ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จนกว่าความลับนี้จะจบลง (BL)

    ลำดับตอนที่ #15 : ตอนที่ 14 เมื่อถึงเวลา

    • อัปเดตล่าสุด 4 มิ.ย. 67


    ตอนที่ 14

    เมื่อถึงเวลา

     

    “แล้วเมื่อไหร่ท่านดยุกจะส่งทั้งสองคนนั้นข้ามชายแดนไปล่ะ?”

    บทสนทนาของพวกเรายังคงดำเนินต่อไปในขณะที่เราสองยังคงเดินเล่นอยู่ภายนอกปราสาท ดยุกเชสเตอร์ไม่ได้ตอบสนองต่อคำถามที่ผมได้ถามเขาไปเมื่อครู่นี้มากนัก ก่อนที่เขาจะตอบกลับผมด้วยประโยคสั้นๆ เพียงแค่ว่า

    “เมื่อถึงเวลาอันสมควรของทั้งสองละนะ”

    ดูเหมือนว่าดยุกเชสเตอร์คงจะรู้ว่าทั้งสองมีตัวตนสำคัญแค่ไหนในจักรวรรดิบาร์นาบัส เพราะฟังจากน้ำเสียงที่สะท้อนออกมาจากคำพูดของดยุกแล้ว เขาคงจะได้คุยอะไรบางอย่างกับสองคนนั้นแล้วสินะ

    “จะว่าไปแล้ว ข้าอยากพาเจ้าไปที่ห้องใต้ดินของปราสาทที่ว่านั้นเลยในตอนนี้ แต่ตอนนี้ดวงตาของเจ้ากลับใช้งานไม่ได้ซะงั้น”

    น้ำเสียงของดยุกเชสเตอร์มีความผิดหวังเล็กน้อยในขณะที่เขากำลังพูดถึงดวงตาของผมที่ไม่สามารถใช้การได้ในตอนนี้ ผมถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับเขาไป

    ผมรู้สาเหตุแล้วละว่าทำไมคนในตระกูลนี้ถึงไม่มีใครใช้เวทอักขระได้ เพราะพวกเขามีมุมมองต่ออักษรที่ต้องเรียนรู้เพียงแค่ว่าต้องมองเห็นมันด้วย ‘ดวงตา’ เท่านั้นถึงจะร่ำเรียนได้

    แอบสงสารเธอคนนั้นเหมือนกันนะที่พยายามสอนคนพวกนี้ให้เปลี่ยนมุมมองความเข้าใจในด้านภาษาน่ะ

    “ไม่จำเป็นต้องใช้ดวงตา ข้าก็สามารถผ่านการทดสอบที่อยู่ในห้องนั้นได้ อีกอย่างไม่ใช่ว่าตอนนี้เราต้องรีบคุยเรื่องนี้ให้เสร็จก่อนที่สองคนนั้นจะตื่นไม่ใช่หรอครับ?”

    “ฮ่าๆๆ เจ้านี่รู้ไปทุกอย่างเลยนะ ไม่ใช่ว่าที่ท่าผู้นั้นเลือกเจ้ามาเป็นเพราะนางรู้ว่าจะมีคนอย่างเจ้าโผล่มาไม่ใช่รึ?”

    “จะว่าไปก็อาจจะใช่นะครับ...”

    อย่างที่ดยุกเชสเตอร์ได้พูดไปเมื่อครู่นี้ ความบังเอิญรอบตัวต่างๆ ที่ทำให้ผมต้องมาพัวพันเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่ควรพวกนี้แล้ว มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกใครบางคนชักจูงอยู่เลย

    แต่จะเป็นยังไงก็ช่าง... ในเมื่อเธอคนนั้นบอกว่ามีวิธีที่จะได้พบเจอกับคุณหนูของผมอีกครั้ง แถมเธอยังเป็นคนที่ดูน่าจะมีวิชาและความรู้อยู่พอควรเมื่อฟังจากที่ดยุกเชสเตอร์เล่าให้ฟังแล้ว

    แถมเรายังเป็นคนที่มาจากโลกเดียวอีก...

    บางที... การที่เดินตามไปยังเส้นทางที่เธอได้ทิ้งคำใบ้ไว้ มันอาจจะทำให้ผมไปถึงจุดหมายที่เร็วมากขึ้นกว่านี้ และอาจจะได้เจอคุณหนูเร็วกว่านี้ก็เป็นได้

    แต่ว่า...

