คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Dreaming Pigeon
1. Camp and Coffin
1 วันหลังศึกที่ทุ่งหิมะรอบนอกป่าGreen vale จบลง
ผมเเละหน่วยBodyguardส่วนตัวที่Johny เลือกไว้ให้เป็นการเฉพาะ กำลังเดินผ่านป่าที่ปกคลุมเต็มไปด้วยหิมะเเละคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเเละดินปืน
ผมเดินจนมาถึงหน้าประตูทางเข้าไม้ที่เต็มไปด้วยรูกระสุน ถูกเปิดทิ้งเอาไว้อยู่ ที่สองฝั่งของหน้าประตูมีWhite cloak สองคนยืนเฝ้าอยู่ พวกเขาทำความเคารพผมทันทีที่เห็นผม
“ท่านJohn กำลังรอท่านอยู่ครับ ” เขาพูดก่อนจะกลับไปยืนตรง
ผมโบกมือพร้อมยิ้มให้พวกเขาก่อนจะเดินเข้าไปในค่าย ในตอนนั้นเองที่Hymlan เดินตรงเข้ามาหาผม
“เราช่วยเหลือทาสมาได้ทั้งหมด 200 คน จับเชลยได้ทั้งหมด 50 กว่าตัว กับทรัพยากรต่างๆที่ยึดมาได้เป็นไม้เเปรรูปเเละเเร่เงินจำนวนมาก ครับท่าน” เขาพูดรายงานผม
“ขอบคุณมากHymlan ฝากดูเเลเรื่องการขนส่งด้วยล่ะ” ผมพูดก่อนจะออกเดินต่อ
ผมเดินมาเรื่อยๆจนมาพบกับWalden กับหน่วยWhite cloak ที่กำลังช่วยกันทำการปฐมพยาบาลเหล่าอดีตทาสอยู่ เมื่อผมเดินผ่านใครไปพวกเขาก็ไม่ลืมที่จะลุกขึ้นมาทำความเคารพทั้งๆที่กำลังทำการรักษาผู้บาดเจ็บอยู่
“รักษาพวกเขาต่อไปเถอะ มันสำคัญกว่าการเคารพข้าเยอะ ” ผมพูดพร้อมเดินตรงต่อไปเรื่อยๆ
ภาพของค่ายเเรงงานทาสสำหรับตัดไม้ที่ถนนหนทางถูกปกคลุมไปด้วยหิมะเเละรอยเลือดเป็นจุดๆ โกดังที่สร้างขึ้นจากไม้พังๆตั้งอยู่เรียงกัน 5 หลัง เเละที่ประตูของเเต่ละหลัง ก็มีกลุ่มทหารของผมกำลังทำการขนกล่องไม้ขนาดใหญ่กลับไปที่เเคมป์นอกป่า
“ขนอะไรกันอยู่เหรอ พลทหาร?” ผมหยุดเดินเพื่อทักทายพวกเขา
พวกเขาวางกล่องลงก่อนจะทำความเคารพผม “เเร่เงินกับของมีค่าอื่นๆที่พบ ครับท่าน”
“โอ้! เยี่ยมเลย ข้าไม่กวนพวกเจ้าเเล้ว ขนกันต่อไปเถอะ!” ผมพูดก่อนจะเดินต่อด้วยใบหน้าที่ยิ้มเเย้ม
ผมเดินตามถนนมาเรื่อยๆ จนมาถึงลานโล่งตรงกลางค่าย เเล้วผมก็ได้พบกับJohny ที่ยืนรอผมอยู่หน้าเหล่าเชลยชาวOrc ที่ถูกจับมัดเเละนั่งเรียงเเถวกันอยู่ประมาณ 50 ตัว
“สวัสดียามบ่ายครับท่านBaron หลังจากศึกนั้นจบพวกเราทำการสังหารพวกมันได้เพิ่มอีก40 กว่าตัว เเละจับเชลยมาได้50 ตัว ครับผม” Johny รายงานผมไปพร้อมกับทำความเคารพผม
