ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เรื่องสั้นที่ 2 วิญญาณผู้พิทักษ์
“อ่ะ มีอะไรจะใส่หัวเบิ้ลก็ยัดมาเลยพี่บิ๊ว”  หนุ่มน้อยกล่าวกับพี่สาวที่เปิดหนังสือติวเอนทรานซ์ค้างอยู่
    ตลอดระยะเวลาสามวันแห่งการสอบเอ็นทรานซ์อันหนักหน่วง พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว หากที่ผ่านมายังทำคะแนนไม่ดี พรุ่งนี้จะเป็นโอกาสสุดท้าย พรุ่งนี้เท่านั้น
    สำหรับบิ๊วผู้ผ่านการสอบเอ็นทรานซ์สู่รั้วมหาวิทยาลัยปิดแห่งหนึ่งได้แล้ว วิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพและกายภาพที่เบิ้ลจะต้องสอบในวันรุ่งขึ้น ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเพียงแต่เนื้อหาทั้ง 8 เล่มของวิชานี้มีมากมายเหลือเกินเมื่อเทียบกับเวลาที่เหลือเพียง 12 ชั่วโมง แน่ละต้องไม่ลืมหักเวลานอนอีกอย่างน้อย 6 ชั่วโมงด้วย
    3 ชั่วโมงแรกผ่านไปโดยไม่ได้พัก ยิ่งกว่านั้นความคิดที่จะหยุดพักหมดไป เมื่อบิ๊วพบว่าเบิ้ลยังไม่เข้าใจเนื้อหาดีพอ ความเครียดเข้าครอบงำอย่างไม่ต้องสงสัย เบิ้ลรู้สึกมึนงงราวกับมีใครมาฉีดยาชาใส่สมองเข้าให้ ยิ่งฟังก็ยิ่งงง ยิ่งงงก็ยิ่งมึนตื้อไปหมด
    “เฮ้อ ตื้อแล้วพี่บิ๊ว มายัดเอาวันเดียวเบิ้ลไปไม่รอดแหงๆ”  เบิ้ลกล่าว
    “เอาน่าใจเย็นๆนะ ได้ตั้งสองสามเล่มแล้วทนอีกหน่อยนะ”
บิ๊วปลอบน้องทั้งที่ตัวเองเครียดจนแรงดันเลือดกระแทกผนังเส้นเลือดที่ขมับจนเต้นตุ๊บ ตุ๊บ ตามจังหวะหัวใจ
“พี่บิ๊วน่าจะกลับบ้านมาเร็วกว่านี้ สอบเสร็จแล้วก็มัวแต่อยู่กรุงเทพฯรอติววิชาต่อไปให้เพื่อน เห็นเพื่อนดีกว่าน้อง ทิ้งน้อง จำไว้เลย”
เบิ้ลพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ขมวดคิ้วด้วยความเครียด แล้วลุกพรวดพราดออกไปพร้อมกับเสียงตะโกนก่อนที่ประตูห้องนอนจะปิดลงว่า
“ไปพักก่อนละ ไม่ไหวแล้ว”
ทันทีที่ประตูถูกปิดกระแทกลง น้ำใสๆจึงเอ่อล้นคลอเบ้าตาของผู้เป็นพี่ ที่เบิ้ลพูดไม่มีคำไหนผิดเลย เธอสอบเสร็จแล้ว แต่ไม่ยอมกลับมาบ้านที่ต่างจังหวัดเพื่อติวเอ็น ทรานซ์ให้น้อง ยิ่งไปกว่านั้นกลับอยู่กรุงเทพฯต่อเพื่อติววิชาที่เพื่อนสอบตกในเทอมที่แล้วให้เพื่อนๆอีก บิ๊วรู้สึกผิดเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเธอกลับมาเร็วกว่านี้ น้องคงมีโอกาสเอ็นฯติดมากกว่านี้ การสอบครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งยิ่งใหญ่ของเบิ้ล ถ้าเขาทำพลาดคนที่ผิดมากที่สุด คือ เธอ
บิ๊วปาดน้ำตาทันทีที่ประตูเปิดออก น้องชายเดินเข้ามานั่งข้างๆพร้อมติว แต่แล้วกลับมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“บอกว่าเบิ้ลไม่อยู่นะ”  เด็กหนุ่มตะโกนขึ้นมาลอยๆ
