คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Foresight and Innovation
1. Conspiracy
ณ เขตก่อสร้างริมเเม่น้ำ หลังจากที่ทั้งกังหันน้ำเเละทางลำเลียงน้ำถูกสร้างจนเสร็จ เหลือเเค่การทดสอบเครื่องปั่นด้ายก่อนนำไปใช้งานจริงเท่านั้น นั่นเป็นความเร็วที่หน้าตกใจที่เป็นผลมาจากการคุมงาน 16 ชั่วโมงต่อวัน เป็นเวลา 7 วันต่อสัปดาห์เเบบไม่มีหยุดพัก ของตัวผมเอง
Baron เเห่งเมือง Vindia กำลังนั่งอยู่ในเต็นท์ใกล้ๆกับเขตก่อสร้างพร้อมกับกระดาษเเผ่นหนึ่งในมือด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ผมเเทนที่จะดีใจกับความสำเร็จของหน่วย Greencloak ต่อพวก Goblin กำลังนั่งวิเคราะห์ข้อมูลในเอกสารเเผ่นนั้น
“คาวราวานนั้นจริงเเล้วคือการตบตาของอาณาจักร Hyfelt เพื่อส่งอาวุธกับเเร่เงินให้พวกOrc ผ่านทางพวกGoblin?” Johny พูดกับผมด้วยสีหน้าตกใจ
“ใช่เเล้ว John เเกพอจะมีไอเดียอะไรไหม?”
“ผมว่ามันก็สมเหตุผลดีนะครับเพราะในตอนนี้ พวกเราในทางทฤษฎีเป็นเมืองขึ้นพวกOrc มันก็ปกติดี”
ผมยักคิ้ว “เเต่เท่าที่ฉันจำได้ในสัญญาสงบศึกมีเเค่ให้ส่งทาสกับอาหารเป็นรายเดือนนะ เเล้วอีกอย่างพวกOrc ก็มีอาวุธเหลือเฟือ” ผมพยายามใช้สมองของผมคิดหาข้อสรุปอยู่สักพักจนผมคิดอะไรบางอย่างออก
“John เเกเป็นอัศวินจากเมืองหลวงนี่ เเร่เงินนอกจากมีค่าเเล้วมีสมบัติอะไรอย่างอื่นรึเปล่า?”
“เเร่เงิน ปกติจะมีสมบัติต้านทานเวทมนตร์ครับ”
เสมือนมีหลอดไฟเปิดขึ้นในหัวของผม ทุกอย่างก็ล็อคในทันที ทั้งเรื่องการใช้เเรงงานทาสตัดไม้ถางป่า,ความต้องการอาหารเเละอาวุธ,เเร่เงินที่สามารถใช้ต่อต้านเวทมนตร์
“John ส่งเเผนที่ในกระเป๋าข้ามาหน่อย!”
ผมกวาดสายตามองลงบนเเผนที่ตรงพื้นที่ถัดจากป่าGreenvale ออกไป จากนั้นจึงพูดออกมา
“พวกOrc กับ Elf ปกติไม่ถูกกันใช่ไหม?”
“เรียกได้ว่าพยายามจะฆ่ากันอยู่ตลอดเวลาเลยดีกว่ามั้งครับ” Johny พูดก่อนถอนหายใจ
“ถ้างั้นเราก็คงมีสงครามอยู่ใกล้ๆบ้านเเล้วล่ะ” ผมพูดพร้อมนำมือก่ายหน้าผาก “พวกมันกำลังใช้ป่าGreenvale เป็นที่มันในการโจมตี D'automne เมืองด่านหน้าของพวก Elf”
“เห?” Johny อุทานพร้อมสีหน้าตกใจ
มันคาดเดาได้ไม่ยากเลยเเม้เเต่น้อย ที่ตั้งค่าย,การถางป่า,อาหาร,อาวุธ,เเร่เงินที่ใช้ต้านเวทย์ได้ มันคือสูตรสำเร็จในการทำสงคราม เเละที่สำคัญถ้าเข้าเขตป่าลึกไปก็จะถึงเมืองด่านหน้าของพวกElf
“เเล้วเราจะทำยังไงดีครับท่าน?”
