ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จนกว่าความลับนี้จะจบลง (BL)

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 5 อารักขา (3)

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ค. 67


    ตอนที่ 5

    อารักขา (3)

     

    ในยามค่ำคืนที่มีลมหนาวพัดผ่านมาเป็นช่วงๆ นั้น กองไฟได้ถูกก่อขึ้นมาเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายของพวกเขา เหล่าอัศวินที่กำลังทำหน้าที่ของตนในการค้างแรมคืนนี้ต่างรู้สึกได้ว่าแขกทั้งสองที่ยังไม่ออกมาจากรถม้านั้นอาจกำลังรู้สึกเหน็บหนาวไปถึงขั้วหัวใจ

    ผมที่มีหน้าที่เพียงแค่ก่อกองไฟและตรวจดูความเรียบร้อยบริเวณรอบๆ ที่พวกเราได้ค้างแรมคืนนี้นั้นได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา บางทีพวกเขาก็ระวังตัวเกินกว่าความจำเป็นที่ควรจะเป็นในตอนนี้ เพราะถ้าหากพวกเขายังไม่ออกมาจากรถม้าเพื่อทำให้ร่างกายตัวเองอบอุ่นที่กองไฟที่ผมก่อขึ้นมาในตอนนี้ละก็…

    ยุ่งยากชะมัด เจ้าเด็กพวกนี้

    “ข้าว่าข้าจะไปดูพวกเขาเสียหน่อย”

    แซมที่กำลังเตรียมตัวทำอาหารตามหน้าที่ที่เขาได้รับนั้นพูดขึ้น ผมพยักหน้าให้เขาก่อนจะยื่นถุงทำความร้อนให้แซมนำมันไปให้กับแขกทั้งสองคนภายในรถม้า

    “โอ้! เจ้านี่คืออะไรน่ะ?! ดูเหมือนมันทำความร้อนอยู่ตลอดเลยนะ”

    “มันเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ข้าคิดขึ้นมาเล่นๆ น่ะ หวังว่ามันจะเป็นประโยชน์กับแขกของท่านเคานต์นะ”

    ความจริงผมก็ไม่ได้ทำมันมาเล่นๆ หรอก ปกติแล้วเวลาอยู่ที่โลกเก่า คุณหนูของผมมักจะขอให้ผมทำหลายสิ่งหลายอย่างให้เธอ แน่นอนว่ารวมไปถึงทำสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ที่สามารถใช้เงินซื้อบนโลกเก่าได้นั้น เธอมักจะขอให้ผมลองประดิษฐ์มันขึ้นมาเองเสมอ

    แน่นอนว่าผมมองว่ามันอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่ได้เรียนรู้การสร้างสิ่งของพวกนี้ออกมาด้วยตัวเอง อีกอย่างเจ้านายของผมก็ยังตามใจคุณหนูและให้ทุนผมในการสร้างสิ่งต่างๆ มาอีกด้วย

    ครั้งหนึ่งเธอเคยขอให้ผมสร้างถุงทำความร้อนให้ เนื่องจากเธออยากนำมันไปใช้บรรเทาอาการปวดประจำเดือนของเธอที่รุนแรง แน่นอนว่าผมก็ยินดีที่จะทำให้ แต่ในครั้งนี้ที่ผมทำมันขึ้นมาในโลกที่วิทยาศาสตร์ยังไม่ก้าวหน้านั้น ผมจำเป็นที่จะต้องใช้สิ่งที่สามารถแทนพวกอุปกรณ์และอะไหล่ต่างๆ ที่ทำให้เกิดความร้อนได้

    อย่างเช่นผลึกเวทมนตร์

    “ถ้าหลังจากกลับไปที่อาณาเขตรีอัสแล้ว ข้าขอให้เจ้าทำขึ้นมาให้ข้าหน่อยได้ไหม? ข้าว่ามันคงจะดีสำหรับการเตรียมตัวในหน้าหนาวน่ะ”

    แซมพูดพร้อมกับสำรวจถุงทำความร้อนที่ผมยื่นให้เขา ผมที่ไม่ได้ติดอะไรเรื่องทำถุงความร้อนเพิ่มอีกก็พยักหน้ายืนยันกันเขา

