คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ปฐมเหตุจารึก
********************************************************************************************************************************
ณ ที่แห่งหนึ่งในบุรพกาล ถางกู่ ปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิในนาม จูอิน มู่ ถางกู่ฝาน พระปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จูอิน ทรงยกเศวตรฉัตรขึ้นที่พระนครหลวงโยปา แผ่ฤทธานุภาพไพศาล รวบรวมแว่นแคว้นสมานเป็นปึกแผ่นเกริกไกร พระราชทานนามปฐพีผืนใหญ่นี้ว่าราชอาณาจักรโยอัน ตั้งประชิดเขตขัณฑ์ดินแดนคู่สงครามนามราชอาณาจักรโกว
ต่อมาอีกสี่ชั่วอายุคน ก่อกำเนิดพระมหาจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ พระนามาภิไธยก้องพิภพว่า จูอิน บอนฮวา เบนนุ สำแดงแสนยานุภาพบดขยี้ตีราชอาณาจักรโกวแตกยับ ผนวกเข้าเป็นส่วนเดียวกับโยอัน ยากจักมีผู้เทียมทัดพระบารมี ปกธรณีผืนหล้าด้วยทศพิธราชธรรม บำรุงบ้านเมืองเฟื่องฟู อุโฆษกระเดื่องฟ้ากว่าจักรวรรดิมหาอำนาจใด
ครั้นสิ้นรัชกาลสืบมาอีกสามชั่วอายุคน สมเด็จพระจักรพรรดิจูอิน ปิง ชงเต ทรงปรับระบบการปกครอง โดยคงไว้ซึ่งการปกครองส่วนกลางอันมีมาแต่เดิม คือ ราชมนตรีเจ็ดตำแหน่ง ประจำเจ็ดกระทรวง แต่ในระดับภูมิภาคทรงปรับจากการปกครองหัวเมืองต่างๆเป็นมณฑลสิบสามมณฑล มีราชนิกูลเป็นผู้ว่าการมณฑล แต่ละมณฑลแยกย่อยเป็นห้าจังหวัด แต่ละจังหวัดปกครองโดยขุนนางผู้ได้รับแต่งตั้งจากผู้ว่าการมณฑลอีกชั้นหนึ่ง
ครานั้นสมเด็จพระจักรพรรดิชงเต มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯให้ ลั่วลกชง ผู้สืบเชื้อสายจากเสด็จพระองค์จูอิน ยี่ยิน เพ่ยเลี่ยง พระราชธิดาในพระมหาจักรพรรดิเบนนุ เป็นผู้ว่าการมณฑลหลงชุน เดินทางพร้อม คุณหญิงลิอง ภริยา นิราศพระนครโยปาในบัดดล...
บทที่ 1
ปฐมเหตุจารึก
อากาศเย็นยะเยียบลงเมื่อยามรัตติกาลคลี่ทับผืนฟ้า แม้จะหับประตูหน้าต่างลงดานแน่นหนา แต่ความหนาวเย็นก็ยังคืบคลานเข้ามามิขาดสาย แสงจากโคมไฟที่จุดไว้นอกตัวเรือนส่องสอดลอดสว่างเข้ามาในห้องนอนอันมืดมิด ผ่านม่านบังบรรจถรณ์กระเพื่อมไหวคล้ายระลอกน้ำทิ้งกายลงสู่แท่นทอง แลเงาวิสูตรยวบย้ายดั่งพรายน้ำนั้นก็ฉาบเหนือกายหนังร่างเนื้อของสองเรา
ร่างสันทัดของเขาทาบทับอยู่บนตัวฉัน กรามขบแน่น ลมหายใจกระชั้นถี่ในทุกคราวที่ซุกช่วงล่างลงรื้อค้นซอกลับกลีบกายของฉัน
ส่วนฉัน...นอนเฉยๆ
มันเป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่แรกเริ่ม ในเมื่อสตรีมีหน้าที่เพียงให้กำเนิดผู้สืบสกุล แล้วจำเป็นด้วยหรือไร ที่ฉันจะต้องรู้สึกอันใดกับกิจกรรมนี้ ที่จริงฉันมิเคยรับรู้เสียซ้ำว่าเหตุใดบุรุษเพศจึงพิศสมัยในการเสพสม แลทั่วทั้งผืนปฐพีจะมีอิสตรีสักกี่นางที่เข้าสู่ภาวะบรมสุขจากการกระทำเช่นนั้นกันเล่า หรือธรรมชาติได้สร้างให้มีแต่บุรุษเท่านั้นที่มีความสามารถจะบรรลุถึงสภาวะดังกล่าวได้
แลจักว่าอย่างนั้นไปก็ไม่ถนัดปาก ด้วยในอดีตกาลผ่านมาหาใช่ไม่เคยมีหญิงใดได้ดื่มด่ำฉ่ำชื่นกับการร่วมอภิรมณ์นี่หนอ...เว้นแต่...บันทึกเล่มนั้นจักมิได้เขียนโดยน้ำมือสตรี
พลันฉันก็ต้องสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เมื่ออาการซุกซนรื้อค้นเมื่อครู่ของสามี เปลี่ยนมาเป็นการถาโถมโหมกระทั้นห้องลับหลืบในของฉันราวกับอยากจักเห็นมันทะลุขาดวิ่นไปต่อหน้า ทุกครั้งที่มาถึงช่วงนี้ ฉันได้แต่ภาวนาขอให้มันผ่านพ้นไปโดยเร็ว ด้วยเหลือจักทนทานต่อความเจ็บปวดรวดร้าวที่แผ่ซ่านปานจักหักร่างแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ แต่ไม่ว่าฉันจะภาวนาสักเท่าไร ไม่ว่าเขาจักรับรู้ถึงความบอบช้ำของฉันหรือไม่ เวลาอย่างนี้ สามีของฉันจักมิยอมรามือหรือแม้แต่จักยอมผ่อนแรงลงสักน้อยหนึ่งเป็นแม่นมั่น
