ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บันทึกรักเจต์ม - อากิ

    ลำดับตอนที่ #2 : แม้คืนวันจะเปลี่ยนผันแต่ฉันยังรักเธอ [2]

    • อัปเดตล่าสุด 2 ธ.ค. 48


                                                                                           2





    ผมได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อการพิจารณาจบลง วันนี้เป็นวันที่ผมได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ชาวเทนเนซซี่ได้รับรู้ ทั้งประชาชนที่แน่นขนัดอัดอยู่ในห้องพิจารณาและผู้คนที่ติดตามอ่านจากหนังสือพิมพ์น้อยใหญ่ซึ่งลงข่าวของผมไม่เว้นแต่ละวัน และแม้ว่าผมจะได้พูดอะไรมากมาย แต่มีบางอย่างที่ยังไม่ได้พูด บางอย่างที่เป็นความจริงอันแสนเจ็บปวดของผู้ชายที่ไม่เอาไหนคนหนึ่งยังถูกเก็บลึกอยู่ในมุมมืดแห่งห้องหัวใจ



    ไม่มีใครจะลืมวันนั้นได้ หลังจากที่หมอสั่งให้ผมตรวจเลือดเพื่อเตรียมเข้ารับการผ่าซีสต์ที่มือ ผมเดินตามพยาบาลต้อยๆไปและพบกับคนไข้ที่ชื่อเจ.ที.กำลังคอยคิวตรวจ เราคุยกันสองสามประโยคเป็นการค่าเวลา ผมไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แค่เข้าไปเจาะเลือดและหวังว่าทุกอย่างจะปกติดี หลังจากรอผลตรวจเลือดเกือบครึ่งวัน ทางแล็บของโรงพยาบาลจึงเรียกผมเข้าไป พยาบาลสอดผลตรวจลงในแฟ้มเปล่าที่ผมถือมา จากนั้นจึงให้ผมนำมันกลับมายังห้องตรวจเพื่อให้หมออ่าน



    เย็นวันนั้นผมกลับไปถึงแมนชั่นอย่างสับสนและมึนงง โยนแฟ้มลงกับเตียง ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ดีไปกว่านั่งกุมขมับ  ความหดหู่และสิ้นหวังเข้ามาครอบงำอย่างช่วยไม่ได้  ผมนึกถึงคำพูดของหมอและยังรู้สึก...บ้าฉิบเป๋ง...เท่านั้นแหละที่นึกออก



    “ทางเราจะแจ้งไปยังหน่วยควบคุมโรคติดต่อโดยเร็วที่สุดครับ” ผมนึกถึงสิ่งที่หมอพูด “ทางหน่วยจะดูแลพวกเธอ คุณต้องแจ้งต่อทางหน่วยว่ามีใครบ้างที่มีเพศสัมพันธ์กับคุณในรอบสามปีมานี้ พร้อมทั้งที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมลล์ ทุกอย่างที่จะเจอตัวพวกเธอได้ คุณเข้าใจไหม พวกเธออาจจะหลับนอนกับใครอีกหลายคนและพวกเขาอาจทำอย่างเดียวกันกับคนอื่นๆ ผมเชื่อว่าทางหน่วยต้องการจำกัดวงผู้ติดเชื้อโดยเริ่มจากคุณ  เพราะฉะนั้น ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมลล์ เป็นสิ่งสำคัญที่คุณจะต้องแจ้งกับทางหน่วยให้หมด”



