คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : ตอนที่ 16 หวัง
ตอนที่ 16
หวัง
ผ่านมาไม่กี่วันก็ถึงเวลาที่ผมต้องส่งแขกคนสำคัญของเคานต์รีอัสทั้งสองข้ามไปยังฝั่งชายแดนจักรวรรดิบาร์นาบัส แน่นอนว่าพวกเรามาส่งพวกเขาช้าเกินกว่ากำหนด แต่โชคดีที่ทางดยุกเชสเตอร์ได้มีการได้มีการแจ้งเรื่องการล่าช้าครั้งนี้ไปล่วงหน้ากับทางจักรวรรดิแล้ว
แน่นอนว่าทางจักรวรรดิรู้สึกสับสนที่จู่ๆ ดยุกเชสเตอร์มาเป็นคนดูแลเรื่องการส่งโนอาห์และซีคฮาร์ทกลับ ทั้งที่เรื่องนี้ควรอยู่ในการดูแลของเคานต์รีอัส แต่ดยุกเชสเตอร์ก็ได้กล่าวอ้างเพียงแค่ว่า...
“ช่วยเหลือหลังจากเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง?”
ผมทวนข้อกล่าวอ้างของดยุกเชสเตอร์ ก่อนที่เขาจะพยักหน้าของเขาลง
“ก็มันเป็นเรื่องจริงนี่? แต่ข้าก็ไม่ได้โง่ที่ปิดบังเรื่องปีศาจกับพวกจักรวรรดิไปหรอกนะ”
ในตอนนี้ผมกับดยุกเชสเตอร์กำลังพูดคุยถึงเรื่องที่ต้องส่งโนอาห์และซีคฮาร์ทกลับจักรวรรดิบาร์นาบัส ซึ่งแน่นอนว่าพวกเรากำลังพูดคุยเรื่องสำคัญเหล่านี้ในห้องทำงานของเขา
“แล้วท่านคิดว่าพวกเขาจะไม่หาเรื่องท่านเลยรึไง? ในเมื่อท่านสอดมือเข้าไปขนาดนี้แล้ว”
ผมที่นั่งอยู่บนโซฟารับแขกในห้องทำงานของเขาพูดขึ้น ก่อนที่จะคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ที่ผมรับงานนี้มา จนกระทั่งผมที่กำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานของดยุกเชสเตอร์ตอนนี้
ตั้งแต่ต้นที่ผมรับงานนี้มา เมื่อเดินทางไปได้สักพักผมก็รู้ว่าตัวเองไม่ควรรับงานนี้มาตั้งแต่แรก เพราะหากผมรอดกลับไปได้ ปัญหาที่ผมต้องเผชิญหน้าคือการข่มขู่หรือตามเก็บของเคานต์รีอัส
ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเป็นผมตัวคนเดียวละก็ ผมสามารถจัดการเรื่องนี้ได้สบายอยู่แล้ว แต่ว่าผมมีรีเอตต้าที่กำลังรอผมอยู่ในอาณาเขตรีอัส แถมเรื่องที่แซม อัศวินของเคานต์รีอัสเหลือรอดเพียงคนเดียวจากอัศวินที่เขาส่งมาอารักขานั้น...
เขาก็คงไม่รอดเหมือนกับผมเช่นกัน...
“เจ้าคงจะเป็นห่วงเรื่องที่พวกเจ้าทั้งสองที่สามารถรอดกลับไปอาณาเขตรีอัสได้สินะ”
“ก็ใช่ครับ แค่ข้าคนเดียวน่ะไม่เท่าไหร่ แต่กับแซมและรีเอตต้าที่ต้องมาข้องเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เพราะข้านั้น—”
“เจ้าคงจะเป็นห่วงคนรอบตัวเจ้าน่าดู”
“...ครับ”
บอกตามตรงว่าผมเป็นห่วงสองคนนี้ไม่น้อย อย่างรีเอตต้าในตอนนี้ ผมก็ให้หัวหน้าสมาคมมาเป็นคนดูแลเธอในช่วงที่ผมไม่อยู่ ส่วนแซมนั้น... เรื่องที่เขาต้องเสียงานไปนั้นไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องที่ชีวิตเขาอยู่ในอันตรายตลอดเวลา และไม่มีใครดูแลนั้น...