อีกครั้งที่ข้อความในบันทึกนั้นลอยเข้ามาในห้วงสำนึกของฉัน แลฉันก็นึกถึง...วิธีที่เธอ...รับมือกับมัน
ฉันเริ่มยกสะโพกรับจังหวะที่เขารานรุกเข้ามา การกระทำเช่นนั้นก่อให้เกิดความรู้สึกหวั่นวาบอย่างประหลาด จนฉันนั้นปรารถนาจะเบียดร่างกายเข้ากับสัดส่วนที่หมายจักโถมทำร้ายฉันอยู่เมื่อแรก แลการกระทำตามอำเภอใจของฉันก็ทำให้เขากัดริมฝีปากแน่น ปล่อยเสียงหอบถี่ๆอย่างพึงใจ ฉันยื่นมือออกไปลูบไล้แผ่นหลังของเขาอย่างแผ่วเบา และราวกับว่าเขาตระหนักในความหมายจึงกดร่างจ่อมจมลึกลงไป ปล่อยให้ฉันสำเริงสำราญกับการบดขยี้บีฑาศัสตราวุธร้ายกาจที่นอนนิ่งอยู่ภายใน
แลฉันก็ต้องปล่อยเสียงครวญครางออกมาอย่างลืมตัวเมื่อยกสะโพกโยกย้ายหนักหน่วงขึ้น ฉันรับรู้ได้ว่าอาการเกร็งเริ่มรุมเร้าเราทั้งสอง จึงกดมือลงกับสะโพกของเขาแล้วเร่งกระทำการเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง จนในที่สุดสภาพบรมสุขที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะบังเกิดกับฉันก็เข้ามาครอบงำจนร่างกายสั่นระริก ภายในกระตุกกระตุ้นนำพาผู้เป็นสามีสู่ความหฤหรรษ์อันสูงสุด
เขาทิ้งร่างลงบนตัวฉัน แล้วพลันพลิกตัวนอนอยู่ข้างๆ ฉันมองหน้าเขาอย่างกริ่งเกรงว่าจักโกรธขึ้งในการกระทำอันกอปรด้วยความกำหนัด แลการส่งเสียงครวญด้วยราคะชนิดที่สตรีในตระกูลผู้ดีเยี่ยงฉันมิควรกระทำ แต่เปล่า เขายังนอนนิ่ง จนฉันเริ่มคิดว่าจักมีชายใดบ้างที่จะตำหนิภรรยาผู้บำรุงบำเรอเขาจนถึงใจได้
และนั่นน่าจะเป็นความจริงที่สุด เมื่อสามีขยับเข้าตระกองกอดฉันไว้ในอ้อมแขน แลวางมืออันแสนอบอุ่นลูบไล้ไรผมพลางกระซิบกระซาบบางอย่างที่ข้างหูฉัน
“เธอช่าง...” เขาเว้นจังหวะเหมือนไม่แน่ใจว่าจะกล่าวอันใดต่อ และในที่สุดก็เลือกที่จะพูดว่า “เธอช่างทำให้ฉันมีความสุขเสียเหลือเกิน ลิอง”
ฟังอย่างนั้น ฉันอดไม่ได้ที่จักคลี่รอยยิ้มบางเบา พร้อมซ่อนหน้าร้อนผ่าวกับแผงอกของเขาในยามที่รินน้ำคำออกมาว่า
“พระเดชพระคุณปากหวานเหลือเกินแล้วเจ้าข้า”
“ฉันพูดจริง” สามีของฉันกล่าวพลางวางรอยจุมพิตอวลอุ่นลงบนหน้าผาก แลว่า “หนึ่งปีที่ใช้ชีวิตร่วมกับเธอมา คืนนี้ฉันมีความสุขเป็นที่สุดเลยนะคนดี”
ก็ฉันมิได้ได้รับบันทึกเล่มนั้นมาก่อนหน้านี้นี่นะ ตลอดขวบปีถึงได้เพิ่งมีวันนี้ที่ปรนเปรอพระเดชพระคุณท่านได้ถึงใจ
ความจริงแล้วฉันเพิ่งได้รับบันทึกเล่มนั้นมาจากเจ้าป้าของสามีซึ่งท่านเองก็ได้มันมาจากฝ่ายในอีกที แต่จะด้วยวิธีไหนท่านหาได้บอกกล่าวแก่ฉันไม่ เพียงแต่มอบมันให้ฉันก่อนที่ท่านจะบวชชีนับเนื่องมาจากการเสด็จสวรรคตของพระเจ้าจูอิน องอินเต เทปา สมเด็จพระจักรพรรดิรัชกาลก่อน เนื่องด้วยเจ้าป้าท่านเคยรับราชการสนองพระมหากรุณาธิคุณ ในตำแหน่งพระราชเทวีชั้นที่สาม แลตั้งใจจะรักษาพระเกียรติไว้จนสิ้นอายุขัย การบวชชีจึงเป็นหลักประกันว่าแต่นี้ไปชายทั่วทั้งหล้าจะไม่มีใครได้แตะต้องเนื้อตัวท่าน เพราะร่างกายของท่านเป็นของสมเด็จพระจักรพรรดิในพระโกศแต่เพียงพระองค์เดียว
บันทึกเล่มดังกล่าวเป็นอนุทินของหญิงซึ่งเคยรั้งตำแหน่งนางบำเรอหลวงชั้นที่สิบในสมเด็จพระจักรพรรดิผู้เสวยราชบัลลังก์สามรัชกาลก่อนหน้านี้ เธอจดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเธอ แม้มิได้จดทุกวัน เป็นแต่เลือกจำเพาะวันที่มีเรื่องสำคัญเกิดขึ้นเท่านั้น ทว่าเธอเขียนลงไปทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องที่เธอได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ถวายการอยู่งานบนพระที่บรรทม แลจักว่าอันใดได้ ในเมื่อการอยู่งานเช่นนั้นก็นับเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเธอ
เรื่องที่ว่าหญิงในบันทึกนั้นแท้แล้วคือผู้ใด ฉันมิอาจรู้ได้ ด้วยบันทึกนั้นเขียนขึ้นในช่วงระยะเวลาสั้นๆจึงไม่ทันได้รู้ความว่าตำแหน่งสุดท้ายของเธอ คือ ตำแหน่งอันใด ทราบแต่ว่าในบรรดาพระราชมเหสีทั้งสิบตำแหน่งอันมีสมเด็จพระจักรพรรดินีอยู่ในอันดับที่หนึ่ง เธอรั้งตำแหน่งนางบำเรอหลวงอันเป็นตำแหน่งต่ำที่สุด และจะต้องรองรับพระอารมณ์เมื่อได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ถวายการรับใช้บนพระราชบรรจถรณ์ เช่นนั้น...แท้จริงแล้วพระมหาจักรพรรดิจูอิน บอนฮวา เบนนุ มีพระราชนิสัยส่วนพระองค์เป็นประการใดหนอ
“ดวงตาเธอเหม่อลอย มีเรื่องอันใดหรือ” เสียงของสามีกระซิบแผ่วมาในอากาศ
ฉันค่อยๆดึงสติกลับมาที่เดิม จึงได้เห็นดวงตาแฝงแววฉงนนั้น แลท่านเจ้าพระคุณสืบเชื้อสายจากเสด็จพระองค์หญิงยี่ยิน พระราชธิดาในพระมหาจักรพรรดิเบนนุ ลางทีอาจจะไขความที่ฉันต้องการจักรู้อยู่ก็เป็นได้
“พระเดชพระคุณเจ้าขา” ฉันถามขึ้นอย่างไม่รีรอ “สมเด็จพระจักรพรรดิผู้ครองราชย์ขึ้นไปก่อนหน้านี้สามรัชกาลเป็นเช่นใดกันเจ้าคะ”
“เธอเงียบงันในเวลาเช่นนี้ ด้วยเหตุที่กำลังคิดสงสัยในประวัติศาสตร์หรอกหรือ เอาเถิดในเมื่อเธออยากรู้ ฉันจะเล่าให้ฟังเป็นรางวัลที่เธอปรนนิบัติฉันได้อย่างยอดเยี่ยมในคืนนี้”
เขาเว้นจังหวะ เหมือนกับจักคาดคะเนเอาว่าฉันต้องการรู้เรื่องนี้จริงแท้แค่ไหน เมื่อเห็นความตั้งใจแน่วแน่จึงกล่าวต่อว่า
“สมเด็จพระจักรพรรดิผู้ครองราชย์บัลลังก์สามรัชกาลก่อนหน้านี้มีพระนามาราชสกุลว่า จูอิน พระนามาภิไธยประจำพระองค์ว่า บอนฮวา พระนามาภิไธยรองคำเดียวว่า เบนนุ พระองค์ท่านทรงเป็นนักรบผู้กล้าแลเป็นนักบริหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุด...”
“แล้วพระราชนิสัยส่วนพระองค์เป็นเช่นไรกันเจ้าคะ” ฉันถามขัดขึ้น
พระเดชพระคุณท่านมองมายังฉันอย่างชั่งใจก่อนจะถามว่า
“เธอหมายถึงพระราชนิสัยในเรื่องใดกันหือ”
แลโดยไม่ต้องตอบ ท่านเจ้าพระคุณก็เสมือนหนึ่งจักทราบขึ้นมาเอง ถึงกับกล่าววาจาขึงขังออกมาว่า
“เราจะพูดเรื่องเช่นนี้มิได้ พระเจ้าชงเต สมเด็จพระจักรพรรดิพระองค์ปัจจุบันมิต้องพระราชประสงค์ให้พูดถึงเรื่องนี้ในราชอาณาจักรของพระองค์ท่าน ด้วยเหตุที่พระมหาจักรพรรดิเบนนุทรงเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ จึงสมควรดำรงความเคารพไว้แม้จักล่วงพ้นรัชกาลไปแล้วถึงสามสมัย”
“พระเดชพระคุณพูดราวกับทราบดีว่าฉันถามถึงเรื่องใดเลยนะเจ้าคะ หรือว่า...พระมหาจักรพรรดิเบนนุที่แท้แล้วมีพระราชนิสัยบนพระที่บรรทมอันแปลกประหลาด มิสมควรแก่การพูดถึง”
“ในเมื่อทรงเป็นจักรพรรดิที่ดี บนพระที่บรรทมจะเป็นเช่นไร จำเป็นหรือ ขุนนางไพร่ฟ้าจะต้องใส่ใจ”
สามีของฉันออกสำเนียงแข็งกร้าว พลางเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ราวกับเอือมจักพูดเรื่องนี้เสียเต็มประดา ถึงกระนั้นฉันเองก็ยังอยากจะลองแหย่รังแตนดู
“พระเดชพระคุณละก็ มิเท่าไหร่ก็ทำเฉไฉแชเชือน ทำเยี่ยงนี้ฉันยิ่งอยากทราบหนักว่าการกระทำอันใดของพระองค์ท่านกันหนอที่เรียกว่าแปลกประหลาด ฤาว่า....จักเป็นเรื่องที่ทรงเคล้าคลอนางบำเรอหลวงท่ามกลางแสงจันทร์ ต่อหน้าข้าราชบริพารทั้งหลายล่ะกระมัง”
“บังอาจแท้ !” เขาตวาดลั่น “นี่เธอมิเกรงพระราชอาญาหรือ จึงชวนฉันคุยเรื่องนี้”
“เจ้าพระคุณเจ้าขา ยอดรักของเมีย ก็พระเดชพระคุณพูดเองนี่เจ้าคะว่าในเมื่อทรงเป็นจักรพรรดิที่ดี ไม่จำเป็นที่ขุนนางไพร่ฟ้าจะต้องใส่ใจเรื่องบนพระที่บรรทม พระเดชพระคุณก็เป็นขุนนางดี เราคุยกันบนที่นอน จำเป็นหรือที่สมเด็จพระจักรพรรดิจักต้องมาใส่พระราชหฤทัยน่ะเจ้าคะ”
