ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    the vampire diaries — fire on fire , klaus mikaelson

    ลำดับตอนที่ #20 : ⁽ 18 ⁾

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.พ. 65


    GENESIS ° gif hunts - xxxiv. THE ORIGINALS - Wattpad
    ( 18 )
    3x08 - Ordinary People


    หลังจากราวสัปดาห์ที่เคลาส์จากไปเมืองอื่นเพื่อทำลูกผสมเพิ่มเติม โรซาเบลล่ายังคงติดต่อกับเขาอยู่บ่อยๆและความสัมพันธุ์ของเธอกับรีเบ็คก้าก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่กับคนอื่นๆไม่ค่อย ยกเว้นแคโรไลน์ที่แสดงความสุขเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆของเธอแม้ว่าแคโรไลน์จะไม่ชอบรีเบ็คก้าแต่เธอก็อดทนกับมันซึ่งเป็นสิ่งที่เบลล่ารู้สึกขอบคุณ

    รีเบ็คก้าได้ย้ายเข้าไปในซัลวาเทอร์คฤหาสน์และเข้าร่วมโรงเรียนกับเชียร์ลีดเดอร์ เกิดเรื่องมากมายขึ้นและเบลล่าก็ไม่อยากที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวเพราะฉนั้นเธอจึงอยู่บ้านเฉยๆ ฝึกพลังและคุยกับแอสทริดเรื่องไร้สาระ

    ซึ่งเป็นเหตุให้รีเบ็คก้าลากเธอมาเฝ้าดูซ้อมเชียร์ในตอนปัจจุบัน เบลล่ามองดูรีเบ็คก้าทำนิมนาสติกอย่างสวยงามก่อนจะยิ้มและยกนิ้วโป้งให้แต่แล้วเอเลน่าก็เริ่มเดินเข้ามา

    "เธอ มาก็ดีแล้ว" เบ็คก้าพูด "ฉันหวังว่าเราจะคุยกันได้" เอเลน่าบอก "เรื่องอะไรล่ะ สเตฟานหรอ ไม่ต้องห่วงฉันจะไม่ยุ่งกับเขาจนกว่าเขาจะทำตัวดีขึ้น" รีเบ็คก้าถามและเบลล่าก็กลั้นหัวเราะ "บอกตามตรงนะ เธอควรทำเหมือนฉันมากกว่า"

    "จริงๆแล้วฉันอยากคุยเรื่องนี้มากกว่า" เอเลน่าพูดก่อนจะหยิบภาพออกมาและยื่นโชว์รีเบ็คก้า เบลล่าขมวดคิ้วและเดินเข้าไปใกล้ทั้งสองคนมันคือภาพอักษรรูนที่ถูกเขียนในผนังถ้ำ

     รีเบ็คก้า เสียงของแอสทริดกระซิบ "ฉันสงสัยจังว่าทำไมเธอกับเคลาส์ถึงใช้เวลาพันปี...เพื่อหนีจากพ่อของเธอเอง" เอเลน่าพูดและเบลล่าก็มองหน้าเธอด้วยสายตาอ่านไม่ออก เอไลจาห์เคยเล่าให้ฟังว่าพวกเขาทั้งหมดหนีจากพ่อของพวกเขามาอย่างยาวนานเพราะความโหดร้ายของพ่อของพวกเขา

    ไมเคิล แอสทริดกระซิบอีกครั้งในหัวและเบลล่าก็กลืนน้ำลาย "ฉันน่าจะกลับไปหาพวกสาวๆได้แล้ว หวนคืนสู่เหย้ากำลังใกล้เข้ามาแล้ว" รีเบ็คก้าพูดและดึงเบลล่าไปด้วยแต่เอเลน่าก็พูดขึ้นอีกครั้ง

    "งั้นฉันน่าจะถามไมเคิลตอนที่เราปลุกเขาขึ้นมาแล้วสินะ" คำพูดนั้นทำให้ทั้งเบลล่าและรีเบ็คก้าหยุดด้วยความกลัว รีเบ็คก้าปรับอารมณ์และซ่อนมันไว้ในขณะที่หันไปหาเอเลน่า "เธอกำลังหลอกฉัน เธอไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหน ไม่มีใครรู้"

