คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ⁽ 09 ⁾
( 09 )
2x19 - Klaus
เบลล่าใช้ความเร็วของแวมไพร์วิ่งไปที่คฤหาสน์ล็อควู้ดอย่างรวดเร็วเมื่อไม่มีใครเห็นหลังจากเอเลน่าส่งข้อความหาเธอ "มีอะไรหรอ?" เบลล่าถามน้องสาวของตนและเอเลน่าก็ยิ้มก่อนจะเดินออกข้างเผยให้เห็นชายหนุ่มในชุดสูทที่ดูคุ้นเคย
เบลล่าหยุดยืนครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มกว้างและเปิดตัวกอดเอไลจาห์อย่างรวดเร็ว "เอไลจาห์" เธอพึมพำในข้อพับคอของเขาและได้ยินเขาหัวเราะเบาๆก่อนจะผละออกมา "ยินดีที่ได้พบอีกครั้งนะโรซาเบลล่า" เบลล่าหัวเราะเบาๆก่อนจะหันไปหาเอเลน่า "ขอบคุณ" เธอพึมพำในระดับเสียงกระซิบและเอเลน่าก็ยิ้มตอบกลับมา
"หนูว่าคุณต้องเปลี่ยนชุดนะ" เบลล่ามองเสื้อสูทเก่าของเขาที่โดนไฟไหม้และยิ้มเยาะก่อนจะเดินนำทั้งสองไปยังหน้าบ้านล็อควู้ดและเคาะมันสองสามครั้ง ไม่กี่วินาทีต่อมานางล็อควู้ดก็เดินออกมาเปิดประตูให้ "เบลล่า เอไลจาห์ เอเลน่า มาทำอะไรที่นี่เกิดะไรขึ้น" แครอล ล็อควู้ดพูดขึ้นและเบลล่ารู้สึกสงสารนิดหน่อยที่เธอต้องใช้เวทมนตร์ของสร้อยบังคับเธอ
"เอ่อ เอไลจาห์ประสบอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะค่ะ หวังว่าคุณคงช่วยเราได้" เบลล่ายิ้มอย่างใสซื่อและเอไลจาห์ก็ยิ้มเยาะอยู่ข้างหลังลูกสาวบุญธรรมของเขา "เอ่อ ฉันกำลังจะไปประชุมค่ะก็เลย..." แต่ก่อนที่เธอจะได้พูดจบเบลล่าก็เข้าไปใกล้มากขึ้น มือข้างหนึ่งจับอเมทิสต์ที่กำลังส่องสว่างและรูม่านตาของเธอขยายขึ้น
"เราจะไม่รบกวนคุณหรอก" เบลล่าพูดก่อนจะปล่อยมือลงไป "ได้สิคะ ตามที่ต้องการเลยค่ะ" แครอลตอบด้วยรอยยิ้ม "ขอบคุณค่ะ" เบลล่ายิ้มและเริ่มเดินเข้าไปในบ้าน
"'งั้นอย่างแรกเลยนะครับ ผมอยากจะเปลี่ยนชุดสักหน่อย" เอไลจาห์พูดขึ้นและเบลล่าก็เป็นคนให้เขาต่อบทไป "งั้นลองชุดสูทของสามีฉันก็ได้ค่ะ ฉันยังไม่ได้เก็บมันลงกล่องเลย" แครอลพูดและเบลล่ามีรอยยิ้มเล็กๆ "เยี่ยมเลยครับ"
นัยตาสีฟ้าของเบลล่ามองดูจนแครอลลับสายตาไปและหันกลับไปหาเอเลน่าและเอไลจาห์ "เธอรู้ได้ยังไงว่าหล่อนไม่ได้ใช้เวอร์เวน" เอเลน่าถามคำถามกับเธอและเบลล่าก็ขมวดคิ้ว "ฉัน..เพิ่งรู้"
—
"งั้นฉันขอเดาว่าพ่อมดมาร์ตินพ่อลูกไม่ได้อยู่กับเราอีกต่อไปแล้วใช่มั้ย" เอไลจาห์เริ่มต้นกับบทสนทนาขณะที่เบลล่านั่งข้างเขาเล่นกับสร้อยคอของเธออย่างสบายใจ "ใช่ ฉันขอโทษ" เอเลน่าขอโทษกับการสูญเสียแม่มดของเอไลจาห์ "แล้วแคทเธอริน่าล่ะเธอคงจะพ้นจากการสะกดจิตจากฉันตอนที่ฉันตายสินะ"