“เข้าใจเเล้วJohn เจอพวกที่เป็นหัวหน้าพวกมันไหม? ”
“เจอครับ เเต่ในสภาพที่เป็นศพ สงสัยคงมีพวกเราสักคนฆ่าไปน่ะครับ”
ผมถอนหายใจก่อนจะหันหน้าไปมองเหล่าOrc ที่นั่งอยู่บนพื้น “มีไอ้เศษขยะตัวไหน พูดภาษาของข้าได้ไหม!?” ผมตะโกนออกไปอย่างสุดเสียง
“…” มีเพียงความเงียบเเละเสียงสายลมในฤดูหนาวที่เป็นคำตอบให้กับผม
“เเล้วผมจะถามข้อมูลกับอะไรละทีเนี้ย คงจะยังพอถามพวกอดีตทาสได้อยู่ละมั้งนะ ” ผมคิดในใจพร้อมเอามือกุมหัว
“John ขอปืนพกหน่อย ” ผมพูดพร้อมเเบมือออก เเล้วปืนพกคาบศิลาที่เอาไว้ถือคู่กับดาบก็ถูกวางลงบนมือของผม
“บรรจุเรียบร้อยครับ” เขาพูด
ผมหันปากกระบอกเข้าใส่หัวOrc ตัวหนึ่งที่นั่งอยู่บนพื้นในทันที เสียงการระเบิดของดินปืนเกิดขึ้นไปพร้้อมกับเลือดของมันที่ฟุ้งกระจายไปโดนOrc ที่นั่งอยู่รอบๆตัวมัน
“ข้าขอถามอีกครั้ง มีเจ้าเศษเดนตัวไหนพูดภาษาข้าได้ไหม?” ผมพูดพร้อมส่งปืนกลับไปให้ Johny
“….” เงียบเหมือนเดิม เเต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคืออาการตัวสั่นของOrc ที่นั่งข้างๆตัวที่โดนยิงไป
ผมถอนหายใจ “งั้นเตรียมเอาตัวพวกมันกลับไปที่เเคมป์ คงจะหาประโยชน์จากพวกมันที่นี่ไม่ได้เเล้วล่ะ ” ผมพูดพร้อมสะบัดผ้าคลุมของผม เเล้วเริ่มหันหลังเดินกลับไปจากทางที่ผมเดินเข้ามา
ในตอนนั้นเองที่Johny วิ่งตามผมก่อนจะใช้มือซ้ายมาดึงไหล่ผมเอาไว้ “ผมลืมสาเหตุที่เรียกท่านมาไปเลย! ”
ผมหันหน้าไปมองเขาด้วยอาการงง “อ้าว ไม่ใช่เรื่องเชลยหรอกรึ? ” ผมพูดพร้อมขมวดคิ้ว
“คุณFerrum ฝากผมมาบอกกับท่านว่า เขาเจออะไรเเปลกๆน่ะครับ ” Johny พูดพร้อมใช้มือขวาส่งกระดาษเเผ่นหนึ่งให้กับผมก่อนจะหันหลังวิ่งกลับไปคุมคนของเขา
ผมอ่านสิ่งที่อยู่บนหน้ากระดาษพร้อมด้วยอาการงงที่มากกว่าเดิม
“ฝากไปบอกท่านBaron ให้มาพบข้าที่ด้านในสุดของโกดังในหลังที่ 5 พวกเราพบโลงศพประหลาด”
“โลงศพ? ” ผมคิดเเล้วก็ยิ่งงงกว่าเดิม ผมจึงตัดสินใจเดินกลับไปที่โกดังที่ผมเดินผ่านมา
ผมเดินผ่านเหล่าทหารที่กำลังขนกล่องไม้ไปมากันไป จนมาถึงด้านในสุดของโกดังหลังที่ 5
“โอ้! สวัสดีท่านเจ้าเมือง ” Ferrum พูดพร้อมยิ้มให้กับผม
