ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : เรื่องสั้นที่ 3 วันโกหก
    เมย์ลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับความเจ็บแปลบที่ลำคอ เธอถูกอาการไอเล่นงานจนเสียงแหบแห้ง มันเริ่มขึ้นเมื่อวานนี้และรุมเร้ามาตลอดทั้งคืน ตามด้วยลำคอที่บวมแดงและเจ็บระบมเพิ่มมากขึ้นอีกในตอนเช้า
    ทุกครั้งที่ลืมตาตื่นนอน เมย์จะกวาดสายตาไปยังปฏิทินตั้งโต๊ะที่มักจะจดสิ่งที่จำเป็นต้องทำในแต่ละวัน และเช้านี้ก็เช่นกัน ปฏิทินบอกให้เธอรู้ว่าวันนี้เป็นวันสำคัญมากแน่ๆ เพราะตัวเลขที่บ่งบอกว่าวันนี้คือวันที่ 1 ของเดือนเมษายน ปี 2546 ได้ถูกวงกลมไว้ด้วยปากกาเมจิกสีแดงซ้ำๆกันหลายสิบรอบ เมื่อเพ่งดูจึงเห็นตัวอักษรเขียนด้วยปากกาลูกลื่นกำกับไว้กันลืมว่า
    “วันโกหก ! ไม่ได้กินฉันหรอก”
    เป็นที่รู้กันดีว่าวันที่ 1 เมษายนของทุกปี คือ วันโกหก สำหรับเมย์แล้วมันคือวันที่ต้องทนทุกข์กับตลกร้าย ทุกคนที่อยู่รอบข้างดูเหมือนพร้อมใจกันสุมหัวแกล้งเธอด้วยมุกแผลงๆ และที่ร้ายที่สุดคือ ไม่ว่าเมย์จะเกลียดมันสักเพียงใด เธอกลับแสดงอาการโกรธหรือไม่พอใจออกมาไม่ได้ จำต้องฝืนยิ้มเจื่อนๆให้เพื่อนๆที่กำลังหัวร่องอหาย เพราะนี่คือ “วันโกหก” แต่ปีนี้จะต้องเป็นปีแรกที่จะไม่มีใครขว้างมุกตลกร้ายใส่เธอได้อีก เธอตั้งใจแล้วว่าจะเตือนตัวเองไม่ให้ตกหลุมพลางใครง่ายๆ
    ขณะที่สาวน้อยกำลังทบทวนปณิธานที่ตั้งไว้อย่างแน่วแน่อยู่นั้นเอง มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น นั่นคงจะเป็นพี่มอสพี่ชายของเธอ เมย์อยู่กับพี่มอสเพียงลำพังสองคนในอาร์พาร์ตเมนท์แห่งนี้ พี่ชายของเธอเรียนคณะแพทย์ปีสุดท้าย เขาเป็นแพทย์ฝึกหัดที่เรียกกันว่า “แพทย์อินเทิร์น” ประจำโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยอยู่ในขณะนี้ ส่วนตัวเมย์เองเรียนคณะศิลปศาสตร์ปีที่ 1 ในมหาวิทยาลัยเดียวกันกับพี่ชาย
    “มีอะไรเหรอพี่มอส” เธอตะโกนตอบเสียงเคาะ
“มีงูเลื้อยเข้ามาทางหน้าต่างห้องแกโว้ย ไอ้เมย์โว้ย”  มอสตะโกนผ่านประตูเข้ามาอย่างร้อนรน
เมย์สะดุ้งพรวดขึ้นมาจากที่นอนทันที เธอหันซ้ายหันขวามองหาร่างเจ้างูนั่นด้วยความตื่นตระหนก แต่แล้วเธอกลับฉุกคิดขึ้นได้ สีหน้าของเธอจึงกลับราบเรียบพลางค่อยๆเปิดประตูห้องไปพบกับพี่ชาย
“ไอ้จอมโกหก รู้ทันหรอกน่า วันนี้วันโกหกไงล่ะ” เมย์แผดเสียงที่แหบแห้งเพราะอาการเจ็บคอ
คำพูดของเธอทำเอาผู้เป็นพี่ชายงุนงงอยู่ในใจว่า ไหงปีนี้แม่น้องสาวตัวแสบถึงไม่หลงกลเหมือนปีอื่นๆ
มันเป็นครั้งแรกในรอบกี่ปีก็ไม่รู้ที่เมย์ไปเรียนในวันโกหกได้อย่างสบายใจ อย่างน้อยเธอได้เอาชนะการโกหกครั้งแรกของวันได้แล้ว ย่อมเป็นนิมิตหมายอันดีว่าเธอจะต้องบรรลุสิ่งที่ตั้งใจไว้เป็นแม่นมั่น
