ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมเรื่องสั้นของสาลิกา

    ลำดับตอนที่ #1 : เรื่องสั้นที่ 1 ฤาว่าเราไม่เคยมีใจให้แก่กัน

    • อัปเดตล่าสุด 2 ธ.ค. 48


                                        

    รีไรท์ 20 ม.ค. 2548



        “บอกกะฉันเซะว่าเรานั้นไม่เคยมีอารายกัน เรื่องราวที่ผ่านมันเป็นแค่ฝันไป”



        ถ้ามีใครผ่านมาแถวๆริมชายหาดนาจอมเทียนตอนตี 2 คงเจอไอ้บ้าหน้าตาตี๋สองตัว กอดคอกันนั่งกระดกแบล็กเลเบิ้ล แหกปากร้องเพลงด้วยเสียงอ้อแอ้ ชนิดที่เรียกว่าถ้าเจ้าของเพลงมาได้ยินเข้า คงอยากไล่ถีบเรียงตัว



        ไอ้คนที่สวมกางเกงสแล็คเปรอะทรายกับเสื้อสีฟ้ายู่ยี่นั่นแหละครับคือผมเอง ส่วนคนที่กอดคอกับผมอยู่นี่ คือ พี่หยุน ลูกพี่ลูกน้องของผม พี่เขากระดกเหล้าแบบอึกต่ออึกมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว ส่วนผมไม่รู้จะทำอะไรได้นอกจากคอยพูดคุยให้หายคลายกลุ้ม

          “นี่ พี่หยุน หักห้ามใจซะบ้างเถอะ กะอีแค่ผู้หญิงคนเดียว”



        ผมพยายามปลอบใจ แต่ลูกผู้พี่ของผมกลับยกขวดเหล้าในมือขึ้นกรอกน้ำสีอำพันลงสู่ลำคออีก จากนั้นจึงเค้นเพลงประจำออกมา ผมเอาด้วย เรื่องอะไรจะปล่อยให้เขาร้องอยู่คนเดียวล่ะ



        “บอกกะฉาน เซะว่าเรานั้นม่ายเคยเมอารายกัน”



        ใช่ครับ อย่างที่คุณเข้าใจ พี่หยุน ‘อกหัก’ ผมก็ด้วยเหมือนกัน เพียงแต่อาการอกหักนี่มันเกิดขึ้นกับผมก่อน เลยทำใจได้มากกว่า ส่วนพี่หยุน เพราะมันเพิ่งเกิดขึ้นมาหมาดๆ จึงเข้าขั้นสาหัสและไม่ว่าผมจะพยายามพูดอะไรให้คลายเศร้า พี่เขาจะตัดบทด้วยการตะเบ็งเสียงขึ้นมาว่า ‘บอกกะฉานเซะว่าเรา...’ เป็นอย่างนี้ทุกทีไป  



        ผมคงจะต้องเริ่มเรื่องและลำดับเหตุการณ์ทุกอย่างจากมุมมองของตัวเอง ผมชื่อ คิม เป็นชื่อจีนเหมือนกับ ลี้ คิม ฮวง ไม่ใช่ kim ที่เป็นชื่อฝรั่ง มีน้องชายฝาแฝดคนหนึ่งชื่อ โจ เป็นชื่อจีนเหมือน โจ เหวิน ฟะ ไม่ใช่ Jho เหมือนอย่างโจอี้ บอย



        ผมต้องบอกเสียก่อนว่าผมนับญาติแบบไทยไม่ค่อยเป็นเพราะที่บ้านเรียกกันเป็นภาษากวางตุ้ง แต่เพื่อความเข้าใจของผู้อ่านชาวไทยแล้ว ผมจะพยายามลำดับญาติให้ฟังเป็นภาษาไทยกันอย่างนี้ครับ ปู่ของผมเป็นคนจีน ท่านพาย่านั่งเรือสำเภาจากเกาะเกาลูนมาตั้งรกรากอยู่ในเมืองไทย จนเกิดป้ากับพ่อของผมขึ้นมา พอป้าแรกสาวคุณปู่ก็จับแต่งงานกับหนุ่มฮ่องกงลูกชายเพื่อนสนิท มีพยานรักด้วยกันสามคน คือ พี่หยาง พี่เหยียน และพี่หยุน เหตุที่ผมสนิทกับพี่หยุนเป็นพิเศษเพราะพี่เขาชอบเมืองไทยและมักจะตามป้ากลับมาเยี่ยมเยียนเมืองไทยเสมอ จนพูดภาษาไทยได้คล่องแคล่วและค่อนข้างชัดเจนทุกคำ



