ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานบารอนปฎิวัติต่างโลก

    ลำดับตอนที่ #9 : Be Fairy/Be Educated

    • อัปเดตล่าสุด 8 พ.ย. 64


     1. Fraise 

     ทันทีที่ผมได้สติขึ้นมา ผมก็ชักปืนลูกโม่ออกจากเสื้อคลุมเเล้วเล็งไปที่หน้าผากของเธอ

     “เเกเป็นใคร! ”  ผมตะโกนถามไปพร้อมนิ้วที่เตรียมจะเหนี่ยวไก

     หลังจากที่ผมพูดจบ เธอถอนหายใจพร้อมชูมือทั้งสองข้างขึ้นบนหัว

     “ข้าก็เป็นภูติที่ท่านปลดปล่อยออกมาจากผนึกไง จำไม่ได้หรอกเหรอ?”

     ผมขมวดคิ้ว พร้อมใช้พลังสมองทั้งของผมเพื่อค้นหาความจำเกี่ยวกับ “ผนึก” ที่เธอพูดถึง นั้นทำให้ผมเริ่มประติประต่อเรื่องราวได้คร่าวๆ ตอนที่เธอปรากฏตัวออกมานั้นเป็นตอนเดียวกันกับที่ผมตรวจดูอักขระบนมือซ้ายของผม อักขระที่มือซ้ายนั้นเกิดขึ้นจากเเผลที่ผมโดนตราประทับบนโลงศพในค่ายOrc บาด เพราะฉะนั้นผนึกที่เธอกล่าวมานั้นก็คือ

     “ผนึกที่เเกว่าคือไอ้โลงศพนั้นใช่ไหม? ”

     “ใช่คะ… ช่วยลดศัสตราวุธนั่นลงก่อนเถอะคะ ” 

     ผมค่อยๆลดปืนลง เเต่สายตายังคงจ้องเขม็งไปทางเธอ

     หลังจากที่ผมลดปืนลง เธอก็ใช้มือที่ใส่ถุงมือสีขาวทั้งสองข้างจับไปที่กระโปงของเธอก่อนจะย่อตัวลงเพื่อทำความเคารพในเเบบฉบับนายหญิงในยุควิคตอเรีย จากนั้นเธอก็ก้อมหัวลงก่อนจะเริ่มพูด

     “ขอเเนะนำตัวอีกครั้ง ข้ามีนามว่า Fraise de Vintur เป็นภูติที่ถูกเทพชั้นต่ำเเถวๆป่าเเห่งนี้ผนึกเอาไว้เมื่อนานเเสนนานมาเเล้ว เเละเพื่อเป็นการขอบคุณที่ท่านทำลายผนึกให้ ข้าจะอนุญาตให้ท่านสั่งงานข้าได้ด้วยตราสัญญาเลือดบนมือซ้ายของท่าน ” เธอพูดจบก็เงยหัวขึ้นมาพร้อมกับนัยย์ตาที่จ้องมองมาที่ผม พร้อมด้วยรอยยิ้ม

     “หะ? ” ผมอุทานออกไปด้วยความงง

    “คิๆ”  หลังจากที่เธอเห็นผมอุทานเธอก็หัวเราะออกมาเบาๆ

     “สรุปก็คือท่านพึ่งได้ภูติคุ้มภัยประจำตัวท่านยังไงล่ะ! ” เธอพูดพร้อมเดินตรงเข้ามากอดผม ก่อนจะกระซิบเข้าที่ข้างหูผม

     “เเต่สำหรับท่านเป็นกรณีพิเศษ ข้าทำอย่างอื่นนอกจากปกป้องก็ได้นะ… ” พูดจบเธอก็เป่าลมเย็นๆเข้ามาในหูผม จนผมรู้สึกเหมือนถูกน้ำเเข็งกัดไปทั่วทั้งตัว

