอซิลอน ขุนพลแห่งสภานักเรียนเซนท์เบริเอลซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามมองไปที่ร่างหนุ่มมนุษย์คนนี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า..
“ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทุกครั้ง สปอนตาเซีย ถึงต้องแปลงเป็นเพศชายทุกครั้งที่ไปทำธุระการค้าด้วย”
เมื่อรุ่นน้องผู้เป็นขุนพลพูดจบ ร่างเด็กหนุ่มคนนั้นก็มีแสงสว่างห่อหุ้มตัว แปรเปลี่ยนร่างนั้นไปเป็น สปอนตาเซีย เมลล์ เด็กสาวอายุ 17 ปี ทรงผมยังคงเป็นเช่นเดิมแต่ใบหน้าออกหวานเป็นผู้หญิงขึ้นและร่างกายที่มีทรวดทรงองเอวพอประมาณในชุดเดิม เด็กสาวผู้นั้นหยิบกล่องแว่นภายใต้เสื้อโค้ทออกมาสวมแทนแว่นตาข้างเดียวกรอบทองอันนั้น เป็นแว่นกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เธอใส่ประจำเสมอมา
เธอหันไปทางขุนพลผมแดง “เดลฟินิลาเอล อยู่ในร่างนั้นช่วยเรียกดิฉันว่า ‘สปอนท์ฟรองเซ่’ ด้วย เพื่อความปลอดภัยเผื่อมีคนมาสอดแนมค่ะ” เธอพูดอย่างเรียบๆและยกชาจิบอีกที จากนั้นเธอก็ยกนาฬิกาข้อมือดู “อา....หมดฤทธิ์ตรงเวลาจัง สมแล้วที่เป็นยาคุณภาพดี...”
“ จะสปอนตาเซียหรือสปอนฟรองเซ่ก็แล้วแต่ แต่แกยังไม่ตอบฉันเลยว่าทำไม!”เด็กสาวร่างเล็กหงุดหงิดขึ้นกว่าเก่าพร้อมตวาดใส่เธอโดยไม่สนว่าเป็นรุ่นพี่
นัยน์ตาภายใต้กรอบแว่นสี่เหลี่ยมหรี่ตาลงในขณะที่ดื่มชาไปจิบหนึ่ง...
“กฎการเจรจาทางการค้าข้อที่หนึ่ง อย่าทำให้ตนเองเสียเปรียบ”
เป็นคำตอบที่ทำให้รุ่นน้องทำหน้าเซ็งแกมหงุดหงิดในความคลุมเครือ “โอ๊ย! ช่างมันแล้วกัน คุยแล้วอารมณ์เสีย!” แล้วเธอก็นั่งกอดอกไขว่ห้าง
แต่แล้วก็มีถุงข้าวโพดนึ่งยื่นมาให้ตรงหน้า
ซึ่งคนที่ยื่นมาก็คือคนที่ทำให้เธอหงุดหงิดนั่นเอง....
“แทนคำขอโทษแล้วกัน ...” สปอนตาเซียพูดเพราะรู้ดีว่าความเรื่อยๆของเธอก็ทำให้ขุนพลตรงหน้าหงุดหงิดได้ประจำ จึงได้แวะซื้อก่อนกลับมา ซึ่งเมื่อพูดจบขุนพลรุ่นน้องก็ยึดมันไว้หมับ
เด็กสาวผมแดงเริ่มกินเข้าไปทำเสียงฮึพร้อมกับพูดออกมา “วันหลังก็อย่าทำอีกล่ะ ยัยสปอนบ๊อบ”
“จะพยายาม...” เธอตอบรับเนือยๆและเดินกลับไปที่เดิม
“สปอนท์! กลับมาแล้วก็เริ่มทำงานสิ อย่ามัวแต่จิบชา!” รองประธานนักเรียน รีเบคก้า ซาวิเอร่า ซึ่งถือตั้งหนังสือ ‘ล้วงลึกโจนส์ ออฟ อาร์ค’ ทั้งชุดบ่นเมื่อเห็นเธอเข้า และไม่วายหันไปบ่นประธานนักเรียนพร้อมกัน
สปอนตาเซียพยักหน้ารับก่อนจะไปเปลี่ยนชุดในห้องแต่งตัวซึ่งขอท่านประธานให้สร้างขึ้นเพื่อความคล่องตัวในการทำสิ่งต่างๆ เธอมาที่โต๊ะทำงานของเธอพร้อมชาที่แวะไปรินเพิ่มมาด้วย หยิบใบเอกสารมานั่งอ่านสักครู่เกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆในตอนนี้ และรวบรวมข้อมูลต่างๆให้มากที่สุด เสร็จแล้วเธอก็ลุกเดินออกมาจากโต๊ะนั้น..