    "แล้วใครกันล่ะที่กำลังเน่าเปื่อยอยู่ในสุสานเก่าเมืองชาร์ล็อตน่ะ" เอเลน่าถาม "ถ้าเธอปลุกไมเคิลขึ้นมา พวกเราก็จะตายกันหมด" รีเบ็คก้าเตือนเอเลน่า "งั้นก็บอกมาสิ"

    "จะอยากรู้ไปทำไม" รีเบ็คก้าถาม "ทำไมเธอถึงไม่อยากให้ฉันปลุกเขาล่ะ" เอเลน่าถามอีกครั้ง "ฉันต้องกลับไปหาสาวๆแล้ว" รีเบ็คก้าแก้ตัวก่อนจะดึงเบลล่าไปพร้อมกับเธอ




    เบลล่าอยู่ในห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์ซัลวาเทอร์ขณะที่มองดูรีเบ็คก้าเลือกชุดและรอเอเลน่า ไม่นานนักเอเลน่าก็เริ่มเดินเข้ามาทำให้หญิงสาวทั้งสองคนหันไปมอง เบลล่ามีแก้วไวน์อยู่ในมือพร้อมกับขวดไวน์ขาวใกล้ๆ

    "เฮ้ นี่มันอะไรกันน่ะ" รีเบ็คก้าถามด้วยรอยยิ้มน้อยๆขณะที่วางขวดแชมเปญและเดินไปหาเอเลน่า "เธอเชิญฉันมาเพื่อคุยนะ" เอเลน่าเตือนและเบลล่าก็ยิ้มเยาะ "เอาล่ะสาวๆ ออกมากันเลย" รีเบ็คก้าสั่งและสาวๆห้าคนในชุดแตกต่างกันก็เดินออกมา

    "แล้วทีนี้ก็หมุนตัวหน่อยนะ" รีเบ็คก้าบอกและพวกเขาก็ทำตาม เบลล่ามองไปยังแต่ละชุดอย่างพิจารณาว่าเบ็คก้าจะเข้ากับชุดไหนมากที่สุด "เธอสะกดนางแบบของตัวเองเนี่ยนะ" เอเลน่าบอก

    "ฉันต้องการชุดใส่ไปงานคืนสู่เหย้า เธอคิดว่าไงล่ะ เลือกมาสักชุดสิ" รีเบ็คก้าบอกและหันไปหาเบลล่า "สีแดง" เธอพูดพลางชี้และรีเบ็คก้าก็หันไปหาเอเลน่าเพื่อถาม

    "ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อช่วยเธอเลือกชุดหรอกนะ" เอเลน่าเย้ยหยัน "ฉันมาที่นี่เพื่อคุยว่าทำไมเธอถึงไม่ยอมให้ปลุกไมเคิลขึ้นมา" จากนั้นรีเบ็คก้าก็ยิ้มเยาะและเร่งความเร็วไปที่หญิงสาวคนหนึ่งทำท่าจะดูดเลือด

    "ฉันบอกว่าเลือกมาชุดหนึ่งไงเอเลน่า" เบลล่ามองดูเอเลน่าเลิ่กลั่ก "ชุดสีแดง" เธอพูดและรีเบ็คก้าก็ปล่อยไป "นั้นไง ไม่ยากเลยใช่มั้ยล่ะ" เธอพูดและบังคับหญิงสาวพวกนั้นอีกครั้ง "ไปได้แล้ว และลืมทุกอย่างซะ"

    รีเบ็คก้าหยิบแก้วแชมเปญขึ้นมาอีกครั้งและเดินไปใกล้ๆเอเลน่า "อย่ามาขู่ฉัน เธอจะได้เรียนรู้ในสิ่งที่ฉันให้เธอได้เรียนรู้ โอเคมั้ย" รีเบ็คก้าถามและเอเลน่าก็พยักหน้าเข้าใจ

    เบลล่าและเอเลน่าเดินตามรีเบ็คก้าไปยังห้องหนึ่งของซัลวาเทอร์และเบลล่ามองดูขณะที่รีเบ็คก้ายังคงสนุกเต็มเปี่ยม "ช่างสนุกอะไรอย่างนี้" รีเบ็คก้าพูด

    "เราไม่ควรอยู่ที่นี่นะ" เอเลน่าบอก "เราควรอยู่ที่นี่สิ ไม่เอาน่า อย่างกับเธอไม่เคยอยากจะรู้เรื่องคนอื่นงั้นแหละ" รีเบ็คก้าบอกและเบลล่าส่ายหัวขณะที่มองแวมไพร์ดั้งเดิมหยิบเสื้อผ้าออกมา