เบลล่ามองไปที่เขาแวบเดียวด้วยความสงสารจากเรื่องเล่าที่เขาเคยเล่าเกี่ยวกับเธอก่อนจะหันกลับมาสนใจกับเอเลน่าตรงหน้า "เคลาส์เอาตัวเธอไป เราคิดว่าเธอคงจะตายแล้ว" เบลล่าเม้มริมฝีปากและเอียงคอ "ฉันไม่คิดอย่างนั้น นั่นไม่ใช่สไตลส์ของเคลาส์ ความตายไม่สาสมกับสิ่งที่เธอเคยทำ" นิ้วมือเรียวของเบลล่าหมุนวนสร้อยคออเมิทิสต์ของเธอไปมา
"ฉันไม่เข้าใจ คุณบอกว่าคุณอยากให้เคลาส์ตายแต่คุณก็ยังให้เคลาส์ชดใช้กับสิ่งที่เธอไปหักหลังเคลาส์ไว้" เอเลน่าถามด้วยความสงสัยและนัยตาสีฟ้าของเบลล่าก็ดูมืดมนลงอย่างเห็นได้ชัด "ฉันมีเหตุผลของฉันที่อยากให้แคทเธอรีนชดใช้ มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันทำทุกอย่างเพื่อเคลาส์.." และเอไลจาห์ก็เริ่มเล่า
ตั้งแต่ตอนที่เขาพาแคทเธอรีนไปพบกับเคลาส์หรือที่เรียกกันว่าพี่ชายของเขากับความประทับใจแรกที่เคลาส์พูดภาษาบัลแกเรียกับเธอ เบลล่ามองเอเลน่าที่ดูอึ้งไปเล็กน้อยจากการเปิดเผยข้อมูลนี้ "ใช่ เคลาส์เป็นพี่ชายของฉัน"
"ฉันได้ยินแล้ว ฉัน..ฉันกำลังประมวลผลอยู่" เอเลน่ากล่าวกับเขา "ใช่ ฉันอาจเป็นคนล้าสมัยไปนิดแต่ฉันเชื่อว่าคำที่เธอกำลังคิดอยู่คือ OMG" เอไลจาห์พูดและนำชาขึ้นจิบขณะที่เบลล่าหัวเราะออกมาด้วยความสนุกสนาน
หลังจากเงียบไปพักหนึ่งเอเลน่าก็พูดขึ้น "ครอบครัวทั้งหมดเป็นแวมไพร์รุ่นดั้งเดิมกันหมดเลยหรอ" เอเลน่าถามออกมาขณะที่เบลล่านั่งเล่นสร้อยอเมทิสต์ฟังเรื่องเล่าอีกครั้ง "พ่อของฉันเป็นเจ้าของที่ดินผู้มั่งคั่งในหมู่บ้านแห่งหนึ่งทางยุโรปตะวันออกแม่ของเรามีลูกเจ็ดคน"
"งั้นพ่อแม่ของคุณก็เป็นมนุษย์งั้นเหรอ" เอเลน่าถามอีกครั้งด้วยความงุนงง "ครอบครัวของเราเคยเป็นมนุษย์กันหมด จุดเริ่มต้นของการเป็นแวมไพร์มันต้องเล่ากันยาวนะเอเลน่าแค่รู้ไว้ว่า เราเป็นแวมไพร์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกก็แล้วกัน เราเป็นต้นตระกูลดั้งเดิมและแวมไพร์ทั้งหมดก็เกิดจากเราเนี่ยแหละ"
"ใช่แต่เคลาส์เป็นพี่ชายของคุณแล้วคุณอยากให้เขาตายเนี่ยนะ" เบลล่าเงยหน้ามอง "ผมอยากออกไปสูดอากาศสักหน่อย ยังรู้สึกได้ว่าที่นี่มีกลิ่นอาย...ของความตาย มาเถอะ" เอไลจาห์พูดและเดินนำออกไป เบลล่าลุกขึ้นปล่อยสร้อยอเมทิสต์และเริ่มเดินตามเขาไปตามด้วยเอเลน่า
"ก็อย่างที่เห็นไม่มีอะไรสามารถฆ่าพวกดั้งเดิมได้ ไม่ว่าจะเป็นดวงอาทิตย์ ไฟหรือแม้แต่คมเขี้ยวของหมาป่ามีเพียงไม้จากต้นไม้ต้นหนึ่งเท่านั้น ต้นไม้ที่ครอบครัวฉันมั่นใจว่าถูกเผาไปแล้ว" เอไลจาห์พูดขณะที่ทั้งสามเดินผ่านสนามหญ้า
