ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : chapter-*-1 จุดเริ่มต้น
                ทันทีที่มือข้าสัมผัสมัน แสงสว่างก็วาบขึ้น แสงสว่างที่เจิดจ้าทว่าอบอุ่น ความอบอุ่นที่ทำให้จิตใจข้าสงบลงอย่างปละหลาด แต่เลือดภายในกายกลับร้อนรุ่มและสูบฉีดอย่างรุนแรงเสมือนว่าจะเพิ่มพลังให้กับข้าอย่างเต็มเปี่ยม สมองข้ากำลังปลอดโปร่งให้ความรู้สึกถึงความพร้อมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ข้ารู้สึกเหมือนกับว่าจะสามารถพ่านพ้นเรื่องทุกข์ยากต่างๆไปได้โดยง่าย หากว่าข้าได้ครอบครองมัน...
     
              “ว่าแล้ว...” น้ำเสียงที่แฝงความตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยดังขึ้น
              “อิฟิครีส เจ้า...เป็นเจ้าจริงๆ ข้าคิดมาตลอดว้าต้องเป็นเจ้า เจ้าที่สามารถใช้มันได้” น้ำเสียงเดิมพูดกับเด็กหนุ่มนัยน์ตาสีฟ้าสดใสที่แฝงความปละหลาดใจ  ใบหน้าที่มีเค้าโครงสวยได้รูปบัดนี้ฉายแววครุ่นคิด
   
              “รับไปสิอิฟิครีส ข้ายกให้เจ้า ถือเป็นของกำนัลจากข้า ในฐานะที่เจ้าทำให้ข้าพอใจ” น้ำเสียงที่เคยตื่นเต้นบัดนี้กลับสงบลง ในแบบที่ต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่เป็นแน่ แต่ก็ไม่มีผู้ใดได้ทันสังเกตเห็น ดูเหมือนความสนใจของทุกคนที่นี่จะมุ่งไปแค่สิ่งนั้น... เท่านั้น
   
              “ท่านจะยกให้ข้าจริงๆหรือ ไม่...ไม่ใช่แน่ๆ ข้าไม่ได้โง่นะโบรีอัส ข้ารู้ว่านี่ไม่ได้เป็นสิ่งที่จะยกให้ใครได้ง่ายๆ ในเมื่อมันมีค่ามากขนาดนี้ และข้าก็ยังเชื่ออยู่เสมอว่าของฟรีไม่มีในโลก” อิฟิครีสกล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง แต่เหนือสิ่งอื่นใดอิฟิครีสรู้ดีว่าบัดนี้--ปากของเขาไม่ตรงกับใจเท่าใดนัก แสงสว่างเจิดจ้าเมื่อครู่เริ่มอ่อนแสงลงแล้ว
ความมืดเข้าปกคลุมพื้นที่แห่งนี้อีกครั้ง
              “ฮ่าๆ เจ้านี่ถูกใจข้าจริงๆ แต่เจ้าอย่าปฏิเสธข้าเลยอิฟิครีส--ข้าตั้งใจยกมันให้เจ้าจริงๆ เจ้าเป็นคนที่สองที่ใช้มันได้รองจากข้า แล้วอย่าบอกข้าอิฟิครีสว่าภายในใจเจ้าไม่ได้ปรารถนามัน” โบรีอัสพูดก่อนจะหยุดเว้นวรรคเพื่อให้อิฟิครีสได้ทบทวนบางสิ่งบางอย่าง ไม่จำเป็นต้องใจร้อน คำว่าโลภไม่มีวันหายไปจากใจของมนุษย์...
   