    "กางเกงในบ็อกเซอร์ ตอนนี้มันเปลี่ยนไปจากศตวรรษยี่สิบแล้วสินะ" เบลล่าฮัมเสียงตอบ "เธอจะรื้อของสเตฟานตลอดคืนหรือว่าจะเริ่มพูดเรื่องของเธอซะทีละ"

    รีเบ็คก้าถอนหายใจ "เธอนี่ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย" เบลล่าหัวเราะ "เธออยากรู้อะไรล่ะ" ไฟว์เบิร์ดถาม ตามที่ผ่านมาแล้วเธอรู้เรื่องของตระกูลไมเคิลสันทั้งหมดจากการเล่าของเอไลจาห์และขอบคุณเธอเถอะที่ชอบประวัติศาสตร์

    เธอได้บอกอดีตของเธอกับรีเบ็คก้าและเคลาส์ไปแล้วแต่ไม่หมดนักเพียงแค่ว่าเอไลจาห์รับเลี้ยงเธอยังไงและเล่าเรื่องของพวกเขาว่ายังไงบ้างซึ่งทำให้ทั้งคู่ยิ้มน้อยๆ

    "เอไลจาห์บอกว่าพ่อของเธอเป็นเจ้าของที่ดินในแถบยุโรป แล้วพวกคุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง" เอเลน่าถาม เบลล่าเดินเข้าไปใกล้รีเบ็คก้าและวางหัวลงบนไหล่พลางฟังเรื่องราวอีกครั้งเป็นครั้งที่สามในชีวิต

    "พ่อแม่ของฉันเริ่มสร้างครอบครัวเมื่อตอนที่มีโรคระบาดมาถึงบ้านเกิดของเรา พวกเขาเสียลูกไปหนึ่งคน พวกเขาเลยอยากจะหนีและปกป้องอนาคตของครอบครัวจากชะตากรรมเดียวกัน"

    "แล้วมาหยุดที่นี่ได้ยังไง ตอนนั้นยังไม่มีใครค้นพบส่วนนี้ของโลกด้วยซ้ำ" เอเลน่าถาม "ไม่ใช่คนที่อยู่ในตำราประวัติศาสตร์ของเธอน่ะสิ" เบลล่าพูด "แต่แม่ของฉันรู้จักแม่มดที่ชื่อญาน่า เธอได้ยินจากวิญญาณ..แห่งดินแดนอันลึกลับที่ซึ่งทุกคนมีสุขภาพแข็งแรงได้รับพรให้มีความเร็วและความแข็งแกร่ง นั่นทำให้ครอบครัวของฉันมาที่นี่ ที่ซึ่งเราอาศัยอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น"

    "มนุษย์หมาป่าน่ะหรอ" เอเลน่าตระหนัก "สำหรับพวกเขาแล้ว มนุษย์หมาป่าก็เป็นแค่เพื่อนบ้าน ครอบครัวของพวกเขาอยุ่ด้วยความสงบสุขมานานนับยี่สิบปี ระหว่างนั้นพวกเขาก็มีสมาชิกเพิ่มรวมถึงเบ็คกี้ด้วย" เบลล่าพูดพลางจำเรื่องที่เอไลจาห์เล่ามันทุกคืนได้

    "เธอพูดราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติเลยนะ" เอเลน่าบอกและเบลล่าก็มองไปที่รีเบ็คก้าที่มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาโหยหาวันเก่าๆ "มันเป็นแบบนั้น"

    จากนั้นเธอก็เริ่มเล่าต่อ "เดือนละครั้ง ครอบครัวของเราต้องลี้ภัยไปอยู่ถ้ำใกล้ๆหมู่บ้าน หมาป่าจะหอนกันตลอดทั้งคืนและเมื่อเช้าเราก็กลับบ้าน"

    รีเบ็คก้าเล่าว่าเคลาส์ถือศพของเฮ็นริค น้องชายคนสุดท้องของพวกเขามายังไง "วันเพ็ญคืนหนึ่ง เคลาส์กับเฮ็นริคน้องชายคนเล็กแอบออกไป...ดูมนุษย์กลายร่างเป็นสัตว์ร้ายซึ่งเป็นเรื่องต้องห้าม เฮ็นริคกลายเป็นเหยื่อ.."

