คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Character of สมาพันธ์รั่ว : Definilael Mercilon (ลืมใส่ตำแหน่ง)
แบบฟอร์มตัวละคร
ประเภทตัวละคร : NPC
ซ้าย ชุดอัศวินเต็มยศ ขวา ชุดไปรเวท (ที่ใส่อยู่ข้างในนั่นแหละ)
ชื่อตัวละคร: เดลฟินิลาเอล เมอซิลอน (Delfinilael Mercilon)
ชื่อเรียก(ชื่อเล่น) : เดลฟี่ (Delfy)
อายุ : 16
ชั้นเรียน : ปี4
วันเดือนปีเกิด : 17มกราคม
กรุ๊ปเลือด : B
เพศ: หญิง สรรพนาม แทนตัวเองว่า: ฉัน
เผ่าพันธุ์: เอลฟ์
สายการเรียน : Heroes Class (Knight)
ตำแหน่ง : ขุนพลนักเรียน (เน้น!!!)
ลักษณะรูปลักษณ์ตัวละคร: โลลิค่อนเถื่อน -*- อยู่ม.4แต่เตี้ย หน้านิ่วคิ้วขมวด ผิวขาว หน้าตาจิ้มลิ้ม ผมแดงยาวมัดหางม้าถักเปียเล็กๆแซม นัยน์ตาสีเขียวมรกต หูแหลมยาว
การแต่งกาย (ไปรเวท) : เกราะอัศวินเต็มยศ ชุดข้างในเป็นสีน้ำเงิน กระโปรงขาวขลิบขอบสีส้ม
อุปนิสัย : ดูแรกๆก็หน้าตาจริงจังซีเรียส ดูแก่เกินหน้า ขี้โวยวาย ใจร้อน แต่พูดจาไร้สัมมาคารวะสุดๆ ไม่สนใครพี่ใครน้องมาถึงตูซัดลูกเดียว แต่เรียกประธานนร.ว่าพี่!! และเป็นคนเดียวที่ยอมเรียกว่าพี่ เล็กพริกขี้หนู ตัวเล็กแต่ข่มชาวบ้านได้ ฝีมือมี เดลฟี่ไว้ลาย (เย้) รักโรงเรียน อนึ่งขุนพลมีหน้าที่ดูแลความสงบภายในโรงเรียน ดังนั้นถ้ามีนักเรียนแหกกฎจะต้องโดนลงโทษโดยผ่านเธอ ซึ่ง... บอกได้คำเดียวว่าเลวร้าย เกลียดพวกกร่าง ถือคติ เกียรติของอัศวินคือการสู้ สู้ และสู้
อาวุธ : เรเปียร์ ดาบเรียวสีขาวเน้นการใช้แทง
ท่าต่อสู้/วิธีการสู้: ท่าแทงอันเฉียบขาด แม้เดลฟี่จะเป็นพวกประเภทถึกเกินรูปร่าง แต่อาวุธที่ใช้กลับบางเฉียบ เน้นความเร็วไม่เข้ากับความถนัดเลยแม้แต่นิด ดูเผินๆล่ะก็นะ ที่จริงเรเปียร์นั้นพิเศษตรงที่ความแข็งแรงของมันเกินกว่าเรเปียร์เล่มไหนๆ ดังนั้นอย่าดูถูกความหนักหน่วงของมัน
ท่าที่ใช้
-กระบวนท่าเงารัว 64 ดาบ (แทงรัว64ครั้งติด)
-กระบวนท่ากระหน่ำปฐพี (ฟันตรงแสกหน้า แจะเป็นแค่เรเปียร์เล่มเล็กๆแต่หนักหน่วงถึงขั้นทำให้คนตัวใหญ่ๆทรุดได้)
ไม้ตาย
-กระบวน ท่าพิเศษฝนเพลิงสวรรค์วินาศ (เพลงดาบคู่เวทมนตร์ เดลฟี่นั้นแทบไม่มีพลังเวทมนตร์ แต่อย่างไรก็เป็นหนักหน่วงเกินรูปร่าง ความเฉียบขาดเข้าที่หนึ่ง แม่นยำ ความเร็วพอใช้ แต่ไม่เร็วมาก ไม้ตายของเดลฟี่จึงเป็นการใช้เพลงดาบควบคู่กับเวทมนตร์ธาตุไฟที่เธอเด่นที่สุด ฝนเพลิงสวรรค์วินาศคือการฟันขนานกับพื้นปล่อยลูกไฟออกไปนับร้อยโจมตีคู่ต่อสู้)