..........
นักสู้แนวหลังนามเอลาเรนทิส ฌานเนร์ ฟอน คลาเรนซ์ กำลังยืนอยู่ในครัวซึ่งเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทำขนม พร้อมกับเรเรสที่จะเริ่มทำเค้กก้อนใหม่ประกอบกับกับทดลองทำขนมสูตรใหม่ไปในตัว เพราะขนมที่ใช้ทานกับน้ำชาในสภานั้นหมดแล้ว เอเลสกำลังจดจ่อกับการทำขนมของเรสโดยไม่ได้สนใจสิ่งรอบด้านในตอนนี้นัก
ร่างบางเดินเข้ามาโดยไม่มีเสียงใดๆ และตรงไปโดยไม่ได้คิดอะไรทำให้เธออยู่ในสภาวะพรางจิตสมบูรณ์ไป เธอหยุดยืนอยู่ข้างหลังโดยไม่ได้แตะต้องเขาเพราะรู้ดีว่าเขาไม่ชอบ....
และแล้วเธอก็เอ่ยชื่อขัดจังหวะของอีกฝ่ายทำให้จิตสัมผัสปรากฏขึ้นทันที ซึ่งผู้ที่จับความรู้สึกไวเช่นเขาหรือจะจับสัมผัสของเธอไม่ได้.......
พล่อก!!
เด็กสาวล้มก้นกระแทกพื้นด้วยศอกที่รุ่นพี่หนุ่มมอบให้กับเธอเพราะปฏิกิริยารีเฟลกตกใจในการปรากฏตัวของหล่อน ซึ่งผู้ที่ป้องกันตัวนั้นก็ตกใจทำอะไรไม่ถูกกับการทำงานของร่างกายที่ทำร้ายเสนาธิการฝ่ายหลัง‘อีกแล้ว’ โดยผู้อยู่ในเหตุการณ์อีกคนก็ละความสนใจมาทางนั้นด้วยเช่นกัน
“เอาอีกแล้วนะครับ เอเลส” เลขาหนุ่มหัวเราะเบาๆพลางส่ายหน้าไปมาช้าๆ
“นายน่ะเงียบไปซะ” นักสู้หนุ่มพูดปรามก่อนจะหันไปทางคนเจ็บ “ อะ..เธอ.. ไม่เป็นไรใช่มั้ย..?”
สปอนตาเซียลุกขึ้นมาพลางเก็บเอกสาร ส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงปฏิเสธ แต่เมื่อมองหน้าของเธอแล้วจะพบว่าเธอเลือดกำเดาออกจากจมูก เธอยื่นกองเอกสารที่ตอนนี้เต็มไปด้วยหยดเลือดสีแดงสดให้แก่เอเลส...
“ขอคำปรึกษาเกี่ยวกับแผนงานในช่วงเดือนนี้ด้วยค่ะ”
คำพูดกับสถานการณ์ตอนนี้ทำให้เอเลสแสดงสีหน้าบอกไม่ถูก ส่วนอีกคนกลั้นหัวเราะมากกว่าเก่า กว่าจะได้เริ่มขอคำปรึกษาก็หลังจากห้ามเลือดกำเดาของเสนาธิการฝ่ายหลังได้แล้ว...
ถ้าจะถามว่าเป็นเสนาธิการแท้ๆ แต่ทำไมต้องไปขอคำปรึกษาจากคนอื่นน่ะหรอ?
เรื่องนั้นดิฉันขอเสนอแนะให้ไปถามประธานดีกว่า..
