ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไป๋หลานยอดหญิงสกุลถง(มี E BOOK แล้ว)

    ลำดับตอนที่ #9 : ความสุขเล็กๆของบ้านถง

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ค. 64



    ลมหนาวมาเยือนแล้ว อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหน้านั้น1วันไป๋หลานเข้าเมืองเพื่อไปซื้อเมล็ดผักและผ้าไหมเนื้อดีมาจำนวนมาก นางต้องการให้ท่านแม่ปักลวดลายที่ได้ฝึกจากหนังสือลงไปบนผ้าไหมพวกนี้ ตั้งใจนำมันไปขายให้กับร้านขายผ้าของเถ้าแก่เนี้ยเจ้าประจำ และทุกคนจะยุ่งไปแบบนี้จนถึงช่วงหิมะตก 

    พี่ใหญ่เข้าป่าตามคำขอของนางเพื่อตัดต้นไผ่มาจำนวนมาก ส่วนตัวท่านแม่ นาง ซีห่าวกำลังยุ่งกับการเตรียมดินเพื่อลงปลูกผัก ใช่แล้ว นางจะปลูกผักในฤดูหนาว ถึงจะมีโอกาสงอกน้อยมากแต่ก็อยากจะลองทำ ถ้ามันสำเร็จบ้านถงจะมีผักสดกินตอนหนาว ในขณะที่บ้านอื่นต้องกินเนื้อแห้งและผักดองไปอีกหลายเดือน ถึงทุกคนจะชอบกินเนื้อมากแค่ไหน แต่ให้กินทุกวันตลอดหลายเดือนมันคงไม่อร่อยนัก ครอบครัวถงทุกคนก็คิดเช่นนั้น การปลูกผักของบ้านจึงเริ่มขึ้น ชั้นไม้ไผ่หลายชั้นวางตั้งในห้องของไป๋หลานเต็มไปหมด ตลอดหนาวนี้คงต้องไปนอนกับท่านแม่แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แค่มีผักสดกินทุกมื้อก็พอจะทดแทนกันได้

    "ทีนี้เราก็มารอดูกันว่าพวกมันจะงอกไหม"ไป๋หลานใช้หลังมือปาดเหงื่อบนหน้าผากนวล มองคอนโดผักผลงานของพวกเราทุกคนอย่างคาดหวัง

    "พี่เชื่อว่าเจ้าจะต้องทำสำเร็จ"เฉิงกงวางมือที่ไม่เปื้อนดินบนหัวของน้องสาว พูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

    "น้องหวังว่าจะเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ บ้านเราจะได้ไม่ต้องทนกินเนื้อตากแห้งไปตลอดหนาวนี้ แค่คิดข้าเอียนแล้ว"หวงหลานอมยิ้มกับภาษาแปลกๆของบุตรสาว ก่อนจะออกไปปักผ้าต่อให้เสร็จ ตั้งแต่ได้หนังสือสอนวิธีปักมา มีหลายวิธีในนั้นมันง่ายมากแต่นางกลับคาดไม่ถึง จนมองข้ามไป อีกทั้งลวดลายสวยๆแปลกตาที่ไป๋หลานวาดมาให้นางฝึกฝนมือ หวงหลานพบว่าการทำงานปักสนุกกว่าที่ทำมา ฝีมือของนางจึงพัฒนาอย่างรวดเร็วจนเถ้าแก่เนี้ยร้านผ้าชมเปาะ ไหนจะราคาชิ้นงานที่เพิ่นขึ้นจากเดิม เพียงเท่านี้นางก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีก 

    ถึงไป๋หลานจะทำหมูแดดเดียว หมูหวาน หมูสามชั้นหมักในไหกับเครื่องแกง แต่ก็คงไม่อร่อยเท่าผักสดที่มีความต้องการสูงในฤดูเหมันต์แน่ เครื่องแกงที่นางทำใช้พริกผสมกับขิงและกระเทียม ปรุงรสให้กลมกล่อมคลุกเคล้าเนื้อหมูและกระดูกติดเนื้อเข้าด้วยกัน แล้วนำไปหมักในไหพอนำมาทำอาหารมันอร่อยมาก สูตรนี้เป็นของมารดาในชีวิตก่อน ไป๋หลานถึงมีชีวิตรอดได้อย่างสบายในเมืองใหญ่ยังไงล่ะ ปลูกผักในกระถางและวางแผนใช้เงินให้ดีแค่นี้นางก็ไม่กลัวอดตาย

