ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานบารอนปฎิวัติต่างโลก

    ลำดับตอนที่ #10 : Beast of a City

    • อัปเดตล่าสุด 5 ม.ค. 65


     1. Esparian menace 

     ภายในห้องทำงานของบารอนเเห่งเมืองVindia นั่นเองเเสงสลัวๆของเทียนไขตกกระทบลงบนตัวอักษรที่เขียนด้วยน้ำหมึกสีดำ ณ เเผ่นกระดาษที่ถูกใช้เพื่อเขียนเเบบสิ่งประดิษฐ์ที่ถูกส่งผ่านออกมาจากสมองของท่านบารอน

     สายตาที่จ้องมองออกไปนอกหน้าต่างคฤหาสน์เเละจับภาพของดวงจันทร์ในยามค่ำคืน ในใจของชายผู้จับปากกาขนนกที่กำลังเขียนเเบบของเครื่องจักรชนิดใหม่อยู่นั้น เต็มไปด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่งเหล่ามนุษย์ในโลกใบใหม่นี้จะได้ขึ้นไปเหยียบบนพื้นสีเทาของดวงจันทรา เช่นเดียวกันกับโลกอีกใบที่เขานั้นจากมา

     “ต้องไปคุมงานเองทั้งหมดอีกเเล้วสินะ ยุ่งยากซะจริง! ” ผมบ่นกับตนเองก่อนจะกระดกไวน์เเดงเข้าไปในปาก

     เมื่อไวน์หมดเเก้ว ผมก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้เเล้วม้วนกระดาษเขียนเเบบเพื่อเก็บลงใส่ไปในกระเป๋าหนังเพื่อเตรียมนำเข้าสู่กระบวนการผลิตในวันพรุ่งนี้

     “ก็อกๆ”

     เสียงเคาะประตูดังขึ้น นั้นทำให้ร่างกายผมถอนหายใจอย่างอัตโนมัติขึ้นมาทันทีเพราะผมเจอเหตุการเเบบเดียวกันนี้มาหลายรอบจนชิน

     “เข้ามาได้เลย ขอบคุณสำหรับชานะ!” ผมพูดออกไปก่อนจะก้มลงเก็บกระดาษลงกระเป๋าตามเดิม

     “คะ! ท่านบานรอน” เมดสาวผู้มีผมทรงโพนี่เทลสีทองพูดพร้อมเปิดประตูห้องเข้ามา ก่อนจะนำชาดอกกุหลาบที่เธอชงมาวางไว้บนโต๊ะที่ผมพึ่งจะเขียนเเบบจบไป

     “วันนี้ดอกกุหลาบเหรอ? ” ผมพูดพร้อมใช้นิ้วเกี่ยวหูเเก้วชาขึ้นมาเพื่อดมกลิ่นไอจากชา

     “ใช่เเล้วคะ เก็บจากสวนหลังคฤหาสน์คะ ” เธอพูดพร้อมยิ้มอย่างมีความสุข

     ผมจิบของเธอเข้าไปก่อนจะพูดสวนออกมา “ชาของพรุ่งนี้ขอผสมนมวัวด้วยนะ ” ผมพูดพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าที่ง่วงจากการทำงานมาทั้งวัน

     “เข้าใจเเล้วคะ เชื่อมือฉันได้เลย ” เธอพูดจบก็เดินปิดประตูห้องออกไปพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ

     ผมกระดกเเก้วชาร้อนๆลงคอไปจนหมด ก่อนที่จะเดินขึ้นไปยังเตียงนอนเล็กๆที่มุมห้องทำงานข้างๆกองหนังสือ

     มันเป็นเตียงที่ผมสั่งให้ย้ายมาจากห้องพักของคนสวนมาไว้ที่ห้องทำงานเพราะขนาดมันเหมาะสำหรับห้องทำงานเล็กๆ ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากเเทบทุกคนในคฤหาสน์ว่ามันไม่สมฐานะของเจ้าเมืองเอาเสียเลย ยังไงก็ตามเมื่อผมยืนยันสั่งเเล้วก็ไม่มีใครมาคัดค้านตัวผมได้

     ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ก่อนจะหลับตาลงเพื่อที่จะพยายามนอนให้หลับ

     พอผ่านไปสักพัก ผมก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติว่ามีอะไรบางอย่างหนักๆกำลังเคลื่อนที่ขึ้นมาบนตัวผม

     ทันทีที่ผมรู้สึกได้ ผมก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับมือซ้ายที่ซุกเข้าไปใต้หมอนเพื่อที่จะเอื้อมไปจับปืนคาบศิลาที่ผมเเอบไว้ใต้หมอน

     ภาพที่ผมเห็นคือผู้หญิงตัวเล็กๆผมดัดลอนเงินเเละดวงตาสีทองเหลือง เธอยิ้มโชว์ฟันเขี้ยวของเธอ ระหว่างที่กำลังนั่งทับตัวผมอยู่ ด้วยน้ำหนักที่หนักหนาตรงข้ามกับรูปร่างของเธออย่างหาคำอธิบายไม่ได้

     “เดี๋ยวสิๆนี่ฉันเอง Fraise ภูติสุดน่ารักของคุณไง! ” เธอพูดพร้อมใช้มือเรียวเล็กของเธอคว้าเเขนซ้ายของผมเอาไว้ด้วยเเรงที่เเข็งเเกร่งเหมือนกับหมี

