ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จนกว่าความลับนี้จะจบลง (BL)

    ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 6 อารักขา (4)

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ค. 67


    ตอนที่ 6

    อารักขา (4)

     

    การเดินทางไปยังจักรวรรดิบาร์นาบัสยังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าพวกเราคณะเดินทางจะเข้ามาในอาณาเขตทางตอนเหนือของอาณาจักรอัลซีเรียแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะใกล้ถึงจักรวรรดิเลย

    ผมรู้สึกได้เลยว่าตั้งแต่วันนั้นที่ผมสามารถจับสัมผัสในป่าที่จ้องมองมาที่ผมนั้น การเดินทางนี้มันก็เริ่มไม่ปกติเหมือนที่ผ่านๆ มาแล้ว แม้ว่าจะไม่มีภัยอันตรายหรือโจรป่าบุกเข้ามาโจมตีรถม้าแต่อย่างใด แต่ดินแดนทางตอนเหนือที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเส้นทางการเดินทางที่โหดร้ายนั้น มันไม่ได้โหดร้ายอย่างที่คิดเลย

    ถ้าจะพูดให้ถูกละก็ สภาพอากาศและภูมิศาสตร์ของที่นี่ยังคงโหดร้ายเหมือนที่เคยได้ยิน แต่การที่ไม่มีโจรป่าหรือมอนสเตอร์บุกเข้ามาโจมตีระหว่างทางนั้นเป็นเรื่องที่น่ากังวลมาก เพราะมันทำให้การเดินทางราบรื่นและเงียบสงบเกินไป

    และมันผิดวิสัยจนเกินกว่าที่จะเรียกว่าโชคดีในการเดินทางครั้งนี้

    “อีกกี่อาทิตย์เนี่ยที่จะถึงชายแดน?”

    หนึ่งในอัศวินพูดขึ้นด้วยความสงสัย ปกติแล้วตอนนี้พวกเราที่ใช้เวลาเดินทางมาแล้วหนึ่งเดือนนั้นควรที่จะเริ่มเห็นหมู่บ้านในตอนทางเหนือได้แล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังไม่เห็นวี่แววของหมู่บ้านเลย

    “แซม เจ้าไม่คิดบ้างหรอว่ามันผิดปกติน่ะ?”

    “ข้าก็ว่ามันผิดปกติอยู่เหมือนกัน ขนาดข้าที่เคยเดินทางมาตอนเหนือแล้วครั้งหนึ่ง ข้ารู้สึกว่าหมู่บ้านที่ข้าเคยพักอาศัยอยู่นั้นมันผ่านมาเป็นวันๆ แล้วนะ”

    เหล่าอัศวินพูดคุยกันถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น ไม่รู้หรอกนะว่าการเดินทางครั้งนั้นของแซมมันผ่านมากี่ปีแล้ว แต่ถ้าหากหมู่บ้านที่ว่านั่นไม่มีอยู่แล้วในตอนนี้ เราควรจะเห็นซากของสิ่งปลูกสร้างตอนที่ผ่านมันมานะ ถึงแม้ว่าจะโดนหิมะปกคลุมจนแทบจะไม่เห็นเลยก็ตาม

    ไม่ทันที่ผมจะได้ครุ่นคิดถึงความไม่ปกติที่เกิดขึ้นในระหว่างที่พวกเราเดินทางขึ้นมาตอนเหนือ จู่ๆ ผมก็สัมผัสได้ถึงกลุ่มคนประมาณสิบคนได้กำลังมุ่งหน้ามาที่พวกเรา

    “ทุกคน! เตรียมอาวุธให้พร้อม! มีกลุ่มคนกำลังมุ่งหน้ามาที่พวกเรา!”

    “!!”