        พ่อของผมเป็นหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัทข้ามชาติ เรามีสาขาบริษัทในฮ่องกง มาเก๊า ไทย ออสเตรเลีย อังกฤษ และเอกวาดอร์ พ่อของผมมักถือคติสอนใจที่ว่า ‘เชื่อลูกเหมือนตาบอดข้างหนึ่ง เชื่อหลานเหมือนตาบอดสองข้าง เชื่อคนอื่นเหมือนทั้งหูหนวกและตาบอด’ เพราะฉะนั้นบริษัทพวกนี้พ่อมักจะส่งลูกๆหลานๆไปดูแล หากจำเป็นต้องให้คนอื่นที่เก่งและไว้ใจได้บริหารจัดการงาน ท่านก็จะจับแต่งงานเป็นเขยบ้านเสียให้หมด เป็นอีกวิธีหนึ่งซึ่งทำให้ท่านไม่เสียใจที่มีลูกชายเพียงสองคนแต่มีลูกสาวเป็นโหลๆ



        หลังจากที่ลูกชายฝาแฝดของท่านจบปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจกันทั้งสองคน พ่อส่งโจไปทำงานที่สาขาฮ่องกงซึ่งคุณพ่อของพี่หยุนและตัวพี่หยุนเองดูแลอยู่ จากนั้นโจไปเรียนต่อปริญญาโทที่ออสเตรเลียและทำงานในบริษัทสาขาของเราที่โน่น ส่วนผม ชายหนุ่มผู้สำเร็จการศึกษาระดับมหาบัณฑิตจากอังกฤษถูกส่งมาทำงานที่สาขาฮ่องกงในระดับผู้บริหาร



        และนั่นทำให้ผมรู้ว่าพี่หยุน...กำลังมีความรัก....เมื่อเขาเอ่ยปากขึ้นในขณะที่เรานั่งจิบเหล้าฟังเพลงอยู่ในผับด้านล่างของตึกออฟฟิส



        “คิม มันจะเป็นอย่างไรถ้าคนเราหลงรักคนที่ไม่ควรรัก”



        “ไม่ควรยังไงล่ะพี่”  ผมถาม



        “ก็อย่างเช่น” พี่หยุนถอนหายใจยาว ท่าทางของเขาไม่เหมือนกำลังเรียบเรียงความคิด แต่เหมือนกำลังชั่งใจว่าจะพูดเรื่องนี้กับผมดีหรือเปล่า ในที่สุดเขาก็เค้นเสียงออกมา  



    “เช่น เขามีคนควงอยู่แล้ว”



        “บัดโธ่ กลัวอะไรล่ะพี่ ของอย่างนี้ใครมือยาว สาวได้ก็สาวเอาดิ่” ผมพูดพลางตบไหล่เขาเบาๆ



        ผมเองไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะตัวเองไม่ได้มีนิสัยอยากรู้อยาก   เห็นจนต้องเฝ้าสอดส่องว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร แค่ใช้ชีวิตตามปกติวิสัยชายโสด และเพราะตึกออฟฟิศของบริษัทเราทุกๆสาขามีห้องนอนของผู้บริหารอยู่ชั้นบน ชั้น 2-3 เป็นออฟฟิศ ชั้นล่างมักจะเป็นห้องโถง มีคาราโอเกะหรือผับบาร์เล็กๆพอให้นั่งฟังเพลงหย่อนอารมณ์ได้บ้าง ผมจึงใช้ชีวิตแบบครบวงจรอยู่ในตึก ชนิดที่เรียกว่าแทบไม่เคยก้าวเท้าออกมาข้างนอกเลย



        จวบจนวันหนึ่ง ที่จริงมันคงเป็นวันราหู วันมฤตยูมหาวิบัติ เพราะอยู่ดีๆก็มีนังเซ่อซ่าที่ไหนไม่รู้เดินมาชนผม จนกาแฟในมือหกใส่สูตรอาร์มานี่ตัวละห้าหมื่น ผมมองหน้าเตรียมตัวจะโวยวายแม่นั่นเต็มที่ แต่แล้ว...เหมือนจันทรามาสาดแสงเข้าที่กลางใจ แก้มขาวใสไร้เดียงสา ตากลมโตฉายแววน่ารักน่าเอ็นดู รับกับริมฝีปากชมพูจิ้มลิ้ม ตรึงใจผมจนตกตะลึง ทำอะไรไม่ถูก สำนึกได้แต่เพียงดวงหน้า สำเหนียกได้แต่เพียงเสียงของเธอเท่านั้น