     “เธออีกเเล้วเหรอ! คราวนี้คิดจะทำอะไร? ” ผมตะโกนขึ้นมาด้วยเเววตาที่ไม่เป็นมิตร

     “ฉันก็เเค่มาบอกข้อมูลดีๆให้ผู้ทำสัญญาเอง อย่าอารมณ์เสียสิ! ” เธอพูดก่อนจะลงจากตัวผมไปยืนอยู่ตรงข้างเตียง

     “ข้อมูล? ” ผมพูดพร้อมทำหน้าสงสัย

     “ฉันเเค่จะมาบอกว่าตอนนี้ในเมืองVindia มีสปายจากเมืองเเถวๆนี้มาเเฝงตัวอยู่ยังไงล่ะ ” เธอพูดพร้อมใบหน้าที่ดูจริงจังขึ้นมานิดหน่อย

     “จะให้เชื่อเธอเหรอ? ” ผมพูดถามด้วยใบหน้าที่จริงจังพอๆกับตอนนำทัพเข้าสู้กับพวกออร์ค

     “หลักฐานน่ะมีเเน่ๆ เเล้วก็ฉันสามารถทำให้สปายคนนี้หายไปจากโลกใบนี้เลยก็ได้นะ เเค่ท่านสั่งมา ” เธอพูดพร้อมขยิบตาให้ผม

     “เเลกกับอะไรละ? ฉันไปอ่านหนังสือเกี่ยวกับภูติอย่างพวกเธอมาเเล้ว เธอต้องมีอะไรเป็นข้อเเลกเปลี่ยนเเน่ๆ ” ผมพูดพร้อมนึกย้อนไปหลังจากเหตุการณ์เมื่อคราวก่อนผมก็เริ่มที่จะศึกษาเกี่ยวกับ “ภูติ” ของโลกใบนี้

     “นอกจากขยันทำงานยังขยันหาความรู้อีก สมกับเป็นผู้ทำสัญญากับฉันผู้นี้จริงๆ ” เธอพูดก่อนจะโน้มตัวลงมาจนหน้าของเธอใกล้จะเเตะกับหน้าของผม

     “เเลกกับความเชื่อใจ เเลกกับการที่ท่านจะยอมให้ข้าปกป้อง ยังไงล่ะ ” เธอพูดกระซิบก่อนจะโน้มตัวขึ้นไปอยู่ในตำเเหน่งเดิม

     “งั้น ข้าก็จะรอดูเเล้วกันว่าเจ้าพูดจริงหรือเปล่า ” ผมพูดออกไป

     รอยยิ้มที่ดูหน้ากลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ ก่อนที่เธอจะค่อยๆเดินถอยหลังไปที่ข้างๆหน้าต่างในห้องของผม

     “พรุ่งนี้เช้ารอดูผลงานข้าได้เลย ท่านผู้ทำสัญญา ” เธอพูดก่อนจะเปิดบานหน้าต่างออกเเล้วกระโดดลงไป

     ผมลุกขึ้นจากเตียงในทันทีที่ผมได้เห็นภาพเธอกระโดดลงไป เเล้วตามไปมองลงจากหน้าต่างตามสัญชาตญาณ เเละก็เป็นไปตามที่ผมคาด เธอได้หายตัวไปเหมือนกับสายลม

     หลังจากนั้น ผมก็ถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะกลับลงไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงเพื่อจะข่มตาหลับ

    – --

     เมื่อเเสงเเดดสาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างห้องทำงาน นั้นก็เป็นสัญญาณให้ผมลุกขึ้นจากเตียง

     ในตอนนั้นเองก็มีเสียงเคาะห้องผมอย่างเเรงจนประตูไม้ของห้องนั้นสั่น

     “ผม John เอง มีเรื่องด่วนครับ! ”

     ผมเดินไปเปิดประตูห้องออกพร้อมพูดพลางบ่น  “คราวนี้เรื่องอะไรอีกล่ะ? เตาหลอมเหล็กเเตกอีกเเล้วหรือไง ”

     ทันทีที่ผมเปิดประตูห้องก็พบกับ John ในสภาพที่เเต่งชุดเกราะเต็มยศพร้อมกับสะพายปืนคาบศิลาไว้ที่ไหล่ เขามองกลับมาที่ผมด้วยสายตาที่ดูจริงจังเเละเหงื่อที่ไหลลงจากใบหน้า

     “เกิดคดีฆาตกรรมขึ้นครับท่าน! ใกล้ๆคฤหาสน์เรานี่เอง ”

     “อ้อ ก็ไม่เห็นต้องตกใจ… คดีอะไรนะ!?!” 

     หลังจากนั้น 5 นาที ณ ทางเท้าหินอ่อนใกล้ๆกับตึกห้องเช่าคอนกรีต

     บนทางเท้าหินอ่อน ชายคนหนึ่งในชุดพ่อค้านอนจมกองเลือดอยู่ในสภาพที่เหมือนกับถูกสัตว์ป่ากระชาก ลำคอขาดเเหว่งเหมือนถูกหมีกัดออก ลูกตาทั้งสองข้างถูกควักออกจากเบ้า ลิ้นถูกกระชากออกมาทิ้งไว้ใกล้ๆกับตัวศพ เเละที่หน้าผากของศพมีการกรีดเนื้อออกมาได้เป็นคำว่า “ สปาย ”

     “ผมส่งคนไปเช็คห้องของผู้ชายคนนี้เเล้ว… พบสิ่งนี้ครับ ” John ส่งสมุดปกหนังเล่มหนึ่งมาให้ผมพร้อมกับสายตาที่จับจ้องไปยังศพ เเละเหล่าทหารในชุดสีดำที่ทำหน้าที่กันคนไม่ให้เข้าใกล้ศพ