    “ท่านดยุกครับ มีเส้นทางไหนที่พอจะกลับไปยังอาณาเขตรีอัสได้เร็วกว่าเส้นทางหลักไหมครับ?”

    ในขณะที่ผมมัวแต่คิดเรื่องอื่นๆ ที่กำลังประสบพบเจอในตอนนี้ ผมเกือบจะลืมไปแล้วว่าตัวเองที่ได้มาอยู่บนโลกใบนี้ได้เพียงไม่กี่เดือนนั้น

    มีสิ่งสิ่งหนึ่งที่ผมควรจะให้ความสำคัญและรับผิดชอบสิ่งสิ่งนั้นให้ถึงที่สุด ซึ่งสิ่งสิ่งนั้นก็คือ...

    รีเอตต้า

    “อา... ดูเหมือนว่าเจ้าจะรีบกลับไปหารีเอตต้าสินะ”

    “ครับ ถึงแม้ว่าข้ากับนางจะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ แต่ในเมื่อข้าที่ได้เข้ามาสวมร่างเป็นพี่ชายของนางอย่างลุดวิกแล้ว ข้าก็อยากรับผิดชอบเรื่องของนางให้ถึงที่สุดครับ”

    ถึงแม้ในตอนแรกผมไม่คิดจะรับผิดชอบชีวิตเด็กคนนี้เลยก็ตาม แต่พอเมื่อพวกเราได้ใช้เวลาร่วมกันมาแล้ว

    อย่างน้อยๆ ก็จนกว่าเธอจะยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้

    “ถ้างั้นให้รีเอตต้ามาอยู่กับข้าดีไหมละ? เจ้าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงนางที่ต้องรอคอยเจ้าอยู่ตัวคนเดียว แถมอยู่กับข้ายังปลอดภัยกว่าอยู่ที่อาณาเขตของเคานต์รีอัสอีกด้วยนะ”

    “ขอบคุณสำหรับข้อเสนอแนะนะครับ แต่ยังไงเสีย... คนที่จะตัดสินใจเรื่องนี้ได้มีเพียงแค่รีเอตต้าเท่านั้น หาใช่ตัวข้าไม่”

    “งั้นหรอ... ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าคงจะต้องรอคำตอบจากปากของนางเองสินะ”

    ความจริงการอยู่กับดยุกเชสเตอร์เป็นตัวเลือกหนึ่งที่ดีอยู่พอสมควร แต่ว่ามีอยู่ตัวแปรหนึ่งที่ผมอยากจะหลีกเลี่ยงให้มาเท่าที่สุดเท่าที่จะทำได้

    คนที่จะนำพาหายนะและความตายมาแก่รีเอตต้า มักจจะเป็นตัวเอกและเหล่าตัวละครที่เป็นเป้าหมายในการจีบ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือลูกชายของดยุกเชสเตอร์

    เลกซิออน เชสเตอร์

    “เอาละ ถ้านางว่าอย่างไรก็บอกข้าด้วยละกัน ในที่สุดลูกชายข้าก็จะได้มีเพื่อนที่มีอายุไล่เลี่ยกันเสียที”

    แต่เอาเถอะ ถ้าเป็นรีเอตต้าที่ผมรู้จักในตอนนี้ นางคงไม่มีทางมาอยู่ที่ปราสาทตระกูลเชสเตอร์เป็นแน่ แต่ผมคงต้องเผื่อไว้ว่าจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้เธอไม่สามารถอยู่ในภายใต้ความดูแลของผมได้

    “จะว่าไปแล้วท่านดยุก ไม่ใช่ว่าตอนนี้ใกล้จะถึงเวลาที่ซีคฮาร์ทตื่นแล้วหรอ?”