"นั่นเป็นต้นที่เอาขี้เถ้าสีขาวมาใส่ไว้ในกริช" เอเลน่าสรุป "ใช่ พวกพ่อมดแม่มดจะไม่ยอมให้อะไรที่เป็นอมตะได้เดินอยู่บนโลกนี้หรอกสิ่งมีชีวิตทุกอย่างย่อมมีจุดอ่อนเสมอเพื่อรักษาให้เกิดความสมดุล" นัยตาสีฟ้าของเบลล่ามองไปรอบๆและยิ้มออกมาเล็กน้อยกับความสวยงามของท้องฟ้า
"แล้วถ้าแสงแดดฆ่าพวกดั้งเดิมไม่ได้ ทำไมเคลาส์ถึงได้พยายามที่จะถอนคำสาปสุริยันจันทรานั่นล่ะ" เบลล่าหันไปหาเอไลจาห์ด้วยความสงสัยเดียวกันแม้ว่าเธอรู้สึกว่าเธอรู้คำตอบแต่เธอจำมั้ยไม่ได้จริงๆ ความทรงจำของเธอยังกลับมาไม่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์
"ถูกต้อง คำสาปสุริยันจันทรา" เอไลจาห์พูดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ "ฟังดูเหมือนอยู่ในพระคัมภีร์เลยนะว่ามั้ย" เบลล่าขมวดคิ้ว "มีอะไรตลกนักหรอ" เอเลน่าถามเขา
จากนั้นเขาก็เริ่มเล่าว่าเขากับเคลาส์สร้างคำสาปจันทราได้ยังไง "ฉันไม่เข้าใจ เคลาส์วาดรูปเกี่ยวกับคำสาปที่พ่อมดแอซแทคทำไว้งั้นหรอ?" เอเลน่าถาม "ม้วนกระดาษโรมันโบราณ อักษรสลักของชาวเขาแอฟริกัน..เรารู้สึกว่าได้ปลูกสิ่งบางสิ่งลงไปในวัฒนธรรมหรือดินแดนอื่นๆ"
"แต่ทำไมล่ะ" เบลล่าถาม "มันเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะหาตัวคนหน้าเหมือนว่าอยู่ที่ไหนหรือการได้พลอยสีน้ำเงินเม็ดนั้นซึ่งสูญหายไปนานแสนนานอันเป็นสิ่งที่ทั้งสองสายพันธุ์แสวงหา" เบลล่าขมวดคิ้วขณะที่พยายามประมวลผล "งั้นมันไม่เกี่ยวกัาวแอซแทคเลยหรอ" คนผมแดงถามขึ้นในที่สุด
"คำสาปสุริยันจันทรา...ไม่ใช่เรื่องจริง มันไม่ได้มีอยู่จริงหรอก" เบลล่าเอียงคอด้วยความงุนงงอยู่เล็กน้อย วินาทีต่อเอไลจาห์เริ่มเดินข้ามสะพานปล่อยให้สองสาวงุนงง "อะไรนะ"
"เคลาส์กับฉันกุเรื่องคำสาปสุริยันจันทราขึ้นมาย้อนกลับไปเมื่อพันปีก่อน" เบลล่าขมวดคิ้ว "แต่ถ้าไม่มีคำสาป-" เธอถูกเอไลจาห์ตัดออก "มีคำสาปอยู่แต่ไม่ใช่คำสาปนั้น คำสาปที่แท้จริงเลวร้ายกว่านั้นมากมันเป็นคำสาปซึ่งสาปมาที่ตัวของเคลาส์"
"คุณพูดถึงเรื่องอะไรอยู่" เอเลน่าถาม "เคลาส์พยายามจะถอนคำสาปนี้มาตลอด พันปีที่ผ่านมา เธอก็เป็นความหวังของเขา" เอไลจาห์หยุดเดินในที่สุด "งั้นมันเป็นคำสาปอะไรกันล่ะ"
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้คำตอบเอไลจาห์ก็หยิบโทรศัพท์ของเอเลน่าออกมา "โทรศัพท์ของเธอไม่หยุดสั่นซะทีเลยนะ รับสายสิ" เขายื่นให้เอเลน่าที่รับไปด้วยความรำคาญเล็กน้อย "สเตฟาน.."