ผู้เป็นพี่สาวพยักหน้าอย่างรู้งานพลางกอกเสียงลงในโทรศัพท์
“ฮัลโหล...ต้องการพูดกับใครคะ...อ๋อจ้า...เบิ้ลไม่อยู่ ฝากอะไรไว้ไหมจ๊ะ...จ้าสวัสดีจ้า”
เมื่อวางโทรศัพท์แล้ว สาวน้อยจึงหันมาพูดกับน้องชาย
“กอล์ฟโทรมาน่ะ เห็นว่าการ์ตูนเรื่องวิญญาณผู้พิทักษ์เล่มใหม่ออกแล้ว”
“หา! จริงเหรอต้องไปซื้อซะหน่อยแล้ว”  เบิ้ลพูดพลางกระวีกระวาดลุกขึ้นแต่กลับถูกพี่สาวรั้งข้อมือฉุดให้นั่งลงตามเดิม
“ทนหน่อยนะเบิ้ล พรุ่งนี้บ่ายๆก็ได้อ่านแล้ว”
นั่นเป็นจุดเริ่มเข้าสู่การติว จากนั้นอีก 2 ชั่วโมงติดๆกันจึงจบอีกสองเล่มลงได้ บิ๊วทำท่าจะขึ้นเล่มใหม่ขณะที่เหลือบไปเห็นน้องชายเหม่ออยู่พอดี เมื่อถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น เบิ้ลจึงตอบด้วยสายตาเหม่อลอย
“นี่ถ้ามีวิญญาณผู้พิทักษ์จริงๆคงดีนะ จะใช้ให้ทำข้อสอบแทนซะเลย”
กล่าวกันว่าวิญญาณผู้พิทักษ์ คือ ดวงวิญญาณที่คอยปกปักษ์รักษาภัยให้แก่ผู้ที่ดวงวิญญาณนั้นรักหรือสถานที่ที่หวงแหนอยู่ บิ๊วไม่เชื่อเรื่องอย่างนี้หรอก แต่เวลาอย่างนี้ ช่วยไม่ได้ที่จะหวังพึ่งวิญญาณผู้พิทักษ์บ้าง หากเรื่องนี้มีจริง แม้จะต้องเสียสละดวงวิญญาณของเธอเพื่อช่วยเหลือน้องชายในครั้งนี้ เธอก็ยอม 
แต่ใครจะมาช่วยคนไม่อ่านหนังสือล่ะ เพราะอย่างนี้การติวจึงดำเนินต่อไปจนดึกมากแล้ว เหลือเวลาที่จะนอนไม่ถึง 5 ชั่วโมง แต่เหลือหนังสืออยู่อีก 2 เล่มที่ยังไม่ได้แตะต้องแม้แต่น้อย
คืนนั้นเบิ้ลเข้านอนและหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย แต่บิ๊วไม่อาจข่มตาหลับลงได้ ความรู้สึกผิดที่เธอไม่อาจลบล้างผุดขึ้นมา คำว่า “ทิ่งน้อง จำไว้เลย” มันติดอยู่ในหัว ห้วงมโนสำนึกแว่วแต่เสียงตัดพ้อของเบิ้ล “ถ้าพี่กลับมาเร็วกว่านี้นะ ถ้าพี่กลับมาเร็วกว่านี้...” 
บิ๊วรู้สึกราวกับว่าห้องทั้งห้องหมุนไปมา พร้อมกับคำต่อว่าที่พรั่งพรูเข้ามาในจิตใจ จนไม่รู้ตัวว่าน้ำสีแดงอุ่นๆหยดออกมาจากโพรงจมูกลงบนชุดนอนสีหวาน มันเริ่มหยดถี่ขึ้น ถี่ขึ้น จนไหลรินออกมาเปื้อนที่นอนไม่ขาดสาย และคำสุดท้ายที่ออกจากปากเธอก่อนจะฟุบไปกับที่นอน คือ
“เบิ้ล พี่ขอโทษ”
ฟ้าสางแล้วแต่เบิ้ลยังขี้เกียจลุกจากที่นอนจึงยังนอนหลับตาเล่นอยู่ก่อน ห้องนอนของบิ๊วและเบิ้ลเป็นห้องที่มีประตูเชื่อมถึงกัน และเพราะเบิ้ลจะเปิดประตูเชื่อมไว้เสมอ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะได้ยินเสียงละเมอของพี่สาว แต่เสียงละเมอนี่ซิ
“ฟิวชั่น...ไฮโดรเจนสองอะตอม...ปฏิกิริยาลูกโซ่...”