                “เอามันไปอิฟิครีส ข้ายกให้เจ้า แล้วหากเจ้าไม่ต้องการมันละก้อ ทิ้งมันไปได้เลย ข้าขอพนันว่ามีคนอีกเป็นร้อยเป็นพันที่ต้องการมัน แค่เจ้ารับมันไป แล้วมันจะเป็นของเจ้าไปตลอดกาล”
                อิฟิครีสยังคงเงียบเหมือนกำลังลังเลในสิ่งที่โบรีอัสเสนอให้  พร้อมกันกับที่โบรีอัสรู้ตัวว่าเวลาของตังเองเริ่มหมดลงแล้ว
   
                “ ดูเหมือนว่าการตัดสินใจของเจ้าจะกินเวลาไม่น้อยเลยนะอิฟิครีส เอาเป็นว่า ข้าคงต้องขอตัวก่อนล่ะนะ--เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นเทพที่ยุ่งวุ่นวายมากขนาดไหน และดูเหมือนว่าข้าจะเป็นความหวังเดียวของพวกมนุษย์ที่กำลังตกทุกข์ได้ยากซะด้วย เดี๋ยวนี้ใครๆบนสวรรค์ก็ดูจะเกียจคร้านกันไปซะหมด” โบรีอัสกล่าว นัยน์ตาสีเทาหม่นของเขาหรี่ลงฉายแววประหลาด ก่อนจะหันกลับมาพูดกับชายอีกสองคนที่ดูเหมือนจะถูกโลกลืมไปชั่วขณะ...
                “ อะ...อา  ใช่  ใช่ ดูเหมือนว่าข้าจะลืมอะไรไปบางอย่าง--ฟีเลียสกับซิสซัสข้าต้องฝากดูแลอิฟิครีสด้วยหล่ะ เอ๋...ดูเหมือนข้าจะพูดผิดผิดไปนะ  คงต้องเป็นอิฟิครีสสินะที่ต้องดูแลฟีเลียสกับซิสซัสเพื่อนผู้อ่อนแอของเค้าน่ะ” โบรีอัสพูดพลางหัวเราะในลำคอ
   
                “อะ..อะ อย่างนั้นไม่ดีเลยนะฟีเลียส--ไม่เคยมีใครได้อยู่สุขสบายนักหรอกนะหลังจากที่จ้องข้าด้วยสายตาแบบนั้นหน่ะ  แต่สำหรับเจ้าข้ายกให้ก็แล้วกัน ถือเป็นความกรุณาเล็กๆน้อยๆจากข้าโบรึอัส  ฮะๆ ข้าคงต้องไปจริงๆแล้วล่ะนะ” โบรีอัสพูดทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ผู้ฟังทั้งสองตาขวางขึ้นมาเลยทีเดียว
                  บรรยากาศรอบตัวจะกลับเป็นปกติอีกครั้ง ความเงียบที่ยังไงก็ได้ยินเสียงสายลมกับเสียงใบไม้ไหวผิดกับเมื่อครู่ แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นแค่บรรยากาศเท่านั้นที่กลับเป็นปกติตามเดิม...
   
                  “เฮอะ...ฟีเลียสเดี๋ยวนี้พวกเรากลายเป็นเพื่อนผู้อ่อนแอไปแล้วเหรอเนี่ย” ซิสซัสชายที่ดูเงียบสงบราวกับสายน้ำนิ่ง ดวงตาสีเทาเข้มภายใต้ไรผมสีชาบางๆบัดนี้กลับเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงความไม่พอใจไว้อย่างชัดเจน
   
                “และดูเหมือนว่าเราคงไม่คู่ควรที่จะเป็นเพื่อนกับเจ้าแล้วซินะ อิฟิครีส--ผู้ยิ่งใหญ่ ”  ฟีเลียสเด็กหนุ่มที่ดูรุ่มร้อนราวกับไฟ ผมสีน้ำตาลเข้มรับกับดวงตาสีน้ำตาลขมุกขมัวที่ตอนนี้ดูเหมือนจะมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ภายใน พูดต่อจากซิสซัสด้วยน้ำเสียงที่ไม่แตกต่างกันสักเท่าใด
   