     เมื่อผมเปิดสมุดออกอ่านก็พบกับข้อมูลความเจริญของเมืองเเห่งนี้ที่ได้ถูกจดบันทึกไว้อย่างละเอียด ซึ่งผมก็ไม่ตกใจอะไรเพราะนั้นก็เป็นเพราะผมตั้งใจจะเเพร่ข่าวเพื่อเชิญให้คนย้ายมาอาศัยที่เมืองเเห่งนี้อยู่เเล้ว 

     เเต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจนั่นก็คือข้อมูลด้านความปลอดภัย ทั้งเเผนผังเมือง ระยะเวลาการพลัดเปลี่ยนเวรยาม ตำเเหน่งเเละขนาดของเเหล่งน้ำของเมืองพร้อมกับคำเเนะนำในการใช้ยาพิษ เเละที่น่าตกใจที่สุดนั้นก็คือบันทึกการ เข้า-ออก คฤหาสน์ของตัวผมเองที่ถูกระบุเอาไว้เป็นระยะเวลาอย่างละเอียดยิบ 

     เเละที่หน้าสุดท้ายของสมุดเล่มนั้นนั่นเองก็มีตราสัญลักษณ์ประจำตระกูลหนึ่งติดอยู่ มันเป็นสัญลักษณ์หัวกระทิงสีเหลืองที่ล้อมรอบด้วยวงกลมสีเเดง หรือก็คือสัญลักษณ์ของเมืองที่ผมมีเเผนจะเดินทางไปในสัปดาห์หน้า “Esparia” เเละที่หน้าตกใจกว่านั้นก็คือสัญลักษณ์หมาป่าสีดำข้างๆกัน เพราะมันคือสัญลักษณ์ของพวกออร์ค

     “John! ฝากไปบอกให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงทุกคนไปเจอกันที่คฤหาสน์ในตอนเที่ยง ” ผมตะโกนบอกเขาก่อนจะเดินตรงกลับขึ้นไปนั่งลงกุมขมับตนเองอยู่บนเบาะในรถม้า

     

    2. War plan Beast

      ในห้องประชุมของคฤหาสน์ ผม, John, Walden, Ferrum, Hymlan กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเเละเหล่าผู้ชำนาญพิเศษอีกจำนวนหนึ่ง กำลังนั่งล้อมวงกันอยู่รอบๆโต๊ะไม้โอ็คสำหรับการประชุมด้วยสีหน้าเป็นกังวล

     “ส่งจดหมายยกเลิกการไปเมืองEsparia ของข้าเเล้วใช่ไหม? ” ผมพูด

     “ยกเลิกไปเเล้วครับท่าน เเต่ยังไม่ได้บอกเหตุผลไปนะครับ พวกมันคงจะรู้ตัวเองหลังจากสปายไม่ส่งข่าวกลับไปสักพัก ” Hymlan ตอบ

     “ด้านความปลอดภัยล่ะ? ” ผมถามพร้อมหันไปทางที่ John เเละ Walden นั่งอยู่

     “ผมดึงหน่วยรักษาความปลอดภัยมาจากหน่วย ฺBlack,Gray cloak เเล้วครับ พร้อมเปลี่ยนระยะเวลาของเวรยามใหม่ให้นานขึ้นด้วย ” John พูด

     "ส่วนหน่วย Green cloak ของผมเองก็เพิ่มเเนวลาดตระเวรมาจนถึงเเหล่งน้ำเเล้วครับ หายห่วงเรื่องการวางยาเเหล่งน้ำไปได้เปราะหนึ่ง

     ผมพยักหน้าก่อนจะวางสมุดเล่มนั้นลงบนโต๊ะ

     “ข้าจะรบกับตระกูล Enico ผู้ปกครองเมือง Esparia มีใครคัดค้านอะไรไหม? ” ผมพูด

     Hymlan เเละผู้ช่วยชำนาญการพิเศษคนหนึ่ง ยกมือขึ้นคัดค้าน

     “เอาล่ะ ข้าขอฟังเหตุผล ”

     “ตระกูลEnico มีเส้นสายกับพวกราชวงศ์นะท่าน นั้นจะทำให้พวกเขามีโอกาศในการขอกำลังเสริมจากพวกกองอัศวินได้ เเถมตอนนี้พวกมันยังไปเข้าข้างฝั่งพวกออร์คอีก ถึงอาวุธของพวกเรานั้นเเทบจะไร้เทียมทานก็จริง เเต่ผมไม่อยากให้หมู่บ้านในเขตการปกครองของพวกเราถูกพวกมันเผาเอาน่ะสิ ” Hymlan พูด

     “มีเหตุผลที่ดี เเต่ข้ามีเเผนไว้จัดการกับเรื่องเเบบนี้อยู่เเล้วเพราะฉะนั้นเจ้าก็หายห่วงได้ ข้าขอสาบาน ” ผมตอบเขา

     “เเล้วเจ้าล่ะ… ชื่ออะไร? ”  ผมหันหน้าไปถามชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ Ferrum

     “ผมชื่อLeonard เป็นผู้ช่วยของคุณFerrum ครับ ” Leonard พูดพร้อมลุกขึ้นทำความเคารพผม

     “นั่งลงๆ เเล้วบอกเหตุผลมาได้เเล้ว ” ผมพูดพร้อมกวักมือลงให้เขานั่งลงได้

     “ตามการคาดการณ์ของผม การรบครั้งนี้จะทำให้มีผู้คนที่สามารถเป็นทั้งเเรงงานเเละทหารให้ท่านได้ในอนาคตเสียชีวิตมากจนเกินไปเนื่องจากอาวุธของพวกเราเองนั้นรุนเเรงเกินไปครับ… ”