    นั่นแหละบ้าฉิบเป๋ง ผมจำได้แค่ว่าเมื่อเดือนก่อนผมนอนกับแม่สาวผมทองคนหนึ่งที่เจอกันในเทศกาลอะไรซักอย่าง และเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วไปกกสาวไอริชที่ลาเกสโก้ ผับซึ่งผมเป็นลูกค้าประจำอยู่ เธอคนนั้นมีผมสีแดงเพลิงราวกับจะแผดเผาหัวใจชายชาติอาชาไนยเสียให้ได้ ส่วนลีลานั้นรุมเล้าเร่าร้อนจนเลือดในกายแทบเดือดพล่าน เท่านั้นจริงๆที่จำได้ ไอ้เรื่องที่ว่าเธอชื่ออะไรผมไม่ได้ใส่ใจ รู้แต่ว่าเธอน่าฟัด ก็แค่นั้น และเพราะผมไม่เคยยุ่งกับใครเกินหนึ่งคืน เรื่องเบอร์โทร รึว่าที่อยู่ เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่ผมไม่เคยมี ส่วนในรอบสามปีมานี้นอนกับใครบ้าง ยิ่งไม่เคยจำใหญ่



    “คุณควรจะบอกกับคู่ของคุณให้รีบมาตรวจเลือดด้วยนะครับ ผมหมายถึงแฟน ภรรยา คู่ขา หรือว่าใครก็ตามที่คุณนอนด้วยเป็นประจำ”

    เสียงของหมอแว่วมาในห้วงความคิด ไอ้ฟักเอ๊ย แล้วจะพูดยังไงกันเล่า ได้เจอสากกระเบือแพ่นกะบาลตายเร็วขึ้นไปอีก



    ...คู่รึ...



    เป็นครั้งแรกในรอบกี่ปีไม่รู้ที่ผมรู้สึกผิด ผมมั่วเอง อยู่คนเดียว ติดโรคตายคนเดียว มันไม่เป็นไรหรอก  แต่กับอากิ ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งอยู่กินกันมาเกือบปี เธอไม่ได้ทำผิดอะไร ไม่ควรจะมารับกรรมที่ผมก่อไว้ด้วย



    ผมได้แต่ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าแต่มันไม่ได้ช่วยคลี่คลายปัญหาอะไร หนำซ้ำกลับยิ่งหนักใจเข้าไปใหญ่ เมื่อมีเสียงฝีเท้าอันคุ้นชินแว่วมาตามทางเดินและหยุดอยู่หน้าประตูห้องพัก เสียงไขกุญแจบิดลูกบิดเข้ามา...เธอ มาแล้ว



    “เจ็มมี่” น้ำเสียงอันร่าเริงของอากิเป็นสิ่งเดียวที่ผมไม่เคยลืม อากิเรียกผมว่า ‘เจ็มมี่’ เพื่อเป็นเกียรติให้แก่สุนัขที่ตายไป มันชื่อเจ็มมี่ และเพราะตอนนั้นผมกำลังจีบเธอใหม่ๆจึงไม่รังเกียจที่จะให้เธอเรียกว่าอะไรก็ได้  หากเป็นชื่อที่เธอรัก และเธอก็เรียกติดปากเสียจนผมคิดว่ามันเป็นชื่อเล่นของผมไปแล้ว



    “เจ็มมี่ ทายซิว่าวันนี้ฉันมีอะไรมาบอก” อากิกล่าวขึ้นพร้อมทั้งโผเข้ากอดผมไว้จากด้านหลัง แต่เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าหมองหม่น เธอจึงคลายอ้อมกอดและนั่งลงข้างกายผม



    “เป็นอะไรไปที่รัก อยากพูดไหม”



    ผมได้แต่ฝืนยิ้ม ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร จึงขอให้อากิพูดเรื่องของเธอก่อน



    “เล่าเรื่องของเธอก่อนซิ อากิ มีข่าวดีอะไรมาบอกเหรอ”



    นางฟ้าของผมยิ้มหวาน หยิบเอกสารแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋า พร้อมทั้งร้องเป็นทำนองเพลงเพื่อให้ดูน่าตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น

    “ถ่าดะแด๊มแทมแทม ถะแดม ฉันได้ตั๋วทนายแล้ว”



    เธอหมายถึงใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทนายความ ต่อไปนี้เธอจะไม่ใช่ทนายฝึกหัด แต่จะว่าความเองได้ เป็นทนายเต็มตัว ใช่! มันเป็นข่าวดีแต่ไม่รู้ว่าจะดีพอลบล้างข่าวร้ายหรือเปล่า