    แต่ที่นี่มีหลายสิ่งคนในมิตินี้ไม่รู้ แต่ไป๋หลานรู้มันจึงเป็นโอกาสในการสร้างตัว และหาเงินกับความรู้ที่นางได้รับมาจากชาติก่อน มันคือความได้เปรียบซึ่งบางอย่างจะบอกให้คนภายนอกรับรู้ไม่ได้ มองว่านางเห็นแก่ตัวไหม อาจจะใช่แต่ทางไหนที่ครอบครัวหรือคนที่รักไม่เสี่ยงและมันคือสิ่งที่ดีนางก็พร้อมจะทำมัน แต่สิ่งที่ไป๋หลานไม่รู้ก็คือหลังหิมะผ่านพ้นไปจะมีเรื่องยุ่งยากตามมาให้ได้ปวดหัวอีกมากมาย

    "ข้าคิดว่าพวกเราควรเอาหิมะบนหลังคาลงมาบ้าง"

    "อืม พี่เห็นด้วยมันตกมาแบบนี้สามอาทิตย์แล้ว หลังคาบ้านอาจพังลงมาได้ถ้าเราไม่กวาดหิมะที่กองบนหลังคาออก"

    "แต่มันอันตรายนะลูก รอให้แสงแดดละลายพวกมันแบบนี้ไม่ดีกว่าหรือ"

    "พี่ใหญ่พูดถูกเจ้าค่ะ น้ำหนักบนนั้นมีมากเกินไป ต่อให้ช่างทำไว้ดีแค่ไหนมันต้องพังในสักวัน อีกอย่างจะรอให้แดดออกข้าคิดว่าคงอีกหลายวันเพราะหิมะไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกเลย"

    4คนนั่ง เอ่อ ถึงจะบอกว่า4คนแต่ที่กำลังถกเถียงกันนี้คงมีแค่3  ส่วนซีห่าวน้อยได้แต่นั่งมองท่านแม่และท่านพี่ทั้งสองปรึกษากันด้วยความเคร่งเครียด ถึงเขาจะไม่พูดแต่เขากลับเห็นด้วยกับพี่ทั้งสอง ทั้งหมดล้อมวงพูดคุยหลังกินข้าวเสร็จ ได้ความกันว่าควรขึ้นไปบนหลังคากวาดหิมะลงมาบ้าง ไป๋หลานคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปหลังคาคงรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทุกวันไม่ไหวแน่

    "ข้าจะเป็นคนขึ้นไปกวาดหิมะบนหลังคาเอง"

    "ระวังนะลูก แม่เป็นห่วง"

    "พี่ใหญ่ต้องเดินอย่างระวังและหาที่จับยึดให้ดีนะเจ้าคะ" แม้ว่าหลังคาบ้านจะไม่สูงมากแต่ถ้าตกลงมาจากความสูง5เมตร  อย่างไม่ตั้งใจอันตรายก็มาเยือนได้เหมือนกัน กระดูกอาจหักได้ เพราะแบบนั้นไป๋หลานและท่านแม่ถึงค่อนข้างเป็นห่วงคนที่อาสาขึ้นไปบนนั้นพอสมควร ถ้าไม่เอาออกคงได้มีเรื่องยุ่งยากตามมา

    "ท่านแม่ไปรอข้างในก่อนนะเจ้าคะตรงนี้ข้าจัดการได้เจ้าค่ะ"อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆแล้ว ไป๋หลานหันไปมองมารดาที่ยืนตัวสั่นแล้วอดเป็นห่วงไม่ได้ จึงบอกให้ท่านเข้าไปรอในบ้านแทน ตอนนี้ร่างกายของร่างนี้แข็งแรงกว่าเดิมมากจนน่าแปลกใจ ขนาดยืนอยู่ด้านนอกในอุณหภูมิติดลบยังไม่ค่อยรู้สึกอะไร

    "ได้อย่างไรแม่จะรออยู่ตรงนี้ด้วย"

    "ท่านไปต้มน้ำชาร้อนๆ ไว้รอพี่ใหญ่กับข้าข้างในดีกว่าเจ้าค่ะ หลังเสร็จจากตรงนี้เข้าบ้านไป ได้ดื่มอะไรอุ่นๆ คงดีไม่น้อย"มือขาวซีดจับมือของมารดาตบเบาๆสองสามที ก่อนพูดเกลี้ยกล่อมยกเหตุผลที่คิดว่าเข้าท่าที่สุดมาอ้าง เพื่อให้มารดายอมกลับเข้าบ้าน ปากม่วงขนาดนี้ยังบอกว่าไหว ท่านแม่นะท่านแม่