     “เเล้ว? ” ผมถามพร้อมนำมือกอดอก

     “ผมจะไม่คัดค้าน เเต่จะขอเสนอเเผนการที่ดีกว่าการรบระยะยาว ผมว่าพวกเราควรจะกดดันให้พวกเขายอมเเพ้ไปเองดีกว่า พวกเขาจะได้ไม่เเค้น เเละอยากเข้าร่วมกับพวกเราไปในตัวด้วย ท่านก็จะได้ผู้คนมาเข้าร่วมกับท่านเพิ่ม นั้นถือเป็นผลกำไรที่มีความเสี่ยงต่ำครับ ” Leonard พูดพร้อมก้มหัวทำความเคารพผม

     “ความคิดดีนี่! Ferrum เเกเอาคนหัวดีเเบบนี้ไปช่วยตีเหล็กเหรอ!?! ” ผมพูดตะโกนก่อนจะหันไปหาFerrum 

     “เปล่า! เขาเป็นคนที่เอาเเบบเเปลนเครนไม้เชือกชักรอก มาเสนอให้ข้าใช้ในงานก่อสร้างน่ะ เห็นว่าฉลาดเป็นดีก็เลยรับเข้ามาทำงานด้วย ” Ferrum พูดพร้อมยกนิ้วโป้งให้ Leonard

     “ข้าเห็นด้วยกับเเผนของชายคนนี้นะ อันที่จริงข้าก็มีสิ่งประดิษฐ์ใหม่มาเสนอในวันนี้อยู่พอดีเลย ” ผมพูดจบก็ดึงกระดาษที่ม้วนอยู่ในกระเป๋าสะพายหนัง มาวางบนโต๊ะเเล้วค่อยๆคลี่ออก

     ในตอนนั้นเองที่ทุกคนในห้องรวมหัวกันก้มลงมองไปที่กระดาษเเผ่นนั้นอย่างไม่ได้นัดหมาย

     “มันคือรถม้า? ”

     “มันคือปืนใหญ่? ”

     “มันคือกล่องเหล็กนิรภัย? ”

     ในระหว่างที่ผู้คนในห้องเดากันไปต่างๆนานา ผมก็ได้พูดขัดขึ้นมา

     “มันคือจักรกลสงครามพลังไอน้ำ ชิ้นเเรกในโลกใบนี้ ” ผมพูดพร้อมลุกยืนขึ้นจากเก้าอี้เพื่อเตรียมตัวอธิบายให้พวกคนในห้องฟังเเละทำความเข้าใจ

     “พวกเจ้าคงเห็นเครื่องจักรไอน้ำในโรงงานเเล้วสินะ… งั้นทีนี้ลองจินตนาการถึงเครื่องจักรพวกนั้นกลายเป็นอาวุธที่ใช้ในการทำสงครามดูสิ ม้าเหล็กที่ไม่มีวันเหนื่อย พุ่งตรงไปข้างหน้าโดยที่ไม่มีอะไรหยุดได้ คล้ายๆกับโกเลมของพวกคนเเคระนั้นเเหละเเค่ไม่ได้ใช้เวทมนตร์ เเละข้าก็จะขอตั้งชื่อโปรเจคนี้ว่า The Beast ” 

     “ท่านจะเอาจริงใช่ไหม! ” Ferrum ลุกขึ้นตะโกน

     “มีปัญหาเหรอ ” ผมถาม

     “เปล่าหรอก อยากบอกว่าเป็นเกียรติมากที่ได้เป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่กับท่านบารอน! ” เขาพูดพร้อมชูมือขึ้นตะโกนด้วยความตื่นเต้น เเละเช่นเดียวกันกับตัวเขาทุกคนในห้องก็ชูมือขึ้นด้วยความตื่นเต้น 

     เเละเเล้วบรรยากาศเครียดๆในตอนเเรกก็ได้หายไป เเทนที่ด้วยความตื่นเต้นที่มีต่อสิ่งที่เรียกว่า “The Beast ”

    – --

     ณ ส่วนลึกที่สุดของเขตอุตสาหกรรมเเห่งเมืองVindia โกดังไม้เเห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยทหารยามเดินเฝ้ายามอยู่อย่างหนาเเน่นมาเป็นเวลาสักพักใหญ่เเล้ว เเละก็จะเป็นที่นี่เองที่ชายคนหนึ่งจะได้พบกับ “ม้าศึก” ของเขา

     ผมมีชื่อว่า Kensky Veloni หรือที่เพื่อนทหารในหน่วยของผมทุกคนเรียกว่า Kensky, ผมเป็นผู้อพยพที่ย้ายมาอยู่ที่เมืองเเห่งนี้พร้อมกันกับเพื่อนสมัยเด็กคนหนึ่งที่มีชื่อว่า Leonard

     เเละหลังจากที่ผมเเยกกับเพื่อนของผมเพื่อมาเข้าร่วมกองทหารของเมืองเเห่งนี้ ผมก็ได้พบกับสิ่งเเปลกใหม่ที่ผมไม่เคยเห็นมากมาย ปืนคาบศิลา ปืนใหญ่ เเละที่เเปลกประหลาดที่สุดก็เห็นจะเป็นเเรงงานออร์คที่เมืองเเห่งนี้จับมาเป็นทาส