    “ เรื่องของเธอล่ะ เจ็มมี่ เป็นอะไร เกรดเฉลี่ยไม่ดีเหรอ”



    ผมถอนหายใจพร้อมทั้งรวบรวมความกล้าส่งแฟ้มสีส้มของทางโรงพยาบาลให้อ่าน โดยไม่ต้องทำเสียงดนตรีประกอบ เพราะข่าวของผม มันน่าตื่นเต้นเกินกว่าจะรับได้อยู่แล้ว



    อากิขมวดคิ้วขณะกวาดสายตาไปตามตัวอักษร อีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าเธอคงจะโวยวายใส่ผม คงร้องไห้ กรีดเสียงด่าว่าที่ผมนอกใจเธอ แถมยังมีของขวัญจากหญิงแปลกหน้าที่ไหนสักคนมาทำลายเราด้วย



    แต่เปล่า นางฟ้าของผมเข้มแข็งกว่าที่คิด เธออ่านมันแค่เพียงหน้าแรกซึ่งสรุปผลตรวจเลือดของผมเอาไว้และปิดแฟ้มลงช้าๆ ด้วยสีหน้าสงบราวกับผิวน้ำนิ่งสนิท แต่ไม่มีใครรู้ว่าในส่วนลึกนั้นปั่นป่วนขนาดไหน



    “เธอป่วย” อากิสรุปผลจากแฟ้ม สั้น ง่าย แต่เจ็บปวด



    “อืม” ผมพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปกติ ทั้งที่อยากจะเป็นบ้าเสียเต็มที และกลั้นใจพูดต่อไปว่า “หมอบอกว่าเธอควรจะไปตรวจด้วยนะ”    

    “พรุ่งนี้ฉันจะไปตรวจที่แล็บของโปรเฟสเซอร์เวอร์ปาร์ด คงรู้ผลได้ในไม่กี่นาที” เธอตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม



    ผมจำโปรเฟสเซอร์เวอร์ปาร์ดได้ ห้องทดลองของเขาทันสมัยที่สุดในเทนเนซซี่ โปรเฟสเซอร์คนนี้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับโรคเลือดและโรคที่ติดต่อทางของเหลวให้กับมหาวิทยาลัยที่เราสองคนเรียนอยู่ ผมยังเคยไปบริจาคเลือดให้เขาวิจัยเมื่อเดือนที่แล้ว เลือดของผมในตอนนั้นสะอาดดี ไม่ได้ติดเชื้อโรคอะไรทั้งนั้น บ้าจริง แม่ผมแดงนั่นแน่ๆที่เอาโรคมาติดผม



    คืนนั้นทั้งคืนผมได้แต่นอนลืมตาโพลงพลิกตัวไปมา ในสมองฟุ้งซ่านยุ่งเหยิงไปหมด จนกระทั่งรุ่งสางจึงได้งีบหลับไปบ้าง ทันทีที่ลืมตาตื่นผมก็นึกอยากจะให้เรื่องเมื่อคืนเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่แฟ้มสีส้มยังนอนนิ่งเป็นหลักฐานยืนยันโรคร้ายในตัวผมอยู่ตรงนั้น ผมออกไปเรียน ทั้งที่จิตใจปั่นป่วนจนเรียนไม่รู้เรื่อง จึงตัดสินใจกลับมาสงบสติอารมณ์ที่ห้องพักซึ่งผมเรียกว่า “บ้าน” มานานกว่าปี



    อากิยังไม่กลับ วันนี้เธอคงมีเรียนค่ำ เพราะเธอมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในตอนกลางวันติดตามอาจารย์ไปศาล ผมจึงไม่พบใครนอกจากซองสีน้ำตาลขนาดประมาณกระดาษเอสี่ถูกสอดเข้ามาจากช่องว่างใต้ประตูห้อง ที่มุมซองมีตัวอักษรเขียนไว้ว่า

    ‘โปรเฟสเซอร์ เวอร์ปาร์ด ห้องทดลองเทนเนซซี่’