ฉันย้อนคำของเขา ในใจหวั่นหวาด หวิดจะถูกโบยหรือถูกโกรธขึ้งมิมองหน้ากันไปอีกหลายเพลา แต่เมื่อเห็นดวงหน้าฉาบแววใคร่ครวญของสามี ก็รู้ว่าเขาคงไม่มีจิตคิดเอาผิดฉัน ครู่หนึ่งพระเดชพระคุณท่านก็ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“เหตุใดเธอจึงสนใจเรื่องนี้เสียหนักหนาเล่า ลิอง”
มาถึงเท่านี้แล้ว จำฉันจักต้องเล่าเรื่องบันทึกดังกล่าวให้สามีฟัง จึงว่า
“แท้แล้วตัวฉันได้อนุทินเล่มหนึ่งมาจากพระราชเทวีลั่ว เจ้าป้าของพระเดชพระคุณน่ะเจ้าค่ะ เข้าใจว่าผู้จดนั้นเป็นนางบำเรอหลวงในพระมหาจักรพรรดิ์เบนนุเจ้าค่ะ”
“แลอนุทินนั้น ตอนนี้อยู่ที่ไหน”
สามีของฉันถึงกับลุกพรวดพราดขึ้นมานั่งอยู่บนที่นอน น้ำเสียงกระตือรือร้นเสียจนฉันไม่อาจอยู่นิ่งได้ ต้องดึงผ้านุ่งขึ้นมาพันกายลวกๆแลเลี่ยงไปหยิบบันทึกเก่าคร่ำคร่าเล่มนั้นออกมาให้ดู ท่านเจ้าพระคุณพลิกอ่านสองสามหน้า พร้อมพึมพำแผ่วเบาราวกับพูดกับตัวเองว่า
“บังเอิญถึงเท่านี้เจียวหรือ”
เมื่อละสายตาจากบันทึกแลเห็นฉันยืนดูอยู่ด้วยความสงสัยในคำพูด พระเดชพระคุณท่านลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าแลฉวยข้อมือฉัน กึ่งลากกึ่งจูงออกจากห้องนอน พร้อมทั้งพูดว่า
“มานี่เถิด ฉันมีของจะให้เธอดู”
เขาพาฉันเข้ามาในห้องหนังสือ คว้าเอากุญแจที่ซ่อนไว้ในแจกันภาพวาดมาเปิดประตูลับที่ถูกตู้หนังสือตั้งบังไว้ ก่อความฉงนขึ้นในใจฉัน ว่าของสิ่งใดจักลึกลับถึงเท่านี้
ด้านหลังประตูลับบานนั้นเป็นห้องกว้างไม่กี่วา มีหิ้งวางเพชรพลอยแลเงินทองมากมายอยู่ภายใน แต่พระเดชพระคุณท่านจักใส่ใจสักชิ้นก็หาไม่ เป็นแต่เดินเข้าไปดึงเอาหีบเหล็กขนาดคนลงไปนอนขดในนั้นได้สักสองคนออกมาจากใต้หิ้ง แลใช้กุญแจที่พกติดตัวตลอดเวลาไขหีบเขื่องนั้นออก ในนั้นปรากฎหนังสือมากมายนอนระเกะระกะอยู่เกือบค่อนหีบ
เขาหยิบมันมาเล่มหนึ่งแลเปิดเทียบกันกับบันทึกของนางบำเรอหลวงที่ฉันได้รับมอบมา สังเกตได้ว่าลายมือนั้นช่างละม้ายคลับคล้ายกับว่าจะเป็นลายมือของคนคนเดียวกัน ฉันรีบหยิบเอาหนึ่งในหนังสือเหล่านั้นมาเปิดดู ฉันจึงเข้าใจ อนุทินที่ฉันได้มาเป็นเพียงหนึ่งในหลายเล่ม แต่ละเล่มถูกเขียนในเวลาที่เกิดเหตุการณ์แตกต่างกัน แต่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์เป็นเรื่องราวของคนคนเดียว
“บันทึกนี้เป็นของใครกันเจ้าคะ” ฉันถามสามีด้วยความอยากรู้อยากเห็นเต็มที่
“เท่าที่อ่านดู พอจะคาดเดาได้ว่าเป็นของสมเด็จพระนางเจ้าในสมเด็จพระจักรพรรดิเบนนุ เขียนไว้ตั้งแต่ก่อนหน้ารั้งตำแหน่งนางบำเรอหลวง จวบจนสวรรคต แต่ในเวลาที่ทรงประชวรหนักใกล้จะสวรรคต ใครเป็นผู้บันทึกเรื่องราวดังกล่าวสุดจะคาดเห็นเอาได้”
“พระนางเจ้า ! นี่พระเดชพระคุณกำลังหมายถึงสมเด็จพระจักรพรรดินีล่ะหรือ!” ฉันกล่าวอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง แลกลับยิงคำถามต่อไปว่า
“แล้วอนุทินนี้มาอยู่ในบ้านเราได้อย่างไรกันเจ้าคะ”
“ก็มาจากนางในนั้นแล ส่งต่อกันมาเป็นทอดๆ ความถึงพระเนตรพระกรรณเข้า สมเด็จพระจักรพรรดิชงเตก็ต้องพระราชประสงค์จักทรงทราบความจริงเท็จของบันทึกอนุทินนี้ จึงมีพระราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ฉันสืบเสาะข้อความในบันทึกทั้งหมดที่มี แลสืบสวนไต่สวนเพิ่มเติม แล้วจารึกบนแผ่นทองตีลายนูนต่ำให้ครบถ้อยทุกกระบวนความ แล้วนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย นี่งานเมืองฉันก็ยุ่งจักแย่อยู่แล้ว ยังต้องทำงานชิ้นนี้อีก”
สามีของฉันถอนหายใจแผ่วเบาแล้วส่ายศีรษะช้าๆ พักเดียวเท่านั้นแววตาของเขาก็กลับฉายแววสดใสขึ้นมาอีก เขาจับแขนฉันไว้แน่น แลว่า