     ด้วยความที่ Leonard เคยสอนอะไรต่างๆให้กับผมไว้มากมาย ความรู้ที่ครั้งหนึ่งผมเคยมองว่าไร้สาระกลับกลายเป็นสิ่งที่พลักดันให้ผมได้รับเลือกมาเป็นหน่วยทหารปืนใหญ่ ด้วยคะเเนนการประเมินทั้งด้านพลังกาย,ใจ เเละความรู้ ที่สูงลิ่ว

     เมื่อผมอยู่มาได้สักพัก พวกรุ่นพี่ในหน่วยทัพมักจะเล่าถึงความยิ่งใหญ่ของเมืองเล็กๆริมเเนวเขาสีขาวเเห่งนี้ คุยโม้กันว่าท่านเจ้าเมืองอยากจะยึดเมืองหลวงตอนไหนเวลาไหนก็ได้ ท่านก็เเค่ไม่อยากจะทำ ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนั้นเท่าไหร่หรอก

     จนกระทั่งผมได้จดหมายเชิญไปร่วมงาน จากเพื่อนของผม Leonard ที่ผมพึ่งได้มารู้ว่ากลายเป็นหนึ่งในคนสนิทของท่านเจ้าเมืองไปเเล้ว

     เนื้อความในจดหมายเขียนชวนผมมาเข้าร่วมหน่วยทหารม้าในชุดหุ้มเกราะรูปเเบบใหม่ เขาทิ้งท้ายมาด้วยว่าทั้งอันตรายเเละตื่นเต้น เเถมยังเงินเดือนดี ( ปล.เขาทาบทามฝีมือผมให้เจ้าเมืองฟังด้วยตนเอง อย่าทำให้เขาผิดหวัง )

     เเละเนื่องด้วยผมเป็นพวกชอบทั้งความอันตรายเเละความตื่นเต้น ผมจึงตกลงที่จะเข้าร่วมหน่วยทหารม้าหุ้มเกราะ

      – --

     หลังจากที่เขาทำการยืนยันตัวกับทหารยามที่เฝ้าหน้าประตูอยู่นาน ประตูโกดังก็ได้เลื่อนเปิดออกเพื่อต้อนรับ Kensky ให้เข้ามาพบกันกับม้าศึกของเขา

     “ไง! Kensky นึกเเล้วว่าเจ้าต้องมา ” Leonard ใส่ชุดคลุมหนังสำหรับป้องกันความร้อนที่เต็มไปด้วยคราบถ่านหินเเละรอยไหม้เดินตรงในที่มือกอดอกเข้ามาต้อนรับเขา

     “Leonard ข้าก็นึกไว้เเล้วว่าเจ้าน่ะเข้ากับเมืองอย่างงี้ได้! ”ผมพูดด้วยรอยยิ้มก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในโกดัง

     ภายในโกดังนั้นเต็มไปด้วยผู้คนในชุดคลุมหนังกำลังขนสิ่งของมากมายไปทั่วทุกสารทิศ บ้างก็เเบกเเผ่นเหล็ก,เเผ่นไม้ บ้างก็หิ้วกลไกที่ตีขึ้นจากทองเหลือง หรือเเม้เเต่ถุงถ่านเเละถังน้ำ 

     เเต่ผู้คนทั้งหมดนั้นเดินตรงเข้าไปยังทางเดียวกันนั่นก็คือบริเวณมุมอับสายตาที่บริเวณท้ายสุดของโกดัง ที่มีทั้งทหารยามเดินวนอยู่ อีกทั้งปล่อยผ้าม่านลงมาจากเพดานของโกดังเพื่อปิดบังสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นกำลังสร้างอยู่

    “หลังม่านนั้นเเหละ คือม้าศึกของเจ้า” Leonard พูดพร้อมชะโงกหัวให้ตามเขาไป

     ผมเเละเขาเดินตามกันไปยืนตรงอยู่ที่ข้างหน้าผืนผ้าม่าน ในขณะที่ผ้าม่านทั้งสองข้างค่อยๆถูกชักออกเพื่อเผยให้เห็นสิ่งประดิษฐ์ลับสุดยอดของเมืองเเห่งนี้

     “เดี๋ยวนะ! นี่มันไม่ใช่ม้านี่, มันคืออะไร? ” ผมหันไปถามเขา

     ผมพูดขึ้นพร้อมจ้องตรงไปที่กล่องเหล็กสีเงินที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางกลุ่มช่างตีที่กำลังประกอบกลไกชิ้นสุดท้ายเข้าสู่เกราะส่วนหน้าของตัวพาหนะ

     Leonard หันกลับมาหาพร้อมกับรอยยิ้ม เขายกมือขึ้นเเตะไหลผมก่อนจะเอ่ยขึ้น

     “เครื่องจักรที่จะปลดเเอกเราจากพวกออร์ค The Beast ยังไงล่ะ, ตามฉันมาสิเดี๋ยวอธิบายให้ฟัง ” เขาพูดจบก็เดินตรงเข้าไปหากล่องเหล็กใบนั้นพร้อมใช้มือของเขาลูบมัน

     หลังจากการอธิบายที่ทั้งเว่นเว้อเเละยืดยาวของเขา ผมก็พอจะทำความเข้าใจได้ว่าเจ้าสิ่งนี้นั้นทำงานเหมือนกับรถศึกสำหรับพุ่งชน เเต่หลักการทำงานนอกจากนี้ของมันผมไม่เข้าใจที่เขาอธิบายเลย นอกจากว่ามันกินถ่านหินเเละพ่นไอน้ำ