    มันต้องเป็นผลการตรวจเลือดของอากิอย่างแน่นอน ผมแทบจะอดรนทนไม่ไหวที่จะต้องรอให้เธอมาเปิดดูเอง อีกทั้งการที่ซองนี้ไม่ได้ปิดผนึกยิ่งยั่วยวนชวนให้ผมกระหายใคร่รู้ ในที่สุดผมพ่ายแพ้ให้กับความอยากรู้อยากเห็นจนต้องเปิดซองออกอ่าน



    ไม่น่าเชื่อ! แฟนผมไม่ติดเชื้อ ทางแล็บได้เก็บตัวอย่างเลือดและตรวจสอบซ้ำถึงสองครั้ง ไม่มีทางที่จะมีอะไรผิดพลาด ผมไม่รู้ว่าครั้งสุดท้ายที่เราหลับนอนกันเป็นช่วงเวลาก่อนหรือหลังที่ผมวาดลวดลายกับแม่ผมแดงนั่น แต่การที่ผมเที่ยวกกสาวคนโน้นคนนี้จนหมดแรง ไม่ได้แตะต้องแฟนตัวเองมานานกลับเป็นผลดี



    เธอไม่ได้ติดเชื้อ !!!



    ผมน่าจะดีใจกับผลการตรวจ เพราะอย่างน้อยก็ไม่ได้ทำให้อากิต้องมาแปดเปื้อนกับสิ่งที่เธอไม่ได้ก่อ แต่พอมานึกถึงความเป็นเรา ผมไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปได้อย่างไรถ้าไม่มีเธอ ผมควรวางผลการตรวจไว้แล้วออกไปข้างนอก ปล่อยให้นางฟ้าของผมได้มีเวลาเก็บข้าวของย้ายออกไปจากชีวิตของผู้ชายเลวๆคนนี้



    สายตาเหม่อลอยเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่แสดงให้รู้ว่าสมองไม่ได้สั่งการให้ปลายเท้าก้าวตรงไปยังที่ใด รู้แต่ว่าจะต้องก้าวไปเรื่อยๆ  ในที่สุดขาทั้งสองข้างได้พาผมมาถึงสถานที่คุ้นเคยในย่านบลูสตรีทอันแสนเร่าร้อนเมื่อยามค่ำคืนมาเยือน ผมเดินตัดเข้าตรอกฟิชวอร์คมาหยุดเอาที่ผับประจำซึ่งมีแสงไฟหลากสีประดิษฐ์เป็นตัวอักษรละติน บอกชื่อร้านไว้ว่า ‘ลาเกสโก้’ เท้าทั้งสองข้างพาผมมานั่งหน้าเคาท์เตอร์ซึ่งมีผู้คนนั่งเรียงรายกันอยู่เต็ม เหลือเพียงที่ว่างให้เบียดเข้าไปนั่งได้เพียงแค่คนเดียว อัลเฟรโดบาร์เทนเดอร์ศีรษะล้านชาวละตินจำผมได้ดี เขาตรงเข้ามารับออร์เดอร์ทันที



    “เหมือนเดิมไหมครับ ซินญอร์” เขาหมายถึงพอยซึ่น - วอดก้าผสมน้ำผึ้งที่ผมชื่นชอบ แต่ผมต้องการอะไรที่แรงกว่านั้น



    “ เตกิลล่า...เพียวๆ” ผมสั่ง



    เขารินเตกิลล่า เหล้าใสดีกรีสูงใส่แก้วเล็กจิ๋วมาวางตรงหน้า ก่อนที่ผมจะถามขึ้น



    “คุณพอจะจำแม่สาวไอริชที่ผมเคยสั่งเหล้าให้ได้ไหมอัลเฟรโด คือ ผมอยากจะรู้ว่าคุณเจอเธอบ้างหรือเปล่า”



    “อ๋อ คนที่เซ็กซี่เสียจนคุณต้องเปิดห้องข้างบน ใช่ไหมครับ”