คนดูแล...
“ท่านดยุกครับ ท่านบอกว่าจะสนับสนุนข้าและดูแลในทุกๆ เรื่องที่ข้าต้องการให้ท่านช่วยใช่ไหมครับ?”
“ใช่ แล้วเจ้าจะให้ข้าดูแลเรื่อง—”
“...”
“เงียบอย่างนี้คงเป็นเรื่องที่ข้าคาดเดาไว้สินะ ถ้าเป็นเรื่องแซมกับรีเอตต้าละก็ไว้ใจข้าได้เลย”
ผมโน้มศีรษะของตัวเองลงเล็กน้อยเป็นการขอบคุณเขาที่เข้าใจในสิ่งที่ผมสื่อ ดยุกเชสเตอร์เพียงพยักหน้าของเขาก่อนที่เขาจะกลับไปจดจ้องกับเอกสารและงานต่างๆ ที่เขาต้องจัดการที่อยู่บนโต๊ะทำงานของเขา
ภายในเกมนั้นไม่ได้มีการกล่าวถึงผู้ช่วยของดยุกเชสเตอร์เลยแม้แต่คำเดียว เพียงแต่ว่าถ้าเป็นในชีวิตจริงแล้ว ไม่มีทางที่ดยุกเชสเตอร์จะสามารถดูแลปราสาทหลังนี้คนเดียวได้ แม้ว่าจะได้รับการช่วยเหลือจากหัวหน้าคนรับใช้ทั้งชายและหญิง หรือที่ชอบเรียกกันว่าหัวหน้าพ่อบ้านกับแม่บ้านนั้น
มันไม่มีทางเลยที่คนอย่างเขาที่ต้องออกไปข้างนอกตลอดเวลาเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองทางดินแดนเหนือนั้น จะสามารถดูแลปราสาทได้ดีถึงเพียงนี้ หลังจากที่ดวงตาทั้งสองข้างของผมมองเห็นได้แล้วนั้น ผมได้เดินสำรวจปราสาทและคอยสังเกตสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของคนในปราสาทแห่งนี้
ภาพรวมที่ได้จากการสำรวจและสังเกตไม่กี่วันภายในปราสาทนี้ ผมพบว่าทุกๆ อย่างมันดูดีกว่าที่เลกซิออนเคยบรรยายไว้ภายในเกม ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อพูดถึงเจ้าตัวแล้ว ผมก็พยายามสอดส่องมองหาเลกซิออนที่อยู่ภายในปราสาทหลังนี้เช่นกัน แต่ดยุกเชสเตอร์กลับบอกว่าไม่มีทางที่ผมจะเจอกับเขาได้ในตอนนี้ เพราะเลกซิออนถูกส่งไปพักที่บ้านพักตากอากาศของตระกูลเชสเตอร์ในตอนนี้แล้ว
...เป็นห่วงลูกชายจะโดนลูกหลงของสงครามกับเผ่าทางเหนือขนาดนี้ ยังจะทำเป็นเย็นชากับเขาอีก
“ท่านไม่คิดจะฝากงานไว้กับผู้ช่วยของท่าน แล้วไปเยี่ยมลูกชายของท่านบ้างเลยหรอ?”
ผมถามดยุกเชสเตอร์ที่กำลังนั่งทำงานของเขาอย่างเคร่งเครียด ในขณะที่ผมก็กำลังอ่านนิทานปรัมปราในหนังสือเล่มนั้นโดยผ่านการสัมผัสตัวอักษร
เสียงถอนหายใจของดยุกดังออกมาหลังจากที่ผมถามเขาไปสักพักใหญ่แล้ว ก่อนที่ผมจะได้คำตอบที่ดูยังไงก็เป็นข้ออ้างทั้งนั้น
“ผู้ช่วยน่ะมีอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครทำงานได้ดีจนข้าไล่ตะเผิดกลับบ้านเกิดพวกเขาไปหมดแล้ว ส่วนเลกซิออนน่ะไม่จำเป็นต้องให้ข้าไปเยี่ยมหรอก”
ถึงแม้เขาจะพูดออกมาแบบนั้น แต่สีหน้าเวลาที่พูดถึงเลกซิออนทีไรนั้น เขามักจะทำหน้าเหมือนหมาหงอยอยู่ตลอดเวลา
ทำไมปากถึงไม่ตรงกับใจเวลาที่พูดถึงเรื่องลูกชายเลยนะ...