ที่ใกล้ๆกับเขานั้นมีถังไม้นับสิบใบ ที่ในถังเเต่ละใบมีเลือดใส่ไว้เต็มถัง
“นี่คงเป็นถังที่พวกเขาพูดถึงสินะ ถังสำหรับใส่เลือดทาสที่โดนปาดคอ ” ผมคิดในใจพร้อมกำหมัดเเน่น
เเต่สิ่งที่หน้าประหลาดมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น เเต่คือสิ่งที่อยู่ใกล้ๆกัน
โลงศพไม้สีน้ำตาลที่ถูกสลักไว้ด้วยลวดลายโบราณเเละประทับอักษรประหลาดที่ทำมาจากทองคำเเละอัญมณีมาเรียงติดกัน เเละที่ฐานของโลงนั้นมีรอยเลือดอยู่เต็มไปหมดจนดูเหมือนกับฉากในหนังสยองขวัญ
“ท่านว่าเเปลกไหมละครับ ที่ของเเบบนี้มาอยู่ที่นี่ ” Ferrum ถามพร้อมมองมาทางผม
“เเปลกสิ นี้ไม่ใช่สำหรับใส่ศพทาสหรือพวกOrc ชั้นเลวพวกนี้เเน่ๆ” ผมพูดพร้อมนำมือขึ้นมาชันคางเเล้วเริ่มคิดหาความเป็นไปได้
“ที่น่าเเปลกไปกว่านั้นคือไม่มีใครเปิดมันออกได้เลยเเม้เเต่คนเดียวครับ เหมือนจะเป็นล็อคเวทย์มนต์ ” Ferrum พูดพร้อมเดินเข้าไปจับที่ฝาโลง “เเต่อาวุธเงินก็งัดไม่เข้า ”
ผมจึงลองเดินตามเขาเข้าไปดูโลงศพบ้าง พร้อมสั่งให้Bodyguard ของผมเตรียมตัวเผื่อมีเหตุอะไรไม่คาดฝัน
โลงศพนั้นสลักด้วยภาษาที่ดูเหมือนกับรูนจากโลกเก่าของผมเเต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ยังมีตัวอักขระเเปลกๆอยู่ด้วย
ตราประทับรูปนกอินทรีที่มีปีกเป็นค้างคาว
ผมจึงลองเอื้อมมือไปจับมันเเละในตอนนั้นเองนิ้วของผมก็ได้ไปบาดกับส่วนที่คมบนปีกค้างคาวบนตราประทับจนเลือดของผมหยดลงไปโดนตราประทับ เเละในตอนนั้นเองก็มีบางอย่างเกิดขึ้น
ในตอนนั้นเองที่โลงศพนั้นส่งเสียงเหมือนกลไกไขลาน ก่อนจะค่อยๆเปิดออกเหมือนกับประตูตู้เย็นที่ใช้สำหรับเเช่เเข็งอาวุธชีวภาพ
ผมเเละทุกคนในบริเวณนั้นหยุดนิ่งอยู่กับที่ด้วยความตกใจต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า
ผมกับFerrum มองหน้ากันก่อนจะตัดสินใจมองเข้าไปข้างในพร้อมๆกัน
เเละเมื่อผมก้มลงมองไปในโลงศพนั้นเอง “ว่างเปล่า?” ภายในโลงศพนั้นว่างเปล่า
Ferrum หัวเราะขึ้นมา “สงสัยคงจะเป็นเเค่โลงเปล่าๆที่พวกOrc ไปปล้นมาจากเมืองห่างไกลสักที่ เพราะเห็นว่ามันหรูดีละมั้ง ” เขาพูดก่อนจะเดินออกไปจากบริเวณนั้น
ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะสั่งให้ทหารมายกโลงใบนี้กลับไปที่เเคมป์ด้วย เพราะมันเเลดูจะมีค่าทั้งในด้านประวัติศาสตร์เเละศิลปะ
เเละเเล้วช่วงเช้าของวันนี้ก็ได้จบลงพร้อมกับคำถามที่เพิ่มขึ้นในใจของผมเกี่ยวกับโลงศพใบนี้
2. Sweet dream
ผ่านไปสักพักหนึ่ง ผมก็ได้เดินทางกลับมาถึงค่ายบริเวณรอบนอกของป่า
ผมใช้เวลาทั้งวันนั้นสั่งการวางเเผนที่จะมอบชีวิตใหม่เเด่เหล่าทาสที่ในตอนนี้ได้รับอิสระ ทั้งเตรียมเเผนในการป่าวประกาศว่าเมืองVindia จะเปิดให้ประชาชนซื้อที่ดินได้ผ่านศาลาว่าการเมืองโดยตรง เเละทั้งเตรียมการเพิ่มอาชีพใหม่ๆให้เเก่เหล่าอดีตทาสที่กำลังจะกลายเป็นประชาชนของผม
เเละอีกส่วนหนึ่งคือการบริหารจัดการOrc ที่ผมจับมาเป็นทาส ผมวางเเผนที่จะสร้างเหมืองรูปเเบบใหม่ที่ไม่เน้นความปลอดภัยเเต่เน้นจำนวนผลผลิต สำหรับพวกOrc โดยเฉพาะ เพราะถ้าพวกมันตายไปสักตัวสองตัวก็คงไม่เสียหายอะไรไป
อีกทั้งผมยังวาดเเผนการจัดการรูปเเบบกองทัพเเบบใหม่เพื่อสงครามอื่นๆในอนาคต
เมื่อผมทำทั้งหมดที่กล่าวมาเสร็จสิ้น ผมก็ไปเยี่ยมเยือนเหล่าทหารเเละอดีตทาส เพื่อไถ่ถามว่ามีปัญหาอะไรที่อยากจะเเก้ไขไหม เเละปัญหาที่ผมได้รับรู้มานั้นคือเรื่องการขนส่งทรัพยากรที่ยากลำบาก ผมจึงจดเรื่องนั้นใส่โน้ตเก็บไว้เเล้วจึงไปช่วยเหลือHymlan ในการจัดการเรื่องการขนส่ง
เเละในอีกสองวันต่อมา พวกเราทุกคนก็เดินทางกลับเมืองVindia
–-
1 สัปดาห์ต่อมา ณ เมืองVindia
ผมมองออกไปนอกหน้าต่างของห้องทำงานผม พลางจิบชาที่เมดประจำตัวชงเอาไว้ให้ ข้างนอกคือวิวของพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน ท้องฟ้าสีส้มเเดงบ่งบอกให้รู้ถึงการมาถึงของยามค่ำคืน
ไอน้ำชาปะทะกับหน้าต่างในหน้าหนาวจึงเกิดเป็นฝ้าบนหน้าต่าง ในหัวของผมอัดเเน่นไปด้วยเเผนการที่ผมจะดำเนินการหลังฤดูหนาวจบลง ทั้งเปิดโรงงาน เริ่มเปิดโรงเรียนสาธารณะ,ศาลาว่าการเมือง สร้างระบบจัดการน้ำเพิ่ม
เเละในตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกเจ็บเเปล็บๆไปที่นิ้วมือซ้าย น่าเเปลกที่เเผลเล็กๆบนนิ้วที่บาดโดนตราบนโลงนั้นยังไม่หายไปไหน จนผมเริ่มรู้สึกได้เเล้วว่ามันไม่ปกติเเต่ก็ยังไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก
ผมเหม่อมองพระอาทิตย์ค่อยๆ