                “ฟีเลียสเจ้าพูดอะไร ข้าไม่เคยคิดว่าข้ายิ่งใหญ่ ข้าไม้รู้ด้วยซ้ำว่าข้าจะใช้มันได้ และข้าก็ไม่ได้ขอให้โบรีอัสยกมันให้กับข้า” อิฟิครีสพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังที่ปกปิดความกังวลไว้ไม่มิด ความสนิทสนมและระยะเวลาที่คบกันมาเนิ่นนาน คำพูดของเพื่อนทั้งสองจึงดูจะสร้างความหวาดหวั่นให้กับอิฟิครีสไม่น้อยเลย...
   
                “อ้อใช่สิ ใช่ เจ้าใช้มันได้แล้วเจ้าก็ได้มันไป--เรื่องนี้ข้ารู้ดีอิฟิครีส เจ้าไม่จำเป็นต้องตอกย้ำหรอกนะ และในเมื่อเจ้าได้มันไปเจ้าจะพูดอะไรเจ้าก็พูดได้” ฟีเลียสพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้สงบลงสักเท่าไรนัก แล้วดูเหมือนว่าไอสีขาวจางๆจะเริ่มแผ่ออกจากรอบตัวของฟีเลียสแล้วตอนนี้  ก่อนที่จะเงียบกันไปหลายวินาที
   
                “แล้วถ้าพวกเจ้าจะไม่ว่าอะไรแล้วละก็ ข้าก็จะไปแล้วล่ะนะ ดูเหมือนขีดจำกัดของข้าจะหมดลงแล้ว ขืนข้าอยู่ต่อคงได้ทำอะไรที่เป็นการเสียมารยาทต่อท่านอิฟิครีสผู้ยิ่งใหญ่เป็นแน่แล้วข้าก็กลัวซะเหลือเกินว่า ข้าจะถูกสาปเป็นพวกก้อนหินหรือว่าต้นไม้อะไรประมาณนั้นน่ะนะ” ฟีเลียสกล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ก่อนจะหันหลังกลับ แล้วเดินก้าวอย่างรวดเร็วหายลับไปในความมืดของต้นไม้ที่รกทึบ โดยมีไอสีขาวที่ตอนนี้ดูเหมือนจะแผ่ออกมากลายเป็นรัศมีรอบตัวไปสียแล้ว
   
                  “ พวกเจ้าเป็นอะไรไป ทั้งๆที่เราเป็นเพื่อนรักกัน ทั้งๆที่ข้าคิดว่าหากข้าได้มันมา พวกเจ้าก็จะดีใจกับข้า แล้วเราก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม” อิฟิครีสพูดด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวังในตัวเพื่อนทั้งสอง
   
                “ก็เพราะว่าเจ้าได้มันไปยังไงหล่ะ และเพราะว่ามีเจ้าเพียงคนเดียวที่ใช้มันได้นั่นแหละที่ทำให้ข้าไม่อาจทนได้  บอกข้าซิ--อิฟิครีส เจ้าที่ร่าเริงและขบขัน ทั้งๆที่ดูเหมือนกับว่าฝีมือของเจ้าจะห่างไกลจากข้ากับฟีเลียสอยู่หลายขุม ทำไมเจ้าถึงได้มันไป” ซิสซัสพูด  ดวงตาที่เยียบเย็นของเขากลับดุดันขึ้นไปอีกราวกับว่าปรารถนาให้คนตรงหน้าแตกสลายไป ก่อนที่จะเงียบไปอึดใจ
   
                “ข้าคงเป็นอีกคนที่จะต้องขอตัวหล่ะนะ แล้วก็ดูแลรักษาให้ดีหล่ะ ‘ลูกแก้ว’ นั่นน่ะ อิฟิครีส จนกว่าวันนั้นจะมาถึง--วันที่ข้าจะมาชิงมันไปจากเจ้า” เสียงของซิสซัสเงียบไป พร้อมๆกับร่างกายที่ดูเหมือนจะปลิวไปพร้อมกับสายลม
   
                “มันคงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกมั้ง--ซิสซัส เพราะข้าคงไม่ยอมเจ้าง่ายๆแน่” น้ำเสียงที่แผ่วเบาดังมาจากบุรุษผมสีน้ำตาลเข้มผู้ที่ทุกคนเข้าใจว่าจากไป แต่ความจริงไม่ได้ไปไหนไกลเลย...
   