    ผมพูดเตือนดยุกเชสเตอร์ขึ้นเมื่อสภาพอากาศรอบตัวผมนั้นเปลี่ยนไป แสงแดดที่เคยสาดส่องมาอย่างอ่อนโยนนั้นแรงขึ้นเล็กน้อย กลิ่นอายที่พัดผ่านตามแรงลมอ่อนๆ ในช่วงเช้านั้น ทำให้ร่างกายของผมที่จดจำทุกช่วงเวลาต่างๆ ได้โดยการสัมผัสนั้น รู้ว่าในตอนนี้ใกล้ถึงเวลาปกติที่ซีคฮาร์ทชอบตื่นนอนขึ้นแล้ว

    ดยุกเชสเตอร์หัวเราะขึ้นมาเล็กน้อยก่อนที่จะจับมือข้างขวาของผมที่กำลังถือไม้เท้าอยู่ขึ้น พร้อมกับช้อนตัวผมขึ้นโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว

    “ทะ— ท่านดยุก! นี่ท่านกำลังจะ—”

    “เพื่อให้เจ้าได้รับบททดสอบให้เร็วที่สุด เราจะไปด้วยวิธีที่มีแค่ผู้นำตระกูลเท่านั้นที่รู้ อีกอย่างถ้ารอให้เจ้าเดินตามข้ามาละก็ มีหวังซีคฮาร์ทจะมาเจอพวกเราก่อนเป็นแน่”

    ในขณะที่เขาพูดไปด้วยนั้น ร่างกายของผมที่กำลังลอยขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นได้ถูกทำให้อยู่ในสภาพกระสอบทรายอย่างน่าอนาถ พร้อมกับฝีเท้าของเขาที่กำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างหนักแน่นั่น..

    อย่าบอกนะว่า...

    “จับไว้ให้ดีละกันละ”

    ไม่ทันที่ท่านดยุกจะพูดจบ เขาก็ได้ออกวิ่งไปยังทิศทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว ผมพยายามกำชายเสื้อของท่านดยุกไว้ให้แน่น พร้อมกับไม้เท้าที่ไม่รู้ว่าจะหลุดมือได้เมื่อไหร่นี่อย่างสุดความสามารถ จนกระทั่งมีช่วงจังหวะหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าเราทั้งสองกำลังหยุดอยู่กับที่

    หรือว่านี่จะเป็น...

    “ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ยังทำให้ข้าคนนี้ประหลาดใจได้อยู่ตลอด วงเวทที่ท่านผู้นั้นได้สลักไว้เผื่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน”

    “นี่มันคือการวาร์ปงั้นหรอ?”

    “โอ้! เจ้ารู้ด้วยสินะว่าสิ่งนี้คือการวาร์ปน่ะ!”

    ให้ตายสิ... ไม่คิดเลยว่าจะมีสิ่งนี้อยู่ในบริเวณปราสาทดยุกเชสเตอร์ ทั้งๆ ที่มันเป็นวงเวทที่ตัวเอกภายในเกมพยายามใช้เวลาร่ำเรียนอยู่หลายๆ ปี แต่เธอก็ดันทำมันไม่สำเร็จ

    แต่นี่มัน...

    “ท่านผู้นั้นบอกว่าใต้ดินเธอสร้างให้นั้นปลอดภัยกว่าโลกข้างนอกอยู่หลายเท่า ถ้าหากเกิดเหตุกาณ์อะไรที่เกินมือละคนทั้งตระกูลละก็—”

    “ให้อยู่ในห้องนี้ต่อไป จนกว่าประตูจะปลดล็อกเอง”

    “ใช่แล้วละ ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีความคิดที่คล้ายคลึงกับท่านผู้นั้นอยู่พอสมควรเลยนะ”

    ผมเกือบลืมไปเลยว่าในเนื้อเรื่องภาคเสริมนั้น มีอยู่จังหวะหนึ่งที่เลกซิออนได้เสนอให้พวกเหล่าตัวเอกนั้นไปหลบซ่อนในห้องใต้ดินของปราสาทตระกูลของเขา จนกว่าสงครามจะจบลง

    แต่สุดท้ายแล้ว เหล่าตัวเองที่มีแต่ศักดิ์ศรีก็ได้ปัดข้อเสนอแนะนี้ของเลกซิออนลงไป และสุดท้ายพวกเขาก็มีจุดจบอันน่าอนาถ โดยที่ทุกคนรวมถึงตัวเอกหญิงที่พวกเราจะได้เล่นนั้นตายลงท่ามกลางสมรภูมิสงครามที่เกิดขึ้นกับจักรวรรดิบาร์นาบัส

    สุดท้ายแล้ว... มีเพียงแค่โนอาห์เท่านั้นที่มีชีวิตอยู่ต่อไป และเริ่มทำสงครามลามไปยังดินแดนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงจักรวรรดิ จนกระทั่งมันกลายเป็นสงครามโลกที่ทำให้โลกนี้ล่มสลายลง

    เรียกได้ว่าเป็นเนื้อเรื่องภาคเสริมที่ไม่น่าซื้อมาให้คุณหนูเล่นเลย...

