คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : พลิกหน้าดินและเข้าป่าอีกครั้ง
แต่ความสุขคงจะอยู่ได้ไม่นาน เมื่อมาถึงบ้านไป๋หลานและซีห่าวน้อยก็เจอกับพี่ใหญ่ที่นั่งบนแคร่หน้าเครียดรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเขากลับมาถึงบ้านเร็วกว่าทุกวัน เพราะวันนี้และวันต่อๆไปเขาจะไม่ได้เข้าไปทำงานในเมืองอีกแล้ว
"พวกเจ้าเข้าป่ากันมาหรือ มันอันตรายมากพวกเจ้ารู้หรือไม่" เฉิงกงมองเห็นน้องทั้งสองคนที่ตนเองนึกเป็นห่วงอยู่มากเดินสะพายตะกร้าและถือกระต่ายกับไก่ป่าเข้ามา เขาจึงเข้าใจว่าเด็กทั้งสองคนหายไปที่ใดมา ใบหน้าเรียวใสซูบตอบของไป๋หลานตอนนี้ มีสีแดงก่ำจากการที่ต้องเดินไปกลับดูสุขภาพดีไม่ได้ซีดเซียวเหมือนเดิมอีกแล้ว ส่วนซีห่าวน้อยเหงื่อไหลเต็มดวงหน้าเล็กๆ เฉิงกงกำลังรู้สึกผิดที่เขาทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ คำพูดหลายอย่างจุกอยู่ในลำคอเมื่อเห็นสภาพของน้องสาวและน้องชาย
เขาเป็นพี่ชายและตอนนี้ยังมีภาระคือการเป็นหัวหน้าครอบครัว หลังจากท่านพ่อจากไปในตอนที่เขาอายุ8ปี เฉิงกงก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวอยู่รอด ท่านแม่ที่ทุกวันจะนั่งเหม่อลอยและคิดถึงท่านพ่อ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นท่านแม่ก็ยังต้องทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงเขาและน้องทั้งสองคน เขาทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้ท่านแม่เหนื่อยอยู่คนเดียวจึงเข้าไปหางานทำในเมือง ทุกวันจะต้องออกไปทำงานแต่เช้า ด้วยอายุที่น้อยและร่างกายที่ขาดสารอาหารทำให้ไม่มีงานดีๆที่ไหนจ้างเขาทำ เขาจึงต้องไปทำงานเป็นคนเก็บมูลม้าค่าแรงวันละ50อีแปะ พอให้ได้ซื้อข้าวมาเลี้ยงคนในครอบครัวและซื้อยามาบำรุงน้องรองที่ป่วยหนัก
หนึ่งอาทิตย์นับแต่นางฟื้นเฉินกงก็พบว่านางไม่มีอาการป่วยให้เห็นอีกแล้ว ใบหน้าที่มักจะไร้สีเลือดและร่างกายที่อ่อนแรงอยู่ตลอดเวลา มาดูตอนนี้สิ นางมีพลังงานเหลือล้น ใบหน้ามีเลือดฝาดอย่างคนสุขภาพดี เขาคิดว่าที่นางป่วยหนักในครั้งนั้นและหายป่วยในวันนี้เป็นเพราะนางหมดกรรมแล้ว สวรรค์จึงมีตาช่วยให้นางกลับมาเป็นเด็กที่สดใสอีกครั้ง
ดูเหมือนเขาจะดีใจเร็วไป วันนี้เมื่อเขาเดินทางไปทำงานเหมือนทุกวัน กลับพบว่าโรงม้าปิดกิจการไปแล้ว เฉิงกงตกใจมากจึงเข้าไปสอบถามคนในระแวกนั้นจึงรู้ว่าโรงม้าย้ายไปเปิดที่เมืองอื่นแล้วเพราะใน เมืองจิงเชียง แห่งนี้มีโรงม้าเปิดแข่งกันถึง3เจ้า โรงม้าที่เขาทำงานคือโรงม้าเปิดใหม่ที่มาจากต่างเมือง ทนการรังแกไม่ไหวจึงย้ายหนีไป ตอนนี้เขาคือคนที่ว่างงานนั่นหมายถึงครอบครัวกำลังขาดรายได้อีกทาง และฤดูหนาวนี้จะยาวนานเหมือนปีที่แล้วหรือไม่ มันเป็นสิ่งที่เฉิงกงกังวลในตอนนี้