     ตัวผมในตอนนี้นั้นทั้งหยุดนิ่งเเละไร้พลัง เหมือนกับว่าผมกำลังจะหมดสติไป

     ในตอนนั้นเองที่ประตูของห้องได้ถูกเปิดออกพร้อมเสียงตะโกนของ Johny

     “ท่านครับ ผมมีรายงานเรื่องปัญหาอาวุธชนิดใหม่ ”

     พูดจบ Johny ก็มองมาที่ผม ที่กำลังยืนตัวเเข็งทื่ออยู่กลางห้องคนเดียวด้วยสีหน้าที่เหมือนพึ่งจะเห็นผีมา

     “ท่านเป็นอะไรรึเปล่าครับ? ” เขาถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล

     “มะ… ไม่มีอะไรหรอกJohn เเค่ช่วงนี้ข้าคงทำงานหนักไปน่ะ? ” 

     “โอ้! งั้นท่านกลับไปพักที่คฤหาสน์ก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมจะไปบอกให้คุณFerrum ช่วยคุมงานเเทนเอง”

     เขาพูดจบก็ทำความเคารพเเล้วเดินกลับออกไป ทิ้งให้ผมยืนคิดถึงเรื่องทั้งหมดที่พึ่งเกิดขึ้นมาอยู่คนเดียวในห้องเงียบๆที่ในตอนนี้ไร้ร่องรอยของภูติที่พึ่งคุยกับผมอยู่เมื่อกี้ พร้อมกับคำถามในใจว่าเธอหายไปไหน หรือว่าผมเเค่หลอนไปจริงๆ

     ผมยกมือขึ้นเกาหัวพร้อมถอนหายใจ บางทีมันคงถึงเวลาที่จะต้องนอนพักผ่อนสำหรับผมเสียที

     

     1.5 Vinturs

     ณ โบสถ์ประจำเมืองVindia 

     มีหญิงสาวในชุดSister สีขาวปักลายนกพิราบสีทองนั่งสวดภาวนาอยู่ตรงหน้ารูปปั้นของมหาภูติเเห่งเเสง Chandelle ของท่ามกลางเเสงเทียนที่ส่องสว่างไปทั่วทั้งโบสถ์ เธอคือEsfell ผู้ดูเเลของโบสถ์เเละสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าประจำเมืองVindia 

     “Oh, great allmother Chandelle the bright, may your light forever shine! ” พอพูดจบเธอก้มหัวลงทำความเคารพรูปปั้นก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นยืน

     “ข้ารู้นะว่าเจ้าอยู่ตรงนั้น ภูติเเห่งความอยากรู้อยากเห็น Fraise de vintur ” เธอพูดพร้อมค่อยๆหันหลังกลับไปมองที่เก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งในมุมมืดใกล้ๆกับประตูโบสถ์

     “ข้าก็ไม่นึกว่าจะมาเจอกับเจ้าในเมืองของพวกมนุษย์เลย ภูติเเห่งความทะเยอทะยาน Esfell de vintur ” หญิงสาวผมสีเงินในชุดสไตล์gothic lolita สีขาวนวล พูดด้วยรอยยิ้ม

     ทั้งสองยืนจ้องหน้ากันอยู่อย่างเงียบๆไปสักพักก่อนที่Esfell จะเริ่มพูดขึ้น

     “นี่เจ้าทำสัญญากับGodwoken of Mankind ไปเเล้วใช่ไหม? ” Esfell พูดพร้อมนำมือกอดอก

     “ใช่เเล้ว! ฮ่า ฮ่า ฮ่า ” Fraise อ้าปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวของเธอออกเเล้วหัวเราะออกมาด้วยเสียงที่ดังก้องไปทั่วทั้งโบสถ์

     “นี่เจ้าทำสัญญาเเห่งวิญญาณ? ” Esfell พูดพร้อมขมวดคิ้ว

     “ก็เเค่สัญญาเลือดเพื่อตอบเเทนบุญคุณที่ช่วยปลดปล่อยข้าน่ะ ” Fraise พูดพร้อมถอดถุงมือข้างซ้ายออก เผยให้เห็นอักขระสีเเดงเลือดที่ถูกสลักไว้บนมือของเธอ

