คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : ตอนที่ 13 พักฟื้น(2)
ตอนที่ 13
พักฟื้น (2)
หลังจากที่ผมได้คุยกับดยุกเชสเตอร์ก็ผ่านมาได้สามวันแล้ว ตั้งแต่วันนั้นมีเพียงแต่โนอาห์และแซมเข้ามาเยี่ยมผมที่กำลังพักฟื้นอยู่เป็นประจำ
เว้นแต่ซีคฮาร์ทที่ไม่โผล่มาให้ได้ยินอีกเลยตั้งแต่วันนั้น...
“ดวงตาทั้งสองของเจ้าคงจะใช้วิธีรักษาแบบปกติไม่ได้”
เสียงของดยุกเชสเตอร์ดังขึ้นพร้อมกับหมอคนเดิมที่กำลังปลดผ้าพันแผลรอบดวงตาของผมออก ผมเพียงแค่ผงกหัวให้เขาก่อนที่จะย้อนคิดไปถึงวันที่ผมเจอปีศาจตัวนั้น
มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ปีศาจตัวนั้นติดตามพวกเราตั้งแต่ยังเดินทางมาไม่ถึงดินแดนทางเหนือเลย เจ้านั่นบอกว่าเพียงแค่ว่าจะมาทักทายผู้ที่ครอบครอง ‘ดวงตาแห่งความจริง’ ที่รอดไปจากเงื้อมมือของมันก็เท่านั้น
อา... ดูเหมือนว่าผมคงต้องถามดยุกเชสเตอร์เกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มแล้วละ
“ตอนนี้ร่างกายของเจ้าก็คงจะพักฟื้นเพียงพอแล้วสินะ เจ้าพร้อมจะคุยกับข้าต่อแล้วรึยังล่ะ?”
จะว่าไปแล้ว นี่ก็ผ่านมาอาทิตย์หนึ่งแล้วสินะหลังจากที่ผมสลบไป บางทีการได้เดินออกกำลังกายบ้างหลังจากที่ร่างกายพักผ่อนพอสมควรแล้วเป็นสิ่งที่ดีที่ควรจะทำเช่นกัน
“นั่นสินะครับ ถ้ากินเวลาไปมากกว่านี้ละก็ ข้าคงจะไม่ได้คลายความสงสัยที่ข้ามีอยู่ในตอนนี้กับท่านเป็นแน่”
“หึ... ข้าจะคลายความสงสัยของเจ้าเท่าที่เจ้าควรจะรู้ในตอนนี้เอง เอ็ดเวิร์ด เจ้าได้เตรียมสิ่งที่ข้าขอมาให้แอลหรือไม่?”
สิ่งที่ดยุกเชสเตอร์ได้เตรียมไว้ให้ผม?
ในขณะที่ผมกำลังคิดอยู่ว่าดยุกเชสเตอร์ได้เตรียมอะไรบางอย่างไว้ให้ผม จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ผมคุ้นเคยอยู่ด้านนอกห้องที่ผมอยู่ และเสียงฝีเท้านั่นก็เป็นของซีคฮาร์ท คนที่หายหน้าหายตาไปเป็นเวลาสามวัน
“นี่ครับท่านดยุก ไม้เท้าสำหรับท่านแอลครับ”
เสียงพูดของหมอที่มารักษาผมเป็นประจำตลอดเวลาที่อยู่ในห้องนี้ดังขึ้น ชื่อของเขาคือเอ็ดเวิร์ดสินะ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้ยินเสียงของเขา เหมือนว่าเขาจะอยู่ในช่วงอายุยี่สิบสินะ อายุแค่นี้แต่มาเป็นหมอให้กับตระกูลดยุกได้นี่คงต้องเก่งพอตัวเลยสินะ
หลังจากที่เอ็ดเวิร์ดพูดเสร็จ เขาก็นำไม้เท้าที่ดยุกเชสเตอร์เป็นคนสั่งให้เขานำมาให้ผมวางไว้ที่มือข้างซ้ายของผม ผมใช้มือข้างขวาที่ยังว่างอยู่ของผมเอื้อมไปลูบคลำไม้เท้าที่ถูกวางไว้ที่มือซ้ายของผม
ดูเหมือนว่าความยาวของมันจะพอดีกับระยะห่างระหว่างมือกับพื้นทางเดินของผมเลยสินะ
“เป็นไงบ้าง? ความยาวของไม้เท้านี่น่าจะพอดีกับระยะห่างระหว่างมือของเจ้ากับพื้นทางเดินเลยนะ”
“ครับ พอดีจนข้าประหลาดใจเลยละ”
ผมพูดออกไปจากใจจริง ก่อนที่จะพยายามลุกออกจากเตียงนอนที่ผมนอนราบมาเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์แล้ว โชคดีที่ร่างกายของผมยังมีเรี่ยวแรงพอที่จะพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นได้ ผมจึงพยายามหย่อนขาทั้งสองข้างลงจากเตียงนอนอย่างเชื่องช้า ก่อนที่ปลายเท้าทั้งสองข้างของผมจะแตะพื้นลง
ในตอนแรกผมคิดว่าตัวเองคงจะสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นของพื้นในตอนที่ปลายเท้าทั้งสองข้างของผมได้แตะพื้นลง
แต่มันกลับตรงกันข้าม...