"พี่ใหญ่ท่านไม่ได้ไปทำงานหรือเจ้าคะ" ไป๋หลานมองสีหน้าเคร่งเครียดของพี่ใหญ่ที่กำลังครุ่นคิดอย่างห่วงใย 'อย่าทำหน้าดุนักเลย ฉันอายุเยอะกว่านายนะ อิอิ'
"โรงม้าที่พี่ทำอยู่ปิดกิจการย้ายไปเปิดที่ต่างเมืองแล้ว" เฉิงกงตอบกลับน้องสาวเสียงแผ่ว เขารู้สึกผิดที่ต้องทำให้ท่านแม่และน้องสาวน้องชายต้องลำบาก 'ท่านพ่อข้าขอโทษนะขอรับ'
"พี่ใหญ่ไม่เป็นไรนะขอรับ วันนี้ข้ากับพี่รองได้อาหารมาเยอะแยะเลย และที่สำคัญวันนี้เราจะได้ทานเนื้อ" ซีห่าวน้อยเอ่ยปลอบใจพี่ใหญ่อย่างอ่อนโยนก่อนจะพูดด้วยเสียงอันภูมิใจที่ตัวเองดักสัตว์ได้
"โอ้ เยี่ยมเลยวันนี้พี่ใหญ่จะทำซุปเนื้อให้เจ้ากินดีหรือไม่" เฉิงกงปล่อยวางเรื่องที่กังวลและคุยกับซีห่าวอย่างใจดี
"ดีขอรับ ดีขอรับ พี่ใหญ่ทำซุปอร่อยที่สุด พี่รองท่านต้องได้ทานซุปที่พี่ใหญ่ทำนะขอรับมันเยี่ยมมาก" ยังคงเป็นซีห่าวที่ทำให้ความตึงเครียดของพี่ใหญ่หายไป
ไป๋หลานมองภาพที่พี่ชายและน้องชายพูดคุยกัน มองซีห่าวน้อยที่ร่าเริง มองเฉิงกงพี่ใหญ่ของร่างนี้อย่างนับถือ ทั้งๆที่อายุยังน้อยแต่กลับมีความเป็นผู้ใหญ่เกินตัว ในความทรงจำพี่ใหญ่ใจดีและคอยเป็นที่พึ่งของน้องๆเสมอ แต่ตั้งแต่ท่านพ่อจากไป จากเด็กชายผู้ใจดีกลับกลายเป็นคนเคร่งขรึมและเงียบมากขึ้น แต่นิสัยรักครอบครัวกลับเพิ่มขึ้นจากเดิมมากนัก ทุกวันต้องออกไปทำงานหนัก ท่านแม่ของร่างนี้หรือ ถงหวงหลาน ต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นหลังจากท่านพ่อจากไป หน้าหนาวปีก่อนบ้านถงต้องอยู่อย่างอัตคัดอดมื้อกินมื้อ เสื้อที่ใส่แทบจะกันลมหนาวไม่ได้ บ้านที่ดูทรุดโทรมจนไป๋หลานกลัวว่ามันจะรับน้ำหนักของหิมะไม่ไหวและถล่มทับพวกนางในสักวัน
ทำไมนางรู้สึกอยากได้เมล็ดผักเหลือเกิน ถึงจะมีเงินอยู่แต่จะบอกครอบครัวว่ายังไงดี เพราะสิ่งที่นางมีมันไม่สมควรที่จะบอกกล่าวกับใครทั้งนั้น มันอันตรายเกินไป
"พี่ใหญ่เจ้าคะ ข้าอยากปลูกผัก ปีนี้บ้านเรายังไม่ได้ปลูกมันเลยนะเจ้าคะ" ไป๋หลานตัดสินใจเอ่ยถาม มันจำเป็นที่จะต้องกักตุนเสบียงเพราะในความทรงจำของร่างนี้หน้าหนาวปีที่ผ่านมายาวนานมากจนเกินไป นางไม่ยอมทนหิวในขณะที่ร่างกายหนาวเย็นหรอกนะ อย่างน้อยท้องจะต้องอิ่มร่างกายถึงอบอุ่นขึ้น