     “ข้าของเข้าไปดูใกล้ๆหน่อยได้ไหม? ” ผมถาม

     “เเน่นอนสิ!, เจ้าจะต้องเป็นคนขับเจ้านี่ อยู่เเล้วนิ ” เขาตอบพร้อมโบกมือเป็นสัญญาณให้ผมเดินมาได้

     มือของผมสัมผัสลงไปบนผิวชั้นนอกที่สร้างจากเหล็กของมัน ความเย็นสะสมของเหล็กไหลผ่านเข้ามาในผิวของมือผม ในระหว่างที่กลิ่นถ่านหินลอยเข้าสู่จมูกผม ในหัวผมตอนนี้เต็มไปด้วยความสงสัยที่มีต่อเจ้ากล่องเหล็กตรงหน้าจนผมเเสดงสีหน้าเเปลกๆออกมา

     “เเล้วข้าจะขับมันยังไงล่ะ? ” ผมหันไปถามเขา

     “นั้นไม่ใช่หน้าที่ข้าในตอนนี้ เเต่นั้นเป็นหน้าที่ของท่านเจ้าเมืองในวันพรุ่งนี้ ” เขาพูดก่อนหยิบหนังสือปกหนังเล่มหนึ่งออกจากกระเป๋าสะพายมาเเล้วยื่นส่งให้ผม

     “เอาวิธีการไปอ่าน สัปดาห์หน้าจะมีการเดินขบวนพาเรดของท่านเจ้าเมือง เเละเจ้าจะได้เป็นดาวเด่นของงานนี้ เเค่นี้เเหละ ลาล่ะ ” เขาพูดจบก็หันหลังเเล้วเดินจากไปด้วยความรวดเร็ว

     “เห้ย! กลับมาช่วยกันก่อน ” ผมตะโกนออกไปสุดเสียง เพราะผมนั้นรู้ถึงนิสัยชอบทิ้งงานให้ผู้อื่นของ Leonard เป็นอย่างดี เเละนี่ก็เป็นเเผนการพลักงานให้ผมเเล้วชิ่งเเน่ๆ

    – --

     หลายวันต่อมา ณ ถนนสายหลักเเห่งเมืองVindia 

     ผู้คนมากมายพร้อมใจกันมายืนเต็มสองข้างทางเท้าเพื่อชมขบวนพาเรด จากการประกาศผ่านใบปลิวนับพันที่ถูกติดไว้ทั่วทุกมุมถนนเเละปักไว้ในทุกๆป้ายประกาศ 

    “ขอเชิญชวนเหล่าประชาชนอันทรงเกียรติเเห่งVindia เพื่อมารับชมขบวนพาเรดของเหล่าทหารกล้าของพวกเรา เเละจงเตรียมพร้อมที่จะตื่นตาตื่นใจ ในสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่คิดค้นโดยท่านบารอน (The Beast v1.0)  ”

    -ปล.ห้ามนำเด็กเล็กมาเข้าชมด้วยเด็ดขาดไม่เช่นนั้นจะถือว่ามีความผิด

     ทั้งสองข้างของฟุตบาทหินอ่อนเต็มไปด้วยชาวเมืองที่ยืนรอชมขบวนพาเรด เเละทหารรักษาความปลอดภัยที่ทำหน้าที่คอยตรวจดูความเรียบร้อยของฝูงชนเนื่องจากในวันนี้สิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่ว่านั้นมีความอันตรายสูง

     เเละท่ามกลางเหล่าฝูงชนเหล่านั้นก็ยังมีหญิงสาวผมดำเงาผู้มีศักดิ์เป็นลูกขุนนาง ผู้เเต่งตัวดูดีคนหนึ่ง เธอมีชื่อว่าVeladonna เเละในวันนี้เธอตั้งใจเดินทางมาดูขบวนพาเรดของเมืองเเห่งนี้โดยเฉพาะ 

     หลังจากที่เธอได้ยินเรื่องเล่าจากปากของเหล่าพ่อค้า ถึงเมืองเล็กๆริมภูเขาสีขาวที่ร่ำรวยจากการค้าเสื้อผ้าจำนวนมหาศาลกับบารอนผู้ต่อต้านการปกครองของพวกออร์คอย่างออกหน้าออกตา เเถมยังมีเรื่องเล่าเเปลกๆถึงอาวุธวิเศษพ่นไฟของทหารในเมืองเเห่งนี้อีก นั้นทำให้เธอตัดสินใจขอเดินทางมาที่เมืองเเห่งนี้

     เธอยืนรออยู่ท่ามกลางฝูงชนมาได้เกือบครึ่งชั่วโมงเเล้ว จนเธอเริ่มมีความคิดผุดขึ้นมาในหัวเเล้วว่าอยากกลับไปนอนลงบนเตียงนุ่มๆในห้องพักของเธอ

     เเละเเล้วในตอนนั้นเองที่มีเสียงที่ดังเหมือนเสียงคำรามของพวกสัตว์อสูรดังขึ้นมาจากบนถนนไกลออกไปทางด้านขวาของเธอ พร้อมกับเงาของอะไรบางสิ่งที่กำลังเคลื่อนที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

    3. Parade to Behold

     ผมคือVictor บารอนเเห่งเมืองVindia ตอนนี้กำลังนั่งด้วยอาการร้อนเพราะตากเเดดอยู่บนเก้าอี้ที่ถูกติดไว้เป็นการชั่วคราวตรงด้านบนของรถถังไอน้ำ นี่ยังไม่รวมถึงความร้อนจากไอน้ำเเละเขม่าควันที่ถูกปล่อยออกมาจากส่วนท้ายของรถเเล้วลอยขึ้นมาให้ผมรู้สึกร้อนมากกว่าเดิมอีกนะ