     Esfell ถอนหายใจก่อนจะหันหลังกลับไปนั่งลงเตรียมสวดภาวนาอีกครั้ง

     “เเล้วเจ้าคิดว่าถึงเวลาจะบอกเรื่องสงครามเทพกับเขารึยังละ? ” Fraise พูดพร้อมเเสยะยิ้ม

     “ยังไม่ใช่ตอนนี้ เขายังไม่พร้อม” Esfell พูดก่อนจะเริ่มสวดภาวนาอีกครั้ง

     Fraise ถอนหายใจ “เจ้าก็น่าจะรู้ดีนี่ ว่าGodwoken คนอื่นๆน่ะเริ่มเคลื่อนไหวกันหมดเเล้ว ” เธอพูดพร้อมจ้องเขม็งไปทางEsfell ที่กำลังนั่งสวดภาวนาอยู่

     Esfell ชะงักก่อนจะหันไปหา Fraise “งั้นตัวเจ้าที่ทำสัญญากับเขาก็ควรจะไปปกป้องเขาเเทนที่จะมาเสนอหน้ารบกวนการสวดภาวนาของข้า ไม่ใช่เหรอ? ”

     Fraise หันหน้าหนีเธอพร้อมกับร่างที่ค่อยๆจางลงจนเลือนหายไป

     Esfell เองก็หันกลับมาสวดภาวนาอีกครั้ง เเต่ในครั้งนี้เธอเปลี่ยนบทสวดที่ปกติจะเป็นการสรรเสริญมหาภูติ มาเป็นการภาวนาขอการพรเเห่งปกป้องให้เเด่ชายคนหนึ่งเเทน

     

    2. School 

     สองวันต่อมา

     ผมกำลังยืนตัวเเข็งทื่ออยู่บนโพเดี่ยมไม้ที่ถูกนำมาตั้งไว้ข้างหน้าอาคารไม้หลังใหญ่สูงสามชั้นที่มีป้ายไม้ติดอยู่บนประตูหน้าอยู่ว่า “Vindia School” ตรงหน้าของผมเต็มไปด้วยเด็กๆหลากช่วงวัยเเละเหล่าๆผู้ปกครองกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้พร้อมกับสายตาที่จับจ้องมาที่ผม ในวันนี้คือวันที่ผมประกาศเอาไว้ว่าจะมาป่าวประกาศเเละตอบคำถามเรื่องโรงเรียนที่ผมเปิดขึ้นมา

     ตั้งเเต่ก่อนที่ผมจะถูกส่งมาโลกนี้ ผมก็ไม่ค่อยถูกกับเด็กอยู่เเล้ว ยิ่งเด็กเล็กๆที่มาพร้อมกับพ่อเเม่ผู้ปกครองนั้นยิ่งทำให้ผมรู้สึกประหม่าจนผมนั้นเหงื่อตก

     ผมสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นจึงทำใจว่าไม่ว่าจะยังไงผมก็เป็นบารอนของเมืองเเห่งนี้ เเละการที่บารอนมีอาการประหม่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กๆคงไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไร

     “สวัสดีชาวเมืองเเละเด็กๆที่น่ารักทุกคนครับ ผมต้องขอขอบคุณพ่อเเม่ผู้ปกครองทุกท่านที่ไว้ใจที่จะส่งลูกหลานของท่านให้มาเรียนที่นี่นะครับ! ก่อนอื่นเลยเดี๋ยวผมจะอธิบายเเผนการเรียนการสอนให้ทุกท่านฟังนะครับ ” 