ทันทีที่ปลายเท้าของผมแตะพื้นลง ผมสัมผัสได้ถึงความนุ่มจากปลายเท้า ก่อนที่จะสัมผัสได้ถึงความอุ่นจากสิ่งที่กำลังห่อหุ้มเท้าทั้งสองข้างของผมอยู่
นี่มัน...
“ท่านซีคฮาร์ทเห็นว่าถุงเท้าคู่เดิมของท่านแอลมันขาดน่ะครับ เขาเลยซื้อคู่ใหม่ให้ท่านใส่ แถมเขายังเป็นคนบอกเรื่องความยาวของไม้เท้าที่ผมควรจะเตรียมให้ท่านแอลด้วยครับ”
นำเสียงของเอ็ดเวิร์ดนั้นดูเอ็นดูคนที่เขากำลังพูดถึงอย่างซีคฮาร์ทอย่างยิ่ง ก่อนที่ผมจะสัมผัสได้ถึงฝ่ามือของเขาที่พยายามช่วยพยุงตัวผมให้ลุกออกจากเตียงอย่างนุ่มนวล
เหมือนว่าพอเอ็ดเวิร์ดพูดถึงซีคฮาร์ทขึ้น ซีคฮาร์ทที่กำลังยืนอยู่ด้านนอกห้องนั้นก็ได้เดินออกห่างจากห้องที่ผมอยู่ไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กนั่นคงจะได้ยินสิ่งที่เอ็ดเวิร์ดพูดและกำลังรู้สึกเขินอายอยู่เป็นแน่
ทำไมเขาต้องเขินอายกับการกระทำที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงที่มีต่อผมด้วยนะ?
“ก็อย่างที่เอ็ดเวิร์ดพูดนั่นละ ซีคฮาร์ทคงจะเป็นห่วงเจ้าพอๆ กับคนอื่นๆ นั้นละ ถึงแม้ว่าสามวันนี้เขาจะไม่เข้ามาเยี่ยมเจ้า แต่ดูเหมือนว่าเขาจะฟังมาจากคนอื่นๆ ที่มาเยี่ยมเจ้าว่าเจ้าเป็นอย่างไรบ้างในแต่ละวันน่ะ”
ดยุกเชสเตอร์พูดเสริมขึ้น ทั้งๆ ที่เขาไม่ต้องพูดก็ได้แท้ๆ แต่ว่าทำไมทั้งสองถึงพูดถึงซีคฮาร์ทขึ้น ทั้งๆ ที่ในตอนแรกซีคฮาร์ทไม่ใช่ประเด็นที่พวกเราจะพูดถึงกันเลยนะ
แต่เอาเถอะ ยังไงซะเรื่องของซีคฮาร์ทคงไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไรมากนัก ถ้าหากเขาพร้อมที่จะเจอหน้าผมเมื่อไหร่เขาคงจะมาเจอผมเองแน่นอน
แต่ในตอนนี้ ผมคงต้องโฟกัสกับเรื่องที่ผมต้องการคำอธิบายจากดยุกเชสเตอร์เสียก่อน
“เอาละครับท่านดยุก ผมพร้อมแล้วที่จะพูดคุยกับท่านต่อจากครั้งที่แล้วที่พวกเราค้างกันไว้”
ผมพูดขึ้นในขณะที่ลุกขึ้นยืนจากเตียงนอน พร้อมกับมือที่พยุงผมอยู่ด้านหลังของเอ็ดเวิร์ดนั้นกำลังพยายามช่วยทรงตัวของผมให้ยืนได้ตรง ผมจึงหันไปผงกหัวขอบคุณเอ็ดเวิร์ดในทิศทางที่ผมได้ยินเสียงของเขาเมื่อครู่นี้ ก่อนที่เอ็ดเวิร์ดจะพูดขึ้น
“เหมือนว่าท่านแอลจะทรงตัวได้ดีอยู่พอสมควรแล้วนะครับ ลองเดินภายในห้องนี้ก่อนที่จะออกไปเดินกับท่านดยุกดีไหมครับ?”