    "เฮ้อ เอาเถอะแม่จะไปเตรียมน้ำชาและข้าวต้มร้อนๆ ให้พวกเจ้าก็แล้วกัน ใกล้จะได้เวลากินข้าวเที่ยงแล้ว"

    "ขอผัดผักดองเผ็ดใส่หมูหมักด้วยนะเจ้าคะ"เด็กหญิงตะดกนตามหลัง ร้องขออาหารรสจัดในมื้ออาหาร ได้ขับเหงื่อออกบ้างคงสบายตัวทีเดียว ทุกวันนี้นางจะออกกำลังกายตอนตื่นนอน ต่อให้ท่าทางแปลกประหลาดแค่ไหน ก็ทำให้ท่านแม่บ่นจนเลิกบ่นและหันมาทำตาม หลังนางบอกว่าช่วยให้ร่างกายแข็งแรง

    คล้อยหลังมารดาที่เดินเข้าบ้าน พี่ใหญ่ก็ปีนบันไดขึ้นไปกวาดหิมะอย่างระวัง ใช้เวลานานพอสมควร ไป๋หลานยืนอยู่ข้างล่างคอยบอกว่าต้องเดินไปทางไหนและทำมันอย่างไร คนในมิตินี้ไม่รู้วิธีกวาดหิมะที่ทับถมบนหลังคาออก ถึงมีข่าวหิมะถล่มลงมาทับคนทุกปีอย่างไรละ ซีห่าวน้อยออกมาปั้นตุ๊กตาหิมะที่พี่รองสอนอย่างมีความสุข ตั้งแต่มีเสื้อผ้ากันหนาวผืนหนา เขาก็รู้สึกว่าความหนาวไม่ได้หน้ากลัวอีกแล้ว ตอนกลางคืนทุกคนจะออกมาล้อมวงนอนหน้าเตาผิงกัน มันอบอุ่นและนอนสบายมาก ชุดหนาวที่พี่รองออกแบบและมีท่านแม่ตัดเย็บมันดีมากจริงๆ แก้มของเด็กน้อยเป็นสีแดงจากความหนาวดูน่าหยิก 

    นุ่นที่ครอบครัวถงช่วยกันเก็บมาเมื่อคราวก่อนถูกนำมาทำชุดหนาว หมอน ฟูกนอนและผ้าห่มอย่างดี ออกแบบโดยไป๋หลาน นางเฝ้าคิดถึงพวกทุกวัน จึงให้มารดาตัดเย็บตามแบบที่คิดได้ มีซีห่าวน้อยคอยช่วยยัดนุ่นจนมันติดเสื้อผ้าวุ่นวายต้องช่วยกันเอาออกยกใหญ่ 

    “หิมะหมดแล้ว พี่ใหญ่ลงมาเถอะเจ้าค่ะ”ไป๋หลานมองจากด้านล่าง เห็นว่าบนหลังคาหิมะบางลงจากเดิมมากจึงตะโกนบอกพี่ชายให้ลงมาได้แล้ว เฉิงกงพยักหน้าเดินกลับทางเดิมด้วยความระมัดระวัง พอมีบันไดที่ช่วยกันทำขึ้นมันก็สะดวกแบบนี้ เท้าแตะถึงพื้นไม่นานเฉิงกงถูกก้อนหิมะขว้างโดนหัวเต็มๆ หันกลับไปด้านหลัง เห็นน้องชายหญิงยืนหัวเราะที่หัวของเขาเต็มไปด้วยหิมะ

    “ลอบกัดเช่นนี้ เตรียมตัวกันแล้วใช่หรือไม่”พี่ใหญ่หรี่ตาก้มปั้นก้อนหิมะลูกขนาดเหมาะมือ ขว้างออกไปกระทบหัวน้องชายเข้าอย่างจัง จากนั้นศึกปาหิมะของสามพี่น้องก็เกิดขึ้นบนลานกว้างของบ้าน

    เล่นจนเหนื่อยก็พักยกมาปั้นตุ๊กตาหิมะรูปต่างๆแทน หวงหลานที่ตั้งใจออกมาตามบุตรชายหญิงกลับเข้าบ้าน หลังพวกเขาไม่ยอมกับเข้ามาเสียที เสียงหัวเราะลั่นลานบ้านทำให้นางหยุดเท้า เก็บภาพความสุขในวันนี้ไว้ในความทรงจำ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังเป็นแค่เด็ก นางจึงปล่อยให้ลูกๆ เล่นกันอย่างสนุกสนาน ตอนนี้ครอบครัวไม่ต้องเดือดร้อนเรื่องอาหาร ได้กินอิ่มทุกมื้อ ไม่ต้องหวาดกลัวในวันที่หิมะตกหนัก ไม่ต้องนอนหนาวและเบียดตัวกันอยู่บนคั่งแคบๆเพราะกลัวถ่านไม่พอใช้ นางมีความสุขและอยากให้สามีที่จากไปเห็นว่าคนที่เขารักทุกคนสบายดี หวงหลานเงยหน้ามองฟ้าระลึกถึงคนบนนั้นด้วยความอาดูร ท่านพี่ ท่านมองเห็นมันไหมเจ้าคะ