                  แล้วท่ามกลางบรรยากาศที่ดูเหมือนจะสงบลงไม่ได้ง่ายๆ อิฟิครีสยืนอยู่ตรงนั้นลานโล่งกลางป่าที่รกครึ้มโดยที่มือยังกำมันอยู่ สิ่งที่นำปัญหาอันยิ่งใหญ่มาให้เขา  ‘ลูกแก้ววิเศษ’
   
                  “แล้วข้าควรจะทำเช่นไร หือ...เพื่อนที่รักของข้า  เจ้าทั้งสองจะให้ข้าทำเช่นไร”อิฟิครีสยังคงพึมพำพูดกับตัวเองไม่รู้จบ
   
                แล้วการตัดสินใจของอิฟิครีส ครั้งนั้น ก็นำมาซึ่งจุดผลิกผันครั้งยิ่งใหญ่ จุดเริ่มต้นที่ไม่มีทีท่าว่าจะถึงจุดจบลงง่าย จุดเริ่มต้นที่สร้างตราบาปให้อิฟิครีสมาตลอด ...
                กาลเวลาผ่านเลย วันแล้ววันเล่า เรื่องราวยังคงดำเนินต่อไป คนเก่าห่างหาย  คนใหม่แทนที่  จากปัจจุบันเป็นอดีต  จากอดีตเป็นประวัติศาสตร์  บัดนี้บุคคลที่ควรจดจำกลับลางเลือน
                แต่ทว่าความโลภของมนุษย์ยังคงไม่สิ้นสุด  สงครามระหว่างสองดินแดนเพื่อแย่งชิงของวิเศษณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า  และแต่ละครั้งยังคงนำมาซึ่งภัยพิบัติเสมอ  บัดนี้มีเพียงสายเลือดเท่านั้นที่แบ่งแยกมิตร ศัตรู...
     
              “ว่าแล้ว...” น้ำเสียงที่แฝงความตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยดังขึ้น
              “อิฟิครีส เจ้า...เป็นเจ้าจริงๆ ข้าคิดมาตลอดว้าต้องเป็นเจ้า เจ้าที่สามารถใช้มันได้” น้ำเสียงเดิมพูดกับเด็กหนุ่มนัยน์ตาสีฟ้าสดใสที่แฝงความปละหลาดใจ  ใบหน้าที่มีเค้าโครงสวยได้รูปบัดนี้ฉายแววครุ่นคิด
   
              “รับไปสิอิฟิครีส ข้ายกให้เจ้า ถือเป็นของกำนัลจากข้า ในฐานะที่เจ้าทำให้ข้าพอใจ” น้ำเสียงที่เคยตื่นเต้นบัดนี้กลับสงบลง ในแบบที่ต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่เป็นแน่ แต่ก็ไม่มีผู้ใดได้ทันสังเกตเห็น ดูเหมือนความสนใจของทุกคนที่นี่จะมุ่งไปแค่สิ่งนั้น... เท่านั้น
   