“ข้าคงให้คำตอบในทันทีไม่ได้หรอก มันยังเป็นเเค่การสันนิษฐานอยู่ คงต้องดูท่าทีไปสักพัก” ผมพูดพร้อมลุกขึ้นจากเก้าอี้ “เอาล่ะเลิกคิดเรื่องนี้ไปก่อน เรายังมีเครื่องปั่นด้ายต้องทดสอบ” ผมพูดก่อนจะเดินออกจากเต็นท์ไป
2. ผู้นำที่ดีคือผู้ฟังที่ดี
หลังจากที่เครื่องปั่นด้ายของผมทำงานได้อย่างสมบูรณ์เเล้ว ผมก็เรียกที่Hymlan ปรึกษาของผมเข้ามาคุยด้วยเรื่องการส่งออกสินค้าเพราะผมยังไม่มีประสบการณ์ด้านนี้เลยสักนิด
“เขาอธิบายเรื่องการค้าเบื้องต้นที่ผมก็พอจะรู้อยู่เเล้วให้ฟัง ก่อนที่เขาจะเริ่มเข้าเรื่องเเบบจริงจัง ทั้งเรื่องที่ว่าราคาของสินค้านั้นใช้เป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเมืองได้ ใช้ในการโชว์ความร่ำรวยของขุนนาง ใช้เปล่าประกาศข้อมูลเเก่พ่อค้าเเละประชาชน ภาษีนำเข้าส่งออก ค่าใช้จ่าสำหรับกองคาราวาน บลาๆบลาๆ… ”
โดยสรุปง่ายๆ ขายถูกก็เหมือนให้ของขวัญโดยเฉพาะกับเหล่าผู้ที่ต้องการสินค้านั้นจึงเป็นการสร้างความสัมพันธ์ เเต่ถ้าขายเเพงเกินไปให้เเก่คนที่กำลังต้องการสินค้านั้นๆ เราจะได้กำไรมหาศาลเเต่อาจได้ความเเค้นเเถมมาด้วย
ผมจึงตัดสินใจที่จะทำการเเจกจ่ายผ้าให้คนในเมืองของผมก่อนให้เสร็จสิ้นก่อน ส่วนการส่งออกนั้นผมจะขายตอนไล่เลี่ยกับช่วงฤดูหนาวพอดีเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรอง
ผมคิดได้ดังนั้นจึงบอกการตัดสินใจของผมไปให้เขาฟัง พร้อมกับการพูดโน้มน้าวเขาให้เชื่อว่าผมสามารถทอผ้าได้ด้วยความเร็วที่สูงจนทำให้ผมหาเงินมาโปะส่วนที่ผมจ่ายไปได้ทัน ก่อนที่จะบอกให้เขาสั่งซื้อฝ้ายดิบกับเมล็ดฝ้ายมาเพิ่ม เพราะผมตั้งใจว่า เมื่อฤดูหนาวจบลงผมจะทำไร่ฝ้าย
หลังจากตกลงกับHymlan เสร็จผมก็เดินกลับมาที่ห้องเเล้วล้มลงนอนบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า
–-
สองวันต่อมา ณ เวทีปราศรัยในเมือง Vindia
ผมได้คิดวิธีการหาข้อมูลเเละไอเดียใหม่ในการพัฒนาเมืองขึ้นมาวิธีหนึ่ง มันเป็นวิธีที่ง่ายๆเเละน่าจะใช้ได้ผล สำหรับเมืองเล็กๆที่ค่อนข้างจะสงบสุข
ทุกวันจันทร์ในช่วงเย็น ผมจะมาตั้งเวทีให้ประชาชนในเมืองยกมือถามหรือเเนะนำอะไรผมก็ได้ ผมจะรับฟังเอาไว้ทั้งหมดเพื่อนำไปปรับปรุง เเละถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์กับประชาชนไปในตัว
เเละวันนี้เองก็เป็นวันเเรกของการฟังเสียงของเหล่าผู้คน
“ที่ว่าท่านจะเเจกเสื้อผ้าฟรีก่อนถึงหน้าหนาวนั่นจริงไหมคะ!?” หญิงในชุดที่ดูขาดๆยกมือถาม
“จริงครับ! ฟรีคนละ1ชุดก่อนถึงหน้าหนาว” นั่นเรียกเสียงเฮให้กับกลุ่มคนในชุดที่ดูขาดๆได้อย่างมาก