“ครับ ผมจะลองดูครับ”
ผมตอบกลับเอ็ดเวิร์ดที่แนะนำให้ผมลองเดินดูภายในห้องก่อนที่จะออกไปเดินและพูดคุยกับดยุกเชสเตอร์ ผมเปลี่ยนมือจับไม้เท้าเป็นมือข้างขวาที่ผมถนัด ก่อนที่จะเริ่มเดินไปรอบห้องโดยใช้ไม้เท้าเคาะตามพื้น
การสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นจากการเคาะไม้เท้านั้นทำให้หูของผมที่ยังได้ยินเสียงอยู่นั้นแยกได้ว่าตรงไหนเป็นทางเดิน และตรงไหนมีสิ่งกีดขวาง
“ท่านแอลทำได้ดียิ่งกว่าที่คิดเลยนะครับ”
เอ็ดเวิร์ดกล่าวขึ้น ก่อนที่ผมจะเดินตรงไปยังทิศทางที่เขาอยู่ ผมพยายามใช้ไม้เท้าเคาะตามพื้นให้เกิดแรงสั่นสะเทือนรอบๆ ตัวผมขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ผมจะสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังขวางทางข้างหน้าผมไว้อยู่
ถ้าจากแรงสั่นสะเทือนที่ผมได้ยินที่กระทบเข้ากับร่างของคนตรงหน้า ร่างกายที่สูงเกินร้อยแปดสิบเซนติเมตร แถมยังจะแทบจับสัมผัสไม่ได้นั้น...
นี่เขากำลังทดสอบผมอยู่หรอ?
“ท่านดยุกเชสเตอร์ ช่วยหลีกทางให้ผมเดินไปหาท่านเอ็ดเวิร์ดด้วยเถอะครับ”
ผมพูดขึ้นในขณะที่ผมกำลังเดินเลี่ยงดยุกเชสเตอร์ที่กำลังขวางทางผมอยู่ ถ้าหากว่าในตอนนี้ผมสามารถเดินกลับไปหาเอ็ดเวิร์ดได้ ก็เท่ากับว่าผมแทบจะไม่จำเป็นต้องใช้ไม้เท้าในการช่วยเดินทั้งๆ ที่ตาทั้งสองข้างของผมไม่สามารถใช้งานได้
ทำไมผมถึงแน่ใจว่าถ้าหากทำสำเร็จแล้วผมถึงไม่จำเป็นจะต้องใช้ไม้เท้านี่นะหรอ? นั่นก็เพราะว่าผมเคยสอนคนคนหนึ่งให้เดินได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ไม้เท้ามาแล้ว
และคนคนนั้นก็คือคุณหนูของผมนั่นเอง
“โอ้ ขนาดนี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าใช้ไม้เท้านำทาง เจ้าทำได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
เสียงของดยุกเชสเตอร์ที่มีความทึ่งอยู่ในน้ำเสียงของเขาดังขึ้น เมื่อผมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเอ็ดเวิร์ดเป็นที่เรียบร้อย เอ็ดเวิร์ดปรบมือของเขาขึ้นก่อนที่ผมจะสัมผัสได้ถึงฝ่ามือของใครบางคนกำลังเอื้อมมาที่ข้างหลังของผม
“ดูเหมือนว่าจะเคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับตัวเจ้าในโลกก่อนแล้วสินะ”
“ในโลกก่อน?”
ดูเหมือนว่าดยุกเชสเตอร์คงจะพูดถึงชีวิตก่อนของผมเมื่อครู่ แต่คำพูดของเขาทำให้เอ็ดเวิร์ดที่ได้ยินนั้นถามด้วยความสงสัยและสับสน นี่เขาคงลืมไปแล้วสินะว่ามีเพียงเขาที่รู้ว่าผมเข้ามาสวมร่างลุดวิกเพียงคนเดียวบนโลนี้ในตอนนี้น่ะ
“ท่านดยุกคงหมายถึงว่าเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นในตอนที่ข้ายังเด็กกว่านี้รึเปล่าสินะครับ”
“เป็นอย่างนั้นเองหรือครับ”
ผมแก้ความสงสัยของเอ็ดเวิร์ดก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ก่อนที่ดยุกเชสเตอร์จะกระแอมกระไอขึ้นเล็กน้อยเพื่อแก้ความเคอะเขินของตนที่ได้เผลอพูดเรื่องของผมออกไปเมื่อครู่นี้
“เอาละ ข้าว่าตอนนี้เจ้าคงจะพร้อมแล้วที่จะออกไปเดินกับข้า หรือว่าเจ้าอยากจะทานมื้อเช้าก่อนคุยกับข้าดีละ?”