              “ท่านจะยกให้ข้าจริงๆหรือ ไม่...ไม่ใช่แน่ๆ ข้าไม่ได้โง่นะโบรีอัส ข้ารู้ว่านี่ไม่ได้เป็นสิ่งที่จะยกให้ใครได้ง่ายๆ ในเมื่อมันมีค่ามากขนาดนี้ และข้าก็ยังเชื่ออยู่เสมอว่าของฟรีไม่มีในโลก” อิฟิครีสกล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง แต่เหนือสิ่งอื่นใดอิฟิครีสรู้ดีว่าบัดนี้--ปากของเขาไม่ตรงกับใจเท่าใดนัก แสงสว่างเจิดจ้าเมื่อครู่เริ่มอ่อนแสงลงแล้ว
ความมืดเข้าปกคลุมพื้นที่แห่งนี้อีกครั้ง
              “ฮ่าๆ เจ้านี่ถูกใจข้าจริงๆ แต่เจ้าอย่าปฏิเสธข้าเลยอิฟิครีส--ข้าตั้งใจยกมันให้เจ้าจริงๆ เจ้าเป็นคนที่สองที่ใช้มันได้รองจากข้า แล้วอย่าบอกข้าอิฟิครีสว่าภายในใจเจ้าไม่ได้ปรารถนามัน” โบรีอัสพูดก่อนจะหยุดเว้นวรรคเพื่อให้อิฟิครีสได้ทบทวนบางสิ่งบางอย่าง ไม่จำเป็นต้องใจร้อน คำว่าโลภไม่มีวันหายไปจากใจของมนุษย์...
   
                “เอามันไปอิฟิครีส ข้ายกให้เจ้า แล้วหากเจ้าไม่ต้องการมันละก้อ ทิ้งมันไปได้เลย ข้าขอพนันว่ามีคนอีกเป็นร้อยเป็นพันที่ต้องการมัน แค่เจ้ารับมันไป แล้วมันจะเป็นของเจ้าไปตลอดกาล”
                อิฟิครีสยังคงเงียบเหมือนกำลังลังเลในสิ่งที่โบรีอัสเสนอให้  พร้อมกันกับที่โบรีอัสรู้ตัวว่าเวลาของตังเองเริ่มหมดลงแล้ว
   
                “ ดูเหมือนว่าการตัดสินใจของเจ้าจะกินเวลาไม่น้อยเลยนะอิฟิครีส เอาเป็นว่า ข้าคงต้องขอตัวก่อนล่ะนะ--เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นเทพที่ยุ่งวุ่นวายมากขนาดไหน และดูเหมือนว่าข้าจะเป็นความหวังเดียวของพวกมนุษย์ที่กำลังตกทุกข์ได้ยากซะด้วย เดี๋ยวนี้ใครๆบนสวรรค์ก็ดูจะเกียจคร้านกันไปซะหมด” โบรีอัสกล่าว นัยน์ตาสีเทาหม่นของเขาหรี่ลงฉายแววประหลาด ก่อนจะหันกลับมาพูดกับชายอีกสองคนที่ดูเหมือนจะถูกโลกลืมไปชั่วขณะ...
                “ อะ...อา  ใช่  ใช่ ดูเหมือนว่าข้าจะลืมอะไรไปบางอย่าง--ฟีเลียสกับซิสซัสข้าต้องฝากดูแลอิฟิครีสด้วยหล่ะ เอ๋...ดูเหมือนข้าจะพูดผิดผิดไปนะ  คงต้องเป็นอิฟิครีสสินะที่ต้องดูแลฟีเลียสกับซิสซัสเพื่อนผู้อ่อนแอของเค้าน่ะ” โบรีอัสพูดพลางหัวเราะในลำคอ
   
                “อะ..อะ อย่างนั้นไม่ดีเลยนะฟีเลียส--ไม่เคยมีใครได้อยู่สุขสบายนักหรอกนะหลังจากที่จ้องข้าด้วยสายตาแบบนั้นหน่ะ  แต่สำหรับเจ้าข้ายกให้ก็แล้วกัน ถือเป็นความกรุณาเล็กๆน้อยๆจากข้าโบรึอัส  ฮะๆ ข้าคงต้องไปจริงๆแล้วล่ะนะ” โบรีอัสพูดทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ผู้ฟังทั้งสองตาขวางขึ้นมาเลยทีเดียว
                  บรรยากาศรอบตัวจะกลับเป็นปกติอีกครั้ง ความเงียบที่ยังไงก็ได้ยินเสียงสายลมกับเสียงใบไม้ไหวผิดกับเมื่อครู่ แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นแค่บรรยากาศเท่านั้นที่กลับเป็นปกติตามเดิม...
   