“ผมได้ยินมาว่ามีเสียงที่เหมือนฟ้าร้อง เกิดขึ้นเเถวๆคฤหาสน์ท่านบ่อยๆ มันคือเสียงอะไรหรือครับท่านBaron?” ชายใส่ชุดผ้าฝ้ายสีดำถาม
“อ้อ! สิ่งประดิษฐ์ใหม่เหมือนกับปูนยึดอิฐนั่นเเหละ ถ้าอยากรู้ว่ามันคืออะไรให้สมัครมาเป็นทหารได้เลย มีอาหารพร้อมเงินเดือนให้! ” ผมพูดพร้อมพยักหน้าขึ้นลงพร้อมรอยยิ้ม
หลังจากได้เห็นท่าทีที่ดูเป็นมิตรของเจ้าเมือง คำถามเรื่องภาษีเเละอาหารก็ได้ผุดขึ้นมาหลายรอบต่อหลายรอบเเละคำตอบก็เป็นเหมือนเดิม ลดภาษีตามจำนวนรายได้เพื่อให้จ่ายตามกำลังของตนเท่าที่มี ส่วนอาหารนั่นไม่เก็บภาษีนำเข้าจนกว่าจะจบฤดูหนาวหน้าเพื่อเพิ่มอัตราอาหารที่นำเข้ามาในเมืองโดยที่ผมจะพยายามกดราคาเอาไว้ให้ทุกๆคนมีอาหารมากพอจะผ่านฤดูหนาวไปได้ ส่วนคนผู้ที่มีอาชีพขายอาหารเจ้าเมืองจะจ่ายค่าส่วนต่างเอง
ทุกอย่างดำเนินไปเเบบปกติจนกระทั่งมีหญิงสาวผมสีเงินในชุดSister สีขาวปักลายนกพิราบสีทอง ยกมือขึ้นมา
“ท่านเจ้าเมืองคะ หลังจบจากตรงนี้ช่วยมาคุยกับดิฉันที่โบสถ์หน่อยได้ไหมคะ?”
ผู้คนที่เห็นเธอยกมือก็ต่างกระซิบกระซาบกันด้วยสายตาเเปลกๆ นั้นทำให้ความอยากรู้อยากเห็นของผมพุ่งมากขึ้น “กระซิบเรื่องอะไรกันอยู่นะ?” ผมคิดในใจ “ได้เเน่นอนครับ” ผมพูดตอบไป
หลังจากการตอบคำถามที่ธรรมดาๆผ่านไปซักพัก ผมที่เห็นว่าฟ้าเริ่มมืดเเล้วผมจึงตัดสินใจจะลงจากเวที
“เอาเป็นว่าวันนี้พอเเค่นี้ก่อนนะ สายยันต์สวัสดิ์ ประชาชนเเห่งVindia !” ผมพูดจบทหารยามก็เดินออกมาจากหลังเวทีเพื่อเคลียร์ฝูงชน
–-
ณ โบสถ์เล็กๆประจำเมือง Vindia
ผมกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เเนวยาวเเบบที่พบเห็นได้ในโบสถ์เเบบคริสต์ รอบๆตัวผมนั้นเต็มไปด้วยเเสงเทียนที่ติดไว้บนกำเเพงหินอ่อนสีขาว ที่ทางด้านหน้าผมมีรูปปั้นหินอ่อนของเทพธิดาผู้มีปีกนางฟ้าถือเทียนสีขาวในมือขวา ใกล้ๆกันนั่นเอง Sister คนเดียวกับที่เรียกผมมากำลังนั่งสวดภาวนาอยู่ตรงหน้ารูปปั้น
จากความทรงจำในหัวของผมหรือVictor ศาสนาที่ผู้คนส่วนใหญ่นับถือในอาณาจักรนี้คือ Tri-D'Fae (สามมหาภูติ) เเละรูปปั้นเทพธิดาองค์นี้คือ เทพธิดาที่มีชื่อว่า Chandelle ผู้นำมาซึ่งเเสง
หลังจากที่ Sister คนนั้นสวดภาวนาจนเสร็จเธอก็เดินมาหาผม “ขอบคุณที่มาคะท่านเจ้าเมือง เเล้วก็ขอโทษสำหรับเวลาอันมีค่าของท่านนะคะ” เธอพูดพร้อมโค้งคำนับ
“เรื่องเล็กน้อยครับ คุณ… ”
“ดิฉันมีชื่อว่าEsfell เป็นผู้ดูเเลโบสถ์กับสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าคะ”
“โอเคครับคุณEsfell เเล้วเรื่องอยากที่จะคุยนี่คือเรื่องอะไรเหรอครับ?”