-ไม้ตายลับ.... ยังไม่เปิดเผย
จุดแข็ง: โจมตีรับการโจมตีได้ถึงกับทรุดเลยทีเดียว
จุดอ่อน: เวทมนตร์น้อย เรียกได้ว่าแทบไม่มี ดังนั้นโจมตีด้วยเวทมนตร์คำสาปก็สามารถล้มเธอได้ ความเร็วปานกลาง ไม่เร็วมาก แต่ตัวเล็กคล่องแคล่วกว่าตัวใหญ่ ถึงยังไงก็ไม่เร็วเท่าพวกAssassinหรืออะไรในคลาสนั้น
ความสามารถ (แบบคนธรรมดา) : มีความคิดสร้างสรรค์ประหนึ่งลีโอนาร์โด ดา วินชี คิดสร้างสรรค์บทลงโทษได้แหล่มอร่ามที่สุด สมาธิดี วิชาดาบเยี่ยม
ความสามารถ (แบบพิเศษ) : อึด ถึกผิดรูปผิดร่าง(อึดเกินมนุษย์) เพลงดาบคู่เวทมนตร์สายไฟ พลังทำลายล้างสูง
สิ่งที่ชอบ : เดลฟี่ชอบกินข้าวโพด(ป็อบคอร์นก็ได้ หยวน) กับกรึ๊บเหล้าขาวมากๆ แต่เมาแล้วชักดาบฟันข้าวของและทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า (ไม่ได้ชักดาบแบบ กินแล้วชิ่งไม่จ่ายเงินนะ 555+)
สิ่งที่เกลียด : พวกกร่าง พวกทำผิดระเบียบ พวกที่เห็นว่าตัวเองเตี้ยแล้วทำตัวข่มขู่ กลัวหนอน เกลียดความอ่อนแอ
Background(ภูมิหลัง ที่มาของตัวละคร) : อัศวินกองร้อยพิเศษแห่งสหราชอาณาจักรหนึ่ง
เหตุผลที่เข้าโรงเรียน(เป้าหมายที่อาจจะนอกเนื้อจากธีมเรื่อง) : N/A
ความปรารถนา : N/A
Intro : (คือฟิคตอนสั้นๆไม่ต่ำกว่า2000ตัวอักษรหรืออาจเรียกได้ว่าเป็นบทนำของตัวละคร ใช้อธิบายถึงที่มา ต้นกำเนิดของตัวละคร สาเหตุของการกระทำ เป็นต้น ไม่ต้องเขียนให้ครบทุกอย่างที่บอก และอาจเขียนนอกเนื้อตัวอย่างที่กล่าวในข้างต้น เอาให้ผู้อ่านพอเข้าใจตัวละครนั้นๆ ใช้สิ่งที่กรอกมาทั้งหมดในการเขียน สามารถอ้างอิงสถานที่อื่นๆ (หรือไม่เขียนถึงสถานที่ตั้งก็ได้) และบุคคลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับตัวละครได้)
Delfy’s intro : ผู้ทรงเกียรติแห่งอัศวิน
“บ้าเอ๊ย!!!”
เสียงตะโกนสบถแห่งอดีตก้องเข้ามาในหัว ทั้งเสียงเพลิงไหม้ปะทุ เสียงกรีดร้องแห่งความสิ้นหวัง กลิ่นเหม็นไหม้และสาปคาวเลือด
ความตาย
นัยน์ตาสีเขียวมรกตเบิกลืมโพล่ง หน้าอกสะท้อนขึ้นลงรัวราวกับเพิ่งไปวิ่งรอบสนามมาก็มิปาน ภาพอันเลวร้ายยังอยู่ในหัว เมื่อรู้สึกตัวจึงนึกด่าตัวเองอยู่ในใจยามรู้ตัวว่าตอนนี้เธออยู่อีกที่หนึ่งที่ไม่ใช่ที่เดียวกับความฝันนั้น และเพิ่งระลึกได้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่...