        “พี่โจหรือพี่คิมคะ” เธอยิ้มขณะที่พูดขึ้นเบาๆเป็นภาษากวางตุ้ง แล้วชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ใช้เรียวนิ้วเขี่ยไรผมที่ปรกอยู่บนคิ้วของผมจนเห็นแผลเป็น ผมต่างจากโจตรงที่มีแผลเป็นที่หางคิ้ว เพราะตอนเด็กๆโจมันตกต้นไม้ผมวิ่งเข้าไปรับ เลยโดนฟันหน้าของน้องชายฝาแฝดเฉาะเอา



    “พี่คิม ดีใจจัง ไม่เจอกันตั้งนาน”



        เธอรู้จักผม ! ไม่จริง ! เป็นไปไม่ได้ ! ถ้าผมเคยเห็นเธอมาก่อน แม้แต่เพียงครั้งเดียว ไม่มีทางที่จะไม่จีบ



    คงเพราะความงุนงงที่ปรากฏออกมาอย่างเด่นชัดบนใบหน้า น้องสาวคนงามจึงยื่นมือออกมาจับแขนผมอย่างสนิทสนมและเอื้อนเอ่ยขึ้นก่อน

        “พี่คิม ลี่อี๋ไง จำไม่ได้เหรอ ลี่อี๋เองนะ”    



        ลี่อี๋! ภาพเด็กกะโปโลตัวเล็กๆ อายุไม่เกิน 6 ขวบเดินต้อยๆตามป้าของผม ปรากฏขึ้นมาในหัว เธอเป็นหลานข้างสามีของป้า ยัยเด็กฮ่องกงที่ไม่รู้จักสลิ่ม เลยโดนผมกับโจหลอกว่าสลิ่มเป็นเครื่องบำรุงเส้นผม น้องท่านก็ควักสลิ่มขึ้นไปแปะบนหัว พี่ชายตัวแสบได้ทีช่วยกันยีจนแยกไม่ออกว่าเส้นไหนคือผม เส้นไหนคือสลิ่ม เล่นเอาถูกป้าตีเกือบตาย...ลี่อี๋...โตขนาดนี้ สวยขนาดนี้เชียวหรือ



        ผมได้แต่ยิ้ม ส่งสีหน้าแสดงสายตาให้รู้ว่าจำได้ และแน่ล่ะผมไม่ยอมทานอาหารกลางวันมื้อนั้นโดยปราศจากเธอ



        มันเป็นมื้อกลางวันที่แสนวิเศษ รสชาติอาหารน่ะ อร่อยไม่อร่อยไม่รู้ รู้แต่จิตใจช่างเปี่ยมล้นด้วยความสุข เรากลับไปทำงานอย่างเบิกบาน พอเลิกงานผมโทรหาเธอ คุยสัพเพเหระกัน จวบจนต้องวางสายไปทั้งๆที่ใจไม่อยากวาง เพราะเวลาล่วงเลยคำว่า ‘ดึก’ มามากแล้ว ถึงกระนั้นผมยังข่มตาหลับได้ยากยิ่ง ได้แต่คิดวกไปวนมาถึงสถานะและสภาพของเรา



    ช่างมันปะไร ผมกับเธอไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆสักหน่อย เราไม่มีทางเกี่ยวข้องดองญาติอะไรกันเลย ถ้าไม่ใช่เพราะป้าของผมไปแต่งงานกับอาของเธอเข้า



        ลี่อี๋...น้องจะรู้บ้างไหมว่าพี่ไม่ได้คิดกับน้องอย่างที่เคยเป็นมา และไม่ได้คิดกับน้องอย่างที่ควรจะเป็น