“ลิอง ตัวเธอสนใจเรื่องนี้มากน้อยเพียงใด”
“มากกว่าเรื่องใดทั้งหมดที่เคยรับรู้มาเจ้าค่ะ” ฉันตอบในทันทีโดยมิพักจักต้องหยุดคิดให้เสียเวลาเลย
“แท้แล้วพรุ่งนี้ฉันต้องไปพบคนผู้หนึ่งเพื่อสืบสาวราวเรื่อง เสียแต่มีราชการงานเมืองล้นมือ หากแม้นเธอมีความสนใจแน่วแน่แล้ว ขอเธอจงจัดราชการดั่งว่านี้แทนฉันทีเถิด”
“เป็นพระเดชพระคุณอย่างสูงที่ไว้ใจให้ฉันทำงานนี้เจ้าค่ะ” ฉันกล่าวด้วยความตื่นเต้น “ว่าแต่...ผู้ที่ฉันจักต้องไปพบแท้แล้วเป็นใครกันเจ้าคะ”
“บุรุษผู้นี้หากเขาเป็นคนที่ฉันคาดคิดไว้แล้วไซร้ เขาจักต้องเป็นท่านชายเชกีร์ผู้ร่วมรัชสมัยใกล้ชิดกับพระมหาจักรพรรดิเบนนุอย่างแน่นอน”
“ท่านชายเชกีร์ ! หม่อมเจ้าชายจูอิน ชุน เชกีร์ น่ะหรือเจ้าคะ เช่นนั้นท่านชายคงมีพระชันษากว่าร้อยแล้วกระมัง” ฉันติงด้วยความฉงน
“นั่นเป็นอีกงานหนึ่งของเธอที่จักต้องเสาะหาว่าที่แท้แล้วเขาคือคนผู้นั้นหรือไม่”
สามีของฉันพูดก่อนจะส่งยิ้มหวาน เขายื่นมือมาดุนหลังฉันให้ออกจากห้องลับนั้น พร้อมทั้งส่งกุญแจที่คล้องติดตัวตลอดเวลาให้ฉัน ทั้งยังทิ้งท้ายไว้เพียงแต่ว่า
“ลิอง ขอเธอจงนอนหลับให้สบายในคืนนี้ เพื่อจะมีเรี่ยวแรงสานงานของเธอให้สำเร็จลุล่วงในวันรุ่งขึ้นเถิด”
*****
ในมณฑลของเรามีห้าจังหวัด แม้เคหะสถานในบุรุษที่ฉันมุ่งไปหานั้น จะอยู่ในจังหวัดที่ห้าอันเป็นจังหวัดที่อยู่ติดมณฑลข้างเคียง แต่ก็หาได้ห่างไกลจากจังหวัดของเรามากมายนัก เพียงออกจากจวนด้วยรถม้าในยามฟ้าเริ่มสาง มิทันตะวันสายก็จักถึง ชั่วแต่ว่าเส้นทางนั้นขรุขระ เต็มไปด้วยหินก้อนน้อยใหญ่ เพลารถม้ากระทบลงไปส่งผลให้ตัวรถกระดกกระเดิดกระเด้งกระดอนมิได้หย่อนหยุด จนฉันเจ็บหวิวในช่องท้อง เหตุเพราะแรงสะเทือนนั้นลั่นลงตรงแผลเก่าที่สามีฝากรักร้อนแรงไว้เมื่อคืน
ก่อนหน้าที่จะขึ้นรถม้ามานี้ ฉันได้หยิบเอาบันทึกเล่มหนึ่งติดมาด้วย หวังใจว่าชายชราที่จะไปพบต้องจดจำลายพระหัตถ์ในพระนางเจ้าได้เป็นแน่แท้ เว้นเสียแต่ว่าชายผู้นี้ไม่ใช่ท่านชายเชกีร์ อย่างที่พวกเราเข้าใจกัน หรือมิเช่นนั้น ผู้บันทึกก็หาใช่สมเด็จพระจักรพรรดินี
แต่ความจะปรากฏเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลังล้วนมีโอกาสทัดเทียมกัน เนื่องด้วยในบันทึกเล่าว่า ผู้เขียนเป็นบุตรีคนที่ห้าในราชมนตรีกระทรวงกฎหมายบ้านเมือง อันเป็นคุณสมบัติที่ตรงกันกับสมเด็จพระนางเจ้า เสียแต่ในบันทึกเล่าความไว้ว่าเมื่อครั้งยังเด็กเธอนั้นประสบอุบัติเหตุจนเกิดแผลเป็นน่าเกลียดที่หางคิ้ว ซึ่งตัวเธอเองต้องสะท้อนทอดถอนใจทุกคราในความขี้ริ้วขี้เหร่นี้ ทั้งยังเป็นเหตุให้สมเด็จพระจักรพรรดิมีพระราชกระแสรับสั่งให้หาแลถวายการอยู่งานบนพระที่บรรทมเป็นรายสุดท้าย เว้นระยะเวลาห่างจากวันถวายตัวเป็นแรมเดือน
แต่สมเด็จพระจักรพรรดินีนั้น ประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่าพระนางเจ้ามีพระศิริโฉมงดงาม พระสุรเสียงพริ้งไพเราะประดุจระฆังเงิน พระฉวีผุดผ่องละอองนวล จะมองพิศมองผ่านล้วนสวยงามมิมีที่สิ้น
หากความในบันทึกเป็นจริง เหตุใดสมเด็จพระจักรพรรดิจึงยอมรับหญิงขี้ริ้วไว้ในตำแหน่งนางบำเรอหลวง ในเมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้อยู่งานห่างจากวันถวายตัวเป็นแรมเดือน ไยจึ่งได้ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้หาเป็นประจำหลังจากนั้น ฤาธรรมดาบุรุษเพศ ย่อมชมชอบหญิงที่ให้รสชาติในทางกามคุณมากกว่าความงดงามส่วนตัว เพราะเมื่อยามเป่าเทียนดับไต้ลงแล้ว สิ่งซึ่งจักต้องสัมผัสด้วยตาก็หามีประโยชน์ไม่