    เสียงฝีเท้าที่กำลังมุ่งหน้ามาหาพวกเรากำลังเข้าใกล้ขึ้นมาเรื่อยๆ แซมแบ่งหน้าที่ให้อัศวินรวมถึงผมที่เป็นทหารรับจ้าง แน่นอนว่าผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับแผนการของเขาสักเท่าไหร่ แต่ว่าตอนนี้ผมไม่มีเวลาอธิบายหรือเสนอแนะแผนให้พวกเขาอีกแล้ว นั่นก็เพราะว่า—

    “นั่นไง! ไปขโมยเสบียงของพวกมันมา!”

    หนึ่งในกลุ่มคนที่มุ่งหน้ามาหาพวกเราที่กำลังคุ้มกันรถม้าพูดขึ้น ในตอนแรกผมคิดว่าคงถึงเวลาที่ผมได้ใช้วิชาดาบที่ฝึกมาจากหัวหน้าสมาคม แต่สัญชาตญาณของผมกลับดึงมีดสั้นทั้งสองเล่มที่แนบอยู่ข้างตัวผมขึ้นมาซะงั้น

    เหมือนว่าถ้าผมไม่รีบกำจัดพวกคนกลุ่มนี้ลง จะมีเหตุการณ์บางอย่างที่เลวร้ายเกิดขึ้น

    อา… ผมลืมไปเลยว่ามันยังมี ‘เหตุการณ์’ นั้นที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้ากับพวกเราอยู่ ถ้าหากโลกนี้เดินเนื้อเรื่องไปตามเกมจริงๆ ละก็…

    เวรแล้วไง

    "แซม! รีบพาแขกของเราออกมาจากรถม้าเดี๋ยวนี้เลย!"

    ผมตะโกนขึ้นในขณะที่เห็นพวกที่จะมาโจมตีรถม้ากำลังเข้าใกล้พวกเราขึ้นเรื่อยๆ แซมที่อยู่ใกล้รถม้ามีสีหน้าตกใจและงุนงงกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เขายืนตัวแข็งและยังไม่ขยับไปตามที่ผมบอก ผมกัดฟันของตัวเองอย่างฉุนเฉียวก่อนที่จะวิ่งตรงไปยังรถม้า ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนต้องยืนป้องกันรถม้าอยู่ด้านหน้าของกลุ่มแท้ๆ

    "นี่! เจ้าสองคนที่อยู่ในรถม้าตอนนี้น่ะ ถ้ายังอยากรอดชีวิตอยู่ก็รีบออกมาจากรถม้าซะ!"

    ไม่รู้ว่าเสียงของผมจะส่งไปถึงพวกเขาไหม แต่ขาทั้งสองข้างของผมก็ยังวิ่งไปยังรถม้าอยู่ดี

    "แอล!? เจ้าจะทำอะไรน่ะ?!"

    หนึ่งในอัศวินตะโกนขึ้นในขณะที่ผมวิ่งไปถึงรถม้าแล้ว ชั่วขณะที่ผมกำลังยื่นมือไปเปิดประตูรถม้านั้น คนภายในรถม้าก็ดันเปิดประตูรถม้าออกมาก่อนเสียงั้น

    "อะไรเนี่ย? เจ้าจะให้พวกเรา—"

    "ไม่มีเวลาแล้ว! ออกมาเลยเดี๋ยวนี้! ทั้งคู่เลย!"

    ทั้งสองคนที่อยู่ในรถม้าได้แต่ทำสีหน้างุนงงกับสถานการณ์ แต่ก็รีบออกมาจากรถม้าแต่โดยดี ในตอนแรกผมคิดว่าที่ตัวเองหยิบมีดสั้นออกมาเป็นเพราะต้องกำจัดศัตรูตรงหน้าให้รวดเร็ว แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าทำไมผมหยิบมันขึ้นมา

    "รีบไปหยิบสัมภาระที่จำเป็น! หลังจากนั้นก็วิ่งตรงไปอย่างเดียว อย่าหันกลับมาเด็ดขาด!"