    “แต่ครั้งนี้ข้าคงต้องเก็บเงินของเจ้านะ แซม”

    “ฮ่าๆ ลดราคาให้ข้าหน่อยละกันนะแอล”

    หลังจากที่พูดคุยเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศกับแซมอยู่สักพัก แซมก็รีบนำถุงทำความร้อนไปให้แขกที่อยู่ในรถม้าอย่างรวดเร็ว

    จะว่าไปแล้ว ตอนที่ผมทำถุงทำความร้อนนี้ขึ้นมานั้น ผมคิดเพียงแค่ว่ามันอาจจะจำเป็นสำหรับรีเอตต้าก็เป็นได้ ถึงแม้ว่าผมดูจะไม่สนใจในตัวเธอสักเท่าไหร่ แต่ทุกๆ ครั้งที่เธอฝันร้ายนั้น เธอมักจะปวดหัวและมีไข้เสมอ บางทีการได้อะไรอุ่นๆ เป็นหมอนในเวลานอนนั้นอาจจะทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายก็เป็นได้

    “แอล ดูเหมือนแขกทั้งสองจะชื่นชอบสิ่งประดิษฐ์ของเจ้าอยู่พอควรเลยละ พวกเขาฝากมาขอบคุณเจ้าด้วยนะ”

    แซมที่เดินกลับมาหลังจากให้ถุงทำความร้อนกับแขกทั้งสองในรถม้าได้มานั่งลงข้างผม พร้อมกับเตรียมลับมืดเพื่อทำอาหาร ผมพยักหน้าให้เขาเป็นการตอบกลับก่อนที่จะเริ่มช่วยแซมทำอาหาร

    “เจ้าจะมาเป็นลูกมือให้ข้าในครั้งนี้หรือแอล?”

    “ก็ไม่เชิง ข้าอยากทำให้แน่ใจว่าอาหารที่ข้าจะได้กินคืนนี้ มันจะยังเป็นอาหารที่คนเรากินได้น่ะ”

    “อะไรเนี่ย? เจ้าไม่เชื่อฝีมือของข้าขนาดนั้นเลยหรอ? ข้าได้รับหน้าที่ให้ทำอาหารบ่อยจะตาย”

    “…”

    “เชื่อมือข้าเถอะ! ข้าน่ะทำอาหารอร่อยที่สุดในคณะเดินทางครั้งนี้แล้วละ!”

    ผมถอนหายใจก่อนที่จะลงมือช่วยแซมเตรียมวัตถุดิบ ผมหั่นผักที่แซมเตรียมมาให้อย่างพอดิบพอดีคำ กระต่ายตัวหนึ่งที่หนึ่งในอัศวินล่ามาได้นั้น ผมเลาะหนังของมันอย่างชำนาญก่อนจะถลกหนังของมันออก ส่วนเนื้อสดต่างๆ ของกระต่ายได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าผมอย่างสดใหม่ ผมเลือกที่จะเลาะกระดูกและเลือกส่วนสะโพกมาทำอาหารในคืนนี้

    แซมที่เห็นว่าผมกำลังเตรียมวัตถุดิบอย่างคล่องมือได้แต่มองผมอย่างตื่นเต้น ผมไม่ว่าอะไรหรอกนะถ้าเขาจะดูผมที่กำลังเตรียมวัตถุดิบต่อไปเรื่อยๆ แต่บางทีเขาก็ควรเตรียมเครื่องปรุงในการทำอาหารครั้งนี้ให้พร้อมไว้

    “เจ้าดูจะเชี่ยวชาญในการทำอาหารอยู่พอควรเลยนะแอล”

    “ไม่หรอก เรียกว่าเคยชินจะดีกว่า”

    การทำอาหารในเวลาสงครามเป็นสิ่งที่ผมในอดีตมักจะต้องทำเพื่อความอยู่รอด ไม่มีใครคอยมาดูแลหาอาหารให้ทหารรับจ้างที่ถูกจ้างให้ไปสู้ในสนามรบหรอกนะ อีกอย่าง… การทำอาหารกินเองก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเองอีกด้วย

    “เอ้า ข้าเตรียมวัตถุดิบไว้ให้แล้ว เหลือก็แต่เจ้าที่ต้องลงมือปรุงอาหารแล้วละ”

    “ได้เลย! ข้าจะทำสตูเนื้อกระต่ายในคืนนี้ให้อร่อยจนเจ้าอยากที่จะกินมันจนหมดหม้อเลย!”