    “อีกไม่นานก็จะถึงห้องที่ว่านั่นแล้ว ถ้าหากเจ้าหายใจไม่สะดวกละก็ อดทนหน่อยแล้วกัน”

    ดยุกเชสเตอร์พูดขึ้นในขณะที่เขากำลังเดินไปยังทิศทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว ทั้งกลิ่นและบรรยากาศที่อับชื้นของทางเดินนั้นทำให้ผมรับรู้ได้ว่าเรากำลังอยู่ใต้ดินของปราสาทจริงๆ

    แต่ดูจากที่ดยุกเชสเตอร์เดินไปยังทิศทางตรงหน้าอย่างเดียวนั้น แสดงว่าที่นี่อาจจะเป็นเขตห้วงห้ามที่มีเพียงแค่คนในตระกูลหรือผู้นำตระกูลเท่านั้นที่รู้สินะ

    "เอาละ เรามาถึงแล้ว"

    สิ้นเสียงของดยุกเชสเตอร์ลง สัมผัสของมือทั้งสองข้างที่เคยอุ้มผมพาดบ่าของเขาเมื่อครู่นี้ก็จับตัวผมวางลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล ก่อนที่ผมจะพยายามเคาะไม้เท้าของผมลงบนพื้นบริเวณรอบๆ

    เสียงสะท้อนที่ได้ยินจากการเคาะไม้เท้านั้นทำให้ผมรู้ว่าทางที่ดยุกเดินมาตลอดทางนั้นเป็นเส้นทางที่ปิดมิดชิด แสงสว่างจากคบเพลิงที่ถูกจุดขึ้นตามทางที่เราเดินผ่านมานั้น เหมือนกับว่ามันจะจุดขึ้นก็ต่อเมื่อมีคนเดินผ่านเท่านั้น

    แสงที่สะท้อนเข้าเปลือกตาของผมนั้นช่างมีน้อยนิดจนผมแทบจะไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่ามีคบเพลิงอยู่ แต่ด้วยความโชคดีที่การรับรู้กลิ่นของผมนั้นยังคงดีอยู่ มันจึงทำให้ผมได้กลิ่นไหม้เล็กน้อยที่เป็นกลิ่นมาจากคบเพลิง

    แต่ฟังจากเสียงสะท้อนจากการเคาะไม้เท้าลงที่พื้นแล้ว ผมไม่เห็นจะสัมผัสได้ถึง—

    เดี๋ยวก่อน... มีบางช่วงของกำแพงดูกลวงโบ๋แปลกๆ

    “ดูเหมือนเจ้าจะรู้แล้วสินะ ว่าห้องที่ว่านั้นอยู่ที่ไหน?”

    ยิ่งเสียงสั่นในการเปล่งเสียงของดยุกเชสเตอร์ดังก้องขึ้นไปทั่วทั้งทางเดินมากเท่าไหร่ ผมที่พยายามใช้มือข้างขวาคลำผนังทางเดินข้างๆ ผมนั้นก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงตำแหน่งที่กำแพงกลวงมากขึ้น

    นี่ไม่ใช่... นี่ก็ไม่ใช่... มันคงจะต้องเป็นตรงนี้

    ก๊อกๆ

    ผมเคาะกำแพงทางเดินที่อยู่ข้างผมในตอนนี้สองสามที ก่อนที่จะมีเสียงก้อนอิฐที่กำลังยุบตัวลงอยู่รวดเร็ว จนกระทั่งเสียงที่ดังกึกก้องนี่จะหยุดลงในสักพัก

    เสียงปรบมือของคนที่ยืนอยู่ข้างหลังผมดังขึ้น ผมหันไปทางดยุกเชสเตอร์ที่กำลังปรบมือของเขาอย่างไม่หยุดหย่อนก่อนที่จะถอนหายใจใส่เขา

    “ไม่ใช่ว่าท่านต้องเป็นคนนำทางผมไปไม่ใช่หรอ? แล้วนี่ท่านกำลังทำอะไรอยู่?”