    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมตะโกนหรือขึ้นเสียงใส่พวกเขา ทั้งสองจึงทำตามอย่างไม่ได้เอ่ยถามอะไรอย่างรวดเร็ว

    "อะไรกันเนี่ยแอล?! ไม่ใช่ว่าพวกเราต้องป้องกันรถม้าและกำจัดพวกที่จะมาโจมตีเราไม่ใช่หรอ!?"

    เหมือนว่าแซมจะได้สติขึ้นมาหลังจากที่เห็นทั้งสองลงมาจากรถม้าตามที่ผมบอก เขาจับไหล่ผมแน่นเหมือนว่าต้องการเค้นคำตอบจากผมให้ได้ตอนนี้ ผมที่กำลังอารมณ์ฉุนเฉียวจึงสะบัดมือของเขาออกอย่างรุนแรง พร้อมพูดขึ้นเสียงใส่เขาอย่างไม่แยแสความรู้สึกฝ่ายตรงข้าม

    "ถ้าอยากรอดละก็! ทุกคนต้องหนีไปจากที่นี่ซะ!!"

    ผมพูดพร้อมกับมองขึ้นไปยังบนท้องฟ้าอย่างหวาดระแวง

    ทำไมผมถึงพึ่งมานึกเอาตอนนี้ได้ว่า ‘เหตุการณ์’ นั้นมันเกิดขึ้นระหว่างที่มีกลุ่มโจรกำลังโจมตีรถม้า สิ่งที่ร่วงหล่นลงมาจากฟ้านั้นพุ่งตรงลงมายังรถม้าที่แขกจากจักรวรรดิบาร์นาบัสทั้งสองอยู่ ในเกมได้บรรยายไว้ว่าไม่มีใครรอดจากวัตถุปริศนาที่หล่นลงมา ยกเว้นนายน้อยจากตระกูลดยุกที่เป็นตัวละครลับ

    ไม่รู้ว่าทำไมนายน้อยตระกูลดยุกถึงรอดไปคนเดียว แต่ว่า—

    ก้อนสีดำเล็กๆ ก้อนหนึ่งที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามาให้เห็นในสายตาของผมบนฟากฟ้านั้น มันกำลังใกล้เข้ามาหาเรา

    "หนีออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้! เร็ว!"

    ผมผลักให้ทั้งสองที่พึ่งเตรียมเสร็จให้ออกวิ่งไปยังข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ในตอนแรกทั้งสองโซเซจากแรงของผมเล็กน้อย ก่อนที่พวกเขาทั้งสองจะตั้งหลักได้และเร่งฝีเท้าไปยังข้างหน้าตามที่ผมบอก ผมวิ่งตามทั้งสองไปโดยเหลือบไปมองเหล่าอัศวินที่กำลังยืนงงกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น มีเพียงแซมคนเดียวที่เริ่มจะออกวิ่งตามหลังผมมา

    ส่วนสองคนที่เหลือ—

    "เจ้าพวกนั้นจะหนีไปไหนน่ะ!?"

    เสียงตะโกนไล่หลังของใครบางคนดังขึ้น มีโจรสองคนจากกลุ่มโจรวิ่งไล่ตามพวกเราอย่างรวดเร็ว ต้องขอบคุณที่ผมกำลังถือมีดสั้นทั้งสองเล่มไว้ ผมจึงปามันออกไป เพื่อชะลอการเคลื่อนไหวของพวกเขาโดยมีดสั้นทั้งสองได้ถูกปักลงไปที่ขาของพวกเขาทั้งสองคน แน่นอนว่าผมสามารถปาให้มันไปโดนหัวของพวกเขาได้เลย

    แต่ตอนนี้ผมทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะเราอาจจะเสียเกราะกำบังที่ชะลอความไวของไฟที่จะมาถึงพวกเราในไม่ช้าอย่างเปล่าประโยชน์ก็เป็นไปได้