เบิ้ลลุกขึ้นมายืนอยู่ที่ประตูเพื่อฟังให้ถนัดขึ้น พี่บิ๊วนอนตะแคงหันหลังให้ เธอนอนสงบไม่ไหวติงราวกับตุ๊กตาปุยนุ่นที่อ่อนปวกเปียก มีแต่เสียงพูดผะแผ่วออกมาเท่านั้นที่บอกว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าเสียงนั้นจะบอกแหล่งที่มาได้ยาก ราวกับว่ามันถูกเปล่งออกมาจากทุกหลืบเล้นของมุมห้อง เด็กหนุ่มสั่นหัวขจัดความรู้สึกเป็นห่วงอย่างไม่เข้าท่าของตน และคิดะไรไม่ได้มากไปกว่า
“พี่บิ๊วเอ๊ย ขนาดหลับยังละเมอติวเลย”
จากนั้นเบิ้ลจึงผละออกไปล้างหน้าแปรงฟัน โดยไม่ทันสังเกตเห็นหยดเลือดที่ไหลนองทั่วพื้นห้องไม่ยอมหยุด
ตลอดช่วงเช้าเบิ้ลกระอักกระอ่วนราวกับจะเป็นลม คงเป็นเพราะนอนน้อยไป แต่เขายังทนอ่านส่วนที่ยังไม่ได้ททบทวน ไม่รู้ว่าทำไม คิดจะโยนหนังสอทิ้งตั้งหลายครั้งกลับทิ้งไม่ได้ ต้องคว้ากลับขึ้นมาอ่านใหม่ทุกที ขนาดกอล์ฟเพื่อนรักเข้ามาคุยเรื่องวิญญาณผู้พิทักษ์ให้ฟังยังไม่อยากฟังเลย ทั้งที่มันเป็นการ์ตูนที่เขาติดเอามากๆ
เด็กหนุ่มเข้าสอบด้วยอาการมึงงงเป็นอย่างยิ่ง เขาหน้ามืดจนต้องเอามือเท้าโต๊ะสอบระหว่างเดินเข้าห้องสอบ เมื่อนั่งประจำที่แล้ว แค่เพียงจรดปากกาลงเพื่อเขียนชื่อเท่านั้น ความวิงเวียนเข้ามาครอบงำจนเขาเป็นลมซบหน้าลงกับโต๊ะ จากนั้นสติสัมปชัญญะทั้งหมดได้ดับวูบลง
เบิ้ลมารู้สึกตัวอีกทีตอนที่เสียงคนคุมสอบแว่วมา อะไรกันนี่เหลือเวลาอีกแค่ 5 นาทีเองหรือ เขาแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเหลือบดูนาฬิกาข้อมือ แต่ที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่านั้นคือข้อสอบของเขา มือของเบิ้ลเกร็งแน่น ดินสอที่ถืออยู่จรดที่ข้อสุดท้ายพอดี อะไรกันนี่ ข้อสอบถูกทำเสร็จหมดทุกข้อได้อย่างไร ระหว่างที่งงอยู่นั้น เขาสังเกตเห็นเงาใหญ่ดำทะมึนทาบทับเหนือกระดาษสอบ เหงือของเขาแตกพลัก เด็กหนุ่มพยายามรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นมอง คนคุมสอบผิวคล้ำร่างอ้วนยืนถมึงทึงอยู่ตรงหน้านั่นเอง
“อ้าว จะส่งหรือยังล่ะพ่อคู๊ณ หมดเวลาแล้วนะ มัวนั่งจ้องข้อสอบอยู่ได้”
คนคุมสอบร่างอ้วนดึงข้อสอบจากมือเด็กหนุ่มไปตั้งแต่ยังไม่ทันสิ้นเสียงพูด เบิ้ลไม่ลืมที่จะแอบมองหัวกระดาษที่เขียนชื่อและเลขที่สอบ มันเป็นชื่อและเลขที่สอบของเขาแน่ๆ แต่ลายมืออันแสนจะคุ้นตานั้น...เบิ้ลไม่อยากบอกเลยว่าเป็นลายมือของใคร