    การมาเรียนของเธอคงเป็นไปอย่างราบรื่นแน่ๆหากเธอไม่ไอเสียจนแสบคอ พอเข้าช่วงกลางวันอาการที่เป็นอยู่เริ่มทรุดลง ไข้ขึ้นสูง เธอเริ่มหมดแรงและเพลีย จนเพื่อนสนิทของเธอต้องเตือนให้ไปหาหมอ
“เมย์เอ๊ยฉันว่าแกไปหาหมอเถอะ ช่วงนี้โรคซาร์สยิ่งระบาดอยู่นะแก”
ใช่ ! โรคซาร์ส คงไม่มีใครในปี 2546 นี้ ที่ไม่รู้จักโรคทางเดินลมหายใจเฉียบพลันซึ่งกำลังระบาดอยู่ มันเป็นโรคที่แม้จะมีทางรักษาในขั้นต้น แต่ก็ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มจำนวนขึ้นจนทะลุหลักพันเข้าไปแล้ว มันเป็นความตื่นกลัวของคนในประเทศเอเชียตะวันออกและเป็นฝันร้ายของคนทั่วโลก แต่เมย์ไม่ได้คิดว่าจะป่วยเป็นโรคนี้หรอก เพราะอย่างน้อยเธอก็ไม่เคยเดินทางไปกลุ่มประเทศที่เสี่ยงต่อการติดโรคเลย
    สาวสวยเดินเข้าไปยังด้านหน้าของเคาท์เตอร์โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย เธอยื่นบัตรนักศึกษาให้ และอีกไม่กี่นาทีต่อมาจึงเข้ามาอยู่ในห้องตรวจ
ที่นั่นเมย์พบกับแพทย์คนหนึ่งสวมเสื้อกราว หน้าตาหนุ่มแน่น อายุอานามดูจะมากกว่าเธอไม่กี่ปี เขาเป็นนักศึกษาแพทย์ปีสุดท้ายที่มาฝึกหัดงานซึ่งได้ชี้แจงว่า หากจะรออาจารย์หมอ จะต้องรออีกสองชั่วโมงเพราะเป็นเวลาพักกลางวันของท่าน ซึ่งเธออาจกลับเข้าเรียนช่วงบ่ายไม่ทัน เมย์จึงตัดสินใจให้เขาผู้นั้นตรวจอาการ แค่หวัดธรรมดาไม่น่าจะยากเกินกว่าที่แพทย์อินเทิร์นจะทำได้หรอก
    การตรวจหวัดคราวนี้ดูจะละเอียดลออเกินไปสักหน่อย เพราะใช้วิธีตรวจเชื้อโรคจากเสมหะและน้ำมูก อาจจะเป็นเพราะโรคระบาดจากต่างประเทศทำให้ทางโรง พยาบาลออกจะตื่นตัวเป็นพิเศษ ระหว่างที่รอผลอยู่นั้นเมย์ไม่ได้คิดอะไรนอกจากอีกสักพักคงจะได้รับยาหรือฉีดยาสักเข็มหนึ่งก่อนกลับไปเรียนต่อ
    แต่ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เธอถูกเรียกเข้าไปในห้องตรวจอีกครั้งและผู้ที่อยู่ตรงหน้า มิใช่แพทย์ฝึกหัดคนเดิม และถึงแม้เขาคนนั้นจะสวมเสื้อกราว สวมถุงมือ และหน้ากากกันเชื้อโรค แต่ส่วนของดวงตาที่เล็ดรอดออกมาเป็นสิ่งที่เมย์จำได้ดี
    “พี่มอส” เมย์เรียกเบาๆ
    ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบพี่ชายเพราะเขาเป็นแพทย์อินเทิร์นที่นี่ แต่เธอยังรู้สึกงุนงงกับการกระทำของเขา มอสยื่นหน้ากากมาให้พร้อมทั้งบอกให้เธอสวมมันไว้ และแม้เธอจะไม่ทราบถึงเหตุผลก็ยังหยิบมันขึ้นมาสวมอยู่ดี
   
“ฟังนะเมย์” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พี่อยากจะให้แกอยู่ที่นี่สักพัก จะกลับบ้าน หรือไปที่ไหนๆอีกไม่ได้ เราต้องการความปลอดภัยเข้าใจไหม”
“ทำไมเหรอพี่มอส” เธอถาม
ผู้เป็นพี่ชายเงียบไปพักใหญ่ เขาพยายามที่จะหาคำตอบที่ดีที่สุดให้แก่น้องสาว แต่ไม่มีอะไรที่จะตอบได้ดีไปกว่า
“แกต้องถูกกักตัวนะยัยเมย์ แกป่วยเป็นโรคซาร์สน่ะ” มอสควบคุมน้ำเสียงให้ดูราบเรียบและเป็นมืออาชีพมากที่สุด
“ว่าไงนะพี่มอส!”
    สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตกอกตกใจ พร้อมกับน้ำเสียงตื่นตระหนกเต็มที่ แต่แล้วใบหน้านั้นกลับเรียบเฉย ดวงตาฉายแววซนๆออกมา
    “ไม่ม๊าง....อย่ามาหลอกกันให้ยากเลย วันนี้วันโกหกไงล่ะ รีบให้ยาแก้หวัดมาซะดีๆจะรีบไปเรียน”
    “ไม่นะเมย์ แกเป็นโรคซาร์ส หวัดมรณะที่นักหนังสือพิมพ์เขาเรียกกันน่ะ เข้าใจไหม”
    ทุกคำพูดนั้นชั่งเคร่งขรึมเป็นจริงเป็นจังเสียจนเมย์เริ่มสับสน น้อยคนที่ถูกจับได้ว่าโกหกแล้วยังเล่นมุกนั้นต่อ มันทำให้เธอใจเสีย ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรหากสิ่งที่พี่ชายพูดเกิดเป็นจริงขึ้นมา
    “พี่มอสโกหกใช่ไหม พูดซิว่าโกหก”
    น้ำเสียงของเธอสั่นเครือ น้ำตาเอ่อล้นออดวงหน้า หัวใจหวิวไหว หวาดหวั่นกับสิ่งที่ต้องเผชิญในอนาคต จนผู้เป็นพี่ต้องใช้มือที่สวมถุงมือยางป้องกันไว้จับที่ต้นแขนของเธออย่างอบอุ่นและหนักแน่น
    “พี่ต้องกักตัวแกไว้ที่นี่ โรคนี้มันยังพอรักษาได้ในช่วงแรก พี่จะรักษาเมย์ให้ได้ พี่สัญญา\"
คราวนี้น้ำตาของเธอไหลท่วมพร้อมกับเสียงสะอึกสะอื้น พี่ชายของเธอเป็นแค่นักศึกษาแพทย์ฝึกหัด ไม่มีทางจะมาสัญยิงสัญญารักษาโรคให้หายขาดได้ มันคงจะน่าเจ็บใจหากอาจารย์หมอที่ไหนสักแห่งมาบอกเอาภายหลังว่าเธอต้องตาย และคงจะยิ่งน่าเจ็บใจมากเข้าไปอีกถ้านี่เป็นแค่มุกโกหกตลกร้ายของคนไม่มีสมอง
“ไอ้พี่มอสบ้า ไอ้พี่มอสโกหก วันนี้วันโกหก เมย์ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
เมย์กระชากหน้ากากที่สวมไว้ออก โยนมันทิ้งกับโต๊ะ แล้วลุกพรวดพราดตรงไปยังประตู ก่อนที่ร่างแบบบางจะออกไปจากห้อง เธอหันมากล่าวกับพี่ชาย
“เมย์จะกลับอาร์พาร์ทเมนต์ ถ้ากลัวติดก็อย่ากลับไปล่ะ”
จากนั้นประตูห้องตรวจจึงค่อยๆปิดลง ทั้งที่เสียงของผู้เป็นพี่ชายยังคงเรียกชื่อและทัดทานมิให้เธอกลับไป
มอสใช้เวลาตลอดช่วงครึ่งหลังของวันทำงานอย่างไม่ค่อยมีสมาธินัก จนอาจารย์หมอสังเกตเห็นจึงอนุญาตให้กลับไปพักผ่อนตั้งแต่ตะวันยังไม่ยอแสง
ทันทีที่ประตูอาร์พาร์ตเมนท์เปิดออกเผยให้เห็นห้องโถงด้านในที่ดูอบอุ่นโซฟานุ่มสบาย มอสเห็นน้องสาวกึ่งนั่งนอนอยู่บนโซฟา เธอคงจะร้องไห้จนหลับไป ผู้เป็นพี่ชายเดินเข้ามาวางมือลงบนหน้าผากที่มีแต่ไอความร้อนระอุออกมาจากร่างกายของเธอ แต่มีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับลมหายใจ  หน้าอกและกะบังลมของเมย์แทบจะนิ่งสนิทไม่มีการกระเพื่อม เธออาจจะกำลังหลับลึกจึงหายใจเบามาก เบาจนน่าเป็นห่วง!