แม้ว่าผมยังอยากจะคุยกับดยุกเชสเตอร์ในเรื่องของเลกซิออนและผู้ช่วยของเขาต่อ แต่ในตอนนี้เขาคงไม่อยากโดนขัดสมาธิอีก ดูจากสีหน้าเคร่งเครียดที่เขากำลังทำอยู่ในตอนนี้
คงจะมีปัญหาสินะ...
ผมไม่ได้กวนดยุกเชสเตอร์ต่อและอ่านนิทานปรัมปราที่ใกล้จะจบนี่ต่อ แม้ว่าจะอ่านมาเกินครึ่งเรื่องแล้วในตอนนี้ แต่สิ่งที่ในนิทานเล่านั้นกลับมีแต่ปริศนาที่แม้แต่ผู้ใช้อักขระในเรื่องนั้นยังไม่สามารถแก้ปริศนาได้
แม้ว่าจะสามารถแก้ปริศนาก่อนหน้านี้ได้ แต่ก็มีปริศนาใหม่กลับเข้ามาเชื่อมโยง จนสุดท้ายในตอนที่ตัวเอกของเรื่องกำลังเดินทางไปยังทวีปปีศาจนั้น
...
“หรือว่าความลับที่ถูกบิดเบือนที่ว่านั่น...”
ผมพึมพำกับตัวเองก่อนที่จะย้อนนึกไปถึงการดำเนินเรื่องในนิทานปรัมปรา พร้อมกับคำพูดของเธอคนนั้นที่บอกว่าเราจะได้เจอกันอีกครั้งเมื่อถึงเวลาที่ความลับนี้ต้องถูกเปิดเผย
การเดินทาง... เพื่อนร่วมทาง... และทวีปปีศาจที่เป็นปริศนาสำคัญ
หรือว่าเธอจะให้ผม...
“ออกเดินทาง... งั้นหรอ?”
“ออกเดินทาง? เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่?”
เหมือนว่าผมจะตกใจมากเกินไปหน่อย มันเลยทำให้ดยุกเชสเตอร์ที่ได้ยินเสียงพูดพึมพำของผมนั้น ถึงกับถามผมขึ้นด้วยความสงสัย แน่นอนว่าเขามีส่วนที่จะรู้ในเรื่องนี้ เพราะเขาได้กลายเป็นผู้ดูแลผมไปแล้ว
แต่ว่า... ในตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลา
“ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่เริ่มที่จะเข้าใจในสิ่งที่เธอคนนั้นได้ทิ้งคำใบ้ไว้ให้แล้วน่ะครับ”
หลังจากที่อ่านนิทานมาจนถึงตอนนี้แล้ว ผมก็ได้รู้ว่าเธอคนนี้คงจะออกเดินทางต่อหลังจากที่เธอได้จากปราสาทหลังนี้ไปแล้ว เธอคงค้นพบอะไรบางอย่างในทวีปปีศาจ
แต่ไม่สามารถลงมือทำอะไรได้... เพราะเธอไม่ใช่คนของโลกนี้
...
พออ่านนิทานปรัมปรานี่เสร็จแล้ว ผมรู้สึกได้เลยว่าเธอคนนั้นไม่ใช่คนของโลกนี้แน่นอน ถ้าพูดให้ถูกละก็...