บ่ายวันนั้นระหว่างที่เบิ้ลนั่งรถสองแถวกลับบ้าน เบิ้ลตัดสินใจเล่าเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นให้กอล์ฟฟัง แต่หมอนั่นกลับหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย
“แล้วนายคิดว่าใครมาช่วยนายทำข้อสอบล่ะ” กอล์ฟพูด  ทั้งยังโบกการ์ตูนวิญญาณผู้พิทักษ์ไหวๆ  “นายคิดว่าเป็นวิญญาณผู้พิทักษ์ของนายมาช่วยไว้หรือไง มันต้องเป็นคนตายนะโว้ย ถึงจะเป็นผู้พิทักษ์ได้ บ้านนายไม่เคยมีใครตายไม่ใช่เหรอ
ได้ฟังเท่านั้นเบิ้ลถึงกับสะดุ้งสุดตัว เวลานั้นเป็นเวลาบ่ายสามโมงพอดี อากาศกำลังร้อนอบอ้าวแต่เขากลับหนาวยะเยือกขึ้นมาจับใจ เบิ้ลรู้ดีว่าลายมือนั้นเป็นลายมือของใครและถ้าใช่... ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อจากนั้น รถสองแถวก็มาถึงหน้าบ้าน เขาพรวดพราดลงจากรถทั้งที่ยังจอดไม่สนิทดี พลางพุ่งตัวเข้ามาในบ้านเสียจนแม่บ้านเปิดประตูให้เกือบไม่ทัน
“พี่บิ๊ว พี่บิ๊วล่ะ” เขาโยนกระเป๋าลงบนโซฟาและร้องตะโกนถามแม่บ้าน
“คุณบิ๊วยังไม่ตื่นค่ะ ยังนอนอยู่ข้างบนอยู่เลย”
ได้ยินเท่านั้นเบิ้ลตะลีตะลานวิ่งขึ้นบันไดไป เขากระชากประตูห้องที่ติดกับทางเดินให้เปิดออกและยืนตะลึงกับรอยเลือดแห้งกรัง เมื่อตั้งสติได้จึงคว้าตัวพี่สาวเขย่าแรงๆ ปากก็เรียกชื่อผู้เป็นพี่อย่างบ้าคลั่ง ไม่ทันไรบิ๊วจึงลืมตาขึ้น ซ้ำยังหาวหวอดๆท่ามกลางความโล่งใจของน้องชาย
“จะเอ็ดตะโลไปถึงไหนเล่านังเบิ้ล คนกำลังนอนสบายๆ” บิ๊วพูด
“ก็ต้องเอ็ดตะโลซินังพี่บิ๊ว นอนจนตะวันส่องตูด” เบิ้ลล้อพี่สาวเล่นอย่างขบขันในสิ่งที่ตนคิดเมื่อ 2-3 นาทีที่แล้ว พลางเหลือบมองคราบเลือดที่แห้งกรังเมื่อซักครู่ แต่บัดนี้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว คงเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากว่า เขาเป็นห่วงพี่สาวมากจนทำให้ตาฝาดไป คิดแล้วจึงดึงมือพี่บิ๊วให้ลุกขึ้นจากเตียง แต่ผู้เป็นพี่กลับรั้งให้น้องชายนั่งลงอย่างเดิม พลางกล่าวว่า
“เออ! เบิ้ล เมื่อตอนก่อนตื่นพี่ฝันประหลาดแน่ะ”
“รู้แล้วน่า ฝันว่าติวให้เบิ้ลใช่ไหม ละเมอเป็นสูตรเชียว”  เบิ้ลบอก
“เปล่าเสียหน่อย พี่ฝันว่าอยู่ดีๆก็หายตัวไปนั่งทำข้อสอบแทนเบิ้ลต่างหาก”   
    ตลอดระยะเวลาสามวันแห่งการสอบเอ็นทรานซ์อันหนักหน่วง พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว หากที่ผ่านมายังทำคะแนนไม่ดี พรุ่งนี้จะเป็นโอกาสสุดท้าย พรุ่งนี้เท่านั้น