    เหมือนว่าแซมจะมีไฟในการทำอาหารมากขึ้น ผมไม่ได้หวังให้รสชาติมันหรูหราเหมือนอย่างในร้านอาหารหรอกนะ แค่ให้มันพอกินได้ในตอนนี้ก็พอแล้ว

    “ระหว่างนี้เจ้าจะไปทำอะไรที่เจ้าอยากทำก็ได้นะแอล กว่าสตูจะเสร็จคงใช้เวลาอีกนาน”

    “อืม ถ้างั้นข้าขอไปตรวจดูบริเวณรถม้าหน่อยละกัน”

    “ได้เลย”

    ผมเดินออกจากกองไฟและแซมที่กำลังทำอาหารให้พวกเราในค้ำคืนนี้อยู่อย่างเงียบๆ อัศวินสองคนที่เหลือกำลังเตรียมที่นอนให้สำหรับพวกเราที่เหลือที่ต้องนอนค้างแรมอยู่ข้างนอกอย่างเหน็บหนาว ส่วนอีกสองคนที่เหลือที่ต้องค้างแรมอยู่ในรถม้าคงกำลังรอให้อาหารเสร็จสินะ

    “ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าเราควรให้พวกอัศวินก่อกองไฟใกล้ๆ กับรถม้าของเรา”

    เสียงหนึ่งดังขึ้นในขณะที่ผมกำลังเดินเข้าไปใกล้รถม้า

    “แต่ข้ากลัวว่าสะเก็ดไฟจะกระเด็นมาโดนรถม้าของพวกเราและทำให้รถม้าไฟไหม้ได้นะครับ”

    “เห้อ แล้วแต่เจ้าแล้วกัน อย่างน้อยๆ พวกเราก็ได้ถุงทำความร้อนนี่มาจากหนึ่งในคนคุ้มกันรถม้าแล้วนิ”

    “ครับ ต้องขอบคุณทหารรับจ้างคนนั้นที่มีสิ่งนี้มาด้วย ไม่งั้นพวกเราคงได้หนาวตายในรถม้าเป็นแน่”

    “ก็แล้วมันเป็นเพราะใครที่เอาแต่กลัวนั่นกลัวนี่ไปหมดละ”

    “ขอโทษครับ…”

    สงสัยนายน้อยตระกูลดยุกจะเป็นคนขี้ระแวงจนทำให้คนจากราชวงศ์รำคาญอยู่ไม่น้อยเลยนะเนี่ย แต่ถ้ามองในมุมมองของการเป็นคนรับใช้ละก็ นายน้อยตระกูลดยุกทำถูกแล้วละที่คอยระวังภัยให้เจ้านายของตนไว้

    “อืม… ข้าว่าข้าจะพูดตั้งนานแล้วนะ แต่ใครที่อยู่ข้างนอกที่กำลังแอบฟังพวกข้าอยู่นั้น ช่วยกลับไปอยู่กับพวกของเจ้าเถอะ”

    โอ้… เจ้าเด็กนี่ประสาทสัมผัสดีแฮะ ดูเหมือนว่าคนในราชวงศ์จะรู้สึกถึงตัวตนของผมสินะ ถึงแม้ว่าผมไม่ได้ลบการมีตัวตนของผมในตอนนี้ แต่การที่เขาสัมผัสถึงผมได้แม้ว่าผมจะเดินเข้ามาใกล้รถม้าอย่างเงียบเฉียบแล้วนั้น

    ถือว่าไม่เลวเลย…

    “ขออภัยที่ข้าเสียมารยาทกับพวกท่าน ข้าเพียงแค่มาตรวจดูรถม้าและจะมาสอบถามว่าพวกท่านต้องการอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่าน่ะครับ”

    “ไม่มีอะไรที่พวกเราต้องการแล้ว ว่าแต่เจ้า… คือทหารรับจ้างที่ร่วมทางมาในครั้งนี้ด้วยใช่หรือไม่?”