“ท่านช่วยบริจาคอาหารกับเสื้อผ้าให้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าหน่อยได้ไหมคะ” เธอพูดพร้อมมองมาในนัยย์ตาผม ผมรู้สึกได้ถึงความกดดันในทันที
“เเน่นอนครับ! ว่าเเต่ทำไมถึงมาขอผมเหรอ ไม่ใช่พวกคุณเปิดรับบริจาคกันอยู่เเล้วเหรอ? ”
“คือชื่อเสียงของดิฉันมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่น่ะคะ ส่วนเด็กในสถานรับเลี้ยงคนเเถวนี้เขาก็ไม่ชอบกันเพราะพวกเขาเคยเป็นโจรลักเล็กขโมยน้อยกันมาก่อน ช่วงนี้เลยไม่ค่อยมีของบริจาค” เธอพูดไปก็มีอาการมือสั่นเเปลกๆ
“เห? เรื่องเด็กๆผมพอเข้าใจนะ เเต่ที่ว่าชื่อเสียงของคุณนี่คือยังไง? ช่วยตอบผมมาตรงๆนะครับ” ผมถามด้วยความสงสัยเพราะถ้าหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับการโกงเงิน ผมคงต้องกลับไปคิดมาก่อน
“มันอาจฟังดูเเปลกๆ ฉันมองเห็นนิมิตจากท่านเทพธิดาได้คะ”
“เห?”
“เเต่บางทีมันก็ผิดพลาดจนทำคนเกือบตายมาเเล้วคะ” เธอพูดพร้อมเหงื่อที่ไหลลงจากหน้าผาก
“โอ้ เรื่องเเค่นี้เองเหรอครับ” ผมพูดออกไปพร้อมยิ้มมุมปาก เธอคงจะมโนจนเกิดอุปาทานหมู่ล่ะมั้ง ยิ่งตอนนี้ผมอยู่ในโลกยุคกลางซะด้วยสิ
“โอเค ผมไม่ติดใจอะไรเเล้วครับ งั้นช่วยเขียนจำนวนสิ่งที่ต้องการเตรียมไว้นะครับ ผมจะส่งคนมารับเอกสารพรุ่งนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ” ผมพูดก่อนจะหันหลังเตรียมเดินออกจากโบสถ์
“เดี๋ยวคะ! ” เธอพูดพร้อมดึงเเขนเสื้อผม
“หา มีอะไรอีกครับ?”
“ Blood on the right, Steel on the left, Pigeon became angle and will swallow the Sun” เธอพูดขึ้นพร้อมกับนัยย์ตาที่ส่องประกายด้วยเเสงสีทอง
“คุณEsfell ?”
“นะ…นิมิตน่ะคะ ” เธอพูดพร้อมกับนัยย์ตาของเธอกลับมาเป็นปกติ เเล้วเธอก็โค้งคำนับผมก่อนจะเดินกลับไปสวดภาวนาที่หน้ารูปปั้น
“พิลึกจังเเหะ ” ผมคิดก่อนจะเดินออกมาจากโบสถ์
3. Printing Press
ภายในโกดังเล็กๆเเห่งหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในเมืองVindia เหล่าช่างไม้กำลังทำงานประกอบส่วนบนล่างของเเท่นไม้ ในขณะที่ชั่งตีเหล็กกำลังขนอุปกรที่ต้องใช้เป็นลังๆมาวางไว้ใกล้ๆกัน
ผมกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะเขียนเเบบใกล้ๆกับเเท่นไม้ พร้อมกับเทียบเเบบเเปลนเป็นระยะๆเพื่อป้องกันข้อผิดพลาด
หลังจากที่ผมได้บริจาคให้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไป ผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ในหัว “ถ้าหากเราต้องการวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า เราก็ต้องสร้างผู้มีความรู้ความสามารถขึ้นมาให้ได้”