คำถามต่างๆที่ผุดขึ้นในใจของฉันต้องสะดุดหยุดลง เมื่อรถม้ามาจอดนิ่งสนิทอยู่ในตัวจังหวัดอันเป็นจุดหมาย ฉันสั่งให้บ่าววนรถม้า เดินหาในตัวเมืองอยู่นานมิพบสถานที่อันเหมาะสมจะเป็นตำหนักแห่งท่านชายเชกีร์เลยแม้แต่น้อย จึงจอดรถถามเอ่ยนามดังกล่าว ก็หามีผู้ใดรู้จักไม่ ฉับพลันฉันก็นึกขึ้นได้ แม้นเขาคือท่านชายเชกีร์จะต้องมีอายุกว่าร้อยปี ความข้อนี้นับเป็นเรื่องประหลาด หากมีอยู่จริงชาวบ้านต้องรู้เป็นแน่ ฉันจึงเลือกเข้าไปถามท่านป้าที่วางแผงขายของปิ้งย่างในตลาด
“ท่านป้าจ๊ะ ละแวกนี้มีชายชราอายุกว่าร้อยปีอยู่หรือไม่กัน” ฉันทอดเสียงถาม
ท่านป้าแสดงอาการรู้จักรีบชี้ทางในทันใด
“ตาเฒ่ากีร์น่ะหรือ เดินไปสุดถนนเลี้ยวขวาก็เจอบ้านของเขาแล้ว” ท่านป้าขายของปิ้งย่างตอบ ฉันนึกฉงนจึงลองสอบถามพูดคุยต่อไปอีกหน่อยหนึ่ง
“ตาเฒ่ากีร์คนนี้แท้จริงมีชื่อเรียงเสียงไร เป็นคนที่ไหนกันหรือ”
“อ้าวก็ชื่อกีร์น่ะซี นังหนู” น้าสาวที่ขายผักร้านข้างๆตะโกนตอบ “แกเป็นคนเมืองหลวง บ้านอยู่ที่โยปาโน่น”
“เหตุใดเขาจึงย้ายมาอยู่มณฑลของเราเล่า” ฉันถามอีก
“ฉันก็เกิดมิทันตอนเขาย้ายมาเสียด้วย” น้าสาวตอบ “อยากรู้ก็ไปถามเขาเอาเองซิ”
นั่นเป็นเหตุให้ฉันต้องเดินทางต่อไปยังเคหะสถานที่กล่าวขวัญถึงกันอยู่ เมื่อไปถึงจึงได้เห็นบ้านขนาดกะทัดรัดหลังหนึ่ง มีบริเวณใช้ปลูกไม้ดอกพองามตา ตัวบ้านแม้มิได้คับแคบหนัก แต่ก็มิใหญ่โตหรูหราพอจะเป็นตำหนักท่านชายได้ นั่นยิ่งทำให้ฉันฉงน ว่าท่านชายเชกีร์จะประทับอยู่ในสถานที่แบบนี้ล่ะหรือ
เมื่อเคาะประตูบ้านมีบ่าวชายออกมาเปิดแลเชิญฉันเข้าไปข้างใน ห้องโถงนั้นมิโอ่อ่า มีเพียงโต๊ะเตี้ยและเบาะรองนั่งวางไว้พอให้ดูดีเท่านั้น ไม่นานก็ปรากฏร่างชายหนุ่มคนหนึ่ง ดูท่าทางเป็นพ่อบ้านจัดการงานทุกอย่างในที่นี้ เขาทักทายฉันด้วยท่าทีสุภาพ แลถามวัตถุประสงค์ที่ฉันมา
“ฉันได้ยินว่าท่านชายเชกีร์ประทับอยู่ที่นี่จึงต้องการมาเฝ้าอย่างที่ฉันควรจะทำตั้งแต่คราวแรกที่เข้ามาอยู่ในมณฑลหลงชุนนี้แล้ว จงไปทูลท่านชายด้วยเถิดว่าลิองมาเฝ้า”
เขาผู้นั้นนิ่งงั้นไป แล้วกล่าวแก่ฉันว่า
“เจ้านายของพวกเรา มีชื่อคำเดียวว่า กีร์ จักเป็นท่านชายหรือไม่กระผมไม่ทราบหรอกขอรับ แต่เจ้านายสั่งไว้ว่าถ้ามีใครถามหาคนชื่อเชกีร์ก็จงให้การต้อนรับ”
“เช่นนั้นเธอไปเรียนเจ้านายของเธอเถิดว่ามีแขกมาหา เป็นภรรยาผู้ว่าการมณฑลหลงชุน นามว่า ลิอง” ฉันได้แต่บอกเขาไปเช่นนี้
พ่อบ้านผู้นี้หายเข้าข้างในเสียพักใหญ่ เป็นโอกาสให้ฉันได้เดินดูบ้านขนาดกะทัดรัด แม้นมิได้ตกแต่งด้วยของมีค่า แต่กลับประดับประดาภาพวาดมากมาย แต่ละภาพบรรจงตวัดปลายพู่กันอย่างประณีต ให้สีสันสดใส เพิ่มความตระการตาแก่เรือนน้อยหลังนี้อีกมิรู้กี่เท่า แลที่มุมล่างขวาของภาพวาดทุกภาพก็ปรากฎบทกลอนสองแถวที่ประพันธ์ขึ้นอย่างไพเราะ พิถีพิถันทุกถ้อยคำ จนฉันฉงนว่าแท้แล้วใครกันหนอเป็นผู้รังสรรค์ร้อยกรองเหล่านี้
สายตาของฉันหยุดอยู่ที่ภาพบุปผาที่เบ่งกลีบบานสดสวย หากแต่ดูแล้วมิคล้ายสุคนธาอันใดที่ในโลก แลหากจักทักเอาเสียว่าเป็นบุพชาติสวรรค์ก็คงจักมิเกินไปหนัก ร่ำๆจักอ่านบทกลอนบนภาพนั้น พ่อบ้านคนเดิมก็กลับออกมา
“ท่านลิอง เชิญข้างในขอรับ”
เขาพูดสั้นๆแลออกนำ ฉันก็ตามไปห่างๆ ระหว่างที่ลัดเลาะไปตามทางเดิน ฉันเองอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามเอาแก่พ่อบ้านผู้นั้น
“ช่วยบอกฉันหน่อยเถิด เหตุใดเจ้านายของท่านจึงตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ ที่นี้ เดิมทีเขาว่าเจ้านายท่านเคยอยู่ในพระนครหลวง เช่นนั้นพระนครโยปาย่อมจักสะดวกสบายกว่าที่นี้มาก”
