คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ตอนที่ 11 ตัวอุปสรรค
ตอนที่ 11
ตัวอุปสรรค
อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ พวกเราเดินทางมาเป็นเวลาห้าวันเต็มนั้นก็ใกล้จะถึงจุดหมายของพวกเราเต็มทีแล้ว แต่ว่าในตอนนี้พวกเราคงต้องพักเอาแรงเสียก่อน
“หนังสือเล่มนี้มีอะไรน่าสนใจงั้นรึ? ข้าเห็นเจ้าอ่านมันอยู่ตลอดเวลาเลย”
ซีคฮาร์ทที่กำลังนั่งคุยกับโนอาห์เมื่อครู่นั้นได้ถามผมขึ้น เมื่อเห็นว่าผมกำลังอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมพกไว้ติดตัวมาตลอดในการเดินทางครั้งนี้
“อา… ข้าแค่อ่านฆ่าเวลาให้ผ่านไปก็เท่านั้นละครับ”
ผมตอบกลับอย่างไม่ได้สนใจหรือใส่ใจปฏิกิริยาตอบสนองของซีคฮาร์ทในตอนนี้สักเท่าไหร่ เนื่องจากในตอนนี้เป็นเวลาพักระหว่างการเดินทางที่มีน้อยนิด แถมยังเป็นกะของแซมที่คอยเฝ้าระวังให้อีก ดังนั้นแล้วผมควรใช้เวลานี้ในการพักผ่อนร่างกายและผ่อนคลายตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“แต่ว่าหนังสือเล่มนี้มันไม่มีตัวอักษรปรากฏให้เห็นเลยนี่ แล้วเจ้าอ่านมันได้อย่างไร?”
ซีคฮาร์ทยังคงถามผมด้วยความสงสัยใคร่รู้ทำให้โนอาห์ที่กำลังฟังพวกเราสนทนากันอยู่นั้นรู้สึกสนอกสนใจหนังสือที่ผมกำลังอ่านเข้าให้
“อืม… เหมือนว่าเป็นการสลักตัวอักษรลงบนกระดาษเลยนะครับ”
“สลักอักษร?”
เหมือนโนอาห์จะเห็นอักษรที่ถูกสลักลงบนแผ่นกระดาษแต่ละหน้าของหนังสืออยู่จางๆ ซีคฮาร์ทที่ไม่ทันได้สังเกตในทีแรกจึงพยายามมองไปที่แผ่นกระดาษของหนังสือที่ผมกำลังอ่านอยู่ จนในที่สุดเขาก็ได้เห็นร่องรอยของการสลักอักษรเหมือนที่โนอาห์ได้พูดขึ้นเมื่อครู่นี้
“จริงด้วย แต่ว่าการทำเช่นนี้จะไม่ทำให้การอ่านมันยากขึ้นหรอกรึ?”
“นั่นสิะ ตั้งแต่คืนแรกจนถึงตอนนี้ ข้ายังไม่เห็นแอลถอดหน้ากากออกในขณะที่เจ้ากำลังอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่เลยสักครั้ง หรือว่าหน้ากากของเจ้าจะวิเศษกว่าหน้ากากอื่น?”
จู่ๆ เด็กทั้งสองคนก็เริ่มยิงคำถามใส่ผมเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะสังเกตตัวผมอยู่พอควรในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ ทั้งๆ ที่ในตอนนี้มันควรจะเป็นเวลาที่ผมได้อ่านหนังสือและพักผ่อนอย่างสบายใจแท้ๆ
“ข้า… ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าแอลที่ใส่หน้ากากที่ไม่รูระบายสักที่ทำไมยังคงมองเห็นและหายใจได้เหมือนปกติแบบนี้ ถ้าเป็นข้าคงรู้สึกอึดอัดน่าดูที่จะต้องใส่มันตลอดการเดินทางเช่นนี้”
แซมที่กำลังเฝ้าระวังให้พวกเราอยู่นั้นพูดขึ้นอีกคน ทุกคนในที่แห่งนี้คงจะสงสัยกันสินะว่าผมที่ใส่หน้ากากที่ไม่มีรูให้เห็นตรงไหนสักที่ตลอดเวลาการเดินทางนี้ ทำไมยังคงมองเห็นและหายใจได้แบบสบายๆ เหมือนปกติได้
คำตอบน่ะมันง่ายมาก ก็เพียงแค่ตัวผมทั้งในชีวิตนี้และชีวิตก่อนนั้น…
“ข้าแค่ชินกับการอยู่แบบนี้ไปแล้วละ”
“…”
ไม่มีการตอบกลับจากคนทั้งสามที่กำลังรอฟังคำตอบของผมอย่างใจจดใจจ่อ สีหน้าของพวกเขาที่ดูคาดหวังเมื่อครู่นี้นั้นเริ่มเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะมีเพียงซีคฮาร์ทที่พ่นลมหายใจของเขาออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
“นี่ เวลาแบบนี้เจ้าไม่ควรตอบว่าชินแล้วสิ ไม่งั้นพวกเราที่สงสัยตัวเจ้ามาตลอด จะรอโอกาสแบบนี้ในการถามในสิ่งที่พวกเราสงสัยในตัวเจ้าทำไมละ?”