    ผมรู้สึกหัวเสียเล็กน้อยที่เขาชอบทดสอบผมทุกครั้งเวลาที่ผมพยายามอย่างสุดกำลัง เพียงแค่ผมบอกเขาว่าไม่จำเป็นต้องใช้ดวงตาของตัวเองก็สามารถผ่านการทดสอบได้อยู่แล้ว

    แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องทดสอบผมทุกย่างก้าวขนาดนี้

    “โทษที พอดีเจอคนอย่างเจ้าแล้ว มันทำให้ข้านึกถึงเพื่อนสนิทของข้า พ่อของรีเอตต้าน่ะ”

    “งั้นหรอครับ?”

    “ก็นะ เจ้าบ้านั่นมีลักษณะนิสัยที่คล้ายคลึงพอๆ กับเจ้า แถมยังเป็นคนมากความสามารถอีกด้วยนะ”

    จะว่าไปแล้วภายในเกมไม่เคยกล่าวถึงผู้เป็นพ่อของรีเอตต้าเลย แต่ถ้าดยุกเชสเตอร์พูดว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทของตัวเองละก็ บางที... เขาอาจจะปกป้องรีเอตต้าได้ดีมากกว่าผมก็เป็นได้

    “แต่เจ้าบ้านั่นดันหายตัวไปเมื่อห้าปีที่แล้ว สุดท้ายแล้วข้าก็ยังไม่เจอตัวเขาหรือแม้แต่ร่างของเขาเลยตลอดเวลาห้าปีมานี้”

    น้ำเสียงของดยุกเชสเตอร์ดูเจ็บใจและเป็นห่วงเพื่อนสนิทของเขาจากใจจริง ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าทั้งสองคนสนิทกันแค่ไหน แต่การที่ดยุกเชสเตอร์ยังคงตามหาเขามาตลอดห้าปีนี้ พวกเขาคงจะสนิทกันน่าดู

    “เลิกพูดถึงเรื่องหมอนั่นเถอะ ตอนนี้เราต้องรีบกันหน่อยแล้ว เพราะอีกเดี๋ยวซีคฮาร์ทก็คงจะตื่นขึ้นมาจริงๆ แล้วละ”

    ดยุกเชสเตอร์พูดขึ้นก่อนจะเดินนำหน้าผมไป ผมจึงเดินไปตามเสียงฝีเท้าของเขาอย่างรวดเร็ว เพื่อให้พวกเรากลับไปทันเวลาก่อนที่ซีคฮาร์ทจะตื่น

    ในช่วงเช้าตรู่ที่ซีคฮาร์ทตื่นขึ้นมาเพื่อสังเกตอาการของผมนั้น โชคดีที่ดยุกเชสเตอร์ได้ให้สาวใช้ของเขาพาเจ้าเด็กนั่นกลับไปนอนที่ห้องเดิมของเขา แน่นอนว่ามีโอกาสที่ซีคฮาร์ทจะไม่กลับไปนอนเหมือนเดิม

    แต่ดยุกเชสเตอร์กลับมั่นใจว่าเขาจะกลับไปนอนแน่นอน เพราะซีคฮาร์ทมักจะมาแอบฟังอาการของผมตลอดเวลาในยามเช้าตรู่ที่จะมีหมอเข้ามาตรวจอาการของผม และเขาจะกลับไปนอนเป็นประจำพร้อมกับตื่นนอนขึ้นอีกครั้งในเวลาเดิมของเขา

    เอาเถอะ... ถึงแม้ว่าจะโดนเจ้าเด็กนั่นจับได้ แต่มันคงไม่มีเรื่องอะไรให้น่าเป็นห่วงนัก ยกเว้นว่าไม่ผมก็ท่านดยุกจะปากสว่างไปพูดอะไรที่ไม่ควรเข้าให้ซีคฮาร์ทได้ยินก็เท่านั้น

    “ตอนนี้เรามาถึงจริงๆ แล้ว”

    เสียงฝีเท้าของท่านดยุกหยุดลงอยู่ตรงตำแหน่งข้างหน้าผมไม่ใกล้ไม่ไกล ผมพยายามเคาะไม้เท้าให้เกิดการสะท้อนของเสียงมากขึ้น และเสียงที่สะท้อนกลับมาในครั้งนี้นั้นทำให้ผมได้รู้ว่าข้างหน้าท่านดยุกนั้นกำลังมีประตูบานใหญ่บานหนึ่งขวางทางเขาไว้อยู่