“ถ้าออกไปเดินตอนนี้คงจะได้คุยกับท่านในระหว่างที่เดินเป็นแน่ ถ้าเช่นนั้นข้าเลือกออกไปเดินดีกว่าครับ”
ผมตอบกลับคำถามที่ดยุกเชสเตอร์ได้ให้ผมเป็นคนเลือกอย่างรวดเร็ว เพราะผมไม่อยากให้ความสงสัยของผมที่มีอยู่ในตอนนี้ไม่ได้รับการคลี่คลายไปนานมากกว่านี้แล้ว
อีกอย่าง... ผมจะได้วางแผนชีวิตในอนาคตข้างหน้านี้ของผมได้ถูก ว่าผมควรจะทำอย่างไรเมื่อได้รับรู้และทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมได้แล้วในตอนนี้
“งั้นหรอ? ถ้างั้นเราไปกันเลยเถอะ”
สิ้นเสียงของดยุกเชสเตอร์ลง เสียงฝีเท้าอันหนักแน่นของเขาได้ดังขึ้น ผมจึงเดินตามเสียงฝีเท้าของเขาไปและไม่ลืมขอบคุณเอ็ดเวิร์ดที่คอยดูแลผมมาตลอดเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์
“ขอให้ทั้งสองคนมีเวลาที่ดีนะครับ”
เอ็ดเวิร์ดกล่าวลาพวกเราทั้งสองก่อนที่ผมและดยุกเชสเตอร์กำลังเดินออกไปจากห้อง
ทันทีที่ผมเดินออกมาจากห้องที่ผมอยู่มาเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ สัมผัสของอากาศและแรงลมที่พัดพาความหนาวเย็นได้ปะทะเข้ากับร่างกายของผม
แม้ว่าผมกำลังใส่เสื้อผ้าที่มีความทนทานต่อความหนาวอยู่พอสมควรอยู่ในตอนนี้ แต่อากาศที่หนาวเย็นของทางเหนือนั้นก็ยังทำให้ผมรู้สึกหนาวสั่นได้พอสมควร
“รู้สึกหนาวอย่างนั้นหรอ?”
ดยุกเชสเตอร์ถามผมขึ้นในขณะที่พวกเรากำลังเดินอยู่ ผมพยักหน้าให้เขาเป็นการตอบว่าใช่ ก่อนที่เสียงฝีเท้าของเขาจะหยุดลง
“จะว่าไปแล้ว ทั้งหน้ากากและอุปกรณ์ต่างๆ ของเจ้าที่ติดตัวมาด้วยนั้นต่างเสียหายจนไม่สามารถใช้งานต่อได้อีก ข้าเลยคิดว่าจะซื้อให้เจ้าใหม่น่ะ”
“ซื้อให้ใหม่? ไม่เอาหรอกครับ อีกอย่างถ้าเป็นของที่ข้าต้องใช้เอง ข้าว่าข้าควรจะใช้เงินของตัวเองซื้อจะดีกว่าครับ”
“แต่ถุงเท้าและไม้เท้าที่ซีคฮาร์ทเป็นคนดูแลและจัดการหามาให้เจ้า เจ้ายังไม่เอ่ยปากว่าอะไรเลยนิ?”
น้ำเสียงของดยุกเชสเตอร์นั้นเหมือนกับว่าเขากำลังจับผิดผม ผมถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะตอบกลับเขาไปในสิ่งที่ผมคิดเวลาที่ดั้บของจากคนอื่น
“ถ้าเป็นจากความหวังดีเหมือนกับซีคฮาร์ทนั้น ข้าพอจะรับของเหล่านี้ได้ แต่กับท่านดยุกที่ข้าพึ่งรู้จักกับการที่ท่านรู้ว่าข้ามาจากไหนนั้น ข้ายังวางใจไม่ได้หรอกนะที่จะรับของจากท่าน”
“งั้นหรอ แล้วถ้าข้าบอกว่าข้าให้เพราะอยากให้เจ้าล่ะ? เจ้าพอจะรับของที่ได้จากข้าไปได้หรือไม่?”
“...ขึ้นอยู่กับว่าท่านให้ด้วยเจตนาที่ดีหรือเปล่าด้วยครับ”
“ฮ่าๆ เจ้านี่ระแวดระวังกับคนที่รู้ตัวตนของเจ้าจังเลยนะ”
ดยุกเชสเตอร์หัวเราะขึ้น ก่อนที่เสียงฝีเท้าของเขาจะดังขึ้นและก้าวเดินไปข้างหน้าต่อ ผมที่ไม่สามารถมองเห็นได้ในตอนนี้เพียงแต่ตั้งใจฟังจากเสียงของการสั่นสะเทือนจากการเคาะไม้เท้าไปยังพื้นที่รอบตัวผม
ดูเหมือนว่าห้องที่ผมอยู่นั้นจะอยู่ชั้นแรกของปราสาทแห่งนี้ เหมือนว่าพวกเขาจะใส่ใจอยู่พอสมควรเลยสินะ
“ดูจากที่เจ้าไม่ถามเลยว่าพวกเรากำลังจะไปไหนนั้น เจ้าคงรู้สินะว่าพวกเรากำลังจะไปไหนน่ะ?”