    “ครับ ข้ามีนามว่าแอล ขอฝากตัวในการเดินทางครั้งนี้ด้วยนะครับ”

    “แอล? ทหารรับจ้างที่ยังเป็นเด็กนั่นน่ะหรอ?”

    นั่นไง ผมรู้อยู่แล้วว่าเขาจะพูดแบบนั้น แต่มันก็สมเหตุสมผลอยู่ว่าทำไมเขาถึงมีน้ำเสียงที่ดูเย้ยหยันผมถึงขนาดนี้ ทหารรับจ้างที่มีชื่อเสียงอยู่พอควร แต่ก็ยังเป็นแค่เด็กนั้น ไม่ต่างอะไรจากตัวถ่วงที่เพิ่มขึ้นมาในการเดินทางครั้งนี้

    และการที่ท่านเคานต์จ้างวานให้ผมมาอารักขาพวกเขาในการเดินทางครั้งนี้ คงจะสามารถนำไปเป็นข้ออ้างได้ว่าทางท่านเคานต์ได้ทำการคุ้มครองทั้งสองอย่างเต็มที่แล้วจริงๆ

    แต่ก็นะ บางทีท่านเคานต์ควรจะคิดแผนให้ดีกว่านี้และจ้างทหารรับจ้างที่เป็นผู้ใหญ่สักสองสามคนจะดีกว่า เพราะอย่างน้อยๆ มันอาจจะพอตบตาเจ้าเด็กสองคนนี้ได้อยู่ระยะหนึ่งว่าเคานต์รีอัสนั้นเต็มที่กับการเดินทางครั้งนี้แล้ว

    “ครับ แต่โปรดวางใจได้เลยว่าการเดินทางครั้งนี้ ข้าจะพาพวกท่านทั้งสองกลับไปยังจักรวรรดิบาร์นาบัสอย่างครบสามสิบสองแน่ครับ”

    “สามสิบสอง? เอาเถอะ ข้าก็ไม่ได้หวังอะไรจากตัวเจ้ามากอยู่แล้ว”

    “ครับ”

    ให้ตายเถอะ ถ้าไม่ติดว่าการทำให้สองคนนี้ปลอดภัยกลับไปยังจักรวรรดิได้มันจะทำให้การใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ราบรื่นขึ้น ผมคงจะไม่ต้องมาคุยกับพวกเขาให้รู้สึกหัวเสียถึงขนาดนี้

    ความจริงแล้ว ก่อนที่จะได้รับหน้าที่ให้มาดูแลคุณหนูในโลกเก่า ผมเป็นที่ไม่ชอบดูแลเด็กเป็นอย่างมาก เป็นเพราะพวกเขามักจะไม่รู้จักเวลาร่ำเวลาว่าตอนไหนควรจะทำอะไร และมักจะนำพาความเดือดร้อนมาให้อยู่เสมอ แน่นอนว่าอาจเป็นเพราะผมมีอาชีพเป็นทหารรับจ้างที่อยู่่แต่ในสงครามและสนามรบ ผมจึงคิดว่าพวกเขาไม่ควรค่าแก่เวลาที่กำลังเสียไปเพื่อดูแลพวกเขาเลย

    แต่พอได้มาดูแลคุณหนูสักพักหนึ่งผมก็พอจะเข้าใจพวกเด็กๆ ขึ้นมาบ้าง ถึงแม้ว่าในตอนแรกผมจะไม่ชอบคุณหนู แต่ตอนนี้เรียกได้ว่าแค่นึกถึงเธอก็ทำให้ผมยิ้มได้แล้ว อย่างน้อยถ้าพวกเด็กๆ รอบตัวผมน่ารักเหมือนคุณหนูบ้างก็คงจะดี

    “อ่อ แต่ก็ขอบใจเจ้ามากนะที่นำถุงทำความร้อนนี่มาให้พวกเรา มันให้ความอบอุ่นดีมาก”