เบลล่ามองดูหน้าน้องสาวบุญธรรมที่คิ้วขมวด "เกิดอะไรขึ้น" เอเลน่าถามสเตฟานผ่านทางโทรศัพท์ "ไม่นะ... ไม่ ไม่ ไม่ ฉัน-ตกลง ฉันจะไปเดี๋ยวนี้" เอเลน่าวางสายหลังจากนั้น
"มีอะไรหรอ" เบลล่าถามเธอ "เคลาส์ตามล่าน้าเจนน่า ฉันต้องไปตามหาเธอ" เบลล่าเม้มริมฝีปากด้วยความกังวล "เกรงว่ามันจะไม่อยู่ในข้อตกลงของวันนี้" เอไลจาห์บอก "เธอเป็นคนในครอบครัวของฉันเอไลจาห์ ฉันจำเป็นต้องไป แล้วเราจะกลับมา ฉันสัญญา"
เบลล่าเลิกคิ้วเล็กน้อยกับประโยคที่เปลี่ยนไปของเอเลน่า "นั่นไม่ได้มีความหมายอะไรกับฉันเลยจนกว่าเธอจะกระทำ" เอไลจาห์หันไปมองเบลล่า "และโรซาเบลล่าต้องอยู่ที่นี่" เอเลน่าไปหาเบลล่า "ฉันจะเป็นไร" เธอให้สัญญากับเอเลน่า
แม้จะลังเลเล็กน้อยแต่เอเลน่าก็กอดลากับเบลล่าในวินาทีต่อมา "ดูแลเจนน่าโอเคมั้ย" เบลล่ากระซิบและเอเลน่าก็พยักหน้าในอ้อมกอดก่อนจะปล่อยไป "ขอบคุณ" เธอกระซิบกับเอไลจาห์เสียงเบาและเดินจากไป
เมื่ออยู่กันสองคนเบลล่านั่งลงบนม้านั่งใกล้ๆและเล่นกับสร้อยคอ คิ้วของเธอขมวดเป็นปมและคำถามที่เธอถามมาตลอดในใจของเธอก็เกิดขึ้นอีกครั้ง 'เธอเป็นอะไรกันแน่?'
"มีอะไรอยากจะถามหรือเปล่า" เอไลจาห์ถามทันทีที่นั่งลงข้างๆเธอ เบลล่าหันไปมองเขา "คุณรู้หรือเปล่าว่าฉันไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา" เธอถามเบาๆ เอไลจาห์ยิ้มเยาะเล็กน้อยและพยักหน้า "งั้น...ฉันเป็นอะไรกันแน่?"
นัยตาสีฟ้าของเบลล่าเต็มไปด้วยความหวังที่จะได้รับรู้ แวมไพร์ดั้งเดิมเพียงแค่ยิ้ม "เธอจะรู้เมื่อถึงเวลา" เบลล่าขมวดคิ้วด้วยความผิดหวัง "นั่นหมายความยังไงกันแน่ ทั้งหมดที่ฉันรู้คือฉันสามารถจุดไฟได้ เผาป่าและทำร้ายคนด้วยความร้อน" เธอพูดดังขึ้นเล็กน้อย
เอไลจาห์ถอนหายใจเบาๆ "โรซาเบลล่าที่รัก เธอรู้จักตำนานอะไรที่เกี่ยวข้องกับไฟบ้าง" เบลล่าขมวดคิ้วพยายามนึกที่เธอได้อ่านมาราวๆเกือบสัปดาห์ก่อน "ฟินิกซ์....มังกร...ไฟร์เบิร์ด.." เบลล่าหยุดพูดเมื่อรู้สึกแปลกๆออกไป
เธอมองลงไปที่มือของเธอ "ไฟ..." เธอหลับตาลงโดยหวังว่าเธอจะสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ เธอนึกกลับไปในความทรงจำที่เธอสร้างมันขึ้นมาเป็นครั้งแรก ความโกรธ คือสิ่งที่เธอรู้สึกในตอนนั้น
โรซาเบลล่าพยายามค้นหาความโกรธนั้นเพียงเพื่อพบกับความผิดหวัง เธอลืมตาขึ้นมาเห็นเพียงความว่างเปล่าและถอนหายใจออกมา นัยตาสีฟ้าจ้องมองลงไปที่พื้นขณะที่ในอกของเธอเต็มไปด้วยอารมณ์
'มันต้องมีอะไรสักอย่างที่บอกว่าเธอเป็นอะไรสิ' เบลล่าถอนหายใจ "ฉันขอโทษ..." เธอพึมพำขณะที่ใช้ความเร็วแวมไพร์วิ่งหายไปในป่าลึกอย่างรวดเร็วโดยทิ้งเอไลจาห์ไว้ด้วยความรู้สึกที่ว่าเธอจะกลับมาในอีกไม่ช้า