“ไม่หรอกครับ เพียงแต่ข้ารู้ว่าเรากำลังอยู่ชั้นแรกของปราสาท ดังนั้นแล้วอีกไม่นานท่านคงพาข้าไปที่ไหนสักแห่งที่สภาพร่างกายของข้าในตอนนี้พอที่จะอยู่และพูดคุยกับท่านได้ก็เท่านั้น”
“นั่นสินะ ตอนนี้ร่างกายของเจ้ายังมีสภาพไม่เต็มร้อย ถ้าออกไปเดินข้างนอกปราสาทนั้นคงต้องสวมใส่เสื้อผ้าให้หนามากกว่านี้สินะ”
สิ้นเสียงของดยุกเชสเตอร์ลง ความเงียบก็ได้ปกคลุมพวกเราทั้งสองอยู่สักพัก ก่อนที่ความเงียบสงบเหล่านี้จะถูกพังทลายด้วยเสียงของใครบางคนที่กำลังเดินมายังทิศทางที่พวกเรากำลังอยู่
“ไปนำเสื้อกันหนาวมาให้แขกของเราใส่ซะ”
“ค่ะ ท่านดยุก”
เหมือนว่าเมื่อครู่นี้ที่ดยุกเชสเตอร์เงียบไปนั้น คงเป็นเพราะเขาคงกำลังส่งสัญญาณมือเรียกสาวรับใช้มาอยู่สินะ สุดท้ายแล้วเขาก็คงจะพาผมออกไปเดินเล่นข้างนอกปราสาทให้ได้อยู่ดีสินะ
“ข้านำเสื้อกันหนาวที่นายน้อยไม่ได้ใช้มาให้แล้วค่ะ ท่านดยุก”
“อืม เจ้าไปได้แล้วล่ะ”
“ค่ะ ท่านดยุก”
ไม่นานนักหลังจากที่ดยุกเชสเตอร์ได้สั่งให้สาวรับใช้ของเขาไปนำเสื้อกันหนาวมาให้ผม ฝีเท้าของดยุกที่กำลังนำหน้าผมอยู่เมื่อครู่นี้นั้นได้เดินอ้อมมาอยู่ข้างหลังอย่างรวดเร็ว ก่อนที่สัมผัสของผ้าที่มีความหนาอยู่พอสมควรนั้นจะทำให้ร่างกายของผมอุ่นขึ้น
“ขอบคุณสำหรับเสื้อกันหนาวนะครับ ท่านดยุก”
“แน่นอน อีกเดี๋ยวพวกเราก็ต้องออกจากปราสาทอยู่แล้ว ให้ร่างกายของเจ้าที่อยู่ในสภาพเช่นนี้ออกไปโดยที่ไม่มีอะไรป้องกันความหนาวเย็นนี่คงเป็นการทรมานตัวเจ้าน่าดู”
แน่นอนว่าผมเห็นด้วยกับเขา เพราะถ้าเป็นตัวผมในตอนที่ร่างกายปกติอยู่นั้น ความหนาวเพียงแค่นี้ไม่ทำให้ร่างกายของผมหนาวสั่นหรือเป็นอุปสรรคต่อการเดินเล่นเพียงเท่านี้หรอกนะ
แต่ตอนนี้ผมกลับรับรู้ถึงความหนาวเย็นที่พัดผ่านร่างกายของผมได้มากขึ้นกว่าเดิม อย่างน้อยๆ ในตอนนี้ผมก็ควรหาอะไรมาสวมใส่เพิ่มเพื่อที่จะภายภาคหน้าร่างกายของผมจะได้ไม่แบกรับภาระหนักอีก
“เอาละ ตอนนี้ก็คงถึงเวลาที่จะคุยเรื่องนั้นแล้วสินะ”
ดยุกเชสเตอร์พูดขึ้นเมื่อเสียงประตูบานใหญ่ได้ถูกเปิดออก ผมที่ไม่สามารถมองเห็นได้ตอนนี้คิดอยู่ภายในใจของตัวเองว่าปราสาทที่ผมกำลังอยู่ในตอนนี้คงจะใหญ่น่าดู เมื่อเทียบกับเสียงประตูที่ได้ยิน
แต่ไม่ทันที่จะได้คิดเรื่องปราสาทต่อ จู่ๆ เสียงฝีเท้าของดยุกเชสเตอร์ที่เคยหนักแน่นได้เปลี่ยนไป มันเป็นเสียงของฝีเท้าที่กำลังเหยียบอะไรบางอย่างที่ดูมีความหนาแน่นพอที่จะกลบเสียงฝีเท้า
อา... เกือบลืมไปเลยว่าที่นี่คือดินแดนทางตอนเหนือ และหิมะสีขาวโพลนนั้นก็คงจะปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นที่รวมถึงปราสาทแห่งนี้ด้วยสินะ
“...หรือว่าการออกไปเดินเล่นข้างนอกจะไม่ใช่ความคิดที่ดีสักเท่าไหร่?”