        เช้าวันรุ่งขึ้นผมเหมือนคนโรคจิต เดินกระสับกระส่ายสอดส่องมองจากหน้าต่างรอดไปที่ถนน หวังว่าจะเป็นคนแรกที่เห็นเธอเดินเข้าประตูที่ทำงาน แต่สิ่งที่ผมเห็น คือรถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าประตู  อาตี๋ที่ไหนไม่รู้ลงมาเปิดประตูให้นางฟ้าของผม พลันขับรถออกไป ผมใจหายวาบ แล้วความหวาดหวั่นนั้นกลับเป็นโทสะ ขาพาร่างเดินดุ่มตรงเข้าหาเธอ



        “นั่นใครน่ะ ลี่อี๋” ผมกระชากต้นแขนขณะถาม



        “เพื่อนน่ะ”  เธอตอบ



        “เพื่อนหรือเพื่อนชาย”  ผมกระแทกเสียงทั้งที่รู้ว่ามันเริ่มจะเกินขอบเขตของการเป็นพี่



        “เพื่อนธรรมดา พี่คิม ไม่เชื่อลี่อี๋เหรอ”



        นัยน์ตาไร้มารยา ผนวกด้วยน้ำเสียงยืนยันหนักแน่น ขจัดข้อสงสัยในใจผม แต่ถึงจะเป็นเพียงเพื่อนก็เถอะ ยังแสลงใจอยู่ดี

        “ต่อไปไม่ต้องให้ใครมาส่งอีกนะ พี่จะเป็นคนไปรับไปส่งลี่อี๋เอง”



        งงครับ ผมรู้ว่าเธองงแหงๆ แต่น้องสาวคนดีของผมไม่ได้แสดงอาการขัดแย้งอะไร กลับยอมรับข้อเสนอของผมโดยดี



        จากนั้นมาผมจึงไปรับไปส่งเธอทุกวัน มันช่างเป็นช่วงเวลาที่เต็มตื้นเบิกบาน และทำให้ผมเชื่อว่าสวรรค์บนดินนั้นมีอยู่จริง โดยเฉพาะในเช้าวันหนึ่ง มันเป็นวันที่ผมจำเป็นจะต้องเข้าประชุมในตอนเช้า จึงสั่งเลขาให้ขึ้นมาปลุกตอนเจ็ดโมง เลขาของผมไม่เคยปลุกช้า วันนั้นก็เช่นกัน ผมกำลังแต่งตัวอยู่ในขณะที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมเดินไปเปิดประตูแต่ผิดคาด



        “เลขาพี่ลาป่วยน่ะค่ะ ลี่อี๋กลัวพี่จะตื่นสายเลยมาปลุกแทน”



        เธอชำเลืองมองกระดุมแขนเสื้อบริเวณข้อมือที่ยังใส่ไม่เรียบร้อย พลางบรรจงจับมันขึ้นมาติดให้ กลิ่นหอมยวนเย้าโชยมาจากกายของเธอ ริมฝีปากนวลชวนสัมผัสประชิดประจันอยู่ตรงหน้า อย่างที่เขาว่าน้ำตาลใกล้มด มดที่ไหนจะอดใจได้



        ผมคว้าตัวเธอมากอดแล้วพรมรอยจุมพิตลงบนริมฝีปากอ่อน นุ่มลิ้น เธอพยายามผลักใส แต่ไม่แล้ว ไม่มีการหยุดยั้งใดๆทั้งสิ้น ผมอดผมทนมามากแล้ว รอยจูบนี้จะโรยจนทั่วร่าง ไม่ให้เว้นว่างที่ส่วนใดเลย



        “พี่คิม หยุดนะ”  เธอร้องขณะที่ผมกดร่างแบบบางของเธอลงกับเตียง “ไม่มีพี่ชายที่ไหนทำกับน้องสาวแบบนี้หรอก”  



        “ลี่อี๋ ฟังพี่นะ เราเป็นพี่น้องกันไม่ได้ ในเมื่อใจเราไม่ได้คิดต่อกันอย่างนั้น หรือว่าลี่อี๋ไม่ได้มีใจให้พี่สักนิดเลย”  ผมถามเพื่อจะได้รู้ว่าตัวเองไม่ได้คิดไปเองฝ่ายเดียว



        “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ” เธอปฏิเสธ “แต่...ลี่อี๋ไม่ดีพอสำหรับพี่หรอก เพราะว่าพี่...พี่คิมไม่ได้กำลังจะเป็นคนแรกของลี่อี๋”