เฮ้ย! นี่เธอหลับยามหรือเนี่ย! แล้วยังฝันถึงเรื่องนั่นอีก
“บ้าที่สุด” เสียงแผ่วเบาดุจดั่งกระซิบไปกับความมืด ให้มันกลืนกินภาพฝันร้ายให้หายไปยามราตรี
กลิ่นสาปคาวเลือดลอยคละคลุ้งปนเปไปกับเสียงปะทุของคลื่นอัคคีโหมกระหน่ำ เปลวพระเพลิงราวกับสีผมของเด็กสาวลุกโชนอยู่ในดวงตาสีเขียวมรกตน้ำงาม ดวงตาที่บัดนี้เต็มไปด้วยความโศกเศร้า เสียใจ และเคียดแค้นเหลือครณา
ไฟ... กำลังลุกท่วมบ้านเรือน เสียงกรีดร้องของชนชาวเอลฟ์ดังระงม ก้องเข้าไปในหัวใจของเธอ
ผู้ที่หนีรอดก็โชคดี... แต่ก็สูญเสียไม่น้อย
ส่วนผู้ที่ไม่รอด... ก็ตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ตึก...
เสียงฝีเท้าหนักๆ พร้อมกับการปรากฏตัวของชายวัยกลางคนในชุดขุนนางเต็มยศ ดวงตาเรียวสีดำขลับเต็มไปด้วยคลื่นแห่งความปรารถนาในอำนาจ เขามาพร้อมกับทหารในเครื่องแบบอีกกว่าสิบคน
“แก!!!” เข่นเขี้ยวอย่างเจ็บแค้นโดยรู้ทันทีว่าคนตรงหน้าเป็นใครแม้ไม่มีใครต้องมาบอกก่อนล่วงหน้า เรเปียร์สีขาวกระชากออกจากฝักแล้วจู่โจมพุ่งเข้าใส่ทันที
เคร้ง!
ดาบเรียวถูกหยุดด้วยดาบใหญ่ของชายนายทหารที่ดูยศสูงกว่านายอื่น ก่อนดาบใหญ่ที่เข้ามารับจะค่อยๆปริร้าวและแตกละเอียดไปต่อหน้า คมดาบสังหารร่อนเข้าหา แล้วในวินาทีต่อมาร่างของชายนายทหารผู้โชคร้ายก็ทรุดลงกับพื้น
รอยเลือดไหลเป็นทาง จากบาดแผลบางๆบนหน้าผากของชายผู้นั้น... บ่งบอกถึงว่าเธอมิปรารถนาจะฆ่าเขา
“มีองครักษ์ได้ไม่เอาไหนสิ้นดี อย่างนี้แกได้ตายแน่ ไอ้ชั่ว!!!” เด็กร่างน้อยที่สมควรจะเป็นฝ่ายพ่ายในการประดาบกับชายร่างใหญ่เมื่อครู่เหยียดรอยยิ้มบิดเบี้ยวแล้วตะเบ็งลั่นแข่งกับเสียงกรีดร้องรอบด้านด้วยความโกรธา หากแต่บุรุษนัยน์ตาสีรัตติกาลยังคงไม่มีแววเกรงกลัว ทหารที่ยกกันมาเริ่มกระชับอาวุธ เช่นเดียวกับเด็กสาววัย 12 ที่คิดสู้ไม่ถอย เสียแต่ว่าฝ่ายบุรุษขุนนางกลับยกมือห้ามทหารของตนเองเสียก่อน
“เดลฟินิลาเอล เมซิลอน” ชายผู้อาจหาญขานนาม นาม... ของเธอ “ขอถามท่านอีกครั้ง จะรับขอเสนอการดำรงตำแหน่งอัศวินพิเศษหรือไม่”
“ไม่!” เดลฟินิลาเอลตวาดปฏิเสธทันควัน
ดวงตาสีนิลจึงปรือลง ปล่อยให้สายลมร้อยระอุผ่านใบหน้าที่เริ่มมีเหงื่อปรากฏตามอุณหภูมิที่ค่อยๆขยับขึ้นสูง ชนชาวเอลฟ์วิ่งหนีความตายไม่คิดชีวิตผ่านร่างของเขา เด็กสาว และกองทหารไป เขายังนิ่งราวกับฟังเสียงกรีดร้องดิ้นรนสุดท้ายของคนพวกนั้น
“ถ้าเช่นนั้น... จากการรอดชีวิตของบางคน อาจไม่มีใครสักคนที่รอดตาย” เกราะโลหะนายทหารกระทบกัน อาวุธสังหารยกขึ้นเตรียมราวกับรับคำสั่ง ก่อนจะกระจายตัวออกไป สังหารผู้รอดชีวิตให้ตายภายใต้คมศาสตราวุธ
อ๊ากกกกกกกกกกกกกก!!!