ดูเหมือนว่าดยุกเชสเตอร์คงจะพอจับสังเกตผมได้ว่าผมไม่ค่อยได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาในตอนที่เขาได้เหยียบย่ำฝ่าเท้าของเขาลงบนพื้นหิมะ ผมส่ายหัวให้เขาเล็กน้อยก่อนที่จะก้าวเท้าออกไปข้างนอก เฉกเช่นเดียวกับเขาที่กำลังรอผมอยู่ข้างนอกในตอนนี้
ผมคงต้องใช้เวลาอยู่สักพักในการทำตัวเองให้คุ้นชินกับพื้นหิมะที่ไม้เท้าไม่สามารถใช้งานได้ดีเท่าที่มันควรจะเป็น ความหนาของหิมะที่แทบจะไม่สะท้อนการสั่นสะเทือนของสิ่งรอบตัวนั้นทำให้ผมที่มองไม่เห็นในตอนนี้รู้สึกลำบาก
แต่ถ้าหากมีเสียงฝีเท้าหรือเสียงพูดตลอดทางที่เดินละก็—
“ถ้าข้าจะเปิดบทสนทนาของเราสองคนตั้งแต่ตรงนี้ เจ้าคงไม่ว่าอะไรสินะ?”
“...ไม่เลยครับ ดีเสียด้วยซ้ำที่เราจะได้ไม่เสียเวลาไปมากกว่านี้”
ผมพูดขึ้นพร้อมกับก้าวเท้าไปหยุดอยู่ข้างดยุกเชสเตอร์ในจุดที่เขากำลังยืนอยู่
“งั้นหรอ ถ้างั้นเริ่มกันเลยไหม?”
“ครับ”
ในระหว่างที่พวกเราทั้งสองได้เดินและพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่ผมต้องการคำอธิบายจากดยุกเชสเตอร์นั้น ดยุกเชสเตอร์ที่ควรจะมีระยะฝีเท้าในแต่ละก้าวที่ยาวกว่าผมนั้น ได้พยายามลดระยะฝีเท้าของเขาให้เล็กลง และให้มันพอที่จะเดินไปพร้อมกับตัวผมได้ในขณะนี้
ที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้กับผมก็ได้ แต่มันก็ทำให้ผมนึกถึงตอนที่ผมทำเช่นนี้ในทุกครั้งที่ต้องเดินคู่กับคุณหนูของผมเลย
“ถ้าจะพูดให้ถูกละก็ ผู้ถูกเลือกคือคนที่ยอมรับที่จะเป็นผู้ใช้อักขระงั้นหรอครับ?”
“ใช่ เพียงแต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นผู้ใช้อักขระได้นะ เจ้าจะต้องมีความรู้และความเข้าใจในการเรียนภาษาอยู่พอสมควร เจ้าถึงจะเป็นผู้ใช้อักขระได้ และท่านผู้นั้นก็ได้ทำการทดสอบเจ้าผ่านหนังสือที่เจ้าพกติดตัวมาด้วยนั่นละ”
ดยุกเชสเตอร์ได้อธิบายถึงเรื่องของผู้ถูกเลือกที่เสียงในหัวของผมพูดถึงเมื่อตอนที่ผมเจอปีศาจ ดูเหมือนว่าการที่ผมสามารถอ่านหนังสือเล่มนั้นได้ก็เท่ากับว่าผมมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นผู้ใช้อักขระได้
และการที่เธอรู้ว่าผมสามารถเป็นผู้ใช้อักขระได้นั้นคงเป็นเพราะ...
“อักษรโบราณที่ปรากฏขึ้นในหนังสือนั่น เหมือนกับตัวอักษรที่เจ้าเคยเจอบนโลกของเจ้างั้นรึ?”
“ใช่ครับ อีกอย่าง... หนังสือเล่มนั้นก็เกี่ยวกับนิทานปรัมปราเรื่องหนึ่งที่เล่าถึงผู้ใช้อักขระอีกด้วย แต่ว่าตอนนี้ข้ายังอ่านหนังสือเล่มนั้นไม่จบหรอกนะ”
ถ้าจะให้บอกว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญก็คงจะไม่ใช่ เพราะถ้าหากโลกนี้มีอารยธรรมในอดีตกาลที่คล้ายคลึงกับโลกที่ผมเคยอยู่ละก็ ในตอนนี้โลกนี้คงจะพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้แล้ว
แต่ว่าในตอนนี้ถ้าให้เปรียบเทียบกับอารยธรรมบนโลกของผมละก็ โลกใบนี้ยังอยู่ในยุคกลางอยู่เลย หรือบางทีถ้าผมอ่านนิทานปรัมปราที่อยู่ในหนังสือเล่มนั้นจบ ผมอาจจะได้รู้อะไรบางอย่างที่ถูกเก็บซ่อนจากคนทั้งโลกใบนี้ก็เป็นได้
เพราะถ้าหากย้อนไปในตอนที่เสียงในหัวของผมพูดคุยกับผมนั้น เธอบอกว่าเราจะได้เจอกันในตอนที่ความลับที่ถูกบิดเบือนของโลกใบนี้ถึงเวลาที่จะถูกเปิดเผย
...