    สำหรับบิ๊วผู้ผ่านการสอบเอ็นทรานซ์สู่รั้วมหาวิทยาลัยปิดแห่งหนึ่งได้แล้ว วิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพและกายภาพที่เบิ้ลจะต้องสอบในวันรุ่งขึ้น ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเพียงแต่เนื้อหาทั้ง 8 เล่มของวิชานี้มีมากมายเหลือเกินเมื่อเทียบกับเวลาที่เหลือเพียง 12 ชั่วโมง แน่ละต้องไม่ลืมหักเวลานอนอีกอย่างน้อย 6 ชั่วโมงด้วย
    3 ชั่วโมงแรกผ่านไปโดยไม่ได้พัก ยิ่งกว่านั้นความคิดที่จะหยุดพักหมดไป เมื่อบิ๊วพบว่าเบิ้ลยังไม่เข้าใจเนื้อหาดีพอ ความเครียดเข้าครอบงำอย่างไม่ต้องสงสัย เบิ้ลรู้สึกมึนงงราวกับมีใครมาฉีดยาชาใส่สมองเข้าให้ ยิ่งฟังก็ยิ่งงง ยิ่งงงก็ยิ่งมึนตื้อไปหมด
    “เฮ้อ ตื้อแล้วพี่บิ๊ว มายัดเอาวันเดียวเบิ้ลไปไม่รอดแหงๆ”  เบิ้ลกล่าว
    “เอาน่าใจเย็นๆนะ ได้ตั้งสองสามเล่มแล้วทนอีกหน่อยนะ”
บิ๊วปลอบน้องทั้งที่ตัวเองเครียดจนแรงดันเลือดกระแทกผนังเส้นเลือดที่ขมับจนเต้นตุ๊บ ตุ๊บ ตามจังหวะหัวใจ
“พี่บิ๊วน่าจะกลับบ้านมาเร็วกว่านี้ สอบเสร็จแล้วก็มัวแต่อยู่กรุงเทพฯรอติววิชาต่อไปให้เพื่อน เห็นเพื่อนดีกว่าน้อง ทิ้งน้อง จำไว้เลย”
เบิ้ลพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ขมวดคิ้วด้วยความเครียด แล้วลุกพรวดพราดออกไปพร้อมกับเสียงตะโกนก่อนที่ประตูห้องนอนจะปิดลงว่า
“ไปพักก่อนละ ไม่ไหวแล้ว”
ทันทีที่ประตูถูกปิดกระแทกลง น้ำใสๆจึงเอ่อล้นคลอเบ้าตาของผู้เป็นพี่ ที่เบิ้ลพูดไม่มีคำไหนผิดเลย เธอสอบเสร็จแล้ว แต่ไม่ยอมกลับมาบ้านที่ต่างจังหวัดเพื่อติวเอ็น ทรานซ์ให้น้อง ยิ่งไปกว่านั้นกลับอยู่กรุงเทพฯต่อเพื่อติววิชาที่เพื่อนสอบตกในเทอมที่แล้วให้เพื่อนๆอีก บิ๊วรู้สึกผิดเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเธอกลับมาเร็วกว่านี้ น้องคงมีโอกาสเอ็นฯติดมากกว่านี้ การสอบครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งยิ่งใหญ่ของเบิ้ล ถ้าเขาทำพลาดคนที่ผิดมากที่สุด คือ เธอ
บิ๊วปาดน้ำตาทันทีที่ประตูเปิดออก น้องชายเดินเข้ามานั่งข้างๆพร้อมติว แต่แล้วกลับมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“บอกว่าเบิ้ลไม่อยู่นะ”  เด็กหนุ่มตะโกนขึ้นมาลอยๆ
ผู้เป็นพี่สาวพยักหน้าอย่างรู้งานพลางกอกเสียงลงในโทรศัพท์