“หยุดนะ!” เธอร้อง
“จงให้คำตอบที่เราต้องการมา”
“ฉันสั่งให้หยุด!” ดาบเรียวตวัดพาดคอ แต่บุรุษตรงหน้ากลับไม่มีรอยแห่งความเกรงกลัวในความตายเลยแม้แต่น้อย มีแต่เพียงความลึกของความกดดัน ให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการเท่านั้น
“จงให้คำตอบที่เราต้องการมา เดลฟินิลาเอล...” มือที่กำดาบบีบแน่นจนข้อขึ้นขาว เสียงกัดฟันกรอดกลั้นบางอย่างที่ปะทุอยู่ในอกพร้อมจะระเบิดตลอดเวลา เสียงกรีดร้องขอชีวิตของผู้คนที่เธอรักดังเรียกสติ สติสุดท้ายก่อนจะขาดสะบั้นเผลอเลื่อนดาบหั่นคอบุรุษชั่วตรงหน้า
ความเงียบโรยตัวระหว่างทั้งสอง วินาทีที่ต้องตัดสินใจ ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดมาในความคิดอีก ดวงหน้าหวานแฉล้มก้มลงต่ำ ก่อนเสียงที่บังคับให้มันลอดริมฝีปากเล็กจะออกมาอย่างยากลำบาก
“...รับ”
“หือ?”
“รับ! รับแล้ว! เพราะฉะนั้นหยุดมันที!!!”
รอยยิ้มแย้มพอใจเป็นของอีกฝ่าย แล้วทุกอย่างก็ค่อยๆสงบลงเป็นลำดับ ดาบสีหิมะร่วงลงบนพื้นพร้อมกับความรู้สึกที่ฝืนกลั้นสุดชีวิต
เสียใจ...
เสียใจที่ต้องไปตกลงทำในสิ่งที่ตนไม่ต้องการ
แต่ก็ยังดี... หากว่ามีคนรอดชีวิต
มีคนรอดชีวิตดีกว่าไม่มี... แม้คนเหล่านั้นจะเป็นแค่เพื่อนบ้านข้างเคียง หรือแค่คนรู้จักร่วมหมู่บ้าน
แต่เผ่าพันธุ์ก็สำคัญที่สุดสำหรับเธอ
...ถึงแม้จะเสียครอบครัว และไม่อาจมีโอกาสได้แก้แค้นก็ตาม...
...คุณตาเคยสอนว่า เผ่าเอลฟ์ไฟนั้นธำรงอยู่อย่างเปลวไฟ เปลวไฟที่ไหวร่าอิสระ ทว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครในหมู่เอลฟ์ต่างสายพันธุ์ ความเข้มแข็งที่เราแสนจะภาคภูมิใจ...
...ความเข้มแข็งเพื่อปกป้องผู้ที่อ่อนแอ ช่วยเหลือเกื้อกูลให้ผู้คนได้จดจำเกียรติแห่งเราไปจนวันตาย...
เกียรติแห่งเรา
เกียรติแห่งเรา
อา... เกียรติแห่งเรา
ถูกไอ้มนุษย์ชั่วนั่นย่ำยีไปจนหมด!
นักรบแห่งอัคคีที่เคยอิสระยิ่งกว่าใคร ถูกบังคับต้อนจนมุม เสียเกียรติอันแสนภาคภูมิไปจนสิ้น แต่เธอกลับได้เรียนรู้อีกอย่าง บางอย่างยอมเสียเกียรติได้แต่ไม่ยอมให้ชีวิตของเพื่อนพ้องต้องเสียไป
เรามีเกียรติ เกียรติเพื่อปกป้อง
และเพื่อการปกป้องบางครั้งก็จำต้องยอมเสียเกียรติ
เกราะเหล็กมันวาวจนสะท้อนสิ่งรอบด้านถูกสวมทับเสื้อผ้าเนื้อดี หมวกเหล็กถูกยื่นมาจากนางกำนัลผู้ก้มหน้าก้มตาปฏิบัติหน้าที่ไม่ยอมสบตาเธอ และสุดท้ายที่อยู่ในกล่องหนังดำยาวบุกำมะหยี่สีแดงสดอันถูกส่งมาให้ คือเรเปียร์สีขาว อาวุธของอัศวินพิเศษ เดลฟินิลาเอล เมซิลอน แห่งกองร้อยพิเศษ ‘มาลาสงคราม’ สังกัดโดยตรงกับองค์พระจักรพรรดิสหราชอาณาจักรแกรนด์ดอน
“พร้อมแล้วสินะ ท่านอัศวิน” น้ำเสียงที่แสนจะน่ารังเกียจในความคิดดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้เจ้าของตำแหน่งอัศวินผู้ทรงชุดศึกพร้อมหันหลังกลับช้าๆ