     “นี่น้ำคะท่านเจ้าเมือง ” Cyne เมดประจำตัวของผมที่ยืนถือร่มเเละถาดใส่เเก้วน้ำอยู่ข้างๆเก้าอี้ของผม ยื่นถาดใส่เเก้วน้ำมาให้ผมหยิบขึ้นดื่ม

     “(เสียงหอบ) ขอบคุณมาก… เเล้วเธอเองไม่ร้อนเเย่เหรอไปยืนอยู่อย่างนั้น ” ผมพูดพร้อมกระดกเเก้วน้ำเปล่าขึ้นดื่ม

     “สบายมากคะ เเดดยังถือว่าอุ่นๆอยู่เลยคะ เเล้วท่านเจ้าเมืองล่ะคะ? ” เธอพูดด้วยรอยยิ้มที่ดูมีความสุข

     “อ้อๆ สบายมาก! นั่งต่อไปเป็นชั่วโมงก็ยังไหว ” ผมโกหกหน้าด้านๆออกไปพร้อมใบหน้าที่ชุ่มเหงื่อเเละหอบอย่างเห็นได้ชัด

     เหตุการณ์อย่างนี้มันเริ่มจากการที่ผมอยากนั่งบนรถถังไอน้ำนำขบวนพาเรด เเต่ดันลืมไปว่าตัวรถถังเองตอนนำขบวนต้องใช้ความเร็วที่ต่ำที่สุดเพื่อป้องกันการทำงานผิดพลาดเเละเกิดอุบัติเหตุเเก่ผู้คนที่มาดูขบวน

     นั่นทำให้รถถังไอน้ำคันนี้ต้องวิ่งด้วยความเร็วที่ต่ำใกล้ๆกับเต่าคลานเเค่เร็วกว่านิดหน่อย

     ผมหลับตาไปซักพักเพราะชักจะไม่ไหวกับเเดดที่เเยงเข้ามาในสายตาผม เเละพอผมลืมตามาอีกทีก็พบว่าตนเองนั้นอยู่ในระยะที่จะพบกับฝูงชนเเล้ว

     – --

     Veladonna ควักสมุดบันทึกของเธอออกมาเพื่อเตรียมตัวที่จะจดทุกสิ่งที่เธอได้เห็น เป็นเวลาเดียวกันกับที่เงานั้นเข้าใกล้เธอมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมันเข้าในระยะสายตาของเธอ

     มันคือกล่องเหล็กสีเงินที่ใหญ่พอๆกับรถม้าของพวกขุนนางชั้นสูง มันค่อยๆเคลื่อนที่ตรงเข้ามาบนถนนอย่างช้าๆ น่าประหลาดที่เจ้ากล่องเหล็กนั้นเคลื่อนที่ได้โดยไม่มีตัวอะไรมาลากจูง

     เสียงหวีดเเหลมเล็กดังขึ้นเป็นระยะพร้อมกับไอน้ำที่พวยพุ่งออกมาจากเครื่องกลที่สุดเเสนจะเเปลกประหลาดต่อสายตาของผู้ที่ยืนชมอยู่สองฝั่งข้างทาง

     “สวัสดียามบ่าย! ชาวเมืองVindia ผู้ทรงเกียรติเเละเหล่าเเขกจากต่างเมือง ” 

     บนหลังคาส่วนหน้าของรถถังไอน้ำ ปรากฏร่างของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลมัดหางม้าคนหนึ่งในชุดเกราะสีเงินเงางามที่เต็มไปด้วยลวดลายเเกะสลักเป็นรูปนก เขาค่อยๆลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ไม้ที่ไม่ค่อยจะดูสมฐานะโดยรวมเท่าไหร่ ผ้าคลุมสีขาวนวลของเขาโบกสะบัดไปกับสายลมที่ปะทะเข้ากับเเรงดันไอน้ำจากด้านหลัง ข้างกายเขามีเมดสาวผมทองคนหนึ่งกำลังชูร่มขึ้นเพื่อกันเเสงเเดดให้เขาอยู่

     “ผมVictor Rydal บารอนของเมืองเเห่งนี้ ขอยินดีต้อนรับทุกท่าน! เข้าสู่งานเดินขบวนพาเรดครั้งที่ 2 ของเมืองVindia อันสวยงามของพวกเรา ” เขาพูดพร้อมชูมือทั้งสองข้างขึ้นโบกไปมาให้เเก่ฝูงชน พร้อมหันหัวมองกลับไปกลับมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มเเย้ม

     “สิ่งที่พวกท่านกำลังได้เห็นอยู่ในตอนนี้ข้าให้ชื่อมันว่าThe Beast มันเป็นเครื่องจักรสงครามที่ใช้ถ่านเเละไอน้ำเป็นพลังงานในการเคลื่อนที่ หากพวกท่านกำลังคิดว่าสิ่งเดียวที่ทำให้สิ่งไร้ชีวิตเคลื่อนที่ได้เหมือนมีชีวิตคือเวทมนตร์เเล้วล่ะก็ พวกท่านก็คิดผิด! ” 

     เเละด้วยการพูดรัวเป็นเวลานานทำให้ท่านเจ้าเมืองต้องกระดกเเก้วน้ำลงคอไปด้วยความเร็วจนเกือบสำลักน้ำ เเต่เขาก็ต้องพยายามเเสดงอาการออกมาเพราะตามสคริปเเล้ว เขายังมีบทต้องพูดต่อ