"ท่านแม่มีเมล็ดผักของปีที่แล้วเก็บไว้อยู่บ้าง เจ้าแน่ใจนะน้องรองว่าจะปลูกมัน" มันเป็นเมล็ดผักที่ท่านแม่ซื้อมาปลูกแต่ผลที่ได้ผักกลับเล็กแกรนจนสุดท้ายมันก็ตายไป
"เมื่อปีที่แล้วพวกเราก็ปลูกแต่ผักต้นเล็กมากและมันก็ค่อยๆเหลืองตาย" ซีห่าวน้อยพูดเสียงเศร้าเพราะเขาเป็นคนรดน้ำให้พวกมันแต่พอมันตายจึงเสียใจอยู่บ้าง
"ที่ต้นผักไม่โตเพราะมันไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอเจ้าค่ะ" ไป๋หลานเริ่มเข้าใจในปัญหาหลังจากเดินไปสำรวจดินของบ้านถง มันทั้งแข็งและไม่มีแร่ธาตุอะไรเลย
"มันสำคัญด้วยหรือขอรับพี่รอง" ซีห่าวน้อยทำหน้าไม่เข้าใจ
"สำคัญมาก ถ้าเรามีมูลของสัตว์เอามาผสมกับหน้าดินที่เราพลิกแล้วพักไว้2-3วัน เมื่อเราปลูกผักมันต้องโตแน่ๆ" ไป๋หลานอธิบายให้กับซีห่าวน้อยฟัง และตอนนี้เขาก็กำลังทำสายตาเป็นประกายเมื่อรู้ว่านางมีวิธีที่ดีในการปลูกผัก
"เจ้ารู้ได้เช่นไรน้องรองว่าถ้าใช้มูลสัตว์แล้วผักจะโต" เฉิงกงมองหน้าน้องสาวที่อ่อนแอของตนเองอย่างสงสัย ตลอดมานางมักจะใช้ชีวิตอยู่บนเตียงเสียส่วนใหญ่จะมารู้วิธีพวกนี้ได้เช่นไรกัน
"ท่านพ่อมาเข้าฝันแล้วบอกข้าเจ้าค่ะ" ไป๋หลานตัดสินใจอ้างท่านพ่อที่ล่วงลับไปแล้วอย่างรู้สึกผิด 'ข้าขอโทษนะเจ้าคะ'
"....." เฉิงกง
"....." ซีห่าว
เมื่อนางหวงหลานกลับมา ก็พบว่าลูกๆของนางเตรียมอาหารไว้รอแล้ว มื้อเย็นของครอบครัวถงวันนี้ทุกคนกินอิ่มกันถ้วนหน้าจนท้องป่อง พวกเขาไม่ได้กินเนื้อและกินอิ่มมานานมาก จึงทำให้อึดอัดอยู่บ้างแต่ก็ทำให้ทุกคนยิ้มได้ ซีห่าวน้อยคือคนที่มีความสุขที่สุด เขาพูดและหัวเราะเสียงดังสร้างความครื้นเครงในบ้านและดึงเอาความเครียดของพี่ใหญ่ทิ้งไปได้ ไป๋หลานมองทุกคนมีรอยยิ้มก็ยิ้มตาม ครอบครัวมันเป็นแบบนี้สินะ นางไม่ได้สัมผัสมันมาหลายปีแล้วนับตั้งแต่พ่อกับแม่จากไป จึงอยากจะรักษาสิ่งที่นางยอมรับแล้วว่าครอบครัวและจะทำให้ทุกคนมีความสุข
รุ่งเช้าครอบครัวถงยุ่งกันมาก หลังจากที่ทานข้าวเช้ากันไปแล้วจึงมาช่วยกันพลิกหน้าดินตรงหน้าบ้านและหลังบ้าน พื้นที่ทั้งสองหากนำมารวมกันก็มีอยู่ถึง3หมู่ ก็เป็นพื้นที่กว้างขวางพอได้ บ้านถงอยู่ติดป่ากว่าใครเพื่อน และทางการไม่มานั่งวัดพื้นที่แถวนี้ให้เสียเวลา ชาวบ้านมักจะถางหญ้าออกไปเพื่อให้บ้านของตนเองมีพื้นที่เพิ่มเข้ามา ใครแรงมากก็ได้มากใครแรงน้อยก็ได้น้อย
