ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    the vampire diaries — fire on fire , klaus mikaelson

    ลำดับตอนที่ #5 : ⁽ 04 ⁾

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.ค. 64


    ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ elijah mikaelson aesthetic gif
    ( 04 )
    2x11 - By the Light of the Moon


    ช่วงสองสามวันที่ผ่านมามีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเอเลน่าพาตัวเองไปตายโดยการพยายามส่งตัวเองให้กับเคลาส์โชคดีที่โรสเรียกเดม่อนไปช่วยเอาไว้ได้ทัน เจเรมี่พยายามฆ่าตัวตายด้วยการนำผงขี้เถ้าจากบอนนี่ไปใส่แคทเธอรีนและหยิบมูนสโตนออกมา แคโรไลน์บอกไทเลอร์ว่าเธอเป็นแวมไพร์และสเตฟานติดอยู่ในสุสานกับแคทเธอรีน

    เมื่อเบลล่าคิดว่าเธอไม่มีอะไรจะทำให้เธอประหลาดใจได้มากกว่านี้อีกแล้วเธอก็คิดผิด ในขณะที่หญิงสาวผมสีเพลิงเปิดระตูห้องเอเลน่าเพื่อไปยืมของที่ต้องการ "เฮ้ เอเลน่าขอยื-" คำพูดของเบลล่าถูกตัดขาดเมื่อเห็นชายหนุ่มในชุดสูทที่คุ้นเคยยืนอยู่ในห้องของเอเลน่า ดวงตาของเธอเบิกกว้างและรอยยิ้มก็กว้างขึ้น

    "คุณยังมีชีวิตอยู่" เบลล่าเปิดตัวเองเข้าไปในอ้อมกอดของเขาในทันที เขาตัวเกร็งไปประมาณหนึ่งวินาทีก่อนจะผ่อนคลายและโอบกอดเธอกลับพร้อมรอยยิ้ม หญิงสาวผมสีส้มเพลิงรู้สึกเพียงว่าเธอเป็นห่วงเขาอาจจะเพราะความฝันเมื่อสองวันก่อนหรือเพราะอะไรเธอก็ไม่แน่ใจนัก เบลล่าค้างอ้อมกอดไว้ประมาณครึ่งนาทีก่อนจะถอยออกมา "โอ้ ฉันขอโทษ ฉัน-"

    "ไม่เป็นไร" เขายิ้มให้เธออย่างจริงใจและเบลล่าก็พยักหน้าพยายามกลั้นยิ้มแต่ก็ล้มเหลวและเผยรอยยิ้มกว้างออกมา เธอสงบสติอารมณ์ตัวเองและเดินไปยืนข้างๆเอเลน่าที่งุนงงกับสถานการณ์ "ขอโทษที่บุกรุกนะ ครอบครัวของเธอปลอดภัยดี" เขาพูดออกมา "ทำไมคุณถึงฆ่าแวมไพร์ที่พยายามมาเอาตัวฉันล่ะ" เอเลน่าถามเขาและเบลล่าก็ตระหนักได้ว่าเดม่อนไม่ได้บอกเรื่องราวทั้งหมด

    "ก็ฉันไม่ได้อยากให้เธอถูกเอาตัวไปน่ะสิ เคลาส์เป็นคนที่น่ากลัวและเป็นที่เกลียดชังมากที่สุดในบรรดารุ่นดั้งเดิมพวกที่กลัวเขาเป็นพวกที่ไร้ค่าในสายตาเขาเมื่อมีคนพูดออกไปว่าดอปเพิลเกงเกอร์ปรากฎตัวแล้วล่ะก็จะมีแวมไพร์มากมายที่อยากพาเธอไปให้เขาและฉันคงยอมไม่ได้" เอไลจาห์พูดขณะที่เดินไปนั่งลงบนขอบหน้าต่าง

    "นั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณกำลังพยายามทำอยู่หรอ" เอเลน่าถามอีกครั้ง "บอกได้เลยว่าเป้าหมายของฉันไม่ใช่การถอนคำสาป" เขาบอกกับเอเลน่า "งั้นจุดประสงค์ของคุณคืออะไร" เบลล่าเอียงคอสงสัยขณะมองไปที่เขา "ความลุ่มหลงของเคลาส์ทำให้เขาหวาดระแวง เขาเป็นพวกชอบสันโดษเขาเชื่อในเฉพาะคนใกล้ชิดเท่านั้น"