“เออ เห็นว่าไงล่ะ ไอ้คุณท่านดยุดเฟรดเดอริก” วาจาผรุสวาสตอกใส่ใบหน้าคมสันเย็นชา เส้นผมสีน้ำตาลแดงเสยเรียบแปล้ นัยน์ตาสีดำลึกล้ำน่ารังเกียจรังชังยังคงเหมือนเมื่อวันวาน
วันวานที่พรากเธอมาจากบ้านเกิดและเกียรติยศ
“ไม่งามนะคะ ท่านอัศวินหญิง” หัวหน้านางกำนัลร่างท้วมกล่าวปรามอย่างสำรวมตน ทว่าไม่ได้ทำให้ท่านอัศวินพิเศษนึกสำนึกเลยแม้แต่น้อย
“คำงามๆไม่เหมาะกับคนอย่างมันหรอกป้า” เดลฟี่ตอกกลับ ส่วนคุณป้าคนเดิมเงียบลงอย่างไม่อยากจะต่อปากต่อคำให้ยาวยืด เนื่องจากเป็นเวลารีบเร่ง แม้นางจะไม่ค่อยพอใจนัก
“จะว่าอย่างไรก็เชิญ ตอนนี้ได้เวลาออกรบแล้ว หวังว่าคงไม่ทำให้ผิดหวัง...”
“อยากทำให้แกผิดหวังใจจะขาด”
“งั้นคงเป็นท่านเองที่ต้องเสียใจ ท่านอัศวินพิเศษ” น้ำคำขู่เย็นเยียบ และมันได้ผลเมื่อเด็กน้อยอัศวินรู้ดีว่าสิ่งที่บุรุษตำแหน่งดยุคกล่าวนั้นหมายความว่าอย่างไร ใบหน้าเล็กสะบัดเชิดอย่างถือดีแล้วก้าวอาดๆไปเบื้องหน้า สวนกับคนผู้เดิมที่เธออยากจะฆ่าให้ตายเป็นคนแรก
“...เกียรติสร้างได้ในสมรภูมิ ชื่อเสียงลือลั่นระบือจากการสู้รบ การสู้รบแห่งสงคราม สงครามที่สร้างวีรบุรุษ วีรบุรุษผู้นำพาความสงบสุขและถูกจารึกตราบชั่วแผ่นดินทลาย...”
นัยน์ตาสีมรกตปรายตามองอย่างกึ่งงงกึ่งทึ่ง ก่อนจะแปรเป็นเรียบเฉยหยามเหยียดเยี่ยงทุกที
“ไม่มีความสงบสุขในแผ่นดินตราบใดที่ยังมีคนอย่างแก ไม่มีวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในสงครามตราบใดที่สงครามยังก่อเกิดความสูญเสียและความคั่งแค้น” คราวนี้ดยุคเฟรดเดอริกหันมาสบตาเต็ม ทำให้เดลฟี่เหยียดยิ้มก่อนสะบัดผ้าคลุมสีแดงสด ทิ้งไว้เพียงคำพูดสุดท้ายก่อนก้าวลงสู่สมรภูมิ “บอกไว้ก่อนว่าเกียรติภูมิของฉันที่จะทิ้งไว้ในที่นี้... คือเกียรติของอัคคีที่ทำตามใจของตนเอง ไม่ใช่ใต้คำสั่งของใคร”
แสงสว่างกระทบร่างเล็กองอาจในชุดนักรบและใต้ยศยิ่งใหญ่ ร่างเล็กที่เด็กเกินกว่าจะลงสู้ศึกในสนาม แต่กล้าแข็งไม่เกรงกลัวสมเกียรติอัคคีที่เจ้าตัวโอ่ไว้เต็มภาคภูมิ สายลมพร้อมเสียงโห่ร้องดังกึกก้องหน้าลานปราสาท กองทหารนับพันส่งเสียงต้อนรับหน่วยสงครามพิเศษที่ว่ากันว่าคือเหล่าเทพนำชัยชนะในสงครามทุกครั้ง จนนามลั่นลือชา
“ภารกิจคราวนี้คือนำกองทัพทหารสามพันนายไปสมทบที่ชายแดน แล้วมีคำสั่งให้ปิดศึกโดยเร่งด่วน” เสียงหนึ่งเปรยรายงานในเครื่องแบบที่ไม่ต่างจากเดลฟี่นัก
“งั้นหรือ...” ดวงหน้าเคร่งพลันหลับตาลงสงบชั่วครู่ ก่อนสวมหมวกเหล็กคลุมลงมาปิดครึ่งใบหน้าแล้วหันไปเอ่ยกับคนทั้งสิบเอ็ดคนในเครื่องแบบเดียวกันที่อยู่ลายล้อม
“...ไปกันเถอะ หน่วยมาลาสงคราม...”