                  “เฮอะ...ฟีเลียสเดี๋ยวนี้พวกเรากลายเป็นเพื่อนผู้อ่อนแอไปแล้วเหรอเนี่ย” ซิสซัสชายที่ดูเงียบสงบราวกับสายน้ำนิ่ง ดวงตาสีเทาเข้มภายใต้ไรผมสีชาบางๆบัดนี้กลับเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงความไม่พอใจไว้อย่างชัดเจน
   
                “และดูเหมือนว่าเราคงไม่คู่ควรที่จะเป็นเพื่อนกับเจ้าแล้วซินะ อิฟิครีส--ผู้ยิ่งใหญ่ ”  ฟีเลียสเด็กหนุ่มที่ดูรุ่มร้อนราวกับไฟ ผมสีน้ำตาลเข้มรับกับดวงตาสีน้ำตาลขมุกขมัวที่ตอนนี้ดูเหมือนจะมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ภายใน พูดต่อจากซิสซัสด้วยน้ำเสียงที่ไม่แตกต่างกันสักเท่าใด
   
                “ฟีเลียสเจ้าพูดอะไร ข้าไม่เคยคิดว่าข้ายิ่งใหญ่ ข้าไม้รู้ด้วยซ้ำว่าข้าจะใช้มันได้ และข้าก็ไม่ได้ขอให้โบรีอัสยกมันให้กับข้า” อิฟิครีสพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังที่ปกปิดความกังวลไว้ไม่มิด ความสนิทสนมและระยะเวลาที่คบกันมาเนิ่นนาน คำพูดของเพื่อนทั้งสองจึงดูจะสร้างความหวาดหวั่นให้กับอิฟิครีสไม่น้อยเลย...
   
                “อ้อใช่สิ ใช่ เจ้าใช้มันได้แล้วเจ้าก็ได้มันไป--เรื่องนี้ข้ารู้ดีอิฟิครีส เจ้าไม่จำเป็นต้องตอกย้ำหรอกนะ และในเมื่อเจ้าได้มันไปเจ้าจะพูดอะไรเจ้าก็พูดได้” ฟีเลียสพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้สงบลงสักเท่าไรนัก แล้วดูเหมือนว่าไอสีขาวจางๆจะเริ่มแผ่ออกจากรอบตัวของฟีเลียสแล้วตอนนี้  ก่อนที่จะเงียบกันไปหลายวินาที
   
                “แล้วถ้าพวกเจ้าจะไม่ว่าอะไรแล้วละก็ ข้าก็จะไปแล้วล่ะนะ ดูเหมือนขีดจำกัดของข้าจะหมดลงแล้ว ขืนข้าอยู่ต่อคงได้ทำอะไรที่เป็นการเสียมารยาทต่อท่านอิฟิครีสผู้ยิ่งใหญ่เป็นแน่แล้วข้าก็กลัวซะเหลือเกินว่า ข้าจะถูกสาปเป็นพวกก้อนหินหรือว่าต้นไม้อะไรประมาณนั้นน่ะนะ” ฟีเลียสกล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ก่อนจะหันหลังกลับ แล้วเดินก้าวอย่างรวดเร็วหายลับไปในความมืดของต้นไม้ที่รกทึบ โดยมีไอสีขาวที่ตอนนี้ดูเหมือนจะแผ่ออกมากลายเป็นรัศมีรอบตัวไปสียแล้ว
   