หลังจากวิ่งมาไกลพอเบลล่าก็หยุดวิ่ง เธอรู้สึกได้ถึงความผิดหวังและโกรธเล็กๆในอกที่เอไลจาห์รู้แต่ไม่บอกเธอ เธอจับไปที่สร้อยอีกครั้งด้วยความหวังครั้งใหม่ว่าแม่มดที่สะกดอะไรก็ตามในตัวเธอไว้จะรู้เชื่อมเวทมตร์กับมันด้วย
"ฉันอยากจะรู้ว่าฉันเป็นอะไร" เธอพึมพำพลางขอร้อง ในไม่ช้าเธอก็รู้สึกได้ถึงเวทมนตร์ที่ไหลเวียนรอบตัวเธอ เวทมนตร์แห่งธรรมชาติของเธอ เบลล่าอ้าปากค้างมองไปรอบๆและเห็นนกสองสามตัวบินวนเหนือเธอพลางส่งเสียงร้อง
พวกมันมีสีสดใสและเบลล่ามองออกว่ามันคือนกเหยี่ยว นัยตาสีฟ้าของเธอเปล่งประกายแห่งชีวิตและไม่นานมันก็กลายเป็นสีขาวในวินาทีต่อมา
-
เบลล่าเห็นห้องห้องหนึ่ง ล้อมรอบด้วยผนังหินแบบโบราณและตรงกลางมีหนังสือเปิดอยู่ วินาทีต่อมาเบลล่าก็ตัดสินใจเดินไปหาหนังสือนั้นในที่สุด เธอสังเกตว่ามันเป็นลายมือที่ไม่คุ้นเคยดูราวกับว่ามันโบราณมากๆ
มือเรียวของเธอลูบไล้ไปตามกระดาษสีกาแฟเก่าแก่ ตัวอักษรที่เขียนคือตัวอักษรแบบโบราณที่เธอไม่รู้จักและไม่สามารถอ่านมันออกได้ วินาทีต่อมาเบลล่าก็ต้องตกใจเมื่อสังเกตเห็นว่าตัวอักษรเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษอย่างน่าอัศจรรย์
'ไฟร์เบิร์ด คือวิหคเพลิงจากตำนานของชาวสลาฟว่ากันว่าพวกมันเป็นนกขนาดใหญ่ที่มีขนสง่างามและเปล่งแสงสีแดง ส้มและเหลืองอย่างเจิดจ้าราวกับกองไฟที่ปั่นป่วน ขนจะไม่หยุดส่องแสงแม้ดึงมันออก และขนนกตัวหนึ่งสามารถส่องแสงได้ในห้องขนาดใหญ่
ในภายหลังว่ากันว่ามันเป็นนกยูงสีเพลิงขนาดเล็กสมบูรณ์ด้วยหงอนบนหัวและหางขนนกที่มีตาเรืองแสง สวยงามแต่อันตราย'
"ไฟร์เบิร์ด?" เธอพึมพำขณะที่ยังคงอ่านต่อไปเรื่อยๆ
'ในตำนานของเรา ไฟร์เบิร์ดตัวแรกเกิดขึ้นราวสองพันปีที่แล้วด้วยเวทมนตร์จากธรรมชาติ มันบินวนไปมาในนภาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจนกระทั่งนกตัวนั้นตกหลุมรักกับมนุษย์และอ้อนวนขอให้ธรรมชาติเปลี่ยนมันเป็นมนุษย์เพื่อที่ทั้งสองจะได้รักกัน
ธรรมชาติทำให้ตามนั้นและเปลี่ยนนกตัวนั้นให้กลายเป็นมนุษย์สาวคนหนึ่ง ว่ากันว่าหลังจากที่เธอมีทายาทแล้วเธอก็กลับร่างเป็นนกไฟและบินหายไป
ทายาทของเธอสืบทอดสายเลือดของไฟร์เบิร์ดมากันรุ่นต่อรุ่น พวกเขามีพลังวิเศษที่ไม่เหมือนใคร ไฟร์เบิร์ดนั้นมีเวทมนตร์ของธรรมชาติอยู่ในตัวแม้ว่าพวกมันจะไม่สามารถร่ายคาถาหรือปล่อยผลของมันออกมาได้ก็ตาม
ไฟร์เบิร์ดสามารถที่จะเชื่อมต่อกับแม่มดหรือพ่อมดและเพิ่มพลังเวทมนตร์ให้พวกเขาได้อย่างไม่จำกัด