“เมย์ เมย์” ผู้เป็นพี่เรียกชื่ออย่างร้อนรน พลางยื้อข้อมือที่อ่อนปวกเปียกขึ้นมาหมายจะจับชีพจร แต่กลับมีอะไรบางอย่างล่วงลงมาจากมือเรียวบาง
เขาคว้าเอาขวดพลาสติกติดสลากโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยนั้นขึ้นมาดู และรู้ได้ในทันทีว่าขวดยานั้นเคยบรรจุยานอนหลับอย่างแรงที่ไม่ควรที่จะรับประทานเกินหนึ่งเม็ดต่อคืนเป็นอันขาด แต่ขวดใบนี้ว่างเปล่า  รึว่า น้องสาวของเขาจะกรอกยาอันตรายลงไปทั้งขวดเพื่อฆ่าตัวตาย เพราะคิดมากเรื่องอาการป่วย
ด้วยความตกใจเขากลับตะโกนเรียกชื่อน้องสาวซ้ำๆ อย่างบ้าคลั่ง พลางกระชากร่างของผู้เป็นน้องมากอดไว้ น้ำตาเริ่มเอ่อคลอในทุกชั่วขณะที่แผดเสียงเรียกชื่อเธอ เขารู้ว่านี่ไม่ใช่วิสัยของหมอ ถึงจะเป็นแค่หมออินเทิร์นก็ควรที่จะควบคุมสติและรับมือกับสถานการณ์ให้ได้  แต่ความผิดพลาดบ้าๆนี่มันเกิดจากเขา จากเขาคนเดียว
“เมย์ เมย์พี่ขอโทษ” เขาเริ่มรำพึงรำพัน “เมย์ฟื้นซิพี่ขอโทษได้ยินไหม เมย์ไม่ได้เป็นโรคซาร์ส พี่แกล้งเมย์ ตั้งใจจะกลับมาเฉลยแล้วหัวเราะกันที่บ้าน เมย์หัวเราะซิ ไล่ตีพี่  ไล่ข่วนพี่ก็ได้ อย่าเป็นอย่างนี้“
ไม่มีเสียงตอบจากร่างแน่นิ่งปวกเปียกนั้น มอสได้แต่ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา และกอดกระชับร่างนั้นไว้ น้องสาวตัวเล็กของเขาแสบมาตั้งแต่เกิด เธอรู้จักแกล้งเขาตั้งแต่อายุไม่ถึงเดือนโดยการฉี่ใส่เขา เมื่อโตขึ้นมาหน่อยก็แย่งของเล่น แย่งของกินและทะเลาะกับเขา แต่มอสไม่เคยคิดว่าจะต้องมาเห็นจุดจบของเธอ มันช่างแตกต่างจากวันเริ่มต้นชีวิตเสียเหลือเกิน
ในที่สุดสติส่วนที่เหลืออยู่สั่งให้เขาเดินตรงไปยังโทรศัพท์เพื่อเรียกรถพยาบาล
แต่แล้วมอสกลับต้องสะดุ้งด้วยความเจ็บแปลบเหมือนกับมีกงเล็บอะไรบางอย่างข่วนเข้าที่ด้านหลังอย่างจัง เขาหันกลับไปและพบกับแม่น้องสาวตัวแสบยืนยิ้มแป้นอยู่ตรงนั้น
“เฮ้ย นี่แกไม่ได้เป็นอะไรหรอกเหรอ ไอ้เมย์” มอสแผดเสียงอย่างตกใจ
“ป่าวนี่ แค่หาเรื่องหลอกคนเล่น ขวดยาน่ะหยิบมาจากถังขยะในโรงพยาบาล บอกแล้วว่ายังไงๆวันนี้น่ะ ”
พูดยังไม่ทันจบ เมย์วิ่งตรงเข้าไปในห้องนอนหยิบเอาปฏิทินตั้งโต๊ะออกมา พลางชี้มือไปยังตัวอักษรเล็กๆที่เขียนไว้ว่า
“วันโกหก ! ไม่ได้กินฉันหรอก”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น