“กระผมก็มิค่อยทราบเช่นกันขอรับ” พ่อบ้านตอบ “ได้ยินแว่วๆมาว่าหลังจากสิ้นรัชกาลพระจักรพรรดิเบนนุ เกิดน้ำท่วมใหญ่ในสามจังหวัดแห่งอาคเนย์ทิศ เจ้านายกระผมขอพระราชานุญาติจากพระจักรพรรดิพระองค์ต่อมาเพื่อนำบ้านแลที่ดินพระราชทานออกประมูลขายให้แก่ชนชั้นสูง เพื่อจะเอาเงินที่ได้ไปซื้ออาหารแจกจ่ายผู้ประสบภัยในคราวนั้น แล้วจึงหักส่วนเงินเพียงน้อยนิด มาซื้อบ้านหลังเล็กพออยู่พอกินที่นี่”
“แล้วเจ้านายเธอมิมีบุตรฤาบุตรีหรอกหรือ” ฉันถามด้วยความฉงน
“น่าเสียดาย เขาไม่มีบุตร บุตรี ส่วนภริยาก็ตายไปนานแล้ว ทุกวันนี้มีแต่บ่าวไพร่ดูแลอยู่เท่านั้นละขอรับ” เขากล่าวแล้วเปิดประตูให้ฉันเข้าไปในห้องๆหนึ่ง
ในนั้นปรากฏร่างชายชรา ผิวหนังเหี่ยวย่น ตกกระเป็นดวงด่างสีน้ำตาลกระจายทั่ว ดวงตาฟ่าฟางเป็นสีขาวขุ่น ศีรษะมีผมเพียงประปรายเหมือนศีรษะเด็กอ่อน เพียงแต่เส้นผมที่พอมีอยู่บ้างนั้นล้วนแต่เป็นสีขาวโพลนไปเสียสิ้น เขาอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนบนพรมหนังสัตว์ ข้าวของรอบข้างวางไว้อย่างถาวร ส่อให้เห็นว่าความชราได้รุมเร้าเขาจนมิอาจลุกเดินไปไหนมาไหน ได้แต่นอนอยู่กับที่มานานแล้ว
“ทูลฝ่าพระบาททรงทราบ หม่อมฉันคุณหญิงลิอง ภริยาในลั่วลกชง ผู้ว่าราชการมณฑลหลงชุน ขอ...”
ฉันเหลือบแลดูว่าเขาจะคัดค้านสถานะภาพที่ฉันหยิบยื่นให้หรือไม่ แต่ยังมิทันที่ฉันจะพูดจบ ชายชราก็พูดขึ้น
“มีอันใดก็รีบเข้าประเด็นเถิด เนิ่นช้าไปฉันจะแก่ตายเสียก่อน”
เสียงของเขาแผ่วเบาแลแหบพร่า ปานประหนึ่งจักหมดแรงในทุกคราที่เปล่งวาจา ด้วยพยาธิสภาพเช่นนั้นทำให้ฉันเชื่อว่าอายุของเขาคงเข้าปีที่ร้อยสิบสามได้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ด้วยสิ่งที่พูดออกมา แสดงถึงความเจิดจ้าสดใสติดตลกเยี่ยงชายหนุ่ม ทำให้ฉันอดคิดไปไม่ได้ว่าเมื่อครั้งร่างกายของเขายังเยาว์วัยกว่านี้ เขาจะมีอารมณ์ขันถึงเท่าไหน
“ฝ่าพระบาทจักถึงแก่ชีพิตักษัยไปเสียก่อนได้อย่างไรเพคะ” ฉันยกมือขึ้นปิดรอยยิ้มขบขัน “หม่อมฉันยังเห็นฝ่าพระบาททรงแข็งแรงอยู่เลย เห็นทีจะทรงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแก่เหล่าลูกนกลูกกาไปอีกหลายหมื่นปีเป็นแน่แท้เพคะ”
“ได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้วนึกถึงสมเด็จพระจักรพรรดิเบนนุ” เขาเริ่มเรื่องขึ้นมาก่อน “ครั้งหนึ่งฉันกราบบังคมทูลฯ ถวายพระพรชัยมงคล ว่า ‘ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี’ พระองค์ท่านก็มีพระราชดำรัสหยอกเล่นกับฉันว่า คนที่ไหนจะอยู่ถึงหมื่นปี ลำพังแต่ตัวฉันจงอยู่ให้พระองค์ท่านทอดพระเนตรเห็นสักร้อยปีเถิด จนสุดท้ายฉันต้องกราบบังคมทูลถวายคำอธิบายเสียใหม่ว่าฉันขอให้พระเกียรติยศจงเจริญรุ่งเรืองไปถึงหมื่นปี มิใช่มีพระชนมายุถึงหมื่นปี เรื่องคำว่าหมื่นปีนี่ หากคนสนิทกราบบังคมทูลฯแก่พระองค์ท่านคราใด เป็นอันต้องหน้าม้านกลับไปด้วยเหตุต่างๆนาๆทุกที”
ฉันได้แต่อมยิ้มกับความฉลาดหลบหลีกของชายชราผู้นี้และพระราชดำริที่มิเหมือนสมเด็จพระจักรพรรดิพระองค์อื่นของพระเจ้าเบนนุ ส่วนท่านชายเชกีร์ได้แต่ทรงหอบหายพระทัยด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการตรัสที่ยืดยาว
“เออหนา” ท่านชายรับสั่งต่อ “คนแก่ก็เล่าแต่เรื่องเก่า อย่าได้ถือสาฉันเลย บอกธุระเธอมาเถิด”
“หม่อมฉันมาก็ด้วยเหตุบันทึกนี้เพคะ”
ฉันหยิบบันทึกออกมาวางข้างๆพระยี่ภู่ ท่านชายทรงหยิบมันมาทรงพินิจดู ด้วยพระหัตถ์อันสั่นเทาแลไร้เรี่ยวแรงจนฉันต้องเข้าช่วยประคองบันทึกนั้น อดสงสัยมิได้ว่าด้วยพระเนตรที่ฟ่าฟางเช่นนั้น จักทอดพระเนตรเห็นตัวอักษรหรือไม่ ท่านชายทรงกวาดสายพระเนตรเพียงไม่กี่บรรทัด ก็ถึงกับเอ่ยขึ้นด้วยพระสุรเสียงอันแสนจักมั่นพระหฤทัยว่า
“อดีตสมเด็จพระนางเจ้า ทรงพระอักษรเป็นบันทึกเช่นนี้หรือ”