    ผมพยักหน้าแทนคำตอบ



    ลาเกสโก้แห่งนี้มีสองชั้น ชั้นล่างเป็นผับสไตน์ละตินอันเร่าร้อน ส่วนชั้นบนเปิดเป็นห้องให้เช่ารายชั่วโมงเพื่อสนองตัณหาลูกค้าหนุ่มสาวที่รักสนุก



    “เสียใจครับซินญอร์ ผมแน่ใจว่าเธอไม่ได้มาที่นี่อีก ไม่ยักรู้ว่าคุณติดใจเธอถึงขนาดนั้น”  



    ไม่ได้ติดอกติดใจอะไรหรอก แต่จะบอกหมอนี่ได้ยังไงล่ะว่าผมอาจติดโรคมาจากแม่สาวผมแดงนั่น และเธออาจจะแพร่เชื้อให้หนุ่มๆได้อีกเกือบยี่สิบคนในสองสามอาทิตย์ โดยมีที่นี่เป็นแหล่งเพาะเชื้อ แต่ในเมื่อเขายืนยันว่าเธอไม่ได้มาที่นี่อีก ผมก็ไม่รู้จะไปตามหาแม่พาหะนำโรคร้ายได้ที่ไหน จึงก้มหน้ากระดกเหล้าดีกรีสูง รับรู้ความรู้สึกร้อนวาบเมื่อมันเคลื่อนตัวผ่านลำคอราวกับมีมีดโกนใบเล็กๆแล่นบาดเล่นอยู่ภายใน ผมส่งสัญญาณขอไอ้แบบนี้อีกแก้ว บาร์เทนเดอร์คนเดิมรินเหล้าแก้วใหม่วางเรียงไว้ข้างแก้วเดิม ผมกระดกมันจนหมดแล้วขอใหม่อีก



    “ว้าว ประสบปัญหาหัวใจมาหรือครับ ซินญอร์”



    อัลเฟรโดรินเหล้าแก้วใหม่มาวางไว้พร้อมทั้งพยักพเยิดไปทางด้านหลังของผม



    “นี่ถ้าคุณมองไปทางนั้น จะเห็นสาวอิตาเลี่ยน ผมน้ำตาลน่ารัก ให้ผมทำแบบเดิมไหม เชอรี่แกมเบิ้ล รึว่า พิงค์เลดี้ดี”



    มันก็อยากอยู่หรอก แต่ลมหายใจทุกเฮือกที่ผมมีต่อไปนี้ จะไม่ยอมเก็บไว้เพื่อทำร้ายชีวิตใครเด็ดขาด ผมซดเหล้าไปอีกแก้วหนึ่งก่อนที่จะหันไปเห็นบาร์เทนเดอร์ผู้รู้งานแบบผิดเวลากำลังผสมเหล้าเชอรี่แกมเบิ้ลสีแดงใสราวทับทิมเม็ดโต ไปวางต่อหน้าสาวคนนั้นพรางบุ้ยใบ้มาทางผม และเหล้าแก้วนั้นต้องเข้าบัญชีผมอย่างไม่ต้องสงสัย



    “นี่คุณทำอะไร ผมไม่ได้สั่ง” ผมปล่อยเสียงรอดไรฟันใส่หมอนั่นทันทีที่เขาเดินกลับมาถึงเคาน์เตอร์



    “เถอะน่าซินญอร์ เธอมาเพื่อละลายไฟราคะนะ สถิติที่ผมบันทึกไว้พบว่าสาวอิตาเลี่ยนลีลาถึงใจกว่าสาวไอริชเป็นไหนๆ เธอจะทำให้คุณลืมแม่ผมแดงนั่น”



    ยังไม่ทันขาดคำ สาวสวยคนนั้นเดินตรงเข้ามายืนแทรกกลางระหว่างเก้าอี้สูงของผมกับชายอีกคนหนึ่ง



    “มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ ซินญอริต้า” อัลเฟรโดพูดขึ้นหลังจากที่เห็นผมนิ่งเฉยไม่เริ่มต้นทักทายเธอคนนั้น