จุดอ่อนของไฟร์เบิร์ดคือเวทมนตร์โบราณเช่นกันที่สามารถร่ายได้จากแม่มดที่มีพลังแกร่งกล้ามากพอ มันจะทำให้พวกมันอ่อนแอไปสักพักหนึ่งและไม่สามารถใช้ความสามารถได้'
ในหน้านั้นเนื้อหาจบแค่นั้น เบลล่าปิดหนังสือก่อนจะถอนหายใจด้วยคิ้วที่ขมวดและยังคงงุนงง มันมาจากความทรงจำของเธอ เสียงในหัวของเธอดังขึ้น "ตอนไหนกัน" เธอถามออกมา
ก่อนที่หนังสือจะถูกเผาโดยแม่มดเมื่อเธออายุสามขวบ เบลล่าขมวดคิ้วมากขึ้นเมื่อรู้ว่าหนังสือถูกเผาไปเมื่อเธอสามขวบแต่เธอมีความรู้สึกว่าข้อมูลของเผ่าพันธุ์เธอจะถูกแผ่กระจายไปนานมากแล้ว
"แต่...ฉันเข้าไปอ่านมันตอนไหน" เธอพึมพำ ตอนขวบหนึ่ง พ่อของเธอพาเธอลงไป เบลล่าพยักหน้า 'นั่นสมเหตุสมผลแล้ว' เบลล่าถอนหายใจเมื่อสรุปได้ว่าเธอเป็นที่ต้องการของแม่มด พวกเขาต้องการให้เธอตายเพราะเผ่าพันธุ์ของเธอที่ดูเป็นอันตรายต่อพวกเขา
-
เบลล่ากระพริบตากลับมายังป่าที่เดิมที่เธออยู่ เหล่านกไม่ได้บินเหนือหัวเธอต่อไปแล้ว พวกมันเกาะอยู่บนกิ่งไม้ใกล้ๆเธอ "เยี่ยม อย่าให้ใครรู้ว่าเป็นไฟร์เบิร์ด งานง่ายๆ" เธอพึมพำ
วินาทีต่อมาเบลล่าใช้ความเร็วของแวมไพร์วิ่งกลับไปที่คฤหาสน์เพื่อกลับไปหาเอไลจาห์ เธอพบว่าเขาอยู่ในห้องนั่งเล่นเดิมก่อนที่พวกเขาจะเดินออกไปด้านนอก
"ยินดีต้อนรับกลับมา" เขาพูดขณะที่หันไปหาเธอ "งั้น...ฉันเป็นไฟร์เบิร์ด?" เบลล่าถามและเอไลจาห์ก็พยักหน้า "เธอเป็นไฟร์เบิร์ดตัวสุดท้ายแล้วและด้วยความสามารถของเธอทำให้เป็นที่ต้องการของทั้งแม่มด แวมไพร์และแม้แต่มนุษย์หมาป่า"
"เยี่ยม" เบลล่าบ่นพึมพำและนั่งลงบนโซฟาปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำและปล่อยให้ความคิดในหัวของเธอดังขึ้น งั้นเธอก็เป็นไฟร์เบิร์ดตัวสุดท้ายในโลก เธอสามารถเพิ่มพลังให้แม่มดได้แต่แม่มดอยากให้เธอตายด้วยความคิดที่ว่าเธออันตรายเกินไป ส่วนพวกหมาป่าและแวมไพร์คงเห็นว่าสามารถใช้ประโยชน์จากความสามารถของเธอได้ เยี่ยม เยี่ยมไปเลยชีวิตเธอ
ความคิดของเธอหยุดลงเมื่อได้ยินเสียงประตูปิดลง เธอหันไปมองเอเลน่าที่พึ่งเดินเข้ามา "ยินดีต้อนรับกลับมา" เอไลจาห์พูด "บอกฉันทีสิว่าคำสาปของเคลาส์คืออะไร" เอเลน่าพูดขณะถอดเสื้อนอกออก
"นั่งสิ" เอไลจาห์บอกกับเธอ เอเลน่านั่งลงตามคำขอข้างๆเบลล่า เอไลจาห์วางแก้วไวน์ของเขาลงก่อนจะเริ่มอธิบาย "รู้ไหม ครอบครัวของฉันสนิทกันมากนะแต่เคลาส์กับพ่อของฉันเข้ากันไม่ค่อยได้เท่าไหร่ เมื่อเคลาส์กลายเป็นแวมไพร์เราจึงได้รู้ความจริง เคลาส์ไม่ใช่ลูกชายของพ่อฉัน"