“ว่าแต่ท่านดยุก ท่านบอกว่าท่านทิ้งอุปกรณ์ทั้งหมดที่ข้าพกติดตัวไว้ไปจนหมดใช่หรือไม่?”
“ใช่ ยกเว้นหนังสือกับผ้าสีดำผืนหนึ่งที่ข้าสัมผัสได้ถึงเวทอักขระอยู่น่ะนะ”
จะว่าไปแล้ว ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันที่ดยุกเชสเตอร์สามารถจับสัมผัสได้ถึงพลังเว้ทในการใช้อักขระ เพราะถ้าเป็นไปตามนิทานปรัมปราที่ผมอ่านละก็ เวทอักขระได้หายสาบสูญไปประมาณห้าร้อยปีแล้วนะ
แล้วทำไม—
“เจ้าคงสงสัยสินะว่าทำไมข้าถึงสามารถสัมผัสได้ถึงเวทอักขระได้น่ะ?”
เหมือนว่าเขาคงจะรู้ว่าผมสงสัยตัวเขาในเรื่องนี้ ดยุกเชสเตอร์ได้ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะพูดคลายความสงสัยของผม
“ผู้นำตระกูลคนแรกของเราได้รับการช่วยเหลือจากท่านผู้นั้นเมื่อเขายังอยู่ในวัยเยาว์ เธอคอยปกป้องและสั่งสอนวิชาดาบให้แก่ผู้นำตระกูลเป็นเวลาสิบปี แน่นอนว่าเธอสอนให้เขาใช้เวทอักขระอีกด้วย”
ผมฟังดยุกเชสเตอร์ที่กำลังเล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมาของตระกูลของเขาที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเจ้าของเสียงที่ดังขึ้นมาในหัวของผมในตอนที่ผมสู้อยู่กับปีศาจ
ดูเหมือนว่าในตอนแรกเธออยากจะให้ตระกูลเชสเตอร์กลายเป็นผู้สืบทอดเวทอักขระที่หายสาบสูญไปบนโลกใบนี้ แต่ด้วยความรู้ความสามารถในการเข้าใจในด้านภาษา และมุมมองต่างๆ ที่ต้องใช้ในการเรียนเวทอักขระของผู้นำตระกูลนั้นจะไม่มีความเหมาะสมพอที่จะเป็นผู้ใช้อักขระ ดังนั้นแล้วเธอจึงสอนให้เขารับรู้และสัมผัสได้ถึงการใช้เวทอักขระได้เท่านั้น
“มีเพียงแต่วิชาดาบและด้านอื่นๆ ที่ผู้นำตระกูลของเราพอที่จะสามารถนำมาสืบทอดต่อได้ ดังนั้นแล้วเธอจึงฝากฝังให้พวกเราตระกูลเชสเตอร์นั้นคอยดูแลและสนับสนุนผู้ที่ถูกเธอเลือกในภายภาคหน้า”
สุดท้ายแล้วตระกูลเชสเตอร์ก็ไม่สามารถใช้เวทอักขระได้ แต่พวกเขาได้สืบทอดการรับรู้และสัมผัสได้ถึงการใช้เวทอักขระ ซึ่งการจะรับรู้เวทอักขระได้นั้นก็จำเป็นต้องมีผู้ใช้อักขระสำแดงพลังของพวกเขาให้ได้เห็นด้วย
“อา... ในชั้นใต้ดินของปราสาทเรามีห้องแห่งหนึ่งที่ถูกสลักด้วยอักขระด้วยน่ะ เพียงแค่ส่งพลังเวทเข้าไปภายในอักขระที่อยู่ในห้องนั้น เจ้าก็จะสามารถสัมผัสได้ถึงเวทอักขระน่ะ”
“สรุปแล้ว ผู้ใช้อักขระคือคนที่สามารถเข้าใจภาษาและอักขระโบราณบนโลกนี้ได้ จนถึงขั้นที่สามารถใช้พลังเวทในการใช้เวทอักขระได้สินะครับ”
“เจ้าเข้าใจถูกแล้วละ หากมีความเข้าใจเพียงผิวเผิน เจ้าก็จะไม่สามารถใช้เวทอักขระได้ เจ้าที่สามารถใช้ได้นั้นคงจะมีความเข้าใจในด้านภาษาอันลึกซึ้งอยู่พอสมควรสินะ”
ในความจริงแล้วผมรู้สึกว่าคำอธิบายที่ดยุกเชสเตอร์พูดถึงเกี่ยวกับผู้ใช้อักขระนั้นมันช่างดูกำกวมและสับสนเสียเหลือเกิน ถ้าหากใช้เพียงความเข้าใจอันลึกซึ้งในด้านภาษละก็ พวกนักวิชาการเกี่ยวกับด้านตัวอักษรและด้านภาษาที่อยู่บนโลกนี้นั้นก็น่าจะใช้เวทอักขระได้กว่าตัวผมในตอนนี้แน่นอน
แล้วทำไมผมที่ไม่ได้มีความเข้าใจในด้านภาษาบนโลกใบนี้อย่างลึกซึ้งนั้นถึงใช้เวทอักขระได้
หรือว่า...