    วันนี้จึงเป็นอีกวันที่ครอบครัวถงกินข้าวกันอย่างมีความสุข พอเครื่องปรุงครบท่านแม่ก็ทำอาหารอร่อยยิ่ง ผักสดที่ปลูกถูกยกให้เป็นเดอะเบสในมื้อนี้ เฮ้อ นี่แหละคือความสุขที่แท้จริง หิมะละลายเมื่อไหร่นางจะปลูกข้าวและข้าวโพด คิดถึงซาลาเปาแป้งข้าวโพดสีเหลืองจัง เมื่อถึงฤดูเพาะปลูกคงจะมีเรื่องยุ่งยากให้ทำกันจนหัวหมุนแน่ๆ แต่ทุกคนกลับไม่กลัวเหนื่อยเหมือนที่ผ่านมา

     

    ผ่านวันนั้นมาสองอาทิตย์ 

    "ผักพวกนี้จะทำอย่างไรกันดีน้องรอง พวกเราคงกินกันไม่ทันแน่" เฉิงกงดูเคร่งเครียดเพราะพวกเขากลัวว่าผักจะงอกจึงช่วยกันปลูกไว้เยอะมาก แต่ตอนนี้กลับมีปัญหาเข้าแล้ว ครอบครัวของเขากินผักไม่ทัน จะปล่อยไว้แบบนี้ก็น่าเสียดายยิ่ง

    "ข้าคิดว่าเราลองเข้าเมืองไปถามพ่อบ้านของท่านเศรษฐีดูไหมเจ้าคะ"นางมั่นใจว่าพ่อบ้านจะไม่ปฏิเสธ

    ตอนนี้ตาของไป๋หลานมีแต่เงินตำลึงลอยขึ้นมาเต็มไปหมด ต้องมีเงินเยอะๆ ถึงจะทำอะไรสะดวก ดังนั้นตอนนี้กอบโกยได้ก็ต้องกอบโกย อ่า กลิ่นเงินนี้มันดีจริงๆ

    “ตาของเจ้ามีแต่เหรียญตำลึงลอยเต็มไปหมด เก็บอาการบ้างเถิดน้องรอง”

    "พี่ใหญ่ข้ากำลังเก็บเงินแต่งภรรยาให้ท่านเจ้าค่ะ"

    "....." "....."ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบหลังจบประโยคยอดฮิตของไป๋หลาน

     

    วันรุ่งขึ้นเฉิงกงและไป๋หลานนั่งเกวียนม้าออกจากบ้านตั้งแต่ยามเหม่า (5.00น.-7.00น.) เกวียนม้านี้ไป๋หลานจัดการซื้อมาตั้งแต่วันที่ขายเห็ดหลินจือ เฉิงกงตัดใจจ่ายเงินถึง1ตำลึงทองถึงจะได้มันมา ทำให้น้องสาวอดส่ายหน้ากับความขี้งกของพี่ใหญ่ไม่ได้ ในอกเสื้อของท่านมีเงินหลักหมื่นตำลึงทอง กะอีแค่ตำลึงทองเดียวหลุดออกจากมือ ท่านก็ขัดใจแล้วนิสัยข้อนี้ของพี่ใหญ่ไม่ผ่านคงต้องฝึกกันใหม่ 

    พอซื้อมันมาเฉิงกงคิดว่ามันก็สะดวกดี ยิ่งม้าที่ได้มาเป็นม้าพันธุ์ดีสองตัวทำให้การบังคับไม่ยากอย่างที่คิด พวกเขาไม่ต้องนั่งรอเกวียนของผู้อื่นหรือไปนั่งเบียดกับใคร ไป๋หลานนั่งข้างในคอยจับตะกร้าผักไม่ให้ล้ม เฉิงกงบังคับม้าให้เดินไปตามทางที่คุ้นชินอย่างชำนาญ ใช้เวลาเพียง1ชั่วยามก็ถึงหน้าประตูเมือง คนเฝ้าประตูจำเฉิงกงได้จึงปล่อยเข้าไปอย่างง่ายดาย

     

     

     

    ********************

    ไหลยิ่งกว่าเดิม อ่านให้มีความสุขเจ้าค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×