    “ครับ ยินดีอย่างยิ่งที่ของที่ข้าทำขึ้นมามีประโยชน์กับพวกท่านนะครับ”

    อย่างน้อยๆ เด็กพวกนี้ก็ยังรู้จักขอบคุณสินะ ค่อยทำตัวดีขึ้นมาหน่อย

    “ถ้าไม่มีอะไรแล้วเจ้าจะไปไหนก็ไป ไว้อาหารเสร็จแล้วค่อยมาเรียกพวกข้าก็ได้”

    หลังจากที่โดนแขกในรถม้าไล่ออกมา ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรดี คนอื่นก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ส่วนผมที่ทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จแล้วได้แต่นั่งๆ ยืนๆ อย่างเบื่อหน่าย

    จะว่าไปแล้ว… วอร์มร่างกายด้วยการฝึกฟันดาบไว้หน่อยก็แล้วกัน

    ผมเดินไปยังบริเวณที่โล่งที่อยู่ใกล้เคียงกับบริเวณที่พวกเราค้างแรมในคืนนี้ เมื่อเห็นว่าน่าจะไม่มีใครมากวนการฝึกได้จึงชักคมดาบออกมาจากฝักดาบ ความจริงแล้วถนัดมีดสั้นมากกว่าการใช้ดาบเป็นไหนๆ แต่เป็นเพราะร่างกายที่ยังคงเป็นเด็กเล็กนี่จึงทำให้การใช้มีดสั้นเสียเปรียบเป็นอย่างยิ่ง

    ก็นะ… ทั้งสมรรถภาพทางร่างกายและพละกำลังในวัยนี้จะทำอะไรได้มาก แถมส่วนสูงที่มักจะเป็นปัญหาระหว่างสู้ตัวต่อตัวนั้นเป็นอะไรที่แก้ได้ยากอยู่พอควร ดังนั้นแล้วการใช้ดาบที่เหมาะสมกับตัวเองและสามารถใช้วิชาดาบได้อย่างรวดเร็วและคล่องแคล่วนั้นถือเป็นตัวต่อที่ดีที่จะสามารถลดความเสียเปรียบเรื่องความสูง

    ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอดให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ มือที่จับดาบทั้งสองนั้นแน่นพอเหมาะที่จะฟันดาบกลางอากาศอย่างหนักหน่วงและรวดเร็ว ผมตั้งสมาธิเมื่อสำรวจว่าตัวเองจัดท่าทางในการฟันดาบดีพอแล้ว ก่อนที่จะเริ่มฝึกฝนเพื่อวอร์มร่างกายให้พร้อมกับภัยอันตรายที่จะเจอได้เสมอ

    การฟันดาบนั้นไม่ใช่สิ่งที่ควรจะทำเล่นๆ เพราะมันแสดงให้เห็นถึงน้ำหนักและความมั่นคงของจิตใจของผู้ที่ฝึกฝน ในตอนแรกที่ให้ลุงกิล… ไม่สิ ที่ให้หัวหน้าสมาคมเป็นคนสอนนั้น ในตอนแรกผมไม่รู้ว่าการเรียนวิชาดาบนั้นจะหนักหน่วงเหมือนกับการฝึกซ้อมในการต่อสู้ถึงเพียงนี้

    แต่ถึงยังไง สักวันไม่ว่าจะช้าหรือเร็วผมคงต้องได้จับดาบขึ้นมาใช้บนโลกใบนี้ ดังนั้นแล้วการที่ให้หัวหน้าสมาคมฝึกสอนมาตั้งแต่ที่ลืมตาขึ้นมาบนโลกใบนี้ ไม่ถือว่าเสียเวลาแต่อย่างไร บางทีวิชาดานี่อาจจะเปิดโลกกว้างให้ผมมากขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้

    “ทุกคน! สตูเนื้อกระต่ายใกล้เสร็จแล้วนะ!”