    เธอเล่าว่าแม่ของพวกเขาขอร้องอญาน่าอย่างไรเพื่อพาเฮ็นริคกลับมาแต่เธอปฏิเสธ "และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดสันติภาพของเพื่อนบ้านเราและเป็นช่วงสุดท้ายที่ครอบครัวฉันได้อยู่ด้วยกันในฐานะมนุษย์"

    เบลล่าเดินเข้าไปบีบมือรีเบ็คก้าเบาๆเพื่อบอกว่าเธอยังอยู่เคียงข้าง ในวินาทีต่อมาโทรศัพท์ของเอเลน่าก็สั่น "เธอควรรับดีกว่านะ เดม่อนคงโทรมาเช็คน่ะ"

    ดวงตาของเบลล่ามองไปที่เอเลน่าเงียบๆและไม่สนใจบทสนทนาของเธอทางโทรศัพท์ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม ในเวลาต่อมารีเบ็คก้าเปิดอ่านไดอารี่ของสเตฟานบนเตียงของเขา

    "เธอได้เบาะแสบ้างรึยังเรามาคุยกันต่อมั้ย" เอเลน่าเสนอ รีเบ็คก้าลุกออกจากเตียงและเดินไปใกล้เอเลน่าก่อนจะหยุดที่กรอบรูปของสเตฟานและเอเลน่า "ฉันไม่เข้าใจเธอสองคนเป็นแฟนกันได้ยังไง"

    "เธอไม่รู้เลยว่าจริงๆแล้วเขาเป็นยังไง" เอเลน่าตอบและคำตอบนั้นไม่ได้พอใจรีเบ็คก้าแน่ๆ "ฉันรู้ดีเลยล่ะว่าเขาเป็นยังไง เขาเป็นแวมไพร์ไงล่ะ เราเป็นสายพันธุ์นักล่าเราไม่มีเวลาไปใส่ใจมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตเล็กๆหรอก"

    "นั่นเป็นแหตุผลที่เธอเลี่ยงคุยก่อนหน้านี้หรอ เพราะเธอไม่ใส่ใจเรื่องการเต้นรำในงานคืนสู่เหย้าใช่มั้ย" เอเลน่าถามและเบลล่าก็มุ่ยหน้า "รู้อะไรมั้ยฉันจะไปนะ" เอเลน่าเริ่มเดินออกไป

    "เธอยังไม่ได้ยินถึงครึ่งเรื่องเลยนะ" รีเบ็คก้าบอก "แต่เธอก็จะไม่เล่าอยู่ดี เธอแค่เบื่อแล้วหาคนมาแก้เซ็ง หาคนอื่นมาเล่นด้วยเถอะบางทีเธออาจจะสะกดตัวเองให้เป็นเพื่อนเขาได้นะ"

    เบลล่าถอนหายใจ "สร้อยคอนั่นไม่ใช่ของที่สเตฟานจะเอาไปให้ใคร มันเป็นของแม่มดรุ่นดั้งเดิม" รีเบ็คก้าเริ่ม "คนที่สาปคำสาปลูกผสมใส่เคลาส์ใช่มั้ย" เอเลน่าสรุปพลางถาม "ไม่ใช่แค่คำสาปนั้นนะ เธอยังเป็นคนเปลี่ยนให้เราเป็นแวมไพร์อีกด้วย"

    รีเบ็คก้าเล่าว่าเธอได้ยินทั้งแม่และพ่อของเธอขอร้องอญาน่าอย่างไรก่อนที่จะหยุด "ฉันหิวน้ำจัง อยากดื่มอะไรมั้ยล่ะ" รีเบ็คก้าเปลี่ยนเรื่องก่อนที่พวกเขาจะเดินลงบันได

    "งั้นแวมไพร์ ก็คือรูปแบบของการป้องกันงั้นหรอ" เอเลน่าถาม "มันจะเป็นอะไรไปได้อีกล่ะ" รีเบ็คก้าถามกลับ "คำสาปไง" เอเลน่าตอบและเบลล่าก็เล่นกับสร้อยคอของเธอ

    "พ่อแม่ของฉันแค่มองเห็นหนทางที่จะรักษาชีวิตของลูกๆเอาไว้" รีเบ็คก้า "ใช่แต่ทำไมยังอยู่ล่ะ ถ้าพวกเขากลัวมนุษย์หมาป่าทำไมถึงไม่หนีไปซะล่ะ" เอเลน่าถามด้วยความสงสัย