    “ข้าจะเปิดประตูแล้วนะ”

    “ครับ”

    สิ้นเสียงของดยุกลง ผมก็สัมผัสได้ถึงพลังเวทจำนวนหนึ่งที่กำลังถ่ายเทเข้าไปในประตูบานใหญ่ตรงหน้าท่านดยุก และในขณะที่เขากำลังถ่ายเทพลังเวทเข้าไปนั้น ผมก็สัมผัสได้ถึงเวทอักขระ ซึ่งมันคงจะเกิดขึ้นเพราะอักขระที่ถูกสลักไว้ภายในห้องนั้นกำลังตอบสนองกับพลังเวทของท่านดยุกอยู่

    ดยุกเชสเตอร์ใช้เวลาในการถ่ายเทพลังเวทอยู่สักพัก ก่อนที่กลไกบางอย่างภายในห้องนั้นจะดังขึ้น เหมือนว่าพวกเราจะเข้าไปภายในห้องได้แล้วนะ

    เสียงประตูบานใหญ่ที่ถูกเปิดออกได้ดังขึ้น ผมที่ยังไม่ได้ยินเสียงดยุกเชสเตอร์ให้ผมเข้าไปในห้องนั้นก็ยังคงหยุดยืนอยู่กับที่ จนกระทั่งผมได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้นมาในหัวผมอีกครั้ง

    [เข้ามาสิ เจ้าได้ผ่านการทดสอบของเราแล้ว ตั้งแต่วันนั้นที่เจ้ากำจัดปีศาจลงไป]

    เสียงของผู้หญิงคนนั้นดังขึ้นมาในหัวของผมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ในน้ำเสียงของเธอนั้นดูไร้อารมณ์จนเกินกว่าที่เธอเคยแลกบทสนทนากับผม

    แสดงว่านี้เป็นข้อความตอบกลับอัตโนมัติสินะ...

    ผมเดินเข้าไปภายในห้องโดยที่ดยุกเชสเตอร์ก็ยังคงไม่พูดอะไร และหยุดยืนอยู่กับที่ หรือว่านี่จะเป็นฝีมือของเธอคนนั้นกันนะ?

    [ดูเหมือนว่าดวงตาทั้งสองของเจ้าจะได้รับอาการบาดเจ็บสินะ ข้าจะรักษาให้]

    ทันทีที่เสียงของเธอดังขึ้นอีกครั้ง ความเจ็บปวดบริเวณรอบดวงตาและเปลือกตาของผมที่เคยหนักอึ้ง

    ได้จางหายไปภายในพริบตา ราวกับเวทมนตร์...

    “นี่มัน...”

    [สุดท้ายนี่ ข้าคงได้แต่ฝากความหวังไว้กับเจ้า หวังว่าเราจะได้เจอกันอีก]

    สิ้นเสียงสุดท้ายของเธอลง ผมที่พยายามยกเปลือกตาทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นนั้นก็ได้ลืมตาขึ้นอย่างไม่มีปัญหา ภาพตรงหน้าที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าผมเป็นเพียงแค่ห้องสีดำแห่งหนึ่งที่มีตัวอักษรหลากหลายประเภทสลักอยู่ทั่วทุกมุมห้อง พร้อมทั้งของบางชิ้นที่ดูเป็นของโบราณ

    จนกระทั่งสายตาของผมได้สะดุดเห็นรูปวาดรูปหนึ่ง แม้ว่าจะวาดในกระดาษแผ่นเล็ก แต่รูปตรงหน้าของคนสองคนนั้นกลับทำให้ผมรู้สึกสนใจอย่างแปลกประหลาด

    “นี่เจ้า... เข้าไปในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ?”

    จู่ๆ เสียงของดยุกเชสเตอร์ที่เงียบหายไปนานอยู่สักพักนั้นก็ดังขึ้น ผมหันไปมองเขาพร้อมทั้งดวงทั้งสองของผมที่กำลังเบิกกว้างอยู่นั้น ทำให้เขาที่เห็นว่าดวงตาของผมหายดีแล้วนั้นถึงกับตกใจ

    “นี่มัน! ดวงตาของเจ้า...!”