เป็นสิ่งแปลกปลอมที่โลกใบนี้ปฏิเสธ
ในนิทานปรัมปรานั้น ตัวเอกกำลังเดินทางไปยังทวีปปีศาจ ทวีปที่เคยมีอยู่บนโลกใบนี้ แต่เขาไม่อาจสามารถเข้าไปในทวีปได้ เนื่องจากเข้าไม่สามารถวาดอักขระที่สามารถใช้เป็นประตูเชื่อมต่อกับทวีปปีศาจได้
แต่เธอคนนั้นคงจะเข้าไปได้ และเข้าไปเจอบางอย่างที่เธอ ‘ไม่มีสิทธิ์’ ในการเข้าไปยุ่งเกี่ยว ตัวอักษรที่สลักไว้หลังจากที่ตัวเอกในนิทานปรัมปราได้ยอมแพ้และกลับไปหาครอบครัวของเขา
สัมผัสที่ปลายนิ้วของผมที่ได้สัมผัสถึงตัวอักษรที่ถูกสลักไว้นอกเหนือจากเนื้อเรื่องในนิทานปรัมปรานั้น เธอคงจะรู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องทำตามกฎบางอย่าง ทั้งๆ ที่เธอสามารถแก้ไขเรื่องราวเหล่านี้ได้ด้วยตัวเองแท้ๆ ในตอนที่เธอสลักอักษรเหล่านี้ลงไป
...ผมคงเป็น ‘กุญแจ’ ในการทำให้เธอมีสิทธิ์เข้าถึงกฎที่ถูกตั้งบนโลกนี้ก็เป็นได้
แต่การที่จะเป็นกุญแจได้นั้น ผมต้องล่วงรู้ความลับที่ถูกบิดเบือนนั้น เช่นเดียวกับเธอที่รู้อยู่แก่ใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ดูเหมือนว่าเธออยากให้ผมตามรอยการเดินทางในนิทานปรัมปรา และเข้าไปในทวีปปีศาจให้ได้ ซึ่งการที่จะเข้าไปในทวีปปีศาจได้นั้น ต้องเรียนรู้ภาษาโบราณของโลกนี้ให้กระจ่างจนกว่าดวงตาที่ใช้ในการมองเห็นไม่จำเป็นอีกต่อไป
หรือว่าผ้าสีดำที่เธอใช้ห่อหนังสือเล่มนี้...
อา... เหมือนว่าเธอจะเลือกถูกคนแล้วละ ที่จะเป็นกุญแจให้เธอสามารถมีสิทธิ์บนโลกใบนี้ได้
อีกอย่างเธอก็ไม่ได้ให้ผมช่วยเธอฟรีซะหน่อย แม้ว่าไม่รู้ทำไมเธอถึงต้องเปิดเผยความลับในเวลาที่เหมาะสมให้ทั้งโลกใบนี้ได้รับรู้ แต่มันคงเกี่ยวกับความโลภที่เธอว่า ในตอนที่เธอเสนอว่าเธอมีวิธีที่จะทำให้ผมได้เจอกับคุณหนูอีกครั้ง
สุดท้ายแล้ว... โลกใบนี้ก็เป็นเพียงแค่ตัวเบี้ยให้กับเธอในการสานความโลภที่เธอต้องการ เหมือนกับผมที่เป็นเบี้ยให้เธอในการมีสิทธิ์บนโลกใบนี้
ผมไม่รู้หรอกนะว่าเธอจะเป็นคนดีหรือร้าย เพียงแค่เราได้รับผลประโยชน์ของกันและกัน เพียงเท่านั้นก็คงพอแล้วสำหรับการลงแรงที่จะเป็นเบี้ยให้กับเธอ
“เหมือนว่าเจ้าจะใช้ความคิดไปกับนิทานปรัมปรานั่นพอสมควรเลยนะ”
ดยุกเชสเตอร์เอ่ยขึ้นเมื่อเขาเห็นว่าผมเงียบไปสักพักใหญ่ ผมเพียงแค่ปิดหนังสือเล่มนี้ลง ก่อนที่จะถอนหายใจยาวออกมาอย่างไม่มีมารยาท
งานนี้คงนานพอสมควร ส่วนค่าตอบแทนที่ได้นั้น... คงต้องรอว่าเมื่อถึงเวลานั้น เธอจะทำให้ผมพึงพอใจกับข้อเสนอของเธอหรือไม่ก็เท่านั้น
“ข้าอ่านมันจบแล้วละ แต่ดูเหมือนว่าจะต้องใช้เวลาทำเรื่องนี้อยู่นานพอสมควร”
ผมพูดขึ้นเมื่อได้ข้อสรุปจากการอ่านนิทานปรัมปรานี่แล้ว การเดินทางตามรอยอันแสนยาวไกล... ความเข้าใจในภาษาโบราณอย่างละเอียดอ่อน... และเวลาอันเหมาะสมที่จะเปิดเผยความลับนั่น
ถ้าหากไม่มีรีเอตต้าอยู่ในตอนนี้ละก็ ผมคงจะออกเดินทางไปแล้ว แต่ว่าในเมื่อเรายังมีเวลาเหลือเฟือพอที่จะทำเรื่องนี้ แถมยัยเด็กนั่นก็ดูจะมีสีหน้าที่ดีขึ้นอีก