    เสียงของแซมดังขึ้นในขณะที่ผมเริ่มฝึกไปได้พักหนึ่งแล้ว เหงื่อที่เริ่มไหลอาบแก้มและตามร่างกายนั้นเริ่มทำให้อยากอาบน้ำซะแล้วสิ แต่ว่าถ้าอาบในตอนนี้ที่อากาศหนาวขนาดนี้ละก็ คงจับไข้ขึ้นมาเป็นแน่

    อย่างน้อยก็คงต้องใช้ผ้าที่พกติดตัวไว้ตลอดมาเช็ดตามใบหน้าตามตัวก่อนละนะ ผมได้ผ้าผืนสีดำนี่มาจากการที่ไปรับจ้างงานหนึ่งที่ต้องเข้าไปสำรวจถ้ำ แน่นอนว่ามันเป็นงานสำรวจธรรมดาๆ ที่คนชนชั้นสูงมักจะจ้างวานให้ไปทำ พวกเขาคงอยากจะหาเหมืองแร่ที่ใหม่ๆ ไว้คอยกอบโกยเงินทองของพวกเขาในอนาคต

    แต่ถ้ำที่ผมไปสำรวจนั้นกลับไม่มีอะไรเลยนอกจากหนังสือเล่มเก่าเล่มหนึ่งกับผ้าสีดำสนิทผืนนี้ที่ถูกนำไปเป็นที่ห่อหนังสือเล่มเก่าเล่มนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรผมถึงเอาของที่ผมเจอมาในถ้ำกลับมาด้วย แถมผู้จ้างวานก็ดูจะไม่สนใจของพวกนี้เลยจึงยกให้ผมฟรีๆ ดังนั้นแล้วผมจึงพกสองสิ่งนี้ติดตัวเอาไว้ และในตอนนี้ก็ได้ใช้ผ้าสีดำผืนนี้เป็นประโยชน์แล้วละ

    ผมเปิดหน้ากากของผมขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะใช้ผ้าเช็ดใบหน้าของผมอย่างเบามือ ก่อนที่ใส่หน้ากากให้มิดชิดดังเดิมพร้อมกับใช้ผ้าเช็ดเหงื่อที่กำลังไหลไปทั่วร่างกายของผม

    จะว่าไปก็เริ่มหิวแล้วแฮะกลับไปยังที่เราค้างแรมคืนนี้เลยจะดีกว่า

    ในระหว่างทางที่ผมเดินกลับไปยังที่ค้างแรม จู่ๆ ผมก็สัมผัสได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจ้องมองผม ด้วยสัญชาตญาณดิบของผมจึงทำให้ผมเขวี้ยงมีดสั้นออกไปทันทีที่จับสัมผัสนั้นได้

    ฉึก!

    ดูเหมือนว่าจะเป็นแค่นกที่ออกล่าในยามกลางคืนตัวหนึ่งที่โดนมีดสั้นของผมปักลงไปกลางตัวของมันอย่างจัง แต่ผมรู้สึกได้ว่าสายตาที่มองมานั้นมันไม่ใช่สายตาของสัตว์ป่าเป็นแน่

    และมันก็ไม่ใช่ของคนอีกด้วย

    “สตูเสร็จแล้วนะ! ทุกคนมากินได้แล้วนะ!”

    เสียงของแซมดังขึ้นอีกครั้ง มันเลยทำให้ผมไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่ผมสัมผัสได้เมื่อครู่นี้ ผมรีบเดินไปยังบริเวณที่ต้องค้างแรมในคืนนี้ก่อนที่จะเห็นแซมยิ้มร่าให้กับผม

    “แอล! เจ้ามาถึงคนแรกเลยนะ เพราะฉะนั้นลองชิมฝีมือของข้าดูก่อนเป็นไง?”