เบลล่าเลิกคิ้วรอเอไลจาห์พูดต่อ "แม่ของฉันมีชู้หลายปีก่อนหน้านั้นนั่นเป็นความลับที่ดำมืดที่สุดของท่าน เคลาส์เกิดจากสายเลือดที่แตกต่าง แน่นอนเมื่อพ่อของฉันพบความจริงข้อนี้ท่านได้ตามล่าและฆ่าชู้รักของแม่รวมถึงครอบครัวของเขาทั้งหมดโดยที่ไม่ได้ตระหนักว่าท่านได้จุดไฟสงครามระหว่างสายพันธุ์ขึ้นมาแล้วซึ่งยังเดือดดาลจนถึงทุกวันนี้"
"สงครามระหว่างสายพันธุ์งั้นหรอ?" เอเลน่าถาม "แวมไพร์และมนุษย์หมาป่า" เบลล่าพึมพำและเอไลจาห์ก็พยักหน้ายืนยันคำตอบ "ถ้างั้นพ่อจริงๆของเคลาส์ก็มาจากสายเลือดมนุษย์หมาป่าน่ะสิ แล้วนั่นทำให้เคลาส์เป็นอะไรกันแน่ มนุษย์หมาป่าหรือแวมไพร์"
"ทั้งสองอย่าง" ลมหายใจของเบลล่าสะดุดด้วยความกลัวเล็กน้อยขณะที่เอเลน่านั่งตกใจ ไม่นานนักเอไลจาห์ก็พูดต่อ "ลูกผสมยิ่งน่ากลัวกว่ามนุษย์หมาป่าหรือแวมไพร์ตนไหนๆ ธรรมชาติไม่ยอมให้เกิดพลังที่ไม่สมดุลแบบนั้นดั้งนั้นแม่มดพ่อมดซึ่งเป็นผู้รับใช้ธรรมชาติจึงเล็งเห็นว่าส่วนที่เป็นมนุษย์หมาป่าของพี่ชายฉันจะยังคงอยู่ได้"
"นั่นเป็นคำสาปที่เคลาส์ต้องการจะถอนงั้นหรอ" เอเลน่าถาม "เขาต้องการปลุกด้านซึ่งเป็นมนุษย์หมาป่าในตัวเขาขึ้นมา ถ้าสำเร็จเคลาส์จะต้องเป็นต้นสายพันธุ์ของตนเอง เขาจะสร้างเผ่าพันธุ์ของตัวเองที่ไม่ได้เป็นอันตรายต่อแวมไพร์เท่านั้นแต่ต่อทุกคน"
"แต่คุณช่วยเขา" เบลล่ามองดูเอเลน่าที่ลุกขึ้นยืน "ฉันช่วยเขาเพราะฉันรักเขา ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว เขาต้องตาย" เบลล่าลุกขึ้นยืนและในหัวเต็มไปด้วยหลายสิ่งที่แม้แต่เธอเองก็สรุปมันออกมาไม่ได้
"ตอนนี้เรามีกริช เราสามารถหยุดเขาได้" เอเลน่าบอกกับเขา "เมื่อมนุษย์หมาป่าถูกเฉือนด้วยเงินมันจะรักษาตนเอง ไม่มีอะไรฆ่าพวกดั้งเดิมได้นอกจากขี้เถ้าจากต้นโอ๊คขาวบนกริชเงินนั้น เข้าใจปริศนานี่แล้วสินะกริชใช้ไม่ได้ผลหรอก"
"คุณกำลังพูดอะไร เคลาส์ฆ่าไม่ตายงั้นหรอ" เอเลน่าถาม "มีวิธีเดียวที่จะฆ่าสายพันธุ์เหนือธรรมชาติได้ก็ต้องด้วยน้ำมือของผู้รับใช้ธรรมชาติเท่านั้น" เอไลจาห์บอก เบลล่ากลืนน้ำลาย "แม่มด" เธอพูดออกมา
"ถ้าพวกเขาดึงพลังมาได้มากพอ" เอเลน่าสรุปจากนั้นก็ถอนหายใจ "แต่การทำอย่างนั้นจะทำให้พวกเขาตาย" เอไลจาห์มองไปที่เบลล่าที่ส่ายหัวเมื่อเธอรู้ดีว่าเขาคิดอะไรอยู่ "คำสาปต้องถูกถอนในช่วงพระจันทร์เต็มดวงขณะที่เคลาส์กำลังกลายร่างนั่นจะเป็นช่วงเวลาที่เขาอ่อนแอที่สุด แม่มดที่มีพลังมากพอจะฆ่าเคลาส์ได้"
เบลล่าหันไปมองน้องสาวบุญธรรมของเธอ "ถ้าฉันบอกว่าฉันรู้จักแม่มดที่ดึงพลังมหาศาลขนาดนั้นได้ล่ะ" คนผมแดงจ้องไปที่อีกสองคนในห้องด้วยสายตาของอารมณ์ที่ซับซ้อนและความรู้สึกแปลกประหลาดในท้องของเธอ "งั้นฉันก็จะบอกเธอว่ามีอีกอย่างหนึ่งที่เธอควรรู้ไว้..."