ซีคฮาร์ทพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย เขามองมาที่ผมที่ยังคงดูไม่สนใจจะให้คำตอบพวกเขาอย่างละเอียดก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ผมมองทั้งสามที่ดูจะไม่สนใจในตัวของผมแล้วอย่างไม่ใส่ใจอะไรก่อนที่จะกลับมาอ่านหนังสือที่อยู่ในมือของผมต่อ
หากคนที่เคยมองเห็นมาตลอดทั้งชีวิตเกิดอุบัติเหตุหรืออุปสรรคที่ทำให้สายตาของพวกเขามองไม่เห็นขึ้น พวกเขาจะทำอย่างไร? แน่นอนว่าในตอนแรกพวกเขาเหล่านั้นคงจะรู้สึกสิ้นหวังน่าดูถ้าได้รู้ว่าตัวเองอาจจะกลับไปมองเห็นเหมือนแต่ก่อนไม่ได้แล้ว
แต่ใช่ว่าการสูญเสียการมองเห็นไปนั้นจะทำให้ชีวิตของคนเราดำเนินต่อไปไม่ได้
และในเมื่อมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมและความเป็นอยู่ของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นแล้วพวกเขาก็มีวิธีที่จะข้ามผ่านอุปสรรคเล็กๆ อย่างการสูญเสียการมองเห็นไปได้อยู่แล้ว
ผมใช้ปลายนิ้วที่ยังคงเปลือยเปล่าของผมสัมผัสไปที่ร่องรอยของตัวอักษรที่ถูกสลักลงบนกระดาษแต่ละหน้าของหนังสือเล่มนี้อย่างแผ่วเบา ตัวหนังสือที่แม้แต่ตาเปล่าของมนุษย์แทบจะมองไม่เห็นนั้นได้ถูกสัมผัสที่ปลายนิ้วของผมอ่านอย่างกระจ่างจนเรียกได้ว่าเหมือนกับว่าผมกำลังมองเห็นตัวหนังสืออยู่
นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้ใช้สัมผัสที่ปลายนิ้วในการอ่านหนังสือ?
‘ลุดวิก! ดูนี่สิ! ฉันทั้งอ่านและเขียนตัวหนังสือได้โดยที่ไม่ต้องมองเห็นได้ด้วยละ!’
น้ำเสียงอันร่าเริงใสแจ๋วของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในความทรงจำของผมมาตลอดนั้น ได้ดังขึ้นมาตลอดเวลาที่ผมได้เริ่มอันหนังสือเล่มนี้ทุกครั้ง แม้ว่าผมและเธอจะไม่ได้อยู่บนโลกใบเดียวกันแล้ว แต่ทุกนาทีที่ผมเคยได้ใช้ร่วมกับเธอคนนั้นช่างมีค่าจนผมที่ไม่เคยเก็บช่วงเวลาใดๆ ของชีวิตไว้ในความทรงจำของตัวเองนั้น…
ได้เก็บเธอไว้และไม่อยากที่จะลืมเลือนช่วงเวลาเหล่านั้นที่ได้ใช้ร่วมกับเธอ
“อืม… เหมือนว่าเจ้าจะใช้วิธีสัมผัสตัวอักษรในการอ่านหนังสือเล่มนี้สินะ”
ซีคฮาร์ทพูดขึ้นเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าผมกำลังสัมผัสตัวอักษรแต่ละตัวอย่างแผ่วเบา ผมไม่ได้รู้สึกตกใจแต่อย่างใดที่ซีคฮาร์ทสังเกตเห็นว่าผมอ่านหนังสือเล่มนี้ได้อย่างไร เพียงแต่ตอนนี้ผมอยากจะใช้เวลาที่มีเพียงน้อยนิดนี่การรำลึกถึงเด็กผู้หญิงที่อยู่ในความทรงจำของผมคนนั้น
‘ลุดวิก ถ้าหากฉันกลับไปมองเห็นไม่ได้ละก็ ฉันอยากให้นายใช้ดวงตาของนายในการมองโลกใบนี้แทนฉันทีนะ’
ใบหน้าอันสดใสที่มีรอยยิ้มอันอ่อนหวานของเธอนั้นยังทำให้ผมจำได้ไม่มีวันลืมเลือน แม้ในวันแรกที่เราจะได้เจอกันนั้นมันจะไม่เป็นใจกับเราสองคนสักเท่าไหร่ แต่เมื่อได้ใช้เวลาทำความรู้จักซึ่งกันและกันไม่นานนัก มันก็ทำให้ผมที่ไม่เคยคิดว่าชีวิตของตัวเองจะมีควมรู้สึกที่อยากอุทิศตนให้กับใครสักคนนั้น