        ผมอึ้ง ถามตัวเองว่าจะรังเกียจเธอด้วยเรื่องนี้ละหรือ ของที่มันใช่ ถึงแม้จะมีตำหนิอยู่บ้าง แต่ก็ยังใช่อยู่ดี แทนคำตอบผมบรรจงประทับรอยจูบอีกครั้ง เธอยอมรับมัน ด้วยความรู้สึกลึกซึ้งและดื่มด่ำ



         ในไม่ช้าร่างเปลือยเปล่าของนางฟ้าที่รักก็มานอนนิ่งอยู่ข้างๆให้ผมได้กอดเธออย่างทนุถนอม



    ผมให้กุญแจห้องนี้ไว้กับเธอ เพื่อจะได้เข้ามาหาผมได้ทุกเมื่อ และเธอก็ได้ใช้มันเข้ามากระชับความรักความรู้สึกของเราให้แนบแน่นขึ้นเป็นประจำ



    ยิ่งคิดยิ่งแน่ใจ ผมจะไม่ยอมให้ความสัมพันธ์ของเราเป็นเช่นนี้ตลอดไป ในทางตรงกันข้ามผมกำลังคิดที่จะ...แต่งงาน! มันคงเป็นเรื่องยากมากๆสำหรับพ่อหากรู้ว่าผู้ที่กำลังจะมาเป็นลูกสะใภ้คือใคร แต่ยังไงมันก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี



    ระยะเวลาสามสี่อาทิตย์มานี้ ผมอินเลิฟเสียจนห่างหาย ไม่เห็นหน้าที่หยุน จนกระทั่งวันหนึ่งผมมีโอกาสมาจิบเหล้าฟังเพลงในผับชั้นล่างของตึก จึงได้พบกับเขา สีหน้าของพี่หยุนเบิกบานกว่าทุกคราว ไม่ต้องเดาก็ดูออกว่ากำลังมีความสุขสุดๆ



    “แฮปปี้จังนะพี่หยุน” ผมทัก “ชีวิตรักเป็นไงบ้าง”



    “แฮปปี้ซิ นางในฝันของพี่น่ะ ช่วงนี้...ก็ เกาะแกะกันอยู่ ดูเหมือนเขาจะสนพี่อยู่เหมือนกัน”



        “จริงง่ะ” ผมยิ้ม “เราสองคนนี่มีความรักพร้อมๆกันเลยนะ เสียแต่ว่าผมอาจจะมีข่าวดีก่อน”



        “ข่าวดี! จะแต่งแล้วเหรอ” พี่หยุนพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเต็มที่

    แทนคำตอบผมได้แต่ยิ้มด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข  



    ผมรู้ไม่นานเรื่องต้องไปถึงหูพ่อกับแม่แน่ๆ ดีเหมือนกัน จะได้ฤกษ์คุยกับท่านจริงๆจังๆเสียที แต่แล้วผมกลับต้องประหลาดใจเมื่อมีโทรศัพท์ทางไกลจากเมืองไทยส่งตรงมายังห้องทำงาน ขณะที่ผมทำงานล่วงเวลาอยู่ ผมต้องตั้งสติอยู่นานก่อนจะรับสายและพบว่าผู้ที่โทรมา คือ น้องชายฝาแฝดของผม



    “พี่คิม พรุ่งนี้ผมจะไปจัดการเรื่องบัญชีออมทรัพย์ที่ฮ่องกงวันนึงน่ะ คงได้เห็นหน้าว่าที่พี่สะใภ้ ได้ข่าวว่าจะแต่งงานไม่ใช่เหรอ” โจถาม

    “แหม ข่าวลือไปเร็วจังนะ นี่พี่ก็อยากให้โจช่วยพูดกับพ่อแม่ด้วย คงยากที่ท่านจะเข้าใจถ้ารู้ว่าแฟนพี่คือใคร”



        “ก็แล้วใครกันล่ะพี่คิม”



    มันถึงเวลาที่ผมจะต้องบอกใครสักคนแล้ว และโจเป็นคนที่ควรรู้มากที่สุด เขาคงพูดกับพ่อแม่และค่อยๆเกลี้ยกล่อมให้ท่านยอมรับเรื่องนี้ได้ดี ผมอยากให้ท่านได้เตรียมอกเตรียมใจเสียก่อนที่จะได้ยินจากปากของผมเอง



    “ลี่อี๋!”  