หลังจากเห็นราคาหนังสือตามท้องตลาด ผมก็ตัดสินใจจะสร้างเเท่นพิมพ์ในทันที ซึ่งเมื่อเทียบกับขนาดเมืองเล็กๆนี้เเล้วเเท่นพิมพ์ไม้เเค่เครื่องสอง,สามเครื่องก็มากเกินพอเเล้ว
“คราวนี้ท่านกำลังสร้างอะไรอยู่เหรอครับ? อาวุธใหม่งั้นเหรอครับ? ” Johny ถามผมด้วยสีหน้าสงสัย
“ไม่ใช่อาวุธหรอก John มันคือเเท่นพิมพ์ เอาไว้ใช้สร้างหนังสือ” ผมพูดพร้อมส่งเเบบเเปลนของเครื่องพิมพ์ให้เขาดูก่อนจะอธิบายหลักการการทำงานเเละวิธีการใช้งานของเครื่องให้เขาฟัง
เเววตาของ Johny ลุกวาวด้วยความตื่นเต้น “โหสุดยอดไปเลยท่าน! เเล้วท่านอยากใช้มันทำอะไรเหรอ” เขาพูดพร้อมส่งเเบบเเปลนกลับมาให้ผม
“กระจายความรู้ให้ผู้คนยังไงล่ะ John ฉันมีเเผนต่อจากนี้ไปอีกนะ เตรียมSurprise ได้เลย”
ในตอนนั้นนั่นเองเสียงของช่างไม้ก็ได้ดังขึ้น เรียกผมให้ไปดูผลงานที่ประกอบจนเสร็จสิ้นเเล้ว ตามเเบบเเปลนโดยไม่มีจุดผิดพลาด ถึงขนาดมันจะเล็กไปหน่อยเเต่ถือว่าใช้ได้
ผมจึงเปิดประเดิมทดลองการพิมพ์เป็นครั้งเเรก ตัวพิมพ์ที่สร้างขึ้นจากเหล็กเป็นรูปตัวอักษรถูกเรียงเป็นระบบที่ติดกันอย่างพอดี หมึกสีดำชนิดเดียวกับที่ผมใช้จดโน้ตถูกละเลงลงไป
หลังจากนั้นก็หมุนเกลียวกดลงไปที่กระดาษเพื่อสร้างตัวอักษรลงบนผิวกระดาษ เเละนั้นก็เป็นกระดาษใบเเรกที่ถูกพิมพ์ในโลกใบนี้
เเละกระดาษใบนั้นก็มีหัวข้ออยู่ว่า “วิธีการใช้เเท่นพิมพ์เเบบง่ายๆ” มันคงจะเป็นการดีที่สุดที่จะทำคู่มือใช้เเท่นพิมพ์
“ขอขอบคุณท่าน โยฮันเนิส กูเทินเเบร์ค ที่ช่วยเปลี่ยนโลกนี้เป็นใบที่สอง ” ผมคิดในใจ
–-
สองวันต่อมา ที่เขตPlaza กลางเมือง Vindia
ผู้คนมากมาย ต่อเเถวกันรับเสื้อผ้าที่ถูกเเจกจ่ายโดยเจ้าเมือง เเต่สิ่งที่ไม่มีใครคาดถึงคือ ของเเถมเอกสารใบหนึ่งที่เขียนขึ้นด้วยลายมือที่ปรานิตเเละเหมือนกันเเทบทุกใบ
เนื้อหาเป็นการตามหาคนที่อ่านออกเขียนได้ให้เข้ารับการทดสอบเพื่อทำงานกับเจ้าเมือง โดยระบุเงินเดือนเเละสวัสดิการไว้อย่างละเอียด โดยที่งานนั้นมีหน้าที่ในการสอนให้เด็กอ่านออกเขียนได้
เรื่องความปรานิตของลายบนกระดาษนั้นเป็นเรื่องคุยไปทั่วทั้งเมืองในวันนั้นเลย
–-
ณ โกดังเล็กๆที่ตอนนี้กลายเป็นโรงพิมพ์ไปเเล้ว
เหล่าคนงานเครื่องพิมพ์กำลังปั้มไปบนหน้ากระดาษอย่างเป็นระบบเสมือนกับเรื่องจริงที่ปั้มกระดาษนำมารวมกันก่อนที่จะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งรวบรวมหน้ากระดาษเหล่านั้นมาเข้าเล่ม
เเค่การเฝ้าดูการทำงานของพวกเขามันก็ทำให้ผมรู้สึกภูมิใจขึ้นมา ผมจึงเริ่มคิดกับตนเองอีกครั้งว่าจะทำอะไรต่อดี
“เอาล่ะต่อไปก็คงต้องทำอะไรสักอย่างกับเหมืองที่น้ำท่วมล่ะ ” ผมคิดก่อนจะเดินกลับออกมาจากโรงพิมพ์เพื่อขึ้นรถม้า
วันพรุ่งนี้ผมจะไปตรวจดูสภาพเเถวๆเหมืองสักหน่อย เผื่อจะเจออะไรน่าสนใจ
End Chapter 4
.
ความคิดเห็น