จากนั้นเอไลจาห์ก็เล่าว่าเขาเจอวิธีช่วยแคทเธอรีนได้อย่างไร เบลล่าก้าวเข้าไปใกล้พวกเขามากขึ้นเล็กน้อย "คุณพบวิธีที่ช่วยดอปเพิลเกงเกอร์แล้วหรือยัง" เอเลน่าถามอย่างมีความหวัง "พบแล้วเอเลน่า ฉันทำไปแล้ว โชคร้ายที่แคทเธอรีน่ายื่นมือเข้ามายุ่งเสียก่อน ฉันเชื่อว่าเธอรู้อยู่แล้วว่าผลจะออกมาเป็นยังไง"
"คุณเป็นห่วงเธอใช่มั้ย" เอเลน่าถามเงียบๆ "เขาบอกมาว่ามันเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ เป็นความผิดพลาดที่ฉันจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก" เอไลจาห์กระซิบกับเอเลน่าก่อนจะเดินออกไป
พวกเขาสามคนเดินไปยังบ้านซัลวาเทอร์เพียงเพื่อมองเห็นพี่น้องสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่ "หยุดนะ" เอเลน่าเอ่ยออกมาทำให้สองพี่น้องเดม่อนและสเตฟานหยุดทันที เบลล่าเลิกคิ้วด้วยความไม่ประทับใจ
"แล้วตอนนี้เธอเชิญเขาเข้ามางั้นหรอ" เดม่อนถามด้วยความไม่พอใจในเสียงของเขา "เอไลจาห์กับฉันได้ทำข้อตกลงใหม่แล้ว" เอเลน่าบอก "งั้นหรอ" เดม่อนประชดประชัน
"ฉันจะไม่ทำอันตรายนายทั้งสองคน ฉันขอข้อแลกเปลี่ยนเพียงอย่างเดียว" เบลล่ายกยิ้มมุมปากเมื่อเธอรู้ทันเขา "อะไร" นัยตาสีฟ้าของเบลล่ามองดูเหตุการณ์ด้วยความขบขัน
"คำขอโทษ" เอไลจาห์เอ่ยออกมา สองพี่น้องซัลวาเทอร์ทำหน้างง "อะไรนะ" เดม่อนเอ่ยออกมาและเบลล่ารู้ดีว่าเขาหยิ่งเกินไปที่จะขอโทษแวมไพร์ดั้งเดิมอย่างเอไลจาห์ ความเงียบเกิดขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง
"ผมขอโทษที่มีส่วนทำให้คุณต้องตาย ผมแค่พยายามปกป้องเอเลน่า ผมจะปกป้องเอเลน่าเสมอ" สเตฟานเอ่ยออกมาและเบลล่าหันไปเห็นน้องสาวบุญธรรมของเธอยิ้มน้อยๆ "ฉันเข้าใจ" เอไลจาห์ตอบรับคำขอโทษของเขา
ทุกคนหันไปมองเดม่อนเพื่อรอคำขอโทษของเขาต่อไปแต่เบลล่ารู้ดีว่ามันจะไม่เกิดขึ้น "การบูชายัญกำลังจะเกิดขึ้น เดม่อนบอนนี่จะฆ่าเคลาส์โดยที่ไม่ทำร้ายตัวเองและเอไลจาห์ก็รู้ว่าจะช่วยชีวิตฉันยังไง ฉันบอกคุณแล้วว่าฉันจะลองหาวิธีอื่น แล้วฉันก็ทำได้" เอเลน่าบอกกับเดม่อน
"จริงหรอ" เดม่อนถามออกมา "จริงสิ" เอไลจาห์ตอบ "แล้วเธอก็เชื่อใจเขางั้นหรอ" เดม่อนถามอีกครั้ง "ใช่แล้ว" เอเลน่าตอบ "พวกเธอทั้งหมดไปลงนรกได้เลย" เขาเอ่ยก่อนจะเดินจากไป
"ตอนนี้เขายังโกรธผมอยู่แต่เดี๋ยวเขาก็จะมา" สเตฟานบอก "คงงั้น" เบลล่าถอนหายใจเบาๆโดยรู้ว่ามันอาจจะจบลงไม่ได้ด้วยดี
talk ;
ตำนานของไฟร์เบิร์ดในช่วงที่สองเป็นของที่เราแต่งขึ้นมาเองนะคะ5555555 จะได้เข้ากับเนื้อเรื่องใครอยากอ่านแบบตำนานของไฟร์เบิร์ดจริงๆกดด้านล่างได้เลยค่ะเราจะทิ้งลิ้งค์ไว้ให้
ความคิดเห็น