    โจทวนคำเมื่อผมบอกชื่อว่าที่เจ้าสาว จากนั้นจึงนิ่งงั้นไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มคำพูดที่ทำให้ผมอดฉุนขึ้นมาไม่ได้

    “จิ้มเขาไปแล้วล่ะซิ พี่คิม ไม่เป็นไรน่ะ สาวสวยในโลกยังมีให้แต่งงานด้วยอีกเยอะ ไม่ต้องจริงจังกับแม่นั่นมากหรอก เอาไว้ระบายความใคร่เฉยๆก็พอ หายอยากแล้วก็...”



    “ไอ้โจ มึงเงียบไปเลยนะ กูรักของกู ยังไงกูก็จะแต่งกับคนนี้” ผมตะคอกขัดจังหวะการพูด



    เกิดมาไม่เคยขึ้นมึง-กูกับโจเลย แต่ตอนนั้น วินาทีนั้น มันสุดจะทนให้คนอื่นมาเหยียดหยามผู้หญิงของตัวเองได้ ผมได้แต่กรัดกรามแน่นขณะฟาดหูโทรศัพท์ลงกับแป้นด้วยความโกรธ หลังจากนั้นจึงเอนตัวนั่งพิงพนักเก้าอี้นวมถอนหายใจแรงๆ รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองควรจะทำมากที่สุด คือ การขับไล่ความรู้สึกแย่ๆออกไป ด้วยการนอนเหยียดยาวบนที่นอน จึงตรงดิ่งขึ้นลิฟต์จากชั้นที่เป็นออฟฟิส สู่ห้องด้านบน



    ความรู้สึกแรกเมื่อไปยืนอยู่หน้าห้องของตัวเอง  คือ ความฉงน กับเสียงของใครบางคนที่กำลังดื่มด่ำเมามันในการรื่นรัก ผมถอยออกมาก้าวหนึ่งเพราะเริ่มสงสัยว่ามาผิดห้อง แต่ไม่ครับ มันเป็นห้องของผมจริงๆ



    ด้วยความอยากรู้ผมก็เลยไขกุญแจเข้าไป



    ในห้องนอนของผม...บนเตียงของผม...แฟนผมกำลังระเริงรักอยู่ใต้ร่างไอ้หื่นที่ไหนไม่รู้ ผมกระชากไหล่ของร่างที่ทาบทับอยู่บนตัวเธอ ง้างหมัดเตรียมชกมันเต็มแรง แต่กลับต้องค้างไว้อย่างนั้นเมื่อเห็นหน้าหมอนั่นชัดๆ



    “พี่หยุน!?!”



    ผมปล่อยเสียงระคนความงุนงง สีหน้าของเขาก็งงงันเหมือนกัน



    “พี่หยุนทำอย่างนี้ได้ยังไง”  ผมเปิดฉากก่อน



    “ช่วยไม่ได้จริงๆว่ะ”  เขาตอบ “ พี่รู้ว่าพี่กับลี่อี๋เป็นญาติสนิทกัน เธอเป็นนางในฝันที่พี่ไม่สมควรจะแตะต้อง แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ”

    ผมอึ้งหันไปสบตาผู้หญิงที่รักและบูชา หวังว่าเธอจะขอโทษ หวังว่าเธอจะบอกว่าไม่ได้เต็มใจ แต่เปล่า เธอได้แต่ทำสีหน้าเฉยเมยพร้อมกับดึงเอาผ้าห่มมาพันกายเดินดุ่ม ออกจากห้อง ผมรีบตามออกไปแล้วคว้าแขนของเธอไว้อย่างแรง แม่ปีศาจหน้าใสระเบิดเสียงใส่ผมทันที



    “พี่คิม อย่ามายุ่งได้ไหม นี่มันร่างกายของลี่อี๋ ตัวของลี่อี๋ พี่คิมไม่ใช่เจ้าของ ลี่อี๋จะทำอะไรกับใคร พี่คิมไม่เกี่ยวนะ”



    “พี่ไม่เกี่ยวเหรอ แล้วที่เรานอนกอดกันทุกคืนมันอะไร”  ผมถาม เค้นเอาความเจ็บช้ำออกมากับน้ำเสียง



    “ก็แค่เล่นสนุก” เธอตอบ สั้น ห้วน แต่ทำให้ผมเจ็บปวดแทบขาดใจ



    ลี่อี๋เป็นคนที่พี่หยุนฝันถึงมาตลอดและเขาก็คงเป็นคนที่ใช่สำหรับเธอ ส่วนผม..เป็นได้แค่ของเล่น