    “หายแล้วครับ พึ่งหายเมื่อครู่นี้เอง...”

    ผมมองใบหน้าของดยุกเชสเตอร์ด้วยความตะลึงเล็กน้อย ถึงแม้ว่าในตัวเกมนั้นผู้เล่นจะไม่เคยได้เห็นที่แท้จริงของดยุกเชสเตอร์ แต่ก็ได้มีคำบอกกล่าวในเกมไว้ว่าเขาคือเลกซิออนในเวอร์ชันที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วนั่นเอง

    แต่ว่านะ...

    “ข้านึกว่าท่านจะดูเหมือนคุณลุงท่านหนึ่งซะงั้น ไม่คิดเลยว่าจะมีหน้าตาที่หล่อเหลาขนาดนี้...”

    ผมพูดจากใจจริงเลยนะว่า ถ้าใครได้เห็นเลกซิออนในเวอร์ชันที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว คงจะคิดว่าเขาหล่อที่สุดในบรรดาเป้าหมายที่สามารถจีบได้ ยกเว้นตัวเอกชายที่แท้จริงของเกมกับตัวละครลับอย่างโนอาห์ที่มีระดับความหล่อสูงมากกว่านั้น

    บอกได้เลยว่าคนตรงหน้าผมในตอนนี้ดูดีกว่าเลกซิออนในตอนโตเสียอีก...

    “แน่นอน ผมสีดำขลับที่มาพร้อมกับดวงตาสีม่วงอเมทิสต์นี่ ไม่มีใครสู้ข้าเรื่องความหล่อเหลาได้แล้วละ”

    ยกเว้นเรื่องนิสัยละนะ...

    “จะว่าไปแล้ว นิสัยของท่านดยุกดูต่างจากที่ผมเคยได้ยินมาเลยนะครับ ไม่ใช่ว่าท่านต้องทำตัวให้สมกับเป็นผู้ปกครองดินแดนทางเหนือไม่ใช่หรอครับ?”

    ดูเหมือนว่าคำถามของผมจะไปจี้ตรงจุดเข้าให้ ดยุกเชสเตอร์ที่มีสีหน้ายิ้มแย้มเมื่อครู่นี้นั้น กลับเศร้าหมองลง แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ตอบกลับคำถามผมโดยที่ไม่ได้หลีกเลี่ยงแม้แต่อย่างใด

    “ไม่ใช่ว่าข้าทำตัวไม่สมกับเป็นผู้ปกครองหรอกนะ แต่พอข้าทำตัวแบบนี้เป็นปกติมากขึ้นเรื่อยๆ แรงกดดันที่ข้าต้องแผ่ออกมาตลอดนั้นทำให้คนรอบข้างไม่กล้าพูดคุยกับข้าซึ่งๆ หน้า และมันทำให้ข้ารู้สึกโดดเดี่ยวเหลือเกิน โดยเฉพาะกับเลกซิออนที่ไม่กล้าพูดกับข้า...”

    ดยุกเชสเตอร์คงจะรู้สึกอัดอั้นตันใจในเรื่องนี้มานานพอสมควร เขาถึงพ่นมันออกมาอย่างไม่หยุดหย่อนจนผมกลับรู้สึกสงสารเขาเลย

    แต่จะว่าไปแล้ว... ผมไม่เห็นจะเป็นแบบนั้นเลยนะ?

    “อา... ถ้าหากว่าเจ้าสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงไม่เป็นเหมือนคนอื่น อาจเป็นเพราะตัวเจ้าไม่ได้ ‘มองเห็น’ ข้าในตอนแรกยังไงละ”

    “อย่างนั้นหรือครับ...”

    ที่ดยุกเชสเตอร์พูดมาก็มีเหตุผล เพราะตอนที่ผมเห็นปีศาจตัวนั้นครั้งแรก ร่างกายของผมยังสั่นจนไม่อาจจะมองมันได้ตรงๆ แต่ก็พยายามฝืนตัวเองจนผ่านมันมาได้ในที่สุด แต่กับดยุกเชสเตอร์ที่มีแรงกดดันมหาศาลทั้งๆ ที่เป็นคนเหมือนกันด้วยนั้น...