    เบลล่าถอนหายใจ "ความทะนงตนไงล่ะ พ่อของพวกเขาไม่ต้องการจะหนีอีกต่อไปเขาต้องการที่จะสู้และมีอำนาจเหนือพวกมนุษย์หมาป่าถ้าพวกเขากัดได้ เราจะกัดให้หนักว่าถ้าพวกมันเร็ว พวกเขาต้องเร็วกว่า ความว่องไว ความแข็งแกร่งและประสาทสัมผัส"

    จากนั้นแวมไพร์ดั้งเดิมก็เริ่มเล่าต่อถึงบทสนาระหว่างอญาน่า แม่ของพวกเขาและไมเคิล "ในกำมือของเธองั้นหรอ แม่ของเธอทำอะไรได้งั้นหรอ" เอเลน่าถาม

    "เพราะแม่ของฉันก็เป็นแม่มดเหมือนกัน" รีเบ็คก้าตอบและเอเลน่าก็ดูงงงวย "อะไรนะ" เบลล่าหัวเราะคิกคัก "แม่มดของครอบครัวรุ่นดั้งเดิมไงล่ะ แม่มดรุ่นดั้งเดิม"

    "พวกเขาเก็บเหล้าองุ่นดีๆไว้ไหนกัน" รีเบ็คก้าเอ่ยถาม "ถ้าแม่ของเธอเป็นแม่มดแล้ว..." เบลล่าส่ายหัวเมื่อรู้ว่าคำถามจะเป็นยังไง "ฉันหรอ ไม่หรอกแม่มดเป็นผู้รับใช้ธรรมชาติ แวมไพร์เป็นสิ่งน่ารังเกียจของธรรมชาติ เธอต้องเลือกว่าจะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งไม่มีทางเป็นทั้งสองอย่างได้"

    เบลล่าถอนหายใจขณะที่เบ็คก้าเริ่มพูดต่อ "แม่ของฉันทำสิ่งนี้เพื่อพวกเรา เธอไม่ได้เปลี่ยนหรอก" เบลล่ามองดูรีเบ็คก้าอย่างระมัดระวัง "แล้วเธอเปลี่ยนได้ยังไง"

    "เธอใช้ดวงตะวันสำหรับชีวิตและต้นโอ๊กโบราณขาว หนึ่งในวัตถุที่ใช้เป็นองค์ประกอบของธรรมชาติเพื่อความเป็นอมตะในคืนนั้นพ่อของฉันให้เราดื่มไวน์ผสมเลือดแล้วเขาก็ใช้ดาวแทงเข้าที่หัวใจเรา"

    "เขาฆ่าพวกคุณงั้นหรอ" เอเลน่าถามด้วยเสียงกระซิบ "เขาก็ไม่ได้อยากทำแบบนั้นหรอก" รีเบ็คก้าตอบและหักคอขวดของไวน์จากนั้นก็ทิ้งเข้าไปในเตาไฟที่ลุกโชน

    เธอเริ่มเล่าว่าเธอตื่นขึ้นมาด้วยเลือดเปรอะเสื้อยังไง พ่อของเธอถือผู้หญิงคนหนึ่งมาและกรีดข้อมือเธอเพื่อให้พวกเขาดื่มอย่างไร "เราต้องดื่มเลือดมากๆเพื่อให้พิธีกรรมเสร็จสมบูรณ์"

    รีเบ็คก้าเล่าว่าพ่อบังคับให้เธอดื่มเลือดแต่นิกก็พยายามห้าม "มันเป็นความสุขที่สุด ความรู้สึกแห่งพลังอันยากจะบรรยายแต่แม่มดอญาน่าพูดถูกเกี่ยวกับผลที่จะตามมา เหล่าวิญญาณจู่โจมเราและธรรมชาติก็โต้กลับ สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดย่อมมีจุดอ่อนเสมอ แสงอาทิตย์เริ่มกลายเป็นศัตรูกับเรามันทำให้เราต้องอยู่ในที่ร่มเป็นสัปดาห์"