งั้นตอนนี้... ผมคงฆ่าเวลาโดยการดูแลเด็กคนนั้นให้ดีพอจนกว่าจะถึงเวลาก็ได้สินะ
“อย่างนั้นหรอ... ถ้าใช้เวลานานละก็ ตอนนี้เจ้าควรจะไปเตรียมตัวส่งสองคนนั้นได้แล้วนะ”
ดยุกเชสเตอร์ลุกขึ้นจากที่นั่งโต๊ะทำงานของเขาเมื่อเห็นว่าใกล้ได้เวลาที่จะต้องส่งตัวโนอาห์และซีคฮาร์ทกลับไปยังจักรวรรดิ แน่นอนว่าผมก็ลุกขึ้นจากโซฟารับแขกเช่นกัน ก่อนที่จะวางหนังสือนิทานปรัมปราเล่มนี้ลง
ในหนังสือเล่มนี้นั้นได้มีการบอกขั้นตอนการอ่านจบไว้ในท้ายเล่ม ซึ่งผิดกับตอนอ่านเริ่มแรกที่ไม่มีอะไรสลักไว้เลย
‘เมื่ออ่านจบแล้วให้วางหนังสือเล่มนี้ลงที่ไหนสักแห่ง และเมื่อถึงเวลาที่พบหนังสือเล่มนี้แล้ว หนังสือเล่มนี้จะหายไปอย่างไร้ร่องรอยด้วยตัวของมันเอง’
เวลาที่พบหนังสือ... ถ้างั้นก็ใกล้แล้วสิ
“นั่นสินะครับ ถ้าไปช้ากว่าเวลาที่ทางจักรวรรดิกำหนดไว้ คงจะเป็นปัญหาน่าดู”
ผมที่ยังคงต้องถือไม้เท้าติดตัวไว้ตลอด เดินไปหยิบไม้เท้าที่ถูกวางอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้ามขึ้น ทั้งที่สามารถมองเห็นได้แล้ว แต่ก็ต้องปิดบังคนที่ร่วมเดินทางกันมาด้วยนั้นอย่างไม่เต็มใจสักเท่าไหร่
เพราะดวงตาคู่นี้ไม่สามารถใช้วิธีรักษาปกติที่ผู้คนเหล่านี้รู้จักรักษาได้ ไม่ว่าจะเป็นการแพทย์ เวทมนตร์ หรือเวทศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีสิ่งไหนสามารถรักษาบาดแผลนี้ได้เลย
ยกเว้นเพียงแต่เวทอักขระที่อยู่ในห้องใต้ดินนั่น...
“ถึงเวลที่เจ้าจะต้องจากลาทั้งสองคนนั้นแล้วละ ลุดวิก”
“นั่นสินะครับ บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะได้เจอสองคนนั้นก็เป็นได้”
ผมเดินตามดยุกเชสเตอร์ที่กำลังออกจากห้องทำงานด้วยความหวังที่ว่าผมจะไม่ได้เจอพวกเขาทั้งสองคนอีกหลังจากที่ไปส่งทั้งสองกลับจักรวรรดิที่เขตชายแดนแล้ว
เพราะทั้งสองต่างเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อจักรวรรดิ และสามารถเปลี่ยนแนวโน้มทิศทางของโลกในฝั่งทวีปตะวันตกที่พวกเราอยู่ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
อีกอย่าง... ผมไม่อยากไปข้องเกี่ยวกับคนที่เป็นชนวนหรือจุดเริ่มต้นของสงครามตามเนื้อเรื่องในเกมภาคเสริมหรอกนะ
ในระหว่างที่ผมกำลังเดินไปตามทางเดินของปราสาทเชสเตอร์โดยมีดยุกเชสเตอร์เดินขนาบข้างอยู่นั้น ภายนอกของปราสาทได้มีการจัดเตรียมรถม้าและอัศวินที่จะคอยอารักขาพวกเราตลอดการเดินทางที่จะไปถึงเขตชายแดนภายในยามบ่ายของวันนี้
“ความจริงแล้วทางจักรวรรดิอยากจะให้เราส่งทั้งสองภายในเช้าตรู่ของวันนี้ด้วยซ้ำ แต่ด้วยท่านซีคฮาร์ทขอเวลาเตรียมตัวมากกว่านี้ ทางจักรวรรดิจึงอะลุ่มอล่วย,อะลุ้มอล่วยให้ถึงแค่เวลาบ่ายของวันนี้”
จะว่าไปแล้วตอนที่ดยุกเชสเตอร์ได้ทำการติดต่อกับทางจักรวรรดิและเจรจาเรื่องการส่งตัวของทั้งสองคน ซีคฮาร์ทก็ไปกับเขาด้วยนิ แล้วทำไมเจ้าตัวถึงไม่กลับจักรวรรดิไปเลยในตอนนั้นกันนะ?
บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องภายในราชวงศ์ จึงทำให้ซีคฮาร์ทตัดสินใจที่จะไม่กลับไปในทันเลยก็เป็นได้ แถมโนอาห์ที่ผู้ติดตามของเขาก็อยู่ที่ปราสาทเชสเตอร์ในตอนนั้นอีกด้วย
เอาเถอะ... ยังไงซะเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับผมอยู่แล้ว งานของผมคือการส่งตัวทั้งสองคนข้ามไปยังชายแดนจักรวรรดิอย่างปลอดภัย ส่วนเรื่องที่เหลือนั้นผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่แล้ว
“ถ้าพวกเขาปลอดภัยหลังจากที่ข้ามฝั่งไปแล้วก็คงจะดี”
ดยุกเชสเตอร์พูดขึ้นเมื่อเห็นร่างของทั้งสองคนที่กำลังเดินลงมาจากชั้นสองของปราสาท ผมและดยุกที่กำลังรอพวกเขาอยู่ชั้นแรกของปราสาทนั้นต่างก็มีความคิดที่แตกต่างกัน
ถ้าเป็นผมคงไม่ได้หวังว่าทั้งสองจะปลอดภัยหลังจากกลับไปอยู่ในจักรวรรดิบาร์นาบัสหรอกนะ เพราะพวกเขาคงจะต้องเจอเหตุการณ์ที่ยากลำบากกว่าครั้งนี้อีกหลายเท่าในชีวิตนี้เป็นอย่างแน่นอน
“แอล!”
โนอาห์ที่เดินลงมาถึงชั้นล่างก่อนเป็นคนแรกเรียกชื่อผมด้วยความเศร้าโศกก่อนที่จะวิ่งถลาเข้ามาโผกอดตัวผม
“ทะ... ท่านโนอาห์”
ผมตกใจเล็กน้อยที่เขาเข้ามากอดผมโดยที่ตัวผมยังไม่ได้ทันตั้งตัวอะไร จะว่าไปแล้วตั้งแต่ที่มาอยู่ปราสาทเชสเตอร์นั้น โนอาห์ก็เอาแต่เรียกหาผมและคอยมาพูดคุยกับผมอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่แต่ก่อนเขาดูจะเขินอายตลอดเวลาที่อยู่กับผมเลยแท้ๆ
“โนอาห์ อย่าทำให้แอลลำบากไปมากกว่านี้สิ”
ส่วนซีคฮาร์ทที่กำลังเดินลงมาจากชั้นสองนั้น ตั้งแต่วันที่ผมเจอเขาอยู่หน้าห้องอาหาร ซีคฮาร์ทก็กลับมาเป็นตัวของเขาตามปกติหลังจากที่เขาพยายามไม่มาเจอหน้าผมอยู่สักพัก เพียงแต่เราไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก
ยกเว้นเวลาที่เขามาดูผมฝึกซ้อมวิชาดาบกับละนะ
ก็นะ... ให้อยู่เฉยๆ ในปราสาทอันใหญ่โตหลังนี้มันน่าเบื่อจะตายไป มันจึงทำให้ในบางครั้งที่ผมรู้สึกไม่อยากทำอะไรนอกจากขยับร่างกายของตัวเองนั้น ผมมักจะชวนแซมไปฝึกซ้อมวิชาดาบของเราทั้งสองอย่างช่วยไม่ได้
แน่นอนว่าในตอนแรกแซมออมมือให้กับผม เพราะเขาเห็นว่าผมยังพักฟื้นร่างกายอยู่ และไม่สามารถมองเห็นได้ แต่ในเมื่อเราเริ่มปะทะกันไปเรื่อยๆ เขาก็ได้รู้ว่าเขาไม่ควรออมมือให้กับผม
“แล้วเจ้า... ยังจะกลับไปเป็นทหารรับจ้างอยู่หรือไม่?”