“นี่เป็นลายพระหัตถ์ในสมเด็จพระนางเจ้าจริงหรือเพคะ ฝ่าพระบาททรงแน่พระหฤทัยได้อย่างไรเพคะ” ฉันทูลถามด้วยความงุนงง
“เมื่อครั้งโยอันทำสงครามกับเมืองโกว สมเด็จพระจักรพรรดิเบนนุทรงบาดเจ็บด้วยพิษร้าย ครั้งนั้นสมเด็จพระนางเจ้าได้มีพระราชหัตถเลขาถึงฉันในเมืองหลวง ให้ตามหาหญิงผู้มีนามว่าอิบง มารักษาพระอาการของสมเด็จพระจักรพรรดิ ฉันย่อมจำได้อย่างแน่แท้”
“แล้วพระราชหัตถเลขานั้น ตอนนี้อยู่ที่ไหนกันเพคะ” ฉันกล่าวด้วยความอยากเห็นเต็มที่
“มิอยู่แล้ว” ท่านชายตรัสหอบเหนื่อย
บ่าวชายคนหนึ่งเข้ามารินพระสุธารสชาแลอยู่งานป้อน ท่านชายทรงจิบแต่น้อย ส่วนฉันคิดหาคำตอบว่าหากแม้นท่านชายเชกีร์ได้รับพระราชหัตถเลขาจากพระนางเจ้าแล้วไซร้ เหตุใดจึงมิเก็บรักษามันไว้ ฤาว่าชายชราผู้นี้หาใช่ท่านชายจูอิน ชุน เชกีร์ไม่ เช่นนั้นแล้ว เขาย่อมมิอาจเล่าถึงพระราชกิจส่วนพระองค์ได้เป็นแน่แท้ คิดเช่นนั้นจึงลองถามเขาดูเผื่อจะเห็นล่องรอยความผิดปกติบ้าง
“ฝ่าพระบาทเพคะ หม่อมฉันนั้นเกิดไม่ทันรัชสมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเบนนุ ได้แต่ฟังเขาเล่าว่าทรงเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ แท้แล้วเป็นเช่นใด”
“ทรงเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิที่ห่วงใยอาณาประชาราษฎร์ ทรงพยายามธำรงแบบแผนในสังคม” ชายชราหันมามองฉันโดยตรงก่อนจะพูดว่า “ทั้งที่ในพระราชหฤทัยเบื้องลึกแล้วพระองค์ท่านทรงมีความสงสัยใคร่รู้อยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังทรงคิดอ่านนอกกรอบแลบรรทัดฐาน ทรงมองการณ์ไกลเป็นที่สุด”
“ที่ว่านอกกรอบนั้นเป็นอันใด ฤาว่า...”
ฉันเว้นจังหวะให้คำถามดูน่าสนใจยิ่งขึ้น เพราะเหตุคำถามนี้จะเป็นการจุดชนวนเรื่องราวต่างๆ
“ฤาว่าเรื่องที่พระองค์ท่านเสด็จประพาสหอหมื่นบุปผาจะเป็นความจริง คราวนั้นฝ่าพระบาทแลขุนพลอิงฝ่าก็ตามเสด็จด้วย เห็นทีมีแต่ฝ่าพระบาทที่ทรงทราบความจริง”
ราชนิกูลชราส่งสายพระเนตรขุ่นมัวแต่มุ่งมั่นมายังฉัน จนฉันกลัวว่าจะทรงเอ็ดเอา ด้วยคำถามเหล่านั้นช่างหมิ่นพระเดชานุภาพเสียเหลือเกิน สุดท้ายท่านชายก็เพียงแต่ทรงแย้มมุมพระโอษฐ์ที่ย่นเป็นรอยริ้ว
“เรื่องนี้ฉันได้ตั้งใจไว้ว่าจะมิเล่าขานเอากับผู้ที่มิรู้จักสมเด็จพระจักรพรรดิเบนนุ ในเมื่อเธอมิได้รู้จักพระองค์ท่านเป็นการส่วนตัว ก็ต้องฟังฉันเล่าให้มักคุ้นเสียก่อน จึงจะเข้าใจว่าสมเด็จพระจักรพรรดิเบนนุหาได้ทรงลุ่มหลงมัวเมาในอิสตรีอย่างที่เล่าลือกันไปต่างๆนาๆ”
จากนั้นฉันจึงตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ ราชนิกูลชรามิเพียงทรงเล่าถึงเรื่องที่หอหมื่นบุปผาแต่ยังตรัสเลยไปถึงเรื่องอื่นๆ อีกมาก หลังจากที่ทรงสนทนาจนอาทิตย์เริ่มจะยอแสงฉันจึงต้องทูลลากลับ
แลฉันก็รับหน้าที่ในการรวบรวมบันทึก สอบสวนความจริงเรื่อยมาจนในที่สุด ก็สำเร็จสมบูรณ์ โดยทำเป็นคำจารึกตีแผ่นทองลายนูนต่ำจำนวนร้อยแผ่น เจาะปลายร้อยห่วงทองรวมเป็นหนึ่งเล่ม ทั้งหมดมีห้าสิบเล่ม สามีของฉันทูลเกล้าฯถวายสมเด็จพระจักรพรรดิชงเต
เนื่องจากเล่มที่ทูลเกล้าฯถวายมีเนื้อหาเน้นหนักไปแนวทางบริหารและปกครองบ้านเมือง ตลอดจนปรัชญา แลตัดทอนบางเรื่องอันจักทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศในพระมหาจักรพรรดิเบนนุไป ฉันจึงเขียนมันขึ้นมาใหม่อีกเล่มหนึ่ง รวมทุกรสรักแลความอุ่นละมุน เสมือนกับนั่งดูอยู่ข้างพระราชบรรจถรณ์ แลต้องนับว่าเล่มที่สามีของฉันทูลเกล้าฯถวายเป็นจารึกฉบับหลวง ส่วนเล่มที่เขียนขึ้นใหม่เป็นจารึกฉบับราษฎร์
ฉันจึงขอเปิดจารึกฉบับราษฎร์ของฉัน ภายใต้ชื่อ ‘นางบำเรอหลวง’ สู่สายตาทุกท่าน ณ บัดนี้
ความคิดเห็น