    “ฉันแค่สงสัยว่าใครเป็นคนสั่งเหล้าให้ฉัน เขาคงจะต้องเสียเงินเปล่าเพราะฉันชอบเต้นมากกว่าดื่ม”  เธอพูดพรางชำเลืองมองมายังผม



    “เอาละผมเป็นคนจ่ายเงินเอง และผมดีใจที่คุณไม่ชอบ เพราะผมจะไม่นอนกับคุณ ถ้าอยากสนุกจริงๆไปหาคนอื่น โอเค๊”



    คำพูดของผมทำเอาอัลเฟรโดอ้าปากค้าง แต่แม่สาวอิตาเลี่ยนคนสวยยังไม่ยอมลดละ กลับทำสุ้มเสียงระริกระรื่นใส่ผม



    “ไม่เอาน่าพ่อรูปหล่อ มีปัญหาตั้งเยอะแยะให้คุณคิด แต่ไม่ใช่ตอนนี้นะ นี่มันเวลาเต้นต่างหาก นะคนดี  สักเพลงน่า”



    เริ่มจะเชื่อแล้วล่ะว่าแม่นี่ลีลาดี เพราะขณะที่พูด เจ้าหล่อนค่อยๆกดปลายนิ้วลงบนตักของผม ไล้เรื่อยลูบคลำต้นขา ปล่อยสัมผัสนุ่มจากฝ่ามือซึมผ่านกางเกงผ้า ส่งแววตาหวานซึ้งวาบหวาม เล่นเอาของแทบขึ้น คงต้องรีบทำอะไรสักอย่างก่อนที่จะหน้ามืดไปกว่านี้



    “นี่คุณ ผมน่ะ”



    ผมเริ่มลังเล แต่ก็ยังเชื่อมั่นในประโยคที่นักปราชญ์ที่ไหนสักคนกล่าวไว้ว่า ‘ความจริงคือสิ่งที่พูดง่ายที่สุด ในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด’

    “ผมน่ะติดเชื้อ เอช.ไอ.วี โอเค๊”



    “อะไรนะ”



    ให้ตายเหอะ เธอฟังไม่ชัด นี่ผมต้องพูดซ้ำให้ดังกว่าเดิมรึเนี่ยะ



    “เอช.ไอ.วี ผมเป็นเอดส์ ชัดไม๊ เอดส์น่ะ ไม่อยากตายอย่ามายุ่งกับผม”



    คราวนี้ผมตะโกนเสียงดัง และมันได้ผล สีหน้าของเธอบ่งบอกว่าได้ยินชัดเสียยิ่งกว่าชัด จนต้องดึงมือออกจากตักผมโดยอัตโนมัติ ชนิดที่เรียกว่าใช้ไขสันหลังสั่งการโดยไม่ต้องผ่านสมองเลยทีเดียว



    “ขะ...ขอโทษนะ ฉันเสียใจด้วย ขอตัว...ไปเต้นดีกว่า” ผู้หญิงคนนั้นระร่ำระรัก ก่อนจะเดินจากไป



    ผมหันกลับมาเห็นชายที่นั่งอยู่ทางซ้ายและขวาหันมองผมกันใหญ่ คนทางขวาลุกออกไปก่อน ส่วนคนทางซ้ายทำหน้าเหรอหราก่อนลุกไปนั่งปักหลักที่อื่น ผมหันกลับมาเห็นบาร์เทนเดอร์เจ้าเก่ายืนถือผ้าเช็ดแก้วค้างอยู่ จึงสั่งเตกิลล่าเพิ่มอีก เขารินเหล้าแล้วบรรจงวางแก้วกระดาษสำหรับใช้แล้วทิ้งเรียงแถวกับแก้วเหล้าที่ผมดื่มแล้ว



    “ทางที่ดีนะ คุณควรจะหายาฆ่าเชื้อมาใช้ซะเลย เพราะคุณไม่มีทางรู้หรอกว่าลูกค้าคนไหนบ้างที่ติดเชื้อ” ผมประชด