วันนี้ท่านแม่ไม่ได้ออกไปรับจ้างซักผ้าจึงออกมาช่วยทำงาน เฉิงกงไปขอมูลสัตว์กับคนในหมู่บ้านที่เลี้ยงไก่ ซึ่งมันไม่เสียเงินเลยสักนิดเพราะคนที่นี่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมัน พวกเขามักนำมันไปฝังดินมากกว่าจะนำมาเป็นส่วนสำคัญในการปลูกผัก ไป๋หลานคาดว่าเพราะไม่มีใครรู้ จึงฉวยเอาโอกาสนี้ก่อนที่มันจะแพร่หลายหลังจากที่ผักของพวกนางโตและนำไปวางขาย เพราะถึงยังไงเมื่อมีคนถามนางก็จะตอบไปตามตรงอยู่ดี
หลังจากที่ช่วยกันพลิกหน้าดินและโรยปุ๋ยเรียบร้อยแล้ว จึงเป็นเวลาของอาหารเที่ยง ยังดีที่นี่ทานข้าวสามมื้อต่อวันไม่อย่างนั้นไป๋หลานคงหิวจนตาลายแน่
"พี่รองพวกเราต้องรออีกกี่วันขอรับ ถึงจะปลูกได้" ซีห่านยังคงสดใสเหมือนเดิมและดูจะมีความสุขมากที่ได้ช่วยทำงาน ท่านแม่และพี่ใหญ่ต่างยิ้มด้วยความเอ็นดู แต่ไป๋หลานกลับสะท้อนใจ ที่น้องไม่ได้เรียนหนังสือในขณะที่เด็กรุ่นนี้ของบ้านอื่นเข้าสำนักศึกษากันไปหมดแล้ว จึงตั้งใจที่จะสร้างฐานะของบ้านให้ดีขึ้นและส่งเด็กน้อยเข้าสำนักศึกษาให้ได้
"ต้องพักดินสัก2-3วัน หลังจากนั้นเราจะโรยเมล็ดกัน" ไป๋หลานตอบกลับอย่างสดใส ตั้งแต่ฟื้นจากการป่วยพลังชีวิตของนางมีอยู่เต็มเปี่ยม พลอยทำให้คนในบ้านโล่งใจและดีใจที่นางหายป่วย
"แล้วระหว่างที่เรารอเราเข้าป่าดีหรือไม่ขอรับ" ซีห่าวน้อยที่รู้ว่าไปกับพี่รองแล้วจะมีโชคถามอย่างมีความหวัง วันนี้เขาต้องได้กินเนื้อ ไป๋หลานเห็นว่าไม่เสียหายอะไรก็ตั้งใจจะเข้าป่าหลังจากกินมื้อเที่ยงกันแล้ว
ตกลงกันได้พี่น้องบ้านถงก็แบกตะกร้าเดินเข้าป่าในเวลาบ่ายคล้อย โดยปล่อยให้ท่านแม่รออยู่ที่บ้าน เมื่อเข้ามาในป่าซีห่าววางกับดักไว้4อันนำแป้งแผ่นที่แอบหยิบติดมือมาวางเอาไว้เป็นเหยื่อล่า พี่ใหญ่มีธนูของท่านพอติดมือมาด้วยเผื่อเจอสัตว์ใหญ่ ซึ่งมันยากมากที่จะมีพวกมันออกมาเดินอยู่ป่ารอบนอก แต่ไป๋หลานคิดว่ากันไว้ดีกว่าแก้ เฉิงกงมองน้องชายจัดการทุกอย่างด้วยความคล่องแคล่วแล้วอด๓ูมิใจแทนบิดาที่จากไปไม่ได้
ทางด้านไป๋หลานก็เดินสำรวจป่าอย่างละเอียดเพราะเมื่อวานนางกับซีห่าวอยู่เพียงรอบนอก แต่วันนี้พี่ใหญ่มาด้วยจึงเดินเข้าไปลึกขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะเด็กหญิงจะตาโตเมื่อเห็นลูกสีเหลืองทองบนต้นไม้มันคือ หมางกั่ว(มะม่วง) ที่กำลังสุกเหลืองน่ากิน
ไป๋หลานไม่รอช้าเดินเข้าไปใต้ต้นของมัน ก่อนมองหาลูกที่หล่นอยู่ใต้ต้น ก็เห็นว่ามีลูกใหม่สียังสดเพราะคงหล่นมาไม่นานนางหยิบขึ้นมาเช็ดกับเสื้อเล็กน้อยก่อนจะใช้ฟันกัดผลสุกเข้าไปเต็มคำ กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของหมางกั่วฟุ้งอยู่ในปาก รสหวานอมเปรี้ยวนิดๆช่วยให้ร่างกายกระชุ่มกระชวย ในโลกก่อนนางก็ทำเช่นนี้กัดทั้งเปลือกดูดเนื้อหวานๆจนหมดและคายเปลื้อกออกทีหลัง