“ฮัลโหล...ต้องการพูดกับใครคะ...อ๋อจ้า...เบิ้ลไม่อยู่ ฝากอะไรไว้ไหมจ๊ะ...จ้าสวัสดีจ้า”
เมื่อวางโทรศัพท์แล้ว สาวน้อยจึงหันมาพูดกับน้องชาย
“กอล์ฟโทรมาน่ะ เห็นว่าการ์ตูนเรื่องวิญญาณผู้พิทักษ์เล่มใหม่ออกแล้ว”
“หา! จริงเหรอต้องไปซื้อซะหน่อยแล้ว”  เบิ้ลพูดพลางกระวีกระวาดลุกขึ้นแต่กลับถูกพี่สาวรั้งข้อมือฉุดให้นั่งลงตามเดิม
“ทนหน่อยนะเบิ้ล พรุ่งนี้บ่ายๆก็ได้อ่านแล้ว”
นั่นเป็นจุดเริ่มเข้าสู่การติว จากนั้นอีก 2 ชั่วโมงติดๆกันจึงจบอีกสองเล่มลงได้ บิ๊วทำท่าจะขึ้นเล่มใหม่ขณะที่เหลือบไปเห็นน้องชายเหม่ออยู่พอดี เมื่อถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น เบิ้ลจึงตอบด้วยสายตาเหม่อลอย
“นี่ถ้ามีวิญญาณผู้พิทักษ์จริงๆคงดีนะ จะใช้ให้ทำข้อสอบแทนซะเลย”
กล่าวกันว่าวิญญาณผู้พิทักษ์ คือ ดวงวิญญาณที่คอยปกปักษ์รักษาภัยให้แก่ผู้ที่ดวงวิญญาณนั้นรักหรือสถานที่ที่หวงแหนอยู่ บิ๊วไม่เชื่อเรื่องอย่างนี้หรอก แต่เวลาอย่างนี้ ช่วยไม่ได้ที่จะหวังพึ่งวิญญาณผู้พิทักษ์บ้าง หากเรื่องนี้มีจริง แม้จะต้องเสียสละดวงวิญญาณของเธอเพื่อช่วยเหลือน้องชายในครั้งนี้ เธอก็ยอม 
แต่ใครจะมาช่วยคนไม่อ่านหนังสือล่ะ เพราะอย่างนี้การติวจึงดำเนินต่อไปจนดึกมากแล้ว เหลือเวลาที่จะนอนไม่ถึง 5 ชั่วโมง แต่เหลือหนังสืออยู่อีก 2 เล่มที่ยังไม่ได้แตะต้องแม้แต่น้อย
คืนนั้นเบิ้ลเข้านอนและหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย แต่บิ๊วไม่อาจข่มตาหลับลงได้ ความรู้สึกผิดที่เธอไม่อาจลบล้างผุดขึ้นมา คำว่า “ทิ่งน้อง จำไว้เลย” มันติดอยู่ในหัว ห้วงมโนสำนึกแว่วแต่เสียงตัดพ้อของเบิ้ล “ถ้าพี่กลับมาเร็วกว่านี้นะ ถ้าพี่กลับมาเร็วกว่านี้...” 
บิ๊วรู้สึกราวกับว่าห้องทั้งห้องหมุนไปมา พร้อมกับคำต่อว่าที่พรั่งพรูเข้ามาในจิตใจ จนไม่รู้ตัวว่าน้ำสีแดงอุ่นๆหยดออกมาจากโพรงจมูกลงบนชุดนอนสีหวาน มันเริ่มหยดถี่ขึ้น ถี่ขึ้น จนไหลรินออกมาเปื้อนที่นอนไม่ขาดสาย และคำสุดท้ายที่ออกจากปากเธอก่อนจะฟุบไปกับที่นอน คือ
“เบิ้ล พี่ขอโทษ”
ฟ้าสางแล้วแต่เบิ้ลยังขี้เกียจลุกจากที่นอนจึงยังนอนหลับตาเล่นอยู่ก่อน ห้องนอนของบิ๊วและเบิ้ลเป็นห้องที่มีประตูเชื่อมถึงกัน และเพราะเบิ้ลจะเปิดประตูเชื่อมไว้เสมอ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะได้ยินเสียงละเมอของพี่สาว แต่เสียงละเมอนี่ซิ
“ฟิวชั่น...ไฮโดรเจนสองอะตอม...ปฏิกิริยาลูกโซ่...”