    แต่จะเป็นของเล่นอยู่ไม่นานนักหรอก



    ผมรีบเก็บข้าวของให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ แล้วยัดตัวเองใส่รถแท็กซี่มุ่งตรงสู่แอร์พอร์ต ตั๋วเครื่องบินกลับเมืองไทยที่เร็วที่สุดเท่าที่จะหาได้ คือ เที่ยวที่จะออกวันพรุ่งนี้ตอนเย็น ผมจึงนอนในโรงแรมด้านบนของสนามบิน



    รุ่งขึ้นระหว่างนั่งจิบกาแฟรอเที่ยวบิน ผมเกิดนึกถึงโจขึ้นมา วันนี้น้องชายฝาแฝดของผมมาจัดการบัญชีออมทรัพย์ในฮ่องกง เขาคงแปลกใจ ที่อยู่ดีๆผมก็หนีกลับเมืองไทยเสียอย่างนั้น



    ในขณะนั้นเองผมรู้สึกเหมือนมีเงาของใครบางคนอยู่ข้างหลัง จึงหันไปมอง แต่กลับต้องตกใจเมื่อเห็นพี่หยุนถลาเข้ามากระชากคอเสื้อผม

    “ไอ้โจมึง!”

         “ดะ เดี๋ยว นี่ผมคิม ไม่ใช่โจ”  



    ผมรีบปฏิเสธแล้วเสยผมเปิดแผลเป็นที่หางคิ้วให้เห็น ทันทีที่รู้ว่าเป็นผม พี่หยุนโผเข้ามากอด ร้องไห้ พร้อมทั้งปล่อยเสียงพูดระคนสะอื้น

        “คิม ให้พี่กลับเมืองไทยด้วยนะ พี่ไม่อยากอยู่นี่แล้ว ให้พี่กลับด้วย”



        ผมได้แต่ลูบหลังพี่หยุนเบาๆ ไม่รู้จะปลอบใจยังไง เพราะไม่รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้พี่เขาร้องไห้เป็นวักเป็นเวรแบบนี้ ไม่นานนักผมได้ยินเสียงที่คุ้นชินของน้องชายฝาแฝดดังขึ้น ขณะที่โจเอื้อมมือมาตบไหล่พี่หยุน



        “ไงลูกเพ่ ร้องไห้ทำไมเนี่ยะ เดี๋ยวชาวบ้านเขาก็นึกว่าคู่เกย์มาร้องไห้ร่ำลากันหรอก”



        “ไอ้โจ มึงแย่งแฟนกู”



    พี่หยุนกระชากเสียงแล้วผลักน้องผมจนเซไปกระแทกโต๊ะ แต่โจยังทำหน้าตาย ลุกขึ้นมาจัดเสื้อผ้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น



    “ใครล่ะ แฟนพี่หยุน”  โจพูด “ ถ้าหมายถึงแม่นั่นน่ะ เขาเป็นแฟนกะหนุ่มๆทั้งโลกแหละ ไม่ต้องจริงจังมากหรอก เอาไว้ระบายความใคร่เฉยๆก็พอ หายอยากแล้วก็กลับบ้าน มา กลับบ้านกันเหอะ”



    โจเข้ามายืนแทรกกลาง ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นกอดคอผมและพี่หยุน เราสองคนได้แต่เดินต้อยๆตามเขาไป



    ทันทีที่กลับมาถึงเมืองไทย ดูเหมือนจะมีแต่โจที่กระชุ่มกระชวย สบายเนื้อสบายตัวพอที่จะกลับเข้าบริษัทและทำงานในทันที แต่ผมกับพี่หยุนหดหู่จนต้องพากันขับรถตรงดิ่งมาทอดอาลัยตายอยากริมทะเล แล้วพี่เขาก็ได้แต่กระดกเหล้าตะเบงเสียงอ้อแอ้



    “บอกกะฉานเซะว่าเรา นั้นไม่เคยเมอารายกัน”



    หากเมื่อเร็วๆนี้ท่านได้ขับรถผ่านไปแถวริมหาดนาจอมเทียนตอนประมาณตี 2 เห็นไอ้บ้าหน้าตาตี๋สองคนกินเหล้าแหกปากร้องเพลงนี้อยู่ อย่านึกด่ามันใจในเลยครับ สงสารคนที่หัวใจแหลกสลายอย่างมันเถอะ





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×