     “เเละก็เเน่นอน! สิ่งที่ทำให้เจ้าเครื่องจักรนี่กำเนิดขึ้นมาได้นั่นก็คือเงินภาษีของพวกท่านทั้งหลายรวมไปถึงเเรงกาย,เเรงใจ รวมไปถึงความมุ่งมั่นของคนงานของพวกเรา ข้าขอขอบคุณพวกท่านทุกคนจริงๆ ต่อไปนี้ก็ถึงเวลาเเล้ว ได้โปรดรับชมขบวนพาเรดของกองทหารเเต่ละหน่วยของพวกเราได้ เเล้วก็อย่าลืมที่จะตามผมไปที่ลานกว้างใจกลางเมืองด้วยนะครับ ผมมีเรื่องสำคัญจะประกาศ ”

     เขาพูดจบก็กลับลงไปนั่งบนเก้าอี้เเล้วโบกไม้โบกมือให้ฝูงชนเป็นระยะๆ

     หลังจากรถถังไอน้ำเเเละท่านบารอนเคลื่อนที่ผ่านไป ก็ถึงคิวของกองทหารม้าองค์รักษ์ที่นำโดยJohny เเละเหล่าทหารม้าใส่ชุดเกราะสีเงินอีกสามสิบคน ที่กำลังขี่ม้าไปพร้อมกับถือธงนกพิราบสีขาวซึ่งเป็นตราประจำตระกูลของบารอนเเละเมืองเเห่งนี้ พร้อมด้วยใบหน้าที่ซีเรียสเเบบสุดๆ เเละสายตาที่มองตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว

     ตามพวกเขาไปนั้นคือขบวนของวงดนตรีของกองทัพที่ถอดเเบบออกมาจากอังกฤษในยุคสงครามนโปเลียนเเทบเรียกได้ว่าถอดกันมาเกือบๆ 100% เลยทีเดียวยกเว้นก็เเต่เครื่องดนตรีบางประเภทที่ยังไม่ได้ถูกคิดค้นขึ้นมาในยุคนี้ ในตอนนี้พวกเขาเเละเธอกำลังเล่นเพลงประกอบงานเทศกาลเเบบเดียวกันกับเมื่อตอนวันปีใหม่

     ต่อมาก็ถึงคิวของทหารที่เคยผ่านการรบกับพวกออร์คในทุ่งหิมะช่วงหน้าหนาวมาเเล้ว โดยที่พวกเขาทุกคนในตอนนี้ บนหัวสวมหมวกเหล็กเเละเเต่งตัวด้วยชุดผ้าฝ้ายสีเทาที่ปักลายนกพิราบเล็กๆไว้ที่อกด้านซ้ายพร้อมเเบกปืนคาบศิลาไว้บนไหล่ พวกเขาโบกไม้โบกมือไปมาให้เเก่ผู้มาชมขบวนพาเรดด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร

     ต่อมาคือเหล่าทหารสวมชุดผ้าคลุมสีเขียวปิดบังใบหน้าที่เหลือไม่ถึงร้อยคนเพราะส่วนใหญ่โดนย้ายไปอยู่หน่วยอื่นหมดเเล้ว พวกเขาทุกคนเเต่งเติมเสื้อคลุมตนเองด้วยใบไม้เเละดอกไม้จนดูเหมือนกับว่าเป็นขบวนพาเรดของเอนท์ไม่ก็ดรายเเอสท์ มากกว่าจะเป็นขบวนของมนุษย์

     ต่อมานั้นคือขบวนของเหล่าทหารที่ทำให้ผู้ชมตลอดข้างทางตกใจเเละสั่นกลัวมากกว่ารถถังไอน้ำเสียอีก เหล่าทหารในชุดหนังสีดำทมิฬ บนใบหน้าสวมหน้ากากที่ทำมาจากกระโหลกของพวกออร์ค ในมือของพวกเขาถือเเส้สีดำที่เต็มไปด้วยหนามเเหลม เเละพวกเขาก็กำลังฟาดเเส้ลงไปบนหลังของเหล่าออร์คจากค่ายตัดไม้ที่ถูกจับกลับมาเป็นทาส พร้อมสบถคำด่าทอสารพัดให้เดินต่อไป เเต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือเเม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะยุ่งอยู่กับการลงเเส้ก็ยังคงจะหาเวลาที่จะโบกไม้โบกมือให้เเก่เหล่าผู้ชมอย่างมีความสุขเหมือนว่าเป็นเรื่องปกติ

     เเละท้ายที่สุดของขบวนพาเรด คือขบวนของทหารใส่เกราะทองเหลืองทับชุดผ้าฝ้ายสีเทา พวกเขาบ้างก็เดินเท้า บ้างก็กำลังขี่ม้าเพื่อลากปืนใหญ่ขนาดเล็กตรงเข้าสู่ลานกว้างด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหม่า พวกเขาคือกองทหารช่างที่พึ่งถูกจัดรูปเเบบเเละรับคนเข้ามาใหม่หมดทั้งกองตามคำเเนะนำในการจัดการของ Leonard

     พอขบวนทั้งหมดเคลื่อนที่ผ่านไปเเล้ว Veladonna ก็ปิดสมุดบันทึกของเธอลง พร้อมเริ่มเเหวกฝูงชนออกเพื่อจะตรงไปที่ลานกว้างใจกลางเมือง เพราะเธอนั้นอยากรู้เหลือเกินว่าสิ่งที่เจ้าเมืองอยากจะประกาศนั้น มันคืออะไร

    End Chapter10

    “ผู้เขียนกลัมมาเเล้วหลังจากการตัดสินใจจะเปลี่ยน มหาลัย/คณะ ”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×