เบิ้ลลุกขึ้นมายืนอยู่ที่ประตูเพื่อฟังให้ถนัดขึ้น พี่บิ๊วนอนตะแคงหันหลังให้ เธอนอนสงบไม่ไหวติงราวกับตุ๊กตาปุยนุ่นที่อ่อนปวกเปียก มีแต่เสียงพูดผะแผ่วออกมาเท่านั้นที่บอกว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าเสียงนั้นจะบอกแหล่งที่มาได้ยาก ราวกับว่ามันถูกเปล่งออกมาจากทุกหลืบเล้นของมุมห้อง เด็กหนุ่มสั่นหัวขจัดความรู้สึกเป็นห่วงอย่างไม่เข้าท่าของตน และคิดะไรไม่ได้มากไปกว่า
“พี่บิ๊วเอ๊ย ขนาดหลับยังละเมอติวเลย”
จากนั้นเบิ้ลจึงผละออกไปล้างหน้าแปรงฟัน โดยไม่ทันสังเกตเห็นหยดเลือดที่ไหลนองทั่วพื้นห้องไม่ยอมหยุด
ตลอดช่วงเช้าเบิ้ลกระอักกระอ่วนราวกับจะเป็นลม คงเป็นเพราะนอนน้อยไป แต่เขายังทนอ่านส่วนที่ยังไม่ได้ททบทวน ไม่รู้ว่าทำไม คิดจะโยนหนังสอทิ้งตั้งหลายครั้งกลับทิ้งไม่ได้ ต้องคว้ากลับขึ้นมาอ่านใหม่ทุกที ขนาดกอล์ฟเพื่อนรักเข้ามาคุยเรื่องวิญญาณผู้พิทักษ์ให้ฟังยังไม่อยากฟังเลย ทั้งที่มันเป็นการ์ตูนที่เขาติดเอามากๆ
เด็กหนุ่มเข้าสอบด้วยอาการมึงงงเป็นอย่างยิ่ง เขาหน้ามืดจนต้องเอามือเท้าโต๊ะสอบระหว่างเดินเข้าห้องสอบ เมื่อนั่งประจำที่แล้ว แค่เพียงจรดปากกาลงเพื่อเขียนชื่อเท่านั้น ความวิงเวียนเข้ามาครอบงำจนเขาเป็นลมซบหน้าลงกับโต๊ะ จากนั้นสติสัมปชัญญะทั้งหมดได้ดับวูบลง
เบิ้ลมารู้สึกตัวอีกทีตอนที่เสียงคนคุมสอบแว่วมา อะไรกันนี่เหลือเวลาอีกแค่ 5 นาทีเองหรือ เขาแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเหลือบดูนาฬิกาข้อมือ แต่ที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่านั้นคือข้อสอบของเขา มือของเบิ้ลเกร็งแน่น ดินสอที่ถืออยู่จรดที่ข้อสุดท้ายพอดี อะไรกันนี่ ข้อสอบถูกทำเสร็จหมดทุกข้อได้อย่างไร ระหว่างที่งงอยู่นั้น เขาสังเกตเห็นเงาใหญ่ดำทะมึนทาบทับเหนือกระดาษสอบ เหงือของเขาแตกพลัก เด็กหนุ่มพยายามรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นมอง คนคุมสอบผิวคล้ำร่างอ้วนยืนถมึงทึงอยู่ตรงหน้านั่นเอง
“อ้าว จะส่งหรือยังล่ะพ่อคู๊ณ หมดเวลาแล้วนะ มัวนั่งจ้องข้อสอบอยู่ได้”
คนคุมสอบร่างอ้วนดึงข้อสอบจากมือเด็กหนุ่มไปตั้งแต่ยังไม่ทันสิ้นเสียงพูด เบิ้ลไม่ลืมที่จะแอบมองหัวกระดาษที่เขียนชื่อและเลขที่สอบ มันเป็นชื่อและเลขที่สอบของเขาแน่ๆ แต่ลายมืออันแสนจะคุ้นตานั้น...เบิ้ลไม่อยากบอกเลยว่าเป็นลายมือของใคร