มาถึงจุดๆ ที่สามารถยอมแลกทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้เธอที่สูญเสียการมองเห็นได้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนั้นได้อย่างมีความสุข
‘ถ้าหากฉันในตอนนี้มองเห็นใบหน้าของลุดวิกได้ละก็ มันคงจะดีไม่น้อยเลยละ’
…
“ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากจะกลับไปดูแลคุณหนูเหมือนเดิมให้ได้เหมือนกันครับ…”
ผมพูดพึมพำกับตัวเองเล็กน้อยก่อนที่จะเปลี่ยนหน้าหนังสือเพื่ออ่านเนื้อหาถัดไป ถึงแม้ว่าในตอนแรกที่เปิดหนังสือเล่มนี้จะตกใจอยู่เล็กน้อยว่ามันไม่มีตัวอักษรเขียนให้เห็นเลยสักนิด แต่พอใช้ปลายนิ้วสัมผัสเข้าก้รู้ได้ว่าหนังสือเล่มนี้ทำมาเพื่อคนแบบคุณหนู
แม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่ยังคงสัมผัสและรับรู้ถึงเนื้อหาที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ได้
“เหมือนว่าเจ้า… แอล หรือว่าเจ้าตาบอดอย่างนั้นรึ?”
จู่ๆ ซีคฮาร์ทที่กำลังมองมาที่ผมอยู่ตลอดเวลาที่ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ได้พูดบางอย่างที่ทำให้อีกสองคนที่ไม่ได้สนใจในตัวผมตกใจขึ้น ผมส่ายหัวของตัวเองเล็กน้อยเป็นการปฏิเสธข้อสงสัยที่เขาสันนิษฐานขึ้นในขณะที่กำลังสังเกตตัวผมอยู่ในตอนนี้
ผมปิดหนังสือเล่มนี้ลงอย่างแผ่วเบา ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเล็กน้อย สุดท้ายแล้วก็ต้องบอกเจ้าพวกนี้ไปหรือว่าผมมองเห็นได้อย่างไรในขณะที่มีสภาพแบบนี้
ถ้าให้ตอบตามตรงนอกจากความเคยชินแล้ว มันคงเป็นความพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะเข้าใจใครสักคนที่มองเห็นโลกเป็นสีดำสนิททั้งหมดในสายตาของพวกเขา ยังไงซะ… ถ้าหากเราไม่ลองมองในมุมมองของคนที่เราอยากทำความเข้าใจให้ดีและเข้าใจเขาอย่างถ่องแท้ละก็
เราก็จะไม่มีวันที่จะสามารถเข้าใจและเปิดใจของคนคนนั้นได้หรอก
“เหมือนว่าจะมีแรงพอที่จะเดินทางต่อไปกันแล้วสินะครับ”
“…”
“ถ้างั้นพวกเราก็รีบออกเดินทางกันต่อเถอะครับ”
ไม่รู้ว่าทำไมทุกคนในที่แห่งนี้ถึงดูอยากจะรู้เรื่องของผมที่เป็นเพียงทหารรับจ้างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของพวกเขาเพียงชั่วครู่ขนาดนี้ แต่สำหรับผมแล้วพวกเขาเป็นเพียงแค่คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต โดยที่พวกเขามีความสำคัญเพียงแค่ส่วนหนึ่งที่อาจทำให้ชีวิตของผมที่อยู่บนโลกนี้ล่มจมหรืออยู่รอดก็เพียงเท่านั้น
ยังไงซะ รีเอตต้าก็ดูจะสำคัญกว่าพวกเขาที่อยู่ในที่แห่งนี้เป็นไหนๆ
“นั่นสินะ อีกไม่กี่ชั่วโมงพวกเราก็จะถึงจุดหมายแล้วสินะ”
ซีคฮาร์ทพูดขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นยืนจากพื้นหิมะอย่างรวดเร็ว โนอาห์ที่เห็นว่าซีคฮาร์ทไม่ได้สนใจที่จะถามหรือสงสัยอะไรในตัวผมต่อนั้นก็ได้แต่ส่ายหัวของเขาและลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทาง
ส่วนแซมที่รู้ว่ายังไงผมคงไม่ตอบอะไรพวกเขาไปมากกว่านี้แล้วนั้นได้แต่ทำหน้าที่ในการเดินนำทางครั้งนี้ของเขาต่อ ผมรู้ว่าตัวเองในตอนนี้กำลังทำให้บรรยากาศในการเดินทางต่ออึดอัดขึ้น แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของผมหรอกนะที่ไม่อยากจะตอบคำถามพวกเขา
แต่ยังไงซะ… ผมก็ควรขีดเส้นตัวเองให้พวกเขาได้รู้ว่าในตอนนี้สิ่งที่พวกเขาควรจะให้ความสำคัญมากที่สุดคือตัวของพวกเขาเอง การที่พวกเขาเริ่มผ่อนคลายและคุ้นชินกับการเดินทางในตอนนี้เป็นเรื่องที่ดี แต่พวกเขาก็ไม่ควรจะลืมว่าหลังจากจบการเดินทางครั้งนี้ไปแล้ว
พวกเราก็เป็นได้เพียงคนแปลกหน้าต่อกันเท่านั้น
“แซม ถ้าหากพบเจออะไรที่ผิดปกติในเส้นทางที่เจ้ากำลังนำทางอยู่นั้น ให้บอกข้าด้วยนะ”
ผมพูดกับแซมอย่างเคร่งเครียดก่อนที่แซมจะทำเพียงแค่พยักหน้าของเขาและนำทางต่อ
แซมที่เป็นอัศวินของเคานต์รีอัสก็ควรกลับไปทำหน้าที่ของเขาในอาณาเขตที่เจ้านายของปกครองอยู่อย่างเดิมหลังจากจบการเดินทางครั้งนี้ ส่วนเด็กทั้งสองคนที่มาจากจักรวรรดิบาร์นาบัสอย่างโนอาห์และซีคฮาร์ทก็ควรจะลืมเรื่องในการเดินทางครั้งนี้และกลับไปใช้ชีวิตของพวกเขาอย่างที่ควรจะเป็น หรือถ้าหากพวกเขาต้องการที่จะลงโทษเคานต์รีอัสและก่อสงครามระหว่างสองดินแดนนี้ขึ้น
ผมก็คงไม่มีอะไรที่จะไปว่าพวกเขาที่มีสิทธิ์เหล่านั้นในตัวของพวกเขาอยู่แล้ว
ส่วนผมที่เป็นเพียงแค่ทหารรับจ้างธรรมดาๆ คนหนึ่งที่พอถึงเวลากลับไปที่อาณาเขตรีอัสแล้ว อาจจะต้องย้ายถิ่นฐานของตัวเองไปที่อื่น เพื่อหลบเลี่ยงจากเคานต์รีอัสที่มีความผิดในการดูแลการเดินทางของแขกผู้มาจากจักรวรรดิทั้งสองนั้น…
บางทีในตอนนี้ ผมควรจะคิดเรื่องการย้ายไปอยู่ทวีปตะวันออกมากกว่าการได้รับค่าจ้างจากเคานต์รีอัสมากกว่าซะด้วยซ้ำ
…
ในขณะที่ผมกำลังคิดว่าตัวเองจะทำอะไรต่อดีหลังจากกลับไปหารีเอตต้าได้หลังจากจบการเดินทางครั้งนี้ จู่ๆ สายตาที่ผมสัมผัสได้ตั้งแต่ในคืนวันนั้นก็ทำให้ร่างกายของผมขนลุกซู่ขึ้นมา
แรงอาฆาตที่ไม่เคยถูกปล่อยออกมาเลยสักครั้งตลอดระยะเวลาที่เดินทางมานั่น…
“แซม”
ผมเรียกชื่อของแซมอย่างเรียบนิ่ง ก่อนที่จะชักดาบออกมาจากฝักอย่างรวดเร็วเพื่อตั้งรับศัตรูที่น่าจะเข้ามาโจมตีพวกเราในไม่ช้านี้ขึ้น
"มีอะไร— แอล?"
แซมที่หันหลังมามองผมตามเสียงของผมนั้นได้ทำหน้าสับสนขึ้น เมื่อเขาเห็นว่าผมชักดาบออกมา ซึ่งโนอาห์และซีคฮาร์ทที่หันหลังมามองผมตามเสียงของผมนั้นก็กำลังทำสีหน้าที่สับสนเป็นอย่างมากอยู่เช่นกัน
“ข้าว่าในตอนนี้พวกเราคงจะต้องทำหน้าที่ที่พวกเราได้รับมาจริงๆ ตั้งแต่แรกในการเดินทางครั้งนี้แล้วละ”
ผมพูดพร้อมกับส่งสัญญาณมือที่ผมเคยได้ตกลงกับแซมไว้ในระหว่างการเดินทาง หากผมทำสัญญาณมือนี้ขึ้นมาให้แซมได้เห็นตอนไหนละก็…
"วิ่ง!"