เพราะจู่ๆดิฉันก็ถูกเลือกให้เข้ามาทำงานในสภาด้วยตำแหน่งนี้
โดยที่ไม่มีประสบการณ์อะไรเลยนอกจากแผนการตลาด
ดังนั้นก็เลยต้องขอให้คนอื่นช่วยไงล่ะ.....
นักสู้หนุ่มถือปากกาไว้ในมือกำลังขีดเขียนร่างบางอย่างพร้อมกับกระดาษเพื่อจะมองถึงกลยุทธโดยรวม“อืม...ในสถานการณ์แบบนี้ ใช้กลยุทธการวางหน่วยตรวจตราไว้แบบนี้ดีกว่า....”
“แล้วตรงนี้..” เสียงเรียบเอ่ยถามขึ้น
“ถ้าเกิดปัญหาแบบนี้ ควรใช้ตัวหมากแบบนี้ลงในตรงจุดนั้นให้มากเข้าไว้...” แล้วเขาก็เขียนร่างๆในกระดาษนั้น
หญิงสาวใส่แว่นพยักหน้าตั้งใจฟังกลยุทธต่างๆที่ชายหนุ่มแนะนำ ซึ่งในบางจุดเธอคิดว่ากลยุทธอีกแบบน่าจะดีกว่า แต่เธอเชื่อว่ากลยุทธของเขาน่าเชื่อถือกว่าของตนอยู่แล้ว...
“การวางแผนทั้งหมดคร่าวๆก็ประมาณนี้แหละ” เอเลสวางปากกาลง “ลองเอาที่ฉันบอกไปดัดแปลงเองนะ”
สปอนตาเซียพยักหน้ารับก่อนจะดึงกระดาษร่างทั้งหมดของเอเลสมาซึ่งมีทั้งกลยุทธที่เขาแนะเธอ และกลยุทธที่เขาคิดไว้เป็นตัวเลือก ทำเอาเอเลสร้อง ‘เฮ้ย’ ขึ้นมา
“ขอบคุณค่ะ...” เธอโค้งให้และเดินกลับโต๊ะทันทีพร้อมเสียงท้วงติงข้างหลัง
“นี่มาขอคำปรึกษาหรือให้ฉันทำแทนเนี่ย!”
ก็เขียนทั้งหมดในกระดาษเองนี่นา.......
สปอนตาเซียคิดในใจพร้อมกับเริ่มเขียนกลยุทธทั้งหมดแบ่งเป็นหมวดหมู่ตามกระดาษร่างของเอเลสอย่างสงบเรื่อยๆ
ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยได้เข้าร่วมวงสนทนาในการประชุมมากนัก แต่เธอก็ได้ยินทุกอย่างที่พวกเขาพูดกัน รวมถึง ‘อาญาสิทธิ์สั่งอสูร’ ด้วย
“อาญาสิทธิสั่งอสูร”
สั่งดินได้ดิน สั่งฟ้าได้ฟ้า สั่งอะไรได้ทุกอย่าง
หลายคนต่างหมายปองเพื่อทำให้ความปรารถนาเป็นจริง โดยเฉพาะ
“มนุษย์”
เขาว่ามนุษย์มีกิเลสตันหามากกว่าเผ่าไหนๆ
มีตราบาปทั้ง7ติดกายตลอดเวลา
และถูกครอบงำได้ง่ายที่สุด
ในฐานะที่ดิฉันเป็นมนุษย์
ดิฉันมิอาจเถียงได้ว่าไม่เป็นความจริง
เพราะตัวดิฉันเองก็มีกิเลส มีความต้องการ
ต้องการเงินทอง เพื่อสร้างคุณค่าให้ตนเอง
ต้องการเพื่อน เพื่อดับความเหงาเปล่าเปลี่ยว
ต้องการศักดิ์ศรี เพื่อความภาคภูมิใจในการมีชีวิต
และ
.....ต้องการให้ทุกอย่างกลับมาสงบสุข....
เพื่อให้วันเวลาเก่าๆอันไร้ความทุกข์กลับมา
ดูจะเป็นความโลภที่มนุษย์มีความต้องการหลายประการ
แต่ทว่า.... ถ้าดิฉันขอให้คิดในอีกมุมหนึ่ง..