ซีคฮาร์ทที่ในตอนนี้ได้มาหยุดยืนตรงหน้าผมที่กำลังโดนโนอาห์กอดอยู่เอ่ยถามผมขึ้น ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงถามคำถามนี้กับผม แต่ผมตอบกลับเขาไปได้อย่างทันทีและมั่นใจว่าตัวเองคงไม่เลิกที่จะเป็นทหารรับจ้างอย่างแน่นอน
“แน่นอนอยู่แล้วครับ มันเป็นอาชีพที่ข้าพึงพอใจและสามารถหาเลี้ยงชีพครอบครัวของข้าได้”
“อย่างงั้นหรอกหรือ... ไม่มีทางที่เจ้าจะเปลี่ยนใจไปทำอย่างอื่นแน่นอนใช่หรือไม่?”
“ครับ ข้าแน่ใจ”
ผมตอบกลับซีคฮาร์ทไปอย่างมั่นใจโดยที่น้ำเสียงของผมไม่มีการสั่นคลอนใดๆ ทั้งสิ้น ซีคฮาร์ทที่ได้ยินคำตอบของผมเพียงแค่พยักหน้าของเขาลงเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะดึงตัวของโนอาห์ออกมาจากตัวผม
“ท่านซีคฮาร์ท ข้ายังกอดแอลได้ไม่พอที่จะหายคิดถึงเลยนะ”
โนอาห์พูดพร้อมกับทำหน้าตาบูดบึ้งเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกสบายใจที่จะแสดงอารมณ์ของตัวเองออกมาต่อหน้าคนอื่นแล้ว
“โนอาห์ ข้าว่าเจ้ายังคงจะไม่ลืมสิ่งที่ข้าได้บอกเจ้าไว้นะ”
“...ไม่หรอกครับ ไม่มีทางที่ข้าจะลืมสิ่งที่ท่านบอกได้ แต่ข้าขอแค่ตอนนี้... แค่ตอนนี้...”
“งั้นหรอ... ถ้าอย่างนั้น...”
ในขณะที่ผมกำลังฟังบทสนทนาของทั้งสองที่กำลังพูดเกี่ยวกับเรื่องบางอย่างที่มีเพียงพวกเขาทั้งสองคนเท่านั้นที่รู้ ซีคฮาร์ทที่ดูมีท่าทีบางอย่างแปลกไปหลังจากที่โนอาห์ได้พูดเอาแต่ใจของตัวเขานั้น
ได้เข้ามาสวมกอดผมอย่างรวดเร็ว ก่อนจะผละตัวของเขาออกจากผมอย่างรวดเร็วเช่นกัน
“...”
ผมไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ในตอนนี้ เนื่องจากสิ่งที่ผมได้ยินก่อนที่ซีคฮาร์ทจะผละตัวออกจากผมนั้น มันเป็นสิ่งที่ผมหวังไว้ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาได้พูดออกมา
แต่ดูเหมือนว่าร่างกายของผมจะตอบสนองต่อคำพูดของเขาในทันทีที่ผมได้ยินจากปากของเขา มันเลยทำให้บรรยากาศระหว่างเราน่าอึดอัดขึ้นมาทันที
“คณะเดินทางพร้อมจะออกเดินทางกันทุกคนแล้วครับ ท่านดยุก”
เสียงของแซมดังขึ้นมาขัดจังหวะที่กำลังอึดอัดนี่ระหว่างตัวผมกับซีคฮาร์ทได้อย่างถูกจังหวะ แน่นอนว่าโนอาห์และดยุกเชสเตอร์ก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่อึดอัดเมื่อครู่นั่นได้เช่นกัน
“ท่านซีคฮาร์ท เมื่อครู่นี้ท่านได้พูดอะไรออกไปให้แอลไม่พอใจหรือไม่?”