    ผมวิ่งไปข้างหน้าต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่สายตาของผมนั้นจดจ่อไปยังวัตถุปริศนาที่กำลังร่วงหล่นลงมาอย่างรวดเร็ว สิ่งนั้นจะตกลงมายังพื้นโลกในไม่ช้า และมันจะแผดเผาผู้ที่อยู่บริเวณใกล้มันจนหมดจด

    ถ้าหากให้ผมทายว่ามันคืออะไรในตอนนี้ ผมคิดว่ามันคืออุกกาบาต แต่พอมันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สิ่งที่ผมสัมผัสได้นั้นมันทำให้ผมมั่นใจว่ามันไม่ใช่อุกกาบาตแน่นอน แต่มันเป็น…

    พลังเวทขนาดใหญ่ที่กำลังตกลงมา

    ผมแน่ใจว่าถ้าหากใครที่มีพลังเวทในที่นี้เหมือนกับผมก็คงสัมผัสได้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามในการตรวจจับพลังเวทก็สามารถสัมผัสได้

    “แฮก… หรือว่าเจ้าสัมผัส… ได้ถึงสิ่งนี้?!”

    เจ้าเด็กจากราชวงศ์พูดขึ้นในขณะที่เขากำลังวิ่งนำหน้าผมอยู่ ผมไม่ได้พูดอะไรต่อและมีสมาธิกับการวิ่งให้มากขึ้น การกำหนดลมหายใจและควบคุมพละกำลังของเราในตอนนี้สำคัญกว่า

    “โนอาห์… เจ้านี่ไม่ยอม… ตอบกลับข้าเลย”

    “ท่าน… ซีคฮาร์ท… ข้าว่า… ตอนนี้เราควร…”

    “วิ่ง! อย่าพูดอะไร… ออกมาอีกทั้งนั้น!”

    ผมพูดขึ้นในขณะที่ทั้งสองเริ่มเสียจังหวะการหายใจของตัวเอง ผมไม่รู้ว่าข้างหลังของพวกเราในตอนนี้เป็นยังไง แต่ว่า—

    ครืน!

    เสียงท้องฟ้าที่กำลังสั่นสะเทือนดังขึ้น ให้ตายสิ… ตอนนี้เหมือนกำลังได้ยินเสียงของเจ้าพลังเวทขนาดใหญ่นั้นกำลังมุ่งหน้ามายังบนพื้นโลก ต้องรีบวิ่งให้เร็วกว่านี้

    แต่ไม่ทันที่ผมจะได้วิ่งให้เร็วมากขึ้นกว่านี้ เสียงสั่นสะเทือนก็เริ่มเข้ามาใกล้พวกเราที่กำลังวิ่งอย่างรวดเร็ว

    อา… ยิ่งวิ่งก็ยิ่งเหนื่อย พละกำลังที่มีในการออกวิ่งในตอนนี้ก็เริ่มหดหายลงไปเรื่อยๆ เหมือนว่าสัญชาตญาณของผมนั้นรับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าผมอาจจะต้อง…

    ตายอยู่ที่นี่

    แต่ว่า—

    “โนอาห์ใช่ไหม?!”

    ผมตะโกนเรียนชื่อของนายน้อยตระกูลดยุกที่กำลังวิ่งอย่างสุดกำลัง เขาหันมาทางผมเล็กน้อยในขณะที่วิ่ง ดวงตาสีแดงฉานที่กำลังหวาดกลัวและสั่นไหวของเขานั้น มันทำให้ผมรู้ว่าเขาก็กำลังรู้สึกเช่นเดียวกันกับผม

    บางที… มันอาจจะมีเหตุผลที่ทำให้เขาเป็นผู้รอดชีวิตคนเดียวก็เป็นได้

    ในขณะที่ผมกำลังคิดว่าพวกเราหมดหนทางแล้ว จู่ๆ สร้อยคอสีเงินที่มีล็อกเกตที่ทำจากผลึกเวทมนตร์ของโนอาห์ก็โผล่ออกมาจากคอเสื้อของเขาในขณะที่พวกเรากำลังวิ่ง

    ในตอนนั้นเองที่ผมเห็นแสงสว่างและหนทางรอดของพวกเรา

    “ทุกคน! จับตัวของโนอาห์ไว้!!”