แซมต้องพาเด็กสองคนนี้วิ่งหนีไป โดยที่พวกเขาต้องไม่หันหลังกลับมามองผมที่ให้สัญญาณมือนี้เลยสักครั้ง
"เจ้าจะทำอะไรน่ะแซม!?"
โนอาห์ที่ตกใจแรงดึงแขนของเขาจากแซมตะโกนขึ้น ซีคฮาร์ทที่ไม่ได้โดนดึงแขนเหมือนที่โนอาห์กำลังโดนนั้นเบิกตาของเขากว้างขึ้น
แม้ว่าจะเป็นการเดินทางที่ไม่ราบรื่นสักเท่าไหร่ แต่ซีคฮาร์ทคงจะรู้ดีว่าที่ผมต้องทำแบบนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อให้พวกเขาตกใจเล่นๆ
"หรือว่าเจ้าจะ—"
ไม่ทันที่ผมจะได้ยินในสิ่งที่ซีคฮาร์ทกำลังพูดออกมานั้น เจ้าสิ่งแปลกปลอม ‘อีกตัวหนึ่ง’ ที่อยู่บนโลกใบนี้นอกจากตัวผมนั้นก็ได้เผยตัวตนของเขาให้พวกเราได้เห็น
แม้ว่าผมสัมผัสได้ว่ามันไม่ใช่สายตาของสัตว์ป่าหรือมอนสเตอร์ก็ตาม แต่ผมก็ไม่นึกว่ามันจะไม่ใช่ ‘มนุษย์’ อย่างที่ผมไม่เคยได้คิดไว้
อา… เกือบลืมไปเลยว่าบนโลกนี้มีเจ้าสิ่งนี้อยู่
"อืม… เป็นเจ้าสินะที่สัมผัสได้ถึงข้าตลอดเวลาที่พวกเจ้ากำลังเดินทางน่ะ?"
เสียงของมันที่ฟังยังไงก็แทบจะไม่ใช่สำเนียงที่มนุษย์พูดนั้นดูเหมือนกำลังจะครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในชั่วขณะหนึ่ง
"แปลก… แปลกจริงๆ ที่เจ้าสัมผัสได้ถึงข้าตลอด ทั้งๆ ที่เจ้าไม่ใช่ ‘ผู้ใช้อักขระ’ บนโลกใบนี้"
ผู้ใช้อักขระ? อะไรกัน…
นี่มันกำลังจะสื่อถึงอะไรกันแน่?
ผมที่พยายามข่มความรู้สึกหวาดกลัวและสัญชาตญาณของตัวเองที่กำลังบอกให้ร่างกายของตนวิ่งหนีออกไปจากเจ้าตัวประหลาดนี่ให้ไกลที่สุด ได้แต่พยายามเพ่งสมาธิที่เหลือทั้งหมดจดจ่อกับเจ้าตัวประหลาดนี่
ถ้าหากมันขยับเพียงนิดเดียว… ผมจะฆ่ามัน…
"แหม่~ ไม่ต้องมองข้าด้วยสายตาที่น่ากลัวขนาดนั้นก็ได้ ข้าแค่อยากมาทักทายผู้ที่ครอบครอง ‘ดวงตาแห่งความจริง’ ที่รอดไปจากเงื้อมมือของข้าได้ก็เท่านั้น"
ดวงตาแห่งความจริง? ทำไมเจ้าตัวประหลาดที่อยู่ข้างหน้านี่ชอบพูดอะไรที่ผมไม่เคยได้ยินมาจากในเกมหรือที่ผมไม่เข้าใจเลยสักคำเลยนะ?
เจ้าตัวประหลาดที่อยู่ข้างหน้าผมได้ก้าวเท้าของมันออกมาอย่างเชื่องช้าในแต่ละก้าว ถึงแม้ว่ามันจะเชื่องช้าสักแค่ไหน แต่มันก็กำลังเดินเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ ผมที่พยายามตั้งสติและรับมือกับการต่อสู้ที่กำลังเกิดขึ้นในไม่ช้านี้นั้นได้นึกอะไรบางอย่างออกขึ้น
คำพูดของเหล่าทหารรับจ้างที่กำลังพูดถึงสงครามที่กำลังเกิดขึ้นในตอนเหนือของอาณาจักรอัลซีเรียได้เวียนเข้ามาอยู่ในหัวผมอีกรอบ
ผมหัวเราะออกมาทันทีที่ผมนึกถึงคำพูดเหล่านั้นของพวกเขาออก ก่อนที่ตั้งสมาธิกับเจ้าตัวประหลาดตรงหน้าผม
ไม่สิ… คงต้องเรียกมันว่า…
“เจ้าคงเป็น… ปีศาจที่พวกเผ่าทางเหนือเรียกออกมาสินะ?”