                  “ พวกเจ้าเป็นอะไรไป ทั้งๆที่เราเป็นเพื่อนรักกัน ทั้งๆที่ข้าคิดว่าหากข้าได้มันมา พวกเจ้าก็จะดีใจกับข้า แล้วเราก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม” อิฟิครีสพูดด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวังในตัวเพื่อนทั้งสอง
   
                “ก็เพราะว่าเจ้าได้มันไปยังไงหล่ะ และเพราะว่ามีเจ้าเพียงคนเดียวที่ใช้มันได้นั่นแหละที่ทำให้ข้าไม่อาจทนได้  บอกข้าซิ--อิฟิครีส เจ้าที่ร่าเริงและขบขัน ทั้งๆที่ดูเหมือนกับว่าฝีมือของเจ้าจะห่างไกลจากข้ากับฟีเลียสอยู่หลายขุม ทำไมเจ้าถึงได้มันไป” ซิสซัสพูด  ดวงตาที่เยียบเย็นของเขากลับดุดันขึ้นไปอีกราวกับว่าปรารถนาให้คนตรงหน้าแตกสลายไป ก่อนที่จะเงียบไปอึดใจ
   
                “ข้าคงเป็นอีกคนที่จะต้องขอตัวหล่ะนะ แล้วก็ดูแลรักษาให้ดีหล่ะ ‘ลูกแก้ว’ นั่นน่ะ อิฟิครีส จนกว่าวันนั้นจะมาถึง--วันที่ข้าจะมาชิงมันไปจากเจ้า” เสียงของซิสซัสเงียบไป พร้อมๆกับร่างกายที่ดูเหมือนจะปลิวไปพร้อมกับสายลม
   
                “มันคงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกมั้ง--ซิสซัส เพราะข้าคงไม่ยอมเจ้าง่ายๆแน่” น้ำเสียงที่แผ่วเบาดังมาจากบุรุษผมสีน้ำตาลเข้มผู้ที่ทุกคนเข้าใจว่าจากไป แต่ความจริงไม่ได้ไปไหนไกลเลย...
   
                  แล้วท่ามกลางบรรยากาศที่ดูเหมือนจะสงบลงไม่ได้ง่ายๆ อิฟิครีสยืนอยู่ตรงนั้นลานโล่งกลางป่าที่รกครึ้มโดยที่มือยังกำมันอยู่ สิ่งที่นำปัญหาอันยิ่งใหญ่มาให้เขา  ‘ลูกแก้ววิเศษ’
   
                  “แล้วข้าควรจะทำเช่นไร หือ...เพื่อนที่รักของข้า  เจ้าทั้งสองจะให้ข้าทำเช่นไร”อิฟิครีสยังคงพึมพำพูดกับตัวเองไม่รู้จบ
   
                แล้วการตัดสินใจของอิฟิครีส ครั้งนั้น ก็นำมาซึ่งจุดผลิกผันครั้งยิ่งใหญ่ จุดเริ่มต้นที่ไม่มีทีท่าว่าจะถึงจุดจบลงง่าย จุดเริ่มต้นที่สร้างตราบาปให้อิฟิครีสมาตลอด ...
                กาลเวลาผ่านเลย วันแล้ววันเล่า เรื่องราวยังคงดำเนินต่อไป คนเก่าห่างหาย  คนใหม่แทนที่  จากปัจจุบันเป็นอดีต  จากอดีตเป็นประวัติศาสตร์  บัดนี้บุคคลที่ควรจดจำกลับลางเลือน
                แต่ทว่าความโลภของมนุษย์ยังคงไม่สิ้นสุด  สงครามระหว่างสองดินแดนเพื่อแย่งชิงของวิเศษณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า  และแต่ละครั้งยังคงนำมาซึ่งภัยพิบัติเสมอ  บัดนี้มีเพียงสายเลือดเท่านั้นที่แบ่งแยกมิตร ศัตรู...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น