    ตอนนั้นเองที่ผมรีบวิ่งเขาไปโนอาห์อย่างรวดเร็ว และกอดตัวของเขาเอาไว้แน่น โนอาห์สะดุ้งตกใจจากการสัมผัสอันรวดเร็วของผม ผมมองไปที่ดวงตาที่กำลังสั่นไหวของโนอาห์ ก่อนจะพูดขึ้น

    “โนอาห์ ใช้พลังของนาย… ปกป้องพวกเราซะ!!”

    ในเกมได้บรรยายไว้ว่าพลังเวทของโนอาห์ได้ตื่นขึ้นในตอนที่เขารู้สึกถึงวิกฤตมากที่สุด ซึ่งมันคงจะเป็น ‘เหตุการณ์’ ในตอนนี้ ถึงแม้ว่าในตอนนี้พลังของโนอาห์อาจจะปกป้องได้ไม่ดีเท่าตอนที่เขาโตขึ้น เนื่องจากร่างกายซีกขวาของเขาถูกไฟคลอกจนกลายเป็นแผลเป็น

    แต่ถ้าหาก…

    “ข้า… ข้าทำไม่ได้หรอก… พลังของข้ามันยังไม่—”

    “โนอาห์ ตอนนี้เจ้าคิดเพียงแค่ว่าเจ้าต้องมีชีวิตรอดกลับไปให้ได้…”

    “…”

    “ส่วนที่เหลือ… ข้าจัดการเอง”

    ดวงตาสีแดงฉานที่กำลังสั่นไหวและหวาดกลัวของโนอาห์ได้เริ่มผ่อนคลายลง เขาหลับตาของเขาทั้งสองข้างลง ก่อนที่เขาจะตั้งสมาธิในการกระตุ้นให้พลังเวทของเขาตื่น ส่วนอีกสองคนที่เหลือที่พึ่งเข้ามาจับตัวของโนอาห์ไว้นั้น ก็มีสีหน้าที่กำลังคาดหวังและหวาดหวั่นไปพร้อมกัน แต่ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กที่มาจากราชวงศ์จะคาดหวังกับโนอาห์น่าดู

    “โนอาห์! เจ้าทำได้!!”

    น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคาดหวังอาจทำให้โนอาห์ในตอนนี้รู้สึกกดดัน ถ้าหากเขาเป็นโนอาห์ที่ผมรู้จักในเกมละก็ ผมคงไม่เป็นห่วงเขาหรอกว่าในตอนนี้เขาจะกระตุ้นให้พลังเวทของเขาตื่นได้ไหม

    แต่ถ้าเป็นโนอาห์ นายน้อยจากตระกูลดยุกผู้ที่ระแวงไปทุกสิ่งในระยะเวลาที่พวกเราได้เดินทางร่วมกันมานั้น…

    บางที ผมอาจต้องใช้วิธีที่ผมเคยใช้กับคุณหนูของผมก็เป็นได้

    “โนอาห์”

    ผมโน้มใบหน้าของผมเข้าไปใกล้ขึ้นกับใบหน้าของเขา ผมเรียกชื่อของโนอาห์อย่างอ่อนโยนและกระซิบไปที่ข้างหูของเขาอย่างแผ่วเบา มือทั้งสองที่กำลังโอบเอวของเขาอย่างแน่นหนาข้างหนึ่งนั้นได้เลื่อนขึ้นมาอย่างเชื่องช้าเพื่อลูบหัวของเขาที่กำลังรู้สึกกดดันจากสถานการณ์ในตอนนี้

    “เจ้าทำได้ โนอาห์ และข้าคนนี้… จะช่วยเจ้าอีกแรง”