    "และแม้ว่าแม่ของฉันจะพบวิธีแก้ไข ก็ยังมีปัญหาอื่นๆอีก...เพื่อนบ้านที่เคยเปิดต้อนรับเราตอนนี้กลับไม่ให้เราเข้าใกล้ ดอกไม้ที่อยู่ใต้โอ๊กขาวเผาไหม้เราและป้องกันอำนาจสะกดได้และเวทมนตร์ก็ตัดสินใจแล้วว่าต้นไม้ที่ให้ชีวิตแก่เราก็ฆ่าเราได้เช่นกัน"

    รีเบ็คก้าหยุดก่อนจะต่อ "เราจึงเผามันทิ้งซะ" เบลล่าสูดหายใจลึกๆและปล่อยออกมา "แต่ผมสืบเนื่องที่เลวร้ายที่สุดคือสิ่งที่พ่อแม่ของฉันคิดไม่ถึง ความหิวโหยนั่นเอง เลือดทำให้เราฟื้นคืนชีพและเลือดนั่นเองที่เราปรารถนามากกว่าสิ่งใด เราควบคุมมันไม่ได้"

    เธอเล่าถึงการฆ่าของเธอ "และด้วยสิ่งนั้น...สายพันธุ์นักล่าจึงถือกำเนิดขึ้น" เบลล่าจ้องไปที่เตาไฟและเริ่มโฟกัสให้มันทำตามจุดประสงค์ของเธอ มันกลายเป็นรูปร่างต่างๆก่อนจะหยุดลงและเบลล่าก็ยิ้ม

    "ทำไมไมเคิลถึงตามล่าเคลาส์ล่ะ" เอเลน่าถาม "ตอนที่นิคฆ่าคนเป็นครั้งแรก มันได้จุดยีนชนวนหมาป่าของเขาด้วย เขาเลยกลายเป็นความอัปยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพ่อฉัน"

    "ใช่ เอไลจาห์เล่าเรื่องส่วนนี้ให้ฉันฟังแล้ว แม่ของเธอมีความสัมพันธุ์กับคนในหมู่บ้านหมาป่า เคลาส์ไม่ใช่ลูกของพ่อเธอ" เอเลน่าสรุป "แม่พยายามทำให้มันถูกต้อง เธอร่ายคำสาปลูกผสมใส่เคลาส์เพื่อยับยั้งด้านที่เป็นหมาป่าของเขาไว้แล้วเธอก็หันหลังให้เขาแต่ความอ่อนแอที่สุดของไมเคิลในตอนที่ยังเป็นมนุษย์คือความทะนงของเขาพอเป็นแวมไพร์แล้วมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้น เขาออกอาละวาดและฆ่าคนไปครึ่งหมู่บ้านเขากลับมาบ้านแล้วฆ่าแม่"

    เบลล่าอ้าปากค้างเบาๆ "ไมเคิลฆ่าแม่ของเธองั้นหรอ" เอเลน่าถามด้วยความตกใจ "เขาบอกว่าแม่ทำหัวใจเขาสลายดังนั้นเขาจึงต้องทำของเธอบ้างนิคเห็นว่าเขาฉีกหัวใจแม่ออกมา หลังจากนั้นพ่อของฉันก็ยิ่งเดือดดาลแล้วคนในครอบครัวของฉันก็เริ่มแยกย้ายกันไป นิกยังอยู่เขาเลยช่วยฉันฝังศพแม่ได้เขารู้ว่าฉันต้องบอกลาแม่"

    คนผมแดงยิ้มเล็กๆให้รีเบ็คก้า คำสัญญา 'ตลอดกาลและตลอดไป' ของพวกเขาที่เธอเคยได้ยินจากเอไลจาห์ที่พูดกับเธอตอนยังเด็กๆทำให้เบลล่าตระหนักว่ามันแน่นแฟ้นกว่าสิ่งอื่นใด

    พวกเขาอยู่ด้วยกันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทำทุกอย่างในนามครอบครัว "ตลอดกาลและตลอดไปถึงเขาจะขังเธอไว้ในโลงตั้งเก้าสิบปีเนี่ยนะ"

    "เราเป็นแวมไพร์ อารมณ์ของเราพลุ่งพล่าน ฉันหัวดื้อ เอไลจาห์มีศีลธรรมและนิก...นิกไม่อดกลั้นต่อคนที่ทำให้เขาผิดหวัง กว่าหนึ่งพันปีที่เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เราเคยทำผิดพลาดอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ฉันทำผิดพลาดอยู่หลายครั้ง"