    “เอาสิ ข้าอยากจะรู้ว่ารสมือของเจ้ามันดีหรือแย่กันแน่”

    ผมเดินตรงไปยังหม้อสตูที่กำลังร้อนระอุอยู่ตรงหน้าของแซมก่อนที่จะรับช้อนมาจากแซมที่หยิบช้อนขึ้นมาและยื่นมันให้กับผม มองจากหน้าตาสตูก็ดูพอใช้ได้ ส่วนรสชาตินั้นคงต้องลองก่อนที่คนอื่นจะมากินสินะ

    ผมใช้ช้อนตักสตูในหม้อขึ้นมาชิม ก่อนที่จะพบว่ารสชาติมันค่อนข้างจืดชืดผิดกับหน้าตาของสตูเป็นอย่างมาก ผมรีบหยิบเครื่องปรุงมาปรุงสตูหม้อนี้ที่ยังไม่ได้มีใครลิ้มลอง ก่อนที่จะคนส่วนผสมและเครื่องปรุงให้เข้ากันอีกครั้ง

    “เจ้าทำอะไรน่ะแอล?!”

    “พอได้ แต่มันจืดไป มีหวังแขกที่ต้องได้กินสตูเนื้อกระต่ายคืนนี้คงไม่อยากให้เจ้าทำอาหารไปนานอีกพอควร”

    “อะไรกัน… ข้าว่ามันก็อร่อยแล้วนะ”

    รสชาติมันก็พอใช้ได้ แต่ถ้าคิดถึงคนที่ต้องกินนอกจากตัวผมกับพวกอัศวินแล้ว สองคนนั้นคงจะไม่กลืนลงคอด้วยซ้ำ

    “อีกสักพักทุกคนถึงจะมา เดี๋ยวข้าไปเรียกแขกทั้งสองก่อนละกัน”

    “ได้เลย”

    ผมออกมาจากที่แซมอยู่พร้อมกับเดินตรงไปยังที่รถม้าจอดอยู่ เมื่อถึงหน้าประตูรถม้าแล้วผมจึงทำการเคาะสามทีก่อนที่คนภายในรถม้าจะเปิดประตูออก

    เส้นผมสีเทาหม่น ดวงตาสีแดงฉานดุดเลือดนั้นทำให้ผมรู้ว่าใครเป็นคนที่เปิดประตูออกมา เขาคือตัวละครที่ผมได้เอ่ยถึงในเนื้อเรื่องเกมเสริมนั่นเอง ส่วนอีกคนที่อยู่ข้างหลังตัวละครลับ นั่นคงเป็นคนในราชวงศ์ที่ว่าสินะ เส้นผมสีเหลืองทองสลวย พร้อมกับดวงตาสีน้ำเงินเข้มดั่งท้องฟ้ายามค่ำคืน

    นี่น่าจะเป็นคำบรรยายที่คุณหนูอาจพรรณนาถึงตอนที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้นมาสินะ…

    “ข้าอยากจะมาบอกว่าอาหารในค่ำคืนนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ เชิญพวกท่าไปนั่งทานบริเวณรอบกองไฟเถอะครับ”

    การที่ต้องทำตัวมีมารยาทกับชนชั้นสูงบนโลกใบนี้เป็นสิ่งจำเป็น เพราะบางทีหากเราล่วงเกินอะไรพวกเขาไป เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตก็เป็นได้

    “ขอบใจที่มาบอกพวกเรานะ”

    นายน้อยตระกูลดยุกตอบกลับ

    “ดูเหมือนว่าคืนนี้จะเป็นสตูสินะ”

    “ครับ ถ้าเช่นนั้นให้ข้าพาทั้งสองท่านไปทานอาหารมื้อค่ำนี้เถอะนะครับ”

    ไม่รู้ว่าจมูกไวหรือว่าหูดีกันแน่ เจ้าเด้กจากราชวงศ์จักรวรรดิบาร์นาบัสรู้ด้วยว่าคืนนี้เขาจะได้กินอะไร

    ผมพาทั้งสองที่ในที่สุดก็ก้าวออกมาจากรถม้าได้แล้วนั้นไปยังบริเวณรอบกองไฟ แซมและคนอื่นๆ คงจะเตรียมความพร้อมให้ทั้งสองคนนี้ไว้แล้ว ดูเหมือนว่าแซมจะจัดที่นั่งให้เหมาะสมกับชนชั้นของพวกเขา ดังนั้นแล้วขอนไม้ที่มีผ้าปูบวกกับเบาะนวมรองนั่งไว้สองที่นั้นคงจะเป็นของพวกเขาสินะ