“นี่เธอ!” เสียงหนึ่งเรียกสติให้กลับมาสู่ปัจจุบันกาล นัยน์ตาสีเขียวมรกตเลยเบิกลืมกระพริบสองสามทีแล้วมองใบหน้าของผู้เรียกสติ ซึ่งตอนนี้คิ้วขมวดเป็นปมแน่นดูน่าขัน “เหม่ออีกแล้วนะเดลฟี่ ให้ตายสิ! หมู่นี้มันอะไรกันนักกันหนา คนเหม่อบ่อยจริง”
“เธอก็หัดเหม่อบ้างสิเบก จะได้ไม่ต้องมานั่งบ่นมาก รำคาญ” เดลฟี่ตอบกลับ แต่ก่อนจะได้วางมวยกับรองประธานรีเบกก้าผู้น่ารำคาญ ก็มีผู้กล้ามาขัดตาทัพเสียก่อน
“อยากมีเรื่องก็ไปต่อยตีกันไกลๆ รำคาญเหมือนกัน” ประธานนักเรียนที่นั่งลงบนโต๊ะทำหน้าเมื่อยอย่างผิดวิสัย แต่ไม่บอกก็รู้ว่าหลังประชุมจบเรื่องอาญาสิทธิ์สั่งอสูรแล้วมันยังมีเรื่องวุ่นวายน่าปวดหัวของคนในสภาอีกเยอะ ไม่ทันที่จะได้เริ่มประชุมเรื่องที่สองคือ ‘แผนระดมสมองหาวิธีง้อแฟนของประธานนักเรียน’ เจ้าพวกนั้นก็ตีหน้าเคร่งแสร้งทำครุ่นคิดแล้วเดินเนียนออกจากห้องประชุมไปเสียเฉยๆ
นั่นล่ะ ที่น่าเบื่อ...
“ว่าไงนะยะ!... เออสิ ฉันมันไม่ใช่รีเบลนี่ เชิญคิดแผนง้อแฟนไปคนเดียวเลย ตาเฟโร่!” ว่าแล้วแม่หล่อนก็กระทืบเท้าปึงปังออกจากห้องไป ไม่ทันที่ประธานนักเรียนคนเก่งจะได้ง้อขอให้หล่อนมาร่วมคิดแผนการจำเป็นทัน
ปัง!
ห้องทั้งห้องเงียบลงฉับพลัน นัยน์ตาสีแดงคมจึงหันมาที่อีกหนึ่งเหยื่อที่เหลือ
“ไม่! ฉันไม่เอาด้วยหรอก” ว่าแล้วร่างเล็กในชุดเกราะอัศวินก็กระเด้งตัวจากเก้าอี้ประชุมแล้ววิ่งทั่กๆหนีออกจากห้องไปเสียดื้อๆ
เสียงร้องไล่ก่อนด่าคับห้อง แต่ก็ไม่มีใครคิดจะสนใจเสียงนกเสียงกาแสนน่าขันนั่นเลยแม้แต่น้อย...
อำนาจล้นฟ้า เปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นปีศาจ ความกระหายจักครอบงำ แล้วหายนะจักบังเกิด
สิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้คือ ‘สงคราม’
...อาญาสิทธิ์สั่งอสูร...
ไม่เหมาะกับสิ่งมีชีวิตมีกิเลศไม่รู้จักคำว่าพอ
ของพรรค์นั้นจึงไม่เหมาะกับตัวข้าเช่นกัน
เช่นนั้นใครจะเอาก็เอาไป
แต่ถ้าหากก่อความวุ่นวายขึ้นมา
ข้าจะมอบความตายให้กับเจ้า ในนามของผู้อยู่คนละข้างกับผู้บังเกิดสงคราม
...ผู้ยุติสงคราม
จำชื่อของข้าไว้ให้ดี เดลฟินิลาเอล เมอซิลอน แห่งมาลาสงคราม
และวันใดที่เจ้านำพาซึ่งหายนะ เกียรติแห่งข้า... จะประหารเจ้า!!!
End of grandiose honor :: Delfy’s intro
ความคิดเห็น