    หรือบางทีมันอาจเป็นเพราะบทสนทนาที่ผ่านๆ มาของพวกเรา มันจึงทำให้ผมคิดได้ว่าเขาก็ไม่ใช่คนที่น่ากลัวสักเท่าไหร่แค่นั้น

    “จะว่าไปแล้ว นั่นรูปของผู้นำตระกูลคนแรกนี่”

    “รูปวาดนี่นะหรอครับ?”

    “ใช่แล้ว มันเป็นรูปวาดที่ท่านอยากเก็บไว้เป็นความทรงจำกับท่านผู้นั้นน่ะ”

    ผมหันกลับมาสนใจรูปวาดที่สะดุดตาของผมต่อหลังจากที่ดยุกเชสเตอร์พูดขึ้น ผมหยิบรูปวาดแผ่นนั้นขึ้นมาดู และสิ่งที่สะดุดตาของผมที่สุดไม่ใช่ร่างของชายคนหนึ่งที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับดยุกเชสเตอร์ในปัจจุบัน

    แต่มันเป็นผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างเขา

    ผมรู้สึกว่าผมเคยเห็นหน้าเธอมาก่อน ในตอนที่ผมยังคงเป็นทหารรับจ้างอยู่นั้น สงครามระหว่างประเทศแห่งหนึ่งได้ทำให้ผมได้พบเจอกับเด็กสาวคนหนึ่ง

    ซึ่งเธอมีหน้าเหมือนกับผู้หญิงในภาพวาดคนนี้มาก...

    “แล้วเจ้าผ่านการทดสอบแล้วหรือ?”

    “ผ่านแล้วครับ นางบอกว่าข้าผ่านตั้งแต่ที่เจอกับปีศาจตนนั้นแล้วครับ”

    “งั้นหรอ? ถ้างั้นพวกเราก็รีบกลับกันเถอะ”

    ถึงแม้ว่าภายในห้องแห่งนี้จะยังไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อผมเลยในตอนนี้ แต่ยังคงมีสิ่งสิ่งหนึ่งที่ผมพอจะใช้งานจากมันได้

    “คงไม่ว่าอะไร ถ้าข้าจะขอเอาเจ้านี้ติดตัวไปกับข้าเลยนะ”

    ผมหยิบหน้ากากสีขาวล้วนอันหนึ่งขึ้นที่วางอยู่ใกล้กับรูปวาดให้ดยุกเชสเตอร์ได้เห็น เขาเพียงแค่พยักหน้าให้กับผม ก่อนที่จะเดินออกจากห้องเพื่อรอผม

    หน้ากากสีขาวล้วนที่เหมือนกับอันที่ผมใส่นั้น แม้ว่ามันจะมีวางขายอยู่ตามท้องตลาดทั่วไป แต่มันก็เป็นตัวบ่งบอกถึงตัวตนของผม

    ทหารรับจากผู้มีนามว่า ‘แอล’ จะว่าไปแล้ว ในโลกที่เราจากมานั้นเราก็ใช้ชื่อนี้ด้วยสินะ

    หวังว่ามันจะไม่ใช่ความบังเอิญอย่างที่ผมคาดการณ์ไว้นะ...

    “เร็วเข้าสิลุดวิก! เดี๋ยวซีคฮาร์ทก็จับผิดเจ้าอีก!”

    “กำลังไปครับ!”

    ผมสวมใส่หน้ากากที่ห่างหายกันไปนานพอสมควร ก่อนจะเดินออกจากห้องแห่งนี้ไป แม้ว่าในตอนนี้ผมอยากจะตามอ่านตัวอักษรที่สลักอยู่ทั่วทุกมุมห้องนี้สักเท่าไหร่

    แต่การที่ไม่มีข้อความตอบกลับจากเธอคนนั้นไปมากกว่านี้แล้ว แสดงว่ามันคงยังไม่ถึงเวลาสินะ

    นั่นสินะ... ทุกๆ อย่างที่ในชีวิตคนเราควรต้องทำนั้น บางทีการข้ามขั้นตอนของชีวิตไปนั้นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไป และยิ่งกับเธอคนนี้ที่มักจะพูดถึงท้ายไว้ประโยคเดิมว่าเราจะได้พบกันใหม่นั้น...

    ...

    มันทำให้ผมรู้ว่าในตอนนี้มันยังคงไม่ถึงเวลาของผมสินะ...

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×