บ่ายวันนั้นระหว่างที่เบิ้ลนั่งรถสองแถวกลับบ้าน เบิ้ลตัดสินใจเล่าเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นให้กอล์ฟฟัง แต่หมอนั่นกลับหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย
“แล้วนายคิดว่าใครมาช่วยนายทำข้อสอบล่ะ” กอล์ฟพูด  ทั้งยังโบกการ์ตูนวิญญาณผู้พิทักษ์ไหวๆ  “นายคิดว่าเป็นวิญญาณผู้พิทักษ์ของนายมาช่วยไว้หรือไง มันต้องเป็นคนตายนะโว้ย ถึงจะเป็นผู้พิทักษ์ได้ บ้านนายไม่เคยมีใครตายไม่ใช่เหรอ
ได้ฟังเท่านั้นเบิ้ลถึงกับสะดุ้งสุดตัว เวลานั้นเป็นเวลาบ่ายสามโมงพอดี อากาศกำลังร้อนอบอ้าวแต่เขากลับหนาวยะเยือกขึ้นมาจับใจ เบิ้ลรู้ดีว่าลายมือนั้นเป็นลายมือของใครและถ้าใช่... ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อจากนั้น รถสองแถวก็มาถึงหน้าบ้าน เขาพรวดพราดลงจากรถทั้งที่ยังจอดไม่สนิทดี พลางพุ่งตัวเข้ามาในบ้านเสียจนแม่บ้านเปิดประตูให้เกือบไม่ทัน
“พี่บิ๊ว พี่บิ๊วล่ะ” เขาโยนกระเป๋าลงบนโซฟาและร้องตะโกนถามแม่บ้าน
“คุณบิ๊วยังไม่ตื่นค่ะ ยังนอนอยู่ข้างบนอยู่เลย”
ได้ยินเท่านั้นเบิ้ลตะลีตะลานวิ่งขึ้นบันไดไป เขากระชากประตูห้องที่ติดกับทางเดินให้เปิดออกและยืนตะลึงกับรอยเลือดแห้งกรัง เมื่อตั้งสติได้จึงคว้าตัวพี่สาวเขย่าแรงๆ ปากก็เรียกชื่อผู้เป็นพี่อย่างบ้าคลั่ง ไม่ทันไรบิ๊วจึงลืมตาขึ้น ซ้ำยังหาวหวอดๆท่ามกลางความโล่งใจของน้องชาย
“จะเอ็ดตะโลไปถึงไหนเล่านังเบิ้ล คนกำลังนอนสบายๆ” บิ๊วพูด
“ก็ต้องเอ็ดตะโลซินังพี่บิ๊ว นอนจนตะวันส่องตูด” เบิ้ลล้อพี่สาวเล่นอย่างขบขันในสิ่งที่ตนคิดเมื่อ 2-3 นาทีที่แล้ว พลางเหลือบมองคราบเลือดที่แห้งกรังเมื่อซักครู่ แต่บัดนี้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว คงเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากว่า เขาเป็นห่วงพี่สาวมากจนทำให้ตาฝาดไป คิดแล้วจึงดึงมือพี่บิ๊วให้ลุกขึ้นจากเตียง แต่ผู้เป็นพี่กลับรั้งให้น้องชายนั่งลงอย่างเดิม พลางกล่าวว่า
“เออ! เบิ้ล เมื่อตอนก่อนตื่นพี่ฝันประหลาดแน่ะ”
“รู้แล้วน่า ฝันว่าติวให้เบิ้ลใช่ไหม ละเมอเป็นสูตรเชียว”  เบิ้ลบอก
“เปล่าเสียหน่อย พี่ฝันว่าอยู่ดีๆก็หายตัวไปนั่งทำข้อสอบแทนเบิ้ลต่างหาก”   
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น