    จากนั้นผมจึงหันมาซดเหล้าแบบแก้วต่อแก้ว จนรู้สึกว่าร้านทั้งร้านหมุนติ้วไปหมด แก้วกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้าโคลงเคลงเหมือนมีปีกบินยักย้ายจากซ้ายก็หนีมาขวาซะยังงั้น หัวของผมเริ่มหนักแต่ลำคอกลับอ่อนแรงเกินกว่าที่จะแบกกะโหลกก้อนโตไว้บนบ่าได้ จึงต้องฟุบหน้าลงกับโต๊ะ พร้อมทั้งสติสัมปชัญญะเริ่มดับวูบลง มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงบาร์เทนเดอร์คนเดิมกล่าวขึ้น



    “เฮ้ ซินญอร์ ร้านปิดแล้วครับ คุณควรจะกลับได้แล้ว”



    ผมพยายามลืมตามองไปตามเสียง เห็นอัลเฟรโดคาดผ้ากันเปื้อนผืนเล็กสีขาวไว้ที่เอว พับแขนเสื้อขึ้นมาเกือบถึงข้อศอก กำลังใช้ม๊อบถูพื้นอยู่ เก้าอี้ถูกยกขึ้นวางบนโต๊ะ ลาเกสโก้ที่เต็มไปด้วยแสงสลัวในความมืด กลับเปิดไฟนีออนสว่างโล่  ลูกค้าทุกคนกลับไปหมดแล้วเหลือแต่ผมกับบาร์เทนเดอร์ชาวละตินคนนี้ แต่หัวของผมยังหนักอยู่มากจนต้องฟุบกลับลงไปอีก



    “คุณนั่งอยู่นี่จนเช้าไม่ได้หรอกนะ ผมต้องปิดร้าน มีเพื่อนหรือใครที่พักอยู่ด้วยกันไหม ผมจะได้โทรเรียกให้มารับ ว่าไงซินญอร์”



    “เคยมีเหมือนกัน แต่ตอนนี้เธอคงไปแล้วล่ะ” ผมพูดอย่างหมดอาลัยตายอยาก



    “เธอ? แฟนคุณเหรอ”



    “อืม” ผมตอบ “เธอไม่ได้ติดเชื้อ”



    เขาถอนหายใจเบาๆ และพูดกับผมโดยไม่เงยหน้าจากไม้ถูพื้น



    “โชคดีเป็นของเธอ ซินญอร์ คุณควรจะปล่อยให้เธอไป เอาละ ผมเรียกแท็กซี่ให้ดีกว่า”



    เขาวางม็อบลงในถังแช่น้ำยาถูพื้น กำลังจะก้าวเท้าออกไปเรียกแท็กซี่ให้ผม แต่กลับต้องชะงักอยู่แค่นั้น เมื่อมีใครบางคนผลักประตูร้านเข้ามา

    “ลาเกสโก้ปิดแล้วครับ ซินญอริต้า เชิญคุณพรุ่งนี้เถอะครับ”



    อัลเฟรโดพยายามพูดอย่างสุภาพ แต่สาวคนนั้นพรวดพราดเข้ามาในร้านเสียก่อนที่เขาจะพูดจบด้วยซ้ำ



    “เจ็มมี่” เธอเรียก



    ไม่มีใครในโลกนี้อีกแล้วที่เรียกผมด้วยชื่อหมา ผมยังคงคิดว่าตัวเองหูฝาดไป หากเจ้าของเสียงไม่ถลาเข้ามาใกล้และเกาะแขนของผมเอาไว้ พร้อมทั้งน้ำคำเปี่ยมความห่วงใยรินไหลจากปากเธอ



    “อยู่นี่เอง หาเกือบตายแน่ะ ทำไมดื่มเยอะอย่างนี้ ป่วยอยู่นะ”



    “เห็นผลการตรวจเลือดของเธอรึยัง อากิ” ผมถามด้วยเสียงอ้อแอ้เต็มที



    “เห็นแล้วล่ะ กลับห้องเรากันนะ”