    “เชิญนั่งเลยครับท่านทั้งสอง อีกสักครู่อัศวินท่านนี้จะเป็นคนนำอาหารมาให้พวกท่านเอง”

    แซมที่ได้รับการส่งสัญญาณจากผมแล้วจึงรีบเตรียมสตูเนื้อกระต่ายให้ทั้งสองคนอย่างเร่งรีบ เหมือนว่าการปรุงสตูของผมหลังจากที่ชิมรสมือของแซมไปแล้วจะทำให้กลิ่นของสตูดีขึ้นมาก ความจริงแล้วถ้าเคี่ยวไว้นานกว่านี้รสชาติคงจะออกมาดีกว่านี้แน่ๆ

    ทั้งสองรับถ้วยสตูอันอุ่นร้อนไปจากมือของแซม ก่อนที่จะลงมือใช้ช้อนในถ้วยตักสตูเข้าปาก ผมรอดูปฏิกิริยาของทั้งสองก่อนที่ผมจะตักของตัวเอง แน่นอนว่าพวกอัศวินก็รอให้สองคนนั้นกินก่อนเช่นกัน

    “อะ… อร่อย”

    นายน้อยจากตระกูลดยุกพูดขึ้น

    “ถ้าเคี่ยวไว้นานกว่านี้ก็คงจะเลิศรสเลยละ”

    เจ้าเด็กจากราชวงศ์พูดขึ้น

    เมื่อเห็นว่าชนชั้นสูงที่ตัวเองอารักขามาตลอดทางนั้นพึงพอใจกับอาหารที่พวกเราทำ พวกอัศวินต่างก็พากันตักสตูราดลงไปในถ้วยของตัวเอง แซมที่เป็นคนทำอาหารนั้นตักสตูขึ้นมากินคนแรก การตอบสนองของเขานั้นเว่อร์เกินกว่าที่ผมได้คิดไว้อีก

    “แอล! รสมือขนาดนี้ไปเป็นเชฟในตระกูลรีอัสได้เลยนะ”

    แซมพูดในขณะที่อัศวินสองคนก็ได้ตักสตูเข้าปาก

    “ไม่หรอก ข้าว่าการเป็นทหารรับจ้างแบบนี้มันเหมาะกับข้ามากกว่า”

    ผมพูดร้อมกับตักสตูราดลงไปในถ้วยของตัวเอง ก่อนที่จะเดินไปนั่งตรงขอนไม้ที่ไกลที่สุดในบริเวณรอบกองไฟ ก่อนจะเปิดหน้ากากเพียงเล็กน้อย เพื่อให้กินสตูเนื้อกระต่ายได้

    “กินสตูในขณะที่ใส่หน้ากากแบบนั้น เจ้าไม่ลำบากงั้นหรือ?”

    จู่ๆ เจ้าเด็กจากราชวงศ์ก็พูดขึ้นในขณะที่ผมได้ตักสตูเข้าปาก ผมรีบเคี้ยวเนื้อกระต่ายและกลืนลงคอก่อนจะตอบกลับเขา

    “ไม่เลยครับ ข้าสะดวกใจที่จะกินแบบนี้มากกว่า”

    “…”

    เหมือนว่าเขาจะไม่ได้ถามอะไรต่อและกินสตูในถ้วยของเขาต่ออย่างไม่สงสัยอะไรในตัวผม ก็นะ… ถ้ามีคนทำตัวลึกลับอยู่ในกลุ่มแบบนี้เป็นผมก็คงสงสัยจนกว่าจะได้เห็นหน้าตากันจริงๆ

    ส่วนเรื่องที่ผมต้องคอยปกปิดตัวตนไว้นั้น เป็นเพราะหน้าตาสีผมและดวงตาที่แท้จริงของผมมันดูตะขิดตะขวงใจผมอย่างบอกไม่ถูก บางทีตอนกลับไปยังอาณาเขตรีอัสคงต้องไปหาตัวตนของลุดวิกจริงๆ ซะแล้วสิ ว่าที่แท้จริงนั้นเขาเป็นลูกของใคร

    แต่ตอนนี้ผมคงต้องดื่มด่ำกับรสชาติของสตูให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้สินะ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×