ผมถามปีศาจตรงหน้าผมอย่างไม่เกรงกลัวอะไรอีกต่อไป เพราะยังไงซะอีกไม่กี่นาทีครั้งหน้านี้คงะเป็นตัวตัดสินแล้วได้ว่าผมจะรอดหรือผมจะตาย เมื่อพวกเราได้ประมือกัน
ปีศาจตัวข้างหน้าผมที่ได้ยินคำถามของผมนั้นหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งก่อนที่จะตอบผมกลับในขณะที่มันกำลังกลั้นอารมณ์ขันของมันอย่างสุดกำลัง
“อา… นั่นสินะ… ไม่ว่าจะโลกไหนก็ยังเรียกสิ่งมีชีวิตอย่างพวกเราว่า ‘ปีศาจ’ สินะ”
“…”
“มันก็ไม่ผิดหรอกนะที่จะเรียกพวกเราว่าปีศาจ แต่ว่า—”
ผมไม่รอที่จะให้ปีศาจตรงหน้าผมพูดต่อและเข้าโจมตีมันอย่างรวดเร็วในทันทีที่ผมเห็นจังหวะในการโจมตี ปีศาจตรงหน้ารับการโจมตีของผมได้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่มันจะเอ่ยปากของมันขึ้นอีกครั้ง
“อืม… ทำไมพวกมนุษย์ตัวอันตรายทั้งหลายถึงไม่ชอบฟังที่พวกเราจะพูดให้จบก่อนเลยนะ? เสียมารยาทกันจริงๆ”
“…”
“คมดาบที่เจ้าหันมาทางข้าอย่างรวดเร็วและรุนแรงนั้นมันช่างงดงามจนทำให้ข้าคนนี้อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชมเจ้าเลยละ”
มันยังคงพูดต่อในขณะที่มันกำลังต้านการโจมตีของผมอยู่ ผมพยายามโจมตีอย่างระมัดระวังไปที่ช่องโหว่ของมันที่ผมสัมผัสถึงได้ แต่เจ้าปีศาจตรงหน้าก็ดันรับและต้านการโจมตีของผมทั้งหมดไว้ได้ทุกครั้ง จนมันทำให้สัญชาตญาณของผมร้องเตือนว่าผมควรจะกลับไปตั้งหลักใหม่เสียก่อนในตอนนี้
“โอ้… สัญชาตญาณร้องเตือนให้เจ้าระมัดระวังข้าหรือนี่?”
“…”
“ทำไมคนพวกนี้ถึงไม่ชอบตอบกลับเวลาคนอื่นเขาถามกลับกันนะ? หรือว่าพวกเจ้าจะไม่อยากมีปากไว้พูดกันละ?”
มันยังคงพูดกับตัวเองไปมาอยู่หลายนาที จนกระทั่งสายตาของมันได้สังเกตเห็นบางอย่างบนตัวของผม ก่อนที่อารมณ์ของมันจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือในทันทีที่มันได้เห็นหรือสัมผัสอะไรบางอย่างได้จากตัวผม
"หนังสือกับผ้าสีดำ… สองสิ่งนั้นมันไม่ควรจะ— เจ้า…"
จู่ๆ ปีศาจตรงหน้าของผมก็เริ่มมีอาการที่คลุ้มคลั่งขึ้น มันหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เต็มไปด้วยแรงอาฆาตและความโหดร้ายที่มันจะปล่อยออกมาในการโจมตีครั้งถัดไป ถ้าผมเข้าไปโจมตีมันอีกครั้งละก็—
"เจ้าคือคนที่ยัยฆาตกรเลือกงั้นรึ?"
สิ้นประโยคที่เจ้าปีศาจตรงหน้าผมได้พูดออกมาโดยที่ผมไม่เข้าใจและไม่รู้เรื่องอะไรนั้น จู่ๆ ร่างกายของผมที่ควรจะขยับไปข้างหน้าเพื่อต้านทานการโจมตีกลับของมัน
ดันถอยหลังกลับไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่รู้ตัว
ฉึก!