"น้องรองเจ้าทำอะไร มันทานได้หรือคายออกมานะ" เฉิงกงทำหน้าตกใจรีบเข้าไปสำรวจจับเนื้อตัวน้องสาวอย่างเป็นห่วง ผลนี้เขาเห็นมันมานานแล้วแต่ไม่กล้ากิน ถึงแม้ว่าตอนที่มันเป็นสีเหลืองจะมีกลิ่นหอมแต่ชาวบ้านที่นี่ต่างคิดว่ามันมีพิษจึงปล่อยให้มันร่วงหล่นเน่าเสียอยู่ใต้ต้น มาวันนี้น้องสาวของเขากลับกัดมันเข้าไปอย่างไม่กลัวตายจะให้เขานิ่งเฉยได้อย่างไร
"พี่รอง พี่อย่าเป็นอะไรนะขอรับ ท่านลืมตาสิขอรับ ฮึก~" ซีห่าวน้อยตกใจร้องไห้เมื่อเห็นพี่สาวหลับตาหลังจากที่กัดผลพิษเข้าไปแล้ว เสียงสั่นเครือของพี่ชายและน้องชายปลุกให้ไป๋หลานตื่นจากภวังค์ ก่อนจะคายเปลือกทิ้งและกัดเข้าไปใหม่
"ข้าไม่เป็นอะไร ผลนี้มันทานได้พี่ใหญ่เราเก็บมันกลับบ้านไปให้ท่านแม่กันเถอะเจ้าค่ะ นอกจากจะทานผลสุกได้แล้ว เรายังนำมันไปตากแห้งหรือแม้แต่นำไปกวนไว้กินตอนหน้าหนาวได้" ไป๋หลานเอ่ยปลอบคนขี้กลัวทั้งสอง ก่อนเอ่ยรบเร้าออดอ้อนพี่ใหญ่หลายครั้ง ถึงแม้เฉงกงจะไม่ไว้ใจแต่หลังจากที่ทานมันเข้าไปแล้ว เขาก็อดประหลาดใจไม่ได้ มันไม่ได้ทำให้เขาตายแต่มันยังมีรสชาติอะไรสุดๆอีกต่างหาก
"นี่มัน....อร่อยมาก และหวานทีเดียว น้องรองเจ้าโชคดีมาก" เฉิงกงเอ่ยอย่างตื่นเต้น บ้างถงจะมีเสบียงเพิ่มขึ้นในหน้าหนาว ซีห่าวน้อยหลังจากเห็นพี่ใหญ่กับพี่รองไม่เป็นอะไร เขาจึงหยิบผลที่ยังดูดีขึ้นมาและกัดเข้าปากบ้าง หลังจากนั้นตัวเขาก็หยุดไม่ได้อีกเลย
"อร่อยมากขอรับ. พี่รองดีที่สุด" เสียงเล็กเอ่ยสร้างความสดใสอีกครั้ง ปากเล็กเปื้อนเป็นสีเหลืองทำให้เฉิงกงและไป๋หลานหัวเราะอย่างมีความสุข
"แล้วพี่ใหญ่เล่า" เฉิงกงเอ่ยเย้าน้องชายตัวน้อยอย่างนึกสนุก
"พี่ใหญ่ก็ดีที่สุดขอรับ" ซีห่าวออดอ้อนพี่ใหญ่ในขณะที่ยังกินผลหมางกั่วอยู่เต็มปาก
ทั้งสามช่วยกันเก็บหมางกั่วจนเต็มตะกร้าที่นำมา พี่น้องบ้างถงก็เดินออกมาจากป่าอย่างมีความสุข และความสุขก็เข้ามาเยือนสามพี่น้องอีกครั้งเมื่อกับดักที่ซีห่าววางไว้ มีหมูป่าตัวใหญ่อยู่ นั่นหมายถึงว่าพวกเขาจะมีเสบียงเพิ่มขึ้นในหน้าหนาวที่จะถึงในอีกไม่กี่เดือนนี้
**********
การกินมะม่วงสุกโดยไม่ปลอกเปลือกเป็นการกระทำของไรท์เองค่ะ ตอนเด็กๆทำบ่อยมาก ยิ่งมะม่วงป่าเวลาสุกมันจะหอมกว่ามะม่วงที่เราปลูกเอง เลยเอามาใส่ในนิยายเพิ่มความแปลกใหม่ บางตอนไรท์ก็จะเพิ่มเนื้อหาหรือคำเชื่อมให้ตอนนั้นๆอ่านลื่นขึ้นนะคะ
ความคิดเห็น