“มุมมองงั้นหรอ?”
“เจ้าว่าอะไรนะ?”
“เปล่าครับ ข้าแค่กำลังเรียบเรียงคำอธิบายของท่านดยุกอยู่น่ะครับ”
ผมตอบกลับดยุกเชสเตอร์ที่ได้ยินผมพูดพึมพำกับตัวเองไปอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร ตั้งแต่แรกแล้วที่ผมรู้สึกว่าคำอธิบายเกี่ยวกับผู้ใช้อักขระนั้นมันช่างกำกวมเสียเหลือเกิน เว้นแต่ว่ามีอยู่คำพูดหนึ่งที่ทำให้ผมได้ฉุกคิดและนำคำเหล่านั้นไปเชื่อมโยงกับนิทานปรัมปราอยู่ในหนังสือเล่มนั้น
มุมมอง... อักษรที่ต้องใช้การสัมผัสในการอ่าน... รวมถึงนิทานที่ซ่อนปริศนาต่างไว้ในเรื่องเล่า...
อา... ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงไม่มีผู้ใช้อักขระได้จนถึงปัจจุบันนี้
ปริศนาที่ถูกซ่อนในนิทานปรัมปรานั้นได้ถูกเฉลยออกมาอย่างช้าๆ เมื่อคุณได้อ่านมันต่อไปเรื่อยๆ นั่นจึงทำให้ผมที่ไม่เคยคิดว่าหนังสือเล่มเก่าๆ ที่ผมเจอโดยบังเอิญนั้นกลับอ่านมันได้โดยไม่มีทางเบื่อ แถมมุมมองที่ได้จากการอ่านนิทานผ่านการสัมผัสตัวอักษรนั้นก็ได้มุมมองอีกแบบ อย่างที่การตัวอักษรผ่านดวงตานั้นไม่สามารถทำได้
สุดท้ายแล้ว... จุดจบของนิทานปรัมปราที่จะทิ้งคำใบ้ไว้ให้ผมที่เป็นผู้อ่านจนจบ คงจะเป็นสิ่งที่เธอคนนั้นต้องการจะให้ผมรู้สินะ
...
“ท่านดยุกเชสเตอร์ ท่านผู้นั้นได้พูดอะไรทิ้งท้ายไว้กับผู้นำตระกูลคนแรกนอกจากการดูแลและสนับสนุนผู้ถูกเลือกเช่นข้าไว้หรือไม่?”
“อา... ถ้าคิดดูแล้วเหมือนเธอจะพูดประโยคหนึ่งทิ้งท้ายไว้หลังจากที่เธอได้ออกเดินทางไปน่ะ”
ดยุกเชสเตอร์พูดประโยคที่เธอได้ทิ้งท้ายไว้ให้ผมได้ฟัง ก่อนที่เขาจะหัวเราะออกมาเล็กน้อย
“ถ้าจำไม่ผิดจากคำบอกเล่าของท่านพ่อของข้าละก็ ในตอนนั้นผู้นำตระกูลเรารั้งขาเธอไว้ไม่ให้ไปไหนด้วยละ”
ดูเหมือนว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครสามารถรั้งเธอคนนั้นไว้ได้สินะ เพียงเพราะพวกเขาไม่ได้สลักสำคัญอะไรต่อชีวิตของเธอนัก เธอจึงต้องก้าวเดินต่อไปยังข้างหน้า ด้วยความหวังและความโลภอย่างแรงกล้าที่เธอต้องการที่จะทำมันให้สำเร็จ
เฉกเช่นเดียวกับตัวผมที่ต้องการจะเจอคุณหนูของผมอีกครั้ง เพียงอีกแค่ครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย...
หลังจากนั้นเรื่องอื่นจะดำเนินต่อไปอย่างไร ตัวเราในอนาคตที่ไม่มีความโลภที่คิดว่าไม่อาจเอื้อมถึงได้นั้นฉุดรั้งไว้แล้ว
คงจะเป็นคนตัดสินว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปบนโลกใบนี้ที่ไม่อาจได้พบเจอคนสำคัญแล้วสินะ...
ความคิดเห็น