ไม่ทันที่ร่างกายหรือจิตใจของผมที่กำลังจดจ่อกับปีศาจตรงหน้าผมจะได้รู้สึกอะไร จู่ๆ เสียงที่เหมือนกำลังถูกอะไรทิ่มแทงเข้าอย่างจังเมื่อครู่นั้นก็ได้ดังขึ้น แต่มันเหมือนกับว่าเป็นเสียงที่ตัวผมพึ่งได้ยิน
ทั้งๆ ที่มันเกิดขึ้นไปแล้ว
สัมผัสอันเจ็บปวดรวดร้าวที่กำลังแผ่ซ่านเข้ามาในดวงตาทั้งสองของผมนั้นทำให้ผมที่รู้สึกตัวช้านั้นได้ตระหนักขึ้นในทันที ของเหลวสีแดงฉานที่กำลังไหลออกมาผ่านดวงตาทั้งสองของผมนั้นได้สัมผัสเข้ากับผิวหน้าของผม ในขณะที่หน้ากากสีขาวทึบที่กำลังบดบังใบหน้าของผมอยู่ในตอนนี้ได้แตกเป็นเสี่ยงๆ ลง
เส้นประสาทที่พึ่งตอบสนองให้ร่างกายได้รับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดจากการโดนโจมตีนั้นพึ่งเริ่มทำงานหลังจากที่จิตใจของผมได้ตระหนักว่าเราได้โดนโจมตีเข้าแล้วนั้น ทำให้ผมที่ต้องรับทุกอย่างที่ร่างกายและจิตใจรู้สึกในเวลาเดียวกันนั้น…
ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้ง
“อึก!!”
ถ้าหากว่าผมไม่จิตใจที่เข้มแข็งแล้วละก็ ป่านนี้ผมคงล้มลงไปนอนกองบนพื้นพร้อมกับรอความตายของตัวเองจากความรู้สึกอันเจ็บปวดนี้ไปแล้ว
“อา… ยัยฆาตกรนั่นดันเลือกคนที่เป็นปัญหามาให้พวกเราที่เป็นทาสรับใช้ของ ‘มรณะแห่งบาป’ อีกแล้วสินะ”
ปีศาจตรงหน้าที่ดูจะเห็นว่าผมเป็นตัวปัญหาได้พูดสิ่งที่ผมไม่เข้าใจขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ผมจะสัมผัสได้ว่ามันกำลังโจมตีผมอีกครั้งในไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้
ผมที่ได้สูญเสียการมองเห็นไปจากการโจมตีของมันเมื่อครู่นี้ไ่ได้ตกใจแต่อย่างใดและพยายามรวบรวมทั้งสติและสมาธิเพื่อหลบการโจมตีครั้งนี้ของมันให้ได้
เพราะถ้าหากผมหลบการโจมตีในครั้งนี้ของมันไม่ได้ละก็ ชีวิตของผมในตอนนี้คงได้จบเห่จริงๆ แน่
อา… บางทีมันอาจจะดีสำหรับผมก็ได้นะที่มาเจอจุดจบในชีวิตนี้อย่างรวดเร็ว
เพราะการที่ต้องมาอยู่ในโลกโดยที่ไม่มีคนสำคัญที่คุณอยากจะอยู่เคียงข้างนั้น… มันไม่มีประโยชน์อะไรอยู่แล้วที่จะได้มีชีวิตและลมหายใจอยู่ต่อ
ในตอนแรกที่ผมคิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรอยู่แล้วที่จะอยู่บนโลกนี้ต่อนั้น ผมเกือบที่จะยอมแพ้ให้กับเจ้าปีศาจตรงหน้าของผมไปแล้วแท้ๆ แต่ว่าในชั่วขณะที่ผมกำลังยอมแพ้นั้น
ก็ดันมี ‘ตัวอุปสรรค’ เข้ามาปั่นหัวของผมเสียก่อน…
เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมไม่เคยแม้แต่จะได้ยินสักครั้งในชีวิตนี้หรือชีวิตก่อนนั้นได้ดังขึ้นมาในหัวของผม น้ำเสียงของเธอนั้นเรียบนิ่งจนดูน่ากลัว แต่น้ำหนักที่เธอใช้ในเวลาที่เปล่งแต่ละถ้อยคำออกมานั้น
มันดูยิ่งใหญ่และน่าหวาดหวั่นจนทำให้คนที่ได้ยินเสียงของเธอนั้นไม่กล้าที่จะปฏิเสธเธอลง
[ถ้าหากบนโลกนี้มีวิธีที่จะทำให้นายได้เจอคนสำคัญของนายอีกครั้ง นายจะยอมเป็นคนที่ฆาตกรอย่างฉันเลือกไหม?]
ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงเรียกตัวเองว่าฆาตกร แต่สิ่งที่เธอกำลังพูดอยู่นั้นมันทำให้ผมที่มีความปรารถนาดังเช่นที่เธอได้บอกกล่าวมานั้นผงกหัวของตัวเองในทันทีอย่างไม่ทันได้คิดอะไรให้รอบคอบเสียก่อน
[งั้นหรอ? ยังไงซะฉันกับนายที่มาจากโลกเดียวกันนั้นก็คงจะมีความโลภแบบเดียวกันอยู่แล้วสินะ เพื่อสิ่งที่เราปรารถนา… ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ขอแค่ให้ไปถึงความปรารถนานั้นก็เพียงพอแล้ว]
เสียงของเธอที่กำลังดังอยู่ในหัวของผมนั้นเต็มไปด้วยความแน่วแน่ พร้อมทั้งความน่ากลัวของความโลภในสิ่งที่เธอปรารถนาอยู่นั้นกำลังเผยให้เห็นจุดหมายปลายทางที่ผมไม่อาจคาดคิด
หรือว่านี่จะเป็น…
[นายได้อ่านเนื้อหาในหนังสือเล่มนั้นที่ฉันได้ทิ้งไว้แล้วสินะ…]
“…”
[เพราะฉะนั้นแล้ว ฉันคงไม่ต้องบอกนายแล้วสินะว่าต้องทำยังไงถึงจะจัดการสิ่งที่อยู่ข้างหน้านายตอนนี้ลงได้?]