    "แต่เธอก็ยังรักเขางั้นหรอ" เอเลน่าถาม "เขาเป็นพี่ชายของฉันและฉันก็ไม่มีวันตาย ฉันควรจะใช้ชีวิตนิรันด์อย่างโดดเดี่ยวหรอ" เบลล่าถอนหายใจและเดินไปอยู่ข้างๆรีเบ็คก้า

    "เธอได้ฟังเรื่องราวไปแล้วกลับไปได้แล้วล่ะ" รีเบ็คก้าพูดหลังจากเงียบไปแต่เอเลน่ายังคงนิ่งเฉย "ฉันบอกให้ไปไงเอเลน่า ฉันไม่รู้ว่าเธอต้องการอะไร..แต่ฉันไม่อยากเล่นด้วยอีกแล้วนะ"

    "ฉันแค่กำลังหาเหตุผลดีๆสักข้อว่าทำไมเราไม่ควรปลุกไมเคิลขึ้นมา" เบลล่ากลอกตา "และเธอก็ให้เหตุผลเป็นพันแต่เธอก็ยังจะปลุกเขาอยู่ดี" เบลล่าพูด

    "ฉันรู้ว่าเธอต้องการให้เขาช่วยเธอฆ่าพี่ชายของฉัน ฉันไม่ได้โง่นะ" รีเบ็คก้าบอก "ที่ฉันต้องการให้เคลาส์ตายมันก็แน่อยู่แล้ว เขากำชีวิตของสเตฟานไว้แล้วก็ของฉันด้วย" เอเลน่าโต้ตอบ

    "ทำอะไรก็ทำไปเถอะ การปลุกไมเคิลคือหายนะของเธอเอง แต่ไม่ต้องทำผิดพลาดนะ ถ้าเธอไล่ล่าพี่ชายฉันฉันจะฉีกเธอเป็นชิ้นๆ ฉันได้อารมณ์โกรธมาจากพ่อของฉัน" รีเบ็คก้าขู่ "ไปได้แล้ว"

    ในที่สุดเอเลน่าก็เดินออกไปและเบลล่าก็ถอนหายใจก่นอจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดกล่องข้อความถึงเคลาส์และเริ่มพิมพ์ เธอไม่อยากให้เขาตายและแน่นอนว่าเธอไม่ปฎิเสธเช่นกันว่าเธอเจ็บปวดเมื่อเห็นเขาเจ็บปวด

    นิก
    8.22 PM

    ระวังตัว เอเลน่าถามถึงไมเคิลจากเบ็กซ์ เจอกันเร็วๆนี้

    เธอปิดโทรศัพท์และถอนหายใจก่อนจะเดินไปกอดรีเบ็คก้าที่กอดเธอกลับ ทั้งคู่อยุ่ในความสบายใจของกันและกัน เท่านั้นก็เพียงพอ



    สองสาวนั่งอยู่ในความสบายของกันและกันก่อนเอเลน่าจะเดินเข้ามาพร้อมกับภาพรูปหนึ่ง "ฉันคิดว่าฉันบอกให้เธอออกไปสองครั้งแล้วนะ" รีเบ็คก้าพูด

    "เธอรู้ได้ยังไงว่าไมเคิลฆ่าแม่ของคุณ" เอเลน่าถาม "นิกอยู่ที่นั่นเขาบอกฉัน" รีเบ็คก้าตอบเธอและเบลล่าก็มองเอเลน่าอย่างระมัดระวังโดยมีความรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับมัน

    "เขาโกหกเธอ" เอเลน่าบอกและเบลล่าก็ขมวดคิ้ว "แล้วเธอรู้ได้ยังไงล่ะ" รีเบ็คก้าถาม "ถ้ำที่เธอสลักชื่อของครอบครัวไว้ มีสัญลักษณ์ซ่อนไว้มากมายบ่งบอกเรื่องราวครอบครัวของเธอ บอกว่าพ่อแม่ของเธอมาถึงได้ยังไง พวกเขาสร้างสันติกันได้ยังไง" เอเลน่าเริ่มวางภาพเอาไว้บนโต๊ะ

    ในภาพแสดงถึงการเขียนสลักเรื่องราวต่างๆ "เวทมนตร์ที่เปลี่ยนให้เป็นแวมไพร์ นี่เป็นสัญลักษณ์ของลูกผสม มันเป็นการผสมกันของสัญลักษณ์มนุษย์หมาป่าและแวมไพร์และนี่เป็นสัญลักษณ์แทนแม่ของเธอ" เอเลน่าชี้ไปที่ภาพหนึ่ง