โนอาห์ถามซีคฮาร์ทขึ้นในทันทีที่เขาสัมผัสได้ถึงความอึดอัดนี่ ก่อนที่ซีคฮาร์ทจะตอบปัดๆ โนอาห์ไปอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร
“...มันไม่สำคัญอะไรหรอก”
ทันทีที่ซีคฮาร์ทพูดจบ เขาก็ลากตัวของโนอาห์ให้เดินออกไปยังข้างนอกตัวปราสาทอย่างรวดเร็ว ผมเดินตามเขาไปอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร ยกเว้นแต่ดยุกเชสเตอร์ที่กำลังทำสีหน้าว่าผมกับเขามีเรื่องอะไรให้ข้องใจกันอีกในขณะที่เขากำลังเดินตามขึ้นมาขนาบข้างกับผม
“เขาพูดอะไรที่ทำให้เจ้าไม่พอใจงั้นรึ?”
ดยุกเชสเตอร์ถามผมด้วยความสงสัยในขณะที่พวกเรากำลังเดินตรงไปยังรถม้า ผมถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปอย่างเหนื่อยใจ
“สิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ข้ากำลังหวังจากตัวเขาน่ะครับ”
“สิ่งที่ตรงข้าม?”
“...ครับ”
พอนึกย้อนไปถึงเวลาที่เราได้ใช้ร่วมกันนั้น ผลลัพธ์ที่ควรจะได้จากความสัมพันธ์ครั้งนี้คือเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ได้เดินทางร่วมกันเท่านั้น แต่ว่าสิ่งที่เขาพูดออกมาในตอนที่เขาได้เข้ามากอดตัวผมเพียงแค่ช่วงเวลาไม่กี่วินาทีนั่น
‘หวังว่าจะได้เจอกันอีกนะ’
น้ำเสียงในตอนที่ซีคฮาร์ทพูดคำเหล่านั้นออกมา มันเป็นน้ำเสียงของคนที่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกอย่างไรกับตัวเองในตอนนี้ ซึ่งมันหมายความว่าเขา...
คงจะรู้สินะว่าผมไม่อยากจะเจอกับเขาอีก
“...สุดท้ายแล้ว คนที่ข้าควรระวังที่สุดคงจะเป็นเจ้าสินะ”
ผมพึมพำกับตัวเองก่อนที่จะมองร่างของซีคฮาร์ทที่กำลังขึ้นรถม้าที่ดยุกเชสเตอร์ได้เตรียมไว้ให้เขากับโนอาห์ ก่อนที่ตัวของผมจะไปประจำการในที่ที่ตัวเองควรอยู่ตั้งแต่เริ่มต้น
“ในที่สุด... เราก็จะได้ส่งทั้งสองท่านกลับจักรวรรดิอย่างปลอดภัยแล้วสินะ”
แซมที่พึ่งเดินมาประจำการตำแหน่งของตัวเองพูดกับผมด้วยความรู้สึกที่ดีใจเป็นอย่างยิ่งที่เขาจะได้ส่งโนอาห์และซีคฮาร์ทกลับไปอย่างปลอดภัยได้ ตามที่เคานต์รีอัสได้ให้คำสั่งเขาไว้
ถ้าหากแซมรู้ว่าเคานต์รีอัสไม่ได้อยากให้ทั้งสองคนปลอดภัยรวมถึงตัวเขารอดกลับไปละก็
...
“นั่นสินะ หวังว่าพวกเขาจะรู้สึกเหมือนที่เจ้ารู้สึกเช่นกัน”
ผมที่เห็นว่าแซมได้ยิ้มร่าให้ผมกับอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่เขาไม่ได้ยิ้มแบบนี้มาให้ผมหลังจากที่พวกเราออกเดินทางกันในช่วงแรกนั้น ผมคิดได้ว่าในตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องในอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นในตอนนี้
แต่เป็นปัจจุบันที่เราควรจะพึงพอใจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในตอนนี้ต่างหาก
ความคิดเห็น