“อา… รู้อยู่แล้วว่าในตอนนั้นฉันไม่น่าเก็บหนังสือเล่มนี้มาเลย แล้วไม่น่าจะยอมรับความโลภของตัวเองในตอนนี้อย่างง่ายดายเลยอีกด้วย”
[…]
ผมพูดกับตัวเองขึ้นอย่างกับเป็นคนบ้า ทั้งๆ ที่เสียงในหัวของผมกำลังเงียบงันเหมือนกับว่าเธอกำลังรอคำตอบที่แน่นอนของผมอยู่
อา… ดูเหมือนว่าเสียงที่ดังอยู่ในหัวของผมตอนนี้นั้น
คงจะเป็นปีศาจตัวจริงสินะ…
[หรือว่านายจะเปลี่ยนใจจากคำตอบก่อนหน้านี้ของนายละ?]
ดูเหมือนว่าเสียงในหัวของผมจะยังคงมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่ เปลี่ยนใจงั้นหรอ? ฝันไปเถอะ… ในเมื่อเธอบอกกับผมมาแล้วมีวิธีที่ผมจะได้เจอกับคนสำคัญของผมอีกครั้ง ยังไงซะคนที่มีความปรารถนาที่โลภมากอยู่พอควรเหมือนกับเสียงในหัวของผมเฉกเช่นตัวของผมเองนั้น
ผมไม่ยอมหรอกที่จะพลาดโอกาสนี้ไป
“ไม่ละ ในเมื่อตัดสินใจไปแล้วก็คงต้องเป็นแบบนั้น”
[งั้นหรอ… ถ้าอย่างนั้นเป็นอันตกลงว่านายจะเป็นคนที่ถูกเลือกจากฆาตกรอย่างฉัน]
“…”
[สุดท้ายนี่พวกเราคงจะไม่ได้พูดคุยอะไรกันต่ออีก นอกเสียจากความลับที่ถูกบิดเบือนบนโลกนี้จะถึงเวลาที่มันสมควรได้ถูกเปิดเผยต่อผู้คนบนโลกใบนี้]
“ความลับที่ถูกบิดเบือน?”
[ใช่ และเมื่อถึงเวลานั้น… พวกเราจะได้เจอกันอีกครั้ง ‘ผู้ใช้อักขระ’ ที่ถูกฆาตกร ‘มรณะแห่งบาป’ ทั้งหลายอย่างฉันคนนี้เลือก]
ไม่ทันที่ผมจะได้ตอบกลับอะไรเสียงในหัวของผม จู่ๆ การโจมตีของปีศาจตรงหน้าผมก็ได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง ตอนแรกผมกะจะตั้งรับการโจมตีของมันด้วยวิชาดาบที่ผมร่ำเรียนมาจากหัวหน้าสมาคมตั้งรับการโจมตี
แต่ในครั้งนี้ผมเลือกที่จะใช้สิ่งที่ผมได้อ่านมาในหนังสือเล่มนี้ที่ผมพกติดตัวมาตลอดในการเดินทางครั้งนี้
ผู้ใช้อักขระที่หายสาบสูญมาตลอดระยะเวลาห้าร้อยปีที่ผ่านมานี้…
“นี่เจ้า…!!”
ความตกใจกลัวอันสุดขีดในน้ำเสียงที่เปล่งออกมาของปีศาจดังขึ้น ในขณะที่ผมใช้สมาธิที่เหลืออยู่อันน้อยนิดของผมตั้งสติของตัวเองที่เหลืออยู่ และวาดบางสิ่งบางอย่างกลางอากาศขึ้น
สุดท้ายแล้ว… ผมไม่คิดเลยว่าการที่อ่านหนังสือเล่มนี้ที่เล่าถึงนิทานปรัมปราในอดีตกาลของโลกนี้โดยที่คิดว่ามันเป็นการฆ่าเวลาในแต่ละช่วงเวลาที่น่าเบื่อบนโลกนี้ของผมนั้น
มันจะกลับมามีประโยชน์กับผมในตอนนี้
ความคิดเห็น