    ในตอนที่ผมได้ตื่นขึ้นมาบนโลกนี้ พลังเวทของผมถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้นจากการที่รีเอตต้าพยายามจะฆ่าผม แน่นอนว่าลุดวิกในเกมไม่สามารถปลุกพลังเวทของเขาได้จนถึงวันที่ชีวิตของเขาได้จบลง ตอนแรกผมคิดว่าพลังเวทที่ตื่นขึ้นมานี่ของลุดวิกนั้นช่างเปล่าประโยชน์ เพราะเขามีพลังเวทน้อยกว่าพวกตัวเอกของเกมอยู่มากโข ผมจึงคิดว่าถ้าเขาใช้สมรรถภาพทางร่างกายที่ดีของเขาเป็นประโยชน์ในการหาเงินได้ก็คงจะดี

    แต่ว่าพอใช้พลังเวทไปเรื่อยๆ ผมก็รู้สึกได้ว่าพลังเวทที่เคยมีอยู่น้อยนิดก็เริ่มมีมากขึ้นกว่าเดิม สุดท้ายแล้วพลังเวทก็กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผมที่เป็นลุดวิกไปแล้ว เพราะมันสามารถทำให้ผมทำงานได้สะดวกสบายมากขึ้น และใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

    “…อืม!!”

    โนอาห์ตอบกลับผมด้วยน้ำเสียงที่สู้สุดกำลังอย่างไร้ความเกรงกลัว ผมยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนที่จะสัมผัสได้ถึงพลังเวทที่ไหลเวียนอยู่ภายในตัวของโนอาห์

    สำเร็จ!

    “โนอาห์ ข้าจะส่งพลังเวทไปให้กับเจ้านะ เพราะฉะนั้นจงนึกถึงเกราะป้องกันที่จะปกป้องพวกเราที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เจ้าจะนึกได้”

    ไม่มีเวลาแล้ว ในตอนนี้ผมแทบจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงลมอันรุนแรง ให้ตายสิ… มันใกล้จะตกถึงพื้นแล้ว

    ในขณะที่เสียงวิ้งได้ดังขึ้นมาในหูของผม ผมเริ่มที่จะปล่อยตัวของโนอาห์ออกจากอ้อมกอดของผมอย่างเชื่องช้า และหันไปมองยังบริเวณที่พลังเวทขนาดใหญ่นั้นได้ตกลงถึงพื้น แสงสีขาวได้พวยพุ่งออกมาจากการตกถึงพื้นโลกของมัน ไม่นานหนักผลกระทบของมันก็ก่อให้เกิดเปลวไฟลุกโชนไปทั่วทุกสารทิศ ผมมองเปลวไฟที่กำลังพุ่งมาหาพวกเราอย่างรวดเร็วนั้นอย่างหมดหวัง

    สุดท้ายแล้ว… มันก็ไม่ทันเวลาสินะ

    ในขณะที่ผมกำลังยอมรับความตายบนโลกใบนี้อย่างไม่เต็มใจมากนัก จู่ๆ ก็มีสัมผัสอันแผ่วเบาของใครบางคนได้ยื่นเข้ามาจับมือข้างขวาของผมอย่างแผ่วเบา ผมหันไปมองเจ้าของสัมผัสอันแผ่วเบาที่มือข้างขวาของผมอย่างเชื่องช้า

    ก่อนที่เด็กชายผู้หวาดระแวงคนนั้นกำลังคลี่ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน

    "ถ้าเจ้าไม่จับมือข้าไว้ เดี๋ยวพลังก็ขาดช่วงหรอก"

    โนอาห์ยิ้มให้ผมเหมือนกำลังปลอบโยนใจที่กำลังยอมแพ้ต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ แม้ว่าทุกอย่างในตอนนี้กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่มีเพียงสิ่งนี้ที่ยังคงเหมือนภาพเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ในสายตาของผม

    หึ… ถ้ายิ้มออกมาอย่างนั้นออกมาได้ พวกเราก็คงจะรอดสินะ?

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×