เผ่าอื่นๆเอง ต่างก็มีกิเลสไม่น้อยไปกว่ามนุษย์อันไร้ซึ่งพลังเลย
ทั้งๆที่มีสิ่งพิเศษมากมายในตัว ที่น่าอิจฉา
แต่ก็ยังไม่พอใจ ยังต้องการให้มีมากกว่านี้
อันนำพามาซึ่งการต่อสู้ระหว่างเผ่าพันธุ์
ลุกลามจนเกิดการนองเลือกเกลื่อนกลาด
จุดจบก็คือ
การที่ไม่มีใครเป็นผู้ที่ได้ 'สิ่งที่แก่งแย่งกันแทบเป็นแทบตาย' มาเป็นของตนอย่างแท้จริง
ท้ายที่สุดแล้ว.... ทุกคนนั้นล้วนมีกิเลสกันหมด
และต่างแสวงหาวิธีที่ ‘ง่าย’ที่สุดในการทำให้ ‘มัน’เป็นจริง
ก็ขออวยพรให้แก่ผู้ที่ต้องการมันทั้งหลาย
.......จงมีชีวิตรอดและแบกรับเรื่องที่ตนเองทำให้ได้ไปตลอดชีวิตล่ะ.......
เอ๊ะ? คิดว่าดิฉันต้องการมันด้วยงั้นหรือ?
ของพรรค์นั้นน่ะ มันไม่ได้จำเป็นอะไรในการทำให้สิ่งที่หวังเป็นจริงเลย
ดิฉันเชื่อว่า กำลัง และ สติปัญญาของเราๆต่างหาก ที่ทำให้สิ่งที่เราปรารถนาเป็นจริงได้
เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง มันต้องมี “การแลกเปลี่ยนอย่างสมน้ำสมเนื้อ” อยู่แล้วไงล่ะ
.
.
.
.
ในขณะที่คิดไปเรื่อยเปื่อย สปอนตาเซียก็เขียนงานเสร็จทั้งหมดพอดี เธอจึงรวบรวมมันเป็นตั้งและนำมันไปวางไว้บนโต๊ะประธานที่จนบัดนี้ก็ยังจำชื่อยาวๆทั้งหมดของเขาไม่ได้
“ คุณเฟโร่ที่20 วันนี้ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ.....” มันเป็นชื่อที่เธอเรียกเขาซึ่งยาวกว่า‘ท่านประธาน’แล้ว
ท่านประธานที่นั่งเอาขาพาดโต๊ะอย่างสบายหันมาทางเธอ แล้วยิ้มให้ “ตามสบาย...” แล้วเขาก็นั่งเหม่อต่อกับข้างตัวของเขาที่รองประธานสาวยังคงบ่นใส่อย่างไม่ลดละ
เด็กสาวผมน้ำตาลแดงมองไปรอบห้องและโค้งลาทุกคน คิดที่จะมุ่งหน้าไปยังร้านขายของปลีกส่งเจ้าประจำ
อันดับแรก... เพิ่อไปส่งเงินช่วยเหลือคุณพ่อและน้องๆที่ 'บ้าน'
และสอง... เพื่อหาของจำเป็น รวมถึงออเดอร์ที่ทุกคนต้องการมาแจกให้ฟรีๆ
...ก็วันนี้มันเป็นวันอาทิตย์
‘วันแห่งการให้’ ของดิฉันนี่นา...
ถ้ามีเงินแล้วจะเป็นคนมีค่า ดิฉันก็จะขอมีเงินให้มากที่สุดในโลก
แต่ในโลกนั้นก็ขาดการให้ไปไม่ได้ ดังนั้นดิฉันก็จะขอเป็นผู้ให้โดยไม่หวังผลตอบแทนอันใด
แต่ทำยังไงดิฉันก็ไม่มีเงินมากที่สุดในโลกสักที คงเป็นเพราะดิฉันยังทำกำไรไม่พอละมั้ง?
เอ....แล้วดิฉันจะทำยังไงให้มีกำไรงามๆน้า?.....
Spontasia’s Introduction : End
ความคิดเห็น