    "สร้อยคอของแม่" รีเบ็คก้าตระหนัก "และนี่เป็นเรื่องจุดจบของเธอ ลูกผสมฆ่าแม่มดดั้งเดิม ไม่ใช่ไมเคิลแต่เป็นเคลาส์" เบลล่ากลืนน้ำลายกับความจริงนี้และมองดูรีเบ็คก้าโดยไม่รู้ว่าเธอจะมีการโต้ตอบยังไง

    "ไม่ ไม่ เขาไม่ได้ทำ" เธอปฏิเสธ "แม่สาปเขา ทำให้เขาเป็นคนเดียวในเผ่าพันธุ์ผสมแล้วเธอก็ปฏิเสธเขาซะ ด้วยยีนมนุษย์หมาป่าที่มีทั้งความก้าวร้าวและความรุนแรงพอเขากลายร่างทุกอย่างจะยิ่งพลุ่งพล่าน เขาฆ่าแม่ของเธอรีเบ็คก้าและเขาก็สร้างเรื่องโกหกทั้งหมดว่าพ่อของเธอเป็นคนทำเพื่อที่เขาจะได้ไม่เสียเธอไป"

    นัยตาสีฟ้ามองรีเบ็คก้าด้วยความกังวล "นี่ไม่มีความหมายอะไรเลยมันก็เป็นแค่ภาพวาดงี่เง่าที่วาดโดยคนโง่ๆ ที่ไม่รู้ว่าครอบครัวของฉันเป็นใคร" รีเบ็คก้าเริ่มตะโกนและปาภาพเข้าไปในเตาไฟ

    "แล้วทำไมเธอถึงต้องโมโหนักล่ะ" เอเลน่าถาม "แล้วเธอมาทำแบบนี้กับฉันทำไม ฉันไม่ได้ทำอะไรให้เธอเลย" รีเบ็คก้าบอกกับเอเลน่าและเบลล่าก็เตรียมพร้อมที่จะแทรกแซง

    "เคลาส์ฆ่าแม่ของเธอ หน่วงเหนี่ยวเธอ ฉันและทุกคนเอาไว้ เขาทำมันมาพันปีแล้วเราต้องทำให้มันยุติได้แล้ว" ก่อนที่เอเลน่าจะได้พูดอะไรต่อรีเบ็คก้าก็ผลักเธอเข้ากับกำแพงไม้ "หุบปาก หุบปากได้แล้ว!"

    จากนั้นเธอก็ถอยหลังขณะที่เบลล่าก้าวไปใกล้แวมไพร์ผมบลอนด์มากขึ้นเรื่อยๆ นัยตาของเธอมีน้ำตาและดูเหมือนจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อในตอนนี้ เบลล่าเข้าไปรับเธอมาในอ้อมกอดทันทีที่รีเบ็คก้าเริ่มล้มลง

    "ออกไปได้แล้วเอเลน่า" เบลล่าบอกกับเธอขณะที่ยังคงลูบผมปลอบประโลมรีเบ็คก้า เมื่อเธอไม่ได้ยินเสียงเดินนัยตาสีฟ้าก็กลายเป็นสีส้มอันตรายจากนั้นก็หันไปหาเอเลน่า

    "ออกไป!" เธอตะโกนทำให้เอเลน่าตกใจก่อนจะรีบเดินออกไป เบลล่ากลับมาสนใจรีเบ็คก้าและพูดกระซิบคำปลอบโยน "ชู่ววว ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรแล้ว"

    เธอวางจูบลงบนเส้นผมสีบลอนด์สวยงามและลูบหัวของเธอโดยวางแผนว่าจะอยู่จนกว่ารีเบ็คก้าจะรู้สึกดีขึ้น เธอรู้สึกได้ว่ารีเบ็คก้ากอดเธอแน่นขึ้นและสะอื้น "ไม่เป็นไร ร้องออกมาเถอะเบ็กซ์ ฉันจะอยู่นี่"



    talk ;
    เบ็กซ์ที่น่าสงสาร ;-; ใจแหลกสลาย
    เคลาส์กลับมาตอนหน้าแล้วค่ะ เรากำลังจะได้มีโมเม้นท์แล้วววว
    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×