    เมื่อพูดจบผมนำเอกสารที่ผมเก็บไว้ในกระเป๋าสะพายข้างออกมาเริ่มอ่าน

     “เริ่มเเรกเราจะสอนการอ่านเเละเขียนขั้นพื้นฐาน จากนั้นเราจะสอนเรื่องการใช้ตัวเลขขั้นพื้นฐาน หลังจากนั้นเราจะสอนความรู้รูปเเบบใหม่จากตัวผมให้เเก่ลูกหลานของท่าน ผมขอการันตีเลยว่าลูกหลานของพวกท่านจะโตไปมีความรู้เทียบเท่าหรือไม่ก็มากกว่าขุนนางเเน่นอน มีคำถามอะไรไหมครับ? ”

     “เเล้วเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆนี่ ยังไงบ้าง? ” ชายคนหนึ่งในมาดพ่อค้ายกมือขึ้นถาม

     “เหมือนที่ในใบปลิวได้บอกไว้ทุกประการ ไม่มีค่าใช้จ่ายครับ มีใครมีคำถามอีกไหมครับ?”

     “เเล้วที่บอกว่าในช่วงกลางวันนี่มีอาหารฟรีให้กับลูกๆฉัน ล่ะ? ” หญิงสาวชาวไร่ยกมือขึ้นถาม

     “เเน่นอนครับ เราจะนำอาหารที่ดีที่สุดเท่าที่หาได้มามอบให้เเก่ลูกหลานของเท่าเเน่นอนครับ มีใครมีคำถามอีกไหม?” 

     “เรื่องที่ว่าเรียนจบเเล้วจะได้สิทธิพิเศษนี่จริงไหม? ” ชายเเก่คนหนึ่งยืนขึ้นถาม

     “เอิ่ม… ผมไม่ขอเรียกเรื่องนี้ว่าสิทธิพิเศษนะครับ เเต่ผมขอเรียกมันว่าได้รับโอกาศในการทำงานที่หลากหลาย มากกว่านะครับ เเละเเน่นอนเมื่อจบการศึกษาผมจะมีใบประกาศที่เซ็นโดยตัวผมเองมอบให้เป็นหลักฐาน มีคำถามอะไรอีกไหมครับ? ”

    จากนั้นก็มีเพียงเเต่คำถามซ้ำๆที่ผมเคยตอบไปเเล้วผุดขึ้นมาเต็มไปหมด

     “โอเคครับถ้าไม่มีคำถามอะไรเเล้ว หลังจากนี้เราจะมีการเเจกของหวานประจำเมืองของเราเป็นการส่งท้ายให้พวกท่าน หวังว่าพวกท่านทุกคนเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพครับ อ้อ! เเล้วก็อย่าลืมไปว่าในอีกหนึ่งอาทิตย์คือวันเปิดภาคเรียนเเล้ว นะครับ ! ” ผมพูดพร้อมดีดนิ้วส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่นำไอศกรีมออกมาเเจก

     หลังจากที่ทุกคนเดินทางออกจากบริเวณนั้นหมดเเล้วผมก็เดินลงจากโพเดี่ยมเเล้วถอนหายใจ หลังจากนี้ผมก็จะต้องไปตรวจเเผนการสอนให้กับเหล่าอาจารย์ที่ผมจ้างมา เเล้วหลังจากนั้นก็ต้องไปตรวจดูความคืบหน้าของโรงงานย้อมสีผ้า เเละหลังจากนั้นไปอีกก็ต้องไปเข้าร่วมการทดสอบอาวุธใหม่ของกองทัพอีก

     โดยสรุปเเล้ว ผมไม่มีเวลาว่างเลยในวันนี้

     ผมบิดขี้เกียจก่อนจะเดินตรงเข้าไปในโรงเรียน เพื่อเตรียมตัวพูดคุยกับเหล่าอาจารย์

     

    End Chapter9

    “ช่วงนี้ผู้เขียนกำลังยุ่งกับที่มหาลัย ตอนใหม่จึงออกช้า”

     

     

     

     

     

     

     

     


     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×