    อากิพยายามพยุงผมให้ลุกขึ้น แต่กลับต้องชะงักเมื่ออัลเฟรโดกระแอมขึ้นเสียงดัง



    “ขอโทษครับซินญอริต้า คือ จริงๆ โดยหลักแล้ว สำหรับลูกค้าประจำ เรื่องค่าเหล้านี่ ทางร้านเราให้เข้าบัญชีไว้ก่อนได้ ในกรณีที่เกิดเมาหนักจนไม่มีสติ แต่ถ้าหากพอจะจ่ายได้.. คือ ผมหมายถึง.. ”



    “บอกราคามาเลย” อากิตัดบท ซึ่งผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เพราะผมเกลียดการพูดจาอ้อมค้อมมากที่สุด



    บาร์เทนเดอร์ผมบางเดินเข้ามานับแก้วอย่างระมัดระวังไม่ให้นิ้วมือสัมผัสปากแก้วแล้วบอกราคาโดยไม่ลืมบวกค่าเชอรี่แกมเบิ้ลเข้าไปด้วย ทันทีที่แฟนผมจ่ายเงิน อัลเฟรโดใช้ด้ามม็อบเขี่ยแก้วกระดาษลงในถังขยะ ส่วนแก้วที่ทำจากแก้วจริงๆ เขาใช้ด้ามไม้ถูพื้นเขี่ยลงในถังพลาสติก ราดน้ำยาถูพื้นที่ฉลากเขียนตัวอักษรสีแดงไว้ว่า ‘ผสมน้ำยาฆ่าเชื้อ’ แล้วเขย่าถังนั้นจนแก้วและน้ำยาหมุนคว้างเหมือนผ้าที่หมุนอยู่ในเครื่องซักผ้า อากิยืนมองสักพัก เธอหยิบขวดเหล้าดีกรีสูงยื่นให้พร้อมกับพูดประชดขึ้นว่า



    “นี่ถ้าลำบากนักละก็ เอาแองกอลฮอลล์ราดแล้วจุดไฟเผามันซะเลยซิ”



    บาร์เทนเดอร์รับขวดเหล้าจากมือเธอมาถือไว้ ก้มหน้าก้มตามองขวดด้วยสีหน้างุนงงเข้าไปใหญ่



    อากิไม่ได้สนใจท่าทีของเขา เธอหันกลับมาพูดกับผมอย่างอ่อนโยนว่า



    “เจ็มมี่ กลับกันเถอะ ที่รัก ลุกไหวไหม”



    เธอยื่นฝ่ามือออกมาลูบไล้ใบหน้าด้านข้างของผมเบาๆ มันช่างเป็นสัมผัสที่เปี่ยมไปด้วยความนุ่มนวลและอบอุ่น ผมพยายามลุกขึ้น แม้ขาทั้งสองจะรู้สึกอ่อนแรงจนแทบจะล้มลงไปนั่งที่เดิมอีก แต่ยังมีเธอเข้ามาพยุงให้เดินไปด้วยกัน



    เราพากันเดินมาเกือบถึงประตูทางออกของร้าน เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่บาร์เทนเดอร์คนเดิมเพิ่งละสายตาจากขวดเหล้าเหมือนกับเพิ่งนึกอะไรออก จึงตะโกนไล่หลังเรามา



    “เป็นความคิดที่ดีครับซินญอริต้า ผมน่าจะคิดวิธีทำความสะอาดแก้วแบบนี้ออกตั้งนานแล้ว”



    ไม่รู้ว่าจะขำกับมุกตลกร้ายของหมอนี่หรือว่าโศกเศร้ากับชะตากรรมของตัวเองดี แต่ถ้าลาเกสโก้หาวิธีทำความสะอาดทั้งแก้วและเหล่าผู้คนที่มาแสวงหาความสุขให้ปลอดเชื้อได้คงจะดีไม่น้อย เพราะผมเองก็ติดเชื้อจากคนที่มาเที่ยวที่นี่นั่นแหละ  

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×