ผมหันหลังกลับไปพบกับเมดประจำตัวของผมที่กำลังเดินเข้ามาในห้องพร้อมสองมือที่ถือกล่องเหล็กใบหนึ่งเอาไว้มั่น
“เธอลองกินมันไปรึยัง? ” ผมถามไปพร้อมรอยยิ้ม
“อร่อยมากเลยคะท่าน! มันคืออะไรเหรอคะ?” เธอถามด้วยหน้าพร้อมกับยื่นกล่องใบนั้นมาให้ผม
“มันเรียกว่าไอศกรีม ทำจากน้ำกับเกลือเเล้วก็กล่องใส่ผงNitre ที่ใช้สำหรับลดอุณหภูมิมาอีกทีน่ะนะ ” ผมพูดพร้อมยื่นมือไปรับกล่องใบนั้นมา
เธอทำหน้ายิ้มปนงง ก่อนจะทำความเคารพผม
“หลังจากที่อุณหภูมิลดลงไปถึงจุดหนึ่ง จากนั้นก็เทนมลงไปในถังที่… ” ผมลืมตามาอีกทีก็พบว่าผมกำลังพูดอยู่คนเดียวในขณะที่เมดคนนั้นเดินออกจากห้องไปเเล้ว
ผมถอนหายใจก่อนจะเปิดกล่องเหล็กนั้นออกมาพบกับไอศกรีมรสนม ผมใช้เวลาอีกสักพักไปกับการนั่งกินไอศกรีม ก่อนจะดื่มน้ำล้างปากเเล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เเล้วล้มตัวนอนลงบนเตียงผ้าขนสัตว์นุ่มๆ เเล้วผมก็หลับไป
–-
ผมตื่นขึ้นอีกครั้ง ในสถานที่ที่ผมนั้นไม่รู้จัก
ผมลุกขึ้นมองไปที่เท้าของผม ผมก็เห็นพื้นหินอ่อนสีขาวโพลน
ท้องฟ้าซึ่งเเสงอาทิย์ถูกบดบังด้วยควันสีเทาดำ ผมเดินไปรอบๆสถานที่นั้น มันทำรู้ว่าตัวผมนั้นกำลังยืนอยู่บนยอดหอคอยสีขาวโพลนที่สูงเสียดฟ้า
ผมก้มลงไปมองข้างล่างเเล้วพบกับเมืองที่สร้างขึ้นจากหินอ่อนกว้างไปสุดลูกหูลูกตาเเละที่สุดขอบฟ้าผมก็เห็นปล่องควันนับล้านซึ่งปล่อยควันออกจนดูเหมือนกับม่านที่ปกคลุมปลายขอบฟ้า
ผมชูมือขวาขึ้นไปบนท้องฟ้าเเล้วม่านควันดำนั้นก็ได้เเหวกออกจนดูเหมือนกับวงเเหวนHalo เเละที่ใจกลางวงเเหวนก็ได้มีนกพิราบตัวหนึ่งบินลงมาเกาะที่มือขวาของผม
ผมจ้องเข้าไปในตานัยย์ของนกพิราบเเละมันก็มองเข้ามาในนัยย์ตาผม
เเล้วเสียงที่ดังเหมือนกับฟ้าผ่านับล้านก็ได้ดังขึ้น
“God Woken!!!”
เสียงนั้นสะท้อนอยู่ในหัวผม มันรุนเเรงจนตัวผมนั้นล้มลงเเละสลบไป
–-
ผมตื่นขึ้นมาพบกับเเสงที่ลอดผ่านเข้ามาจากหน้าต่างในยามเช้า พร้อมกับสมองที่ยังมึนๆด้วยความฝันอันเเสนประประหลาด
“ฝันเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ ผมคงคิดอะไรมากไปอีกเเล้ว” ผมคิดในใจ
จากนั้นผมจึงลุกขึ้นจากเตียงเพื่อเตรียมตัวไปทำกิจวัตรยามเช้า
End Chapter 7
ความคิดเห็น