    "อย่างคุณหรอ" เบลล่าถาม "ไม่อีกแล้วล่ะ" และเบลล่าก็นึกสงสัยว่ามีอะไรเกิดขึ้นทำให้พวกเขาแตกคอกัน "คุณไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหน ใช่ไหม ดังนั้นคุณพยายามจะใช้ฉันเพื่อดึงเขาออกมา" เอเลน่าสรุป "จะทำอย่างนั้นได้ เธอต้องอยู่เฉยๆเลิกพยายามที่จะรนหาที่ตายซะที" เอไลจาห์พูดและเบลล่าก็กลั้นหัวเราะกับสีหน้าของเขา

    "ฉันจะรู้ได้ไงว่าคุณพูดความจริง" เอเลน่าถามเขาอีกครั้ง "ถ้าฉันไม่ได้พูดความจริงครอบครัวเธอคงตายไปแล้วแล้วตอนนี้ฉันคงเอาตัวเธอไปส่งให้เคลาส์แล้วล่ะแทนที่จะเป็นอย่างนั้นฉันมาที่นี่เพื่อยืนยันข้อตกลง" เขากล่าวและเบลล่าก็ขมวดคิ้ว "ข้อตกลงอะไร" เอเลน่าถาม "ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย ใช้ชีวิตของเธอไป เลิกต่อสู้และเมื่อถึงเวลาเธอกับฉันก็จะดึงเคลาส์ออกมาได้แล้วฉันรับรองว่าเพื่อนของเธอทุกคนจะไม่มีรอยขีดข่วน"

    "จากนั้นล่ะ" เบลล่ามองไปที่ทั้งสอง "แล้วฉันก็จะฆ่าเขา" เขากล่าวอย่างเรียบง่ายแต่ทำให้เบลล่าขมวดคิ้วสงสัย "แค่นั้นหรอ" เอเลน่าถามอย่างงุนงง "แค่นั้นแหละ ฉันเป็นคนรักษาคำพูดเอเลน่า เมื่อสัญญาแล้วฉันก็รักษาสัญญา" เอไลจาห์กล่าวและเสียงในหัวของเบลล่าก็ย้ำเตือนว่าเธอสามารถเชื่อใจเขาได้

    "แล้วคุณจะทำให้พวกเขาปลอดภัยได้ยังไง" เอเลน่าถาม "ฉันรู้ว่าเธอมีเพื่อนที่ชื่อบอนนี่ ใช่มั้ยดูเหมือนเธอจะได้รับสืบทอดพรรสวรรค์ทางเวทมนตร์ ฉันก็มีเพื่อนที่มีความสามารถนี้" เอเลน่าพยักหน้า "คุณรู้จักแม่มดด้วยนี่" เธอกล่าว "ถ้าร่วมมือกันเราก็จะปกป้องทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเธอได้ แล้วเรามีข้อตกลงหรือยังล่ะ"

    เอเลน่าดูขบคิดสักวินาทีก่อนจะพูดขึ้น "ฉันต้องการให้คุณทำเรื่องหนึ่งให้ฉันก่อน" เบลล่าเม้มปากด้วยความประหม่า "นี่เรากำลังต่อรองกันอยู่ใช่มั้ย" เขากล่าวและเอเลน่าก็พูดให้เขาปลดปล่อยสเตฟานออกจากสุสานเขาพยักหน้าและเริ่มเดินออกไป "อ้อ ยินดีที่ได้พบอีกครั้งโรซาเบลล่า" และทษฎีว่าเขากับเธอรู้จักกันมาก่อนก็ถูกต้องเพราะเธอยังไม่เคยแนะนำตัวกับเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียวหรืออาจจะเป็นเพื่อนแม่มดของเขาที่เธอไม่รู้ก็ได้

    แต่เสียงในหัวบอกเธอว่าทษฎีของเธอถูกและมันมีอะไรมากกว่าที่เธอคิด


    เบลล่าในวัยแปดขวบเดินตามเอไลจาห์ไปยังห้องพักแห่งหนึ่งที่จุดเทียนรอบๆและมีวงกลมสีขาวอยู่ตรงกลาง "เรามาทำอะไรกันหรอคะ" เบลล่าในวัยเด็กถามด้วยความสงสัยและเอไลจาห์ก็ยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนและนุ่มนวลก่อนที่เสียงฝีเท้าจะดังขึ้นและนัยตาสีฟ้าที่เข้มขึ้นจากตอนหกขวบของเบลล่าก็สังเกตเห็นผู้หญิงสวยคนหนึ่ง

    "คุณรู้ว่าฉันสะกดมันได้ไม่นานใช่มั้ย" หญิงสาวคนนั้นถามและจากที่เธออยู่กับเขามาเธอก็รู้ได้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้เป็นแม่มด "ใช่ แต่ฉันอยากให้เธอสะกดมันจนกว่าเธอจะพร้อม" เอไลจาห์กล่าวกับหญิงสาวและเธอพยักหน้าก่อนจะยื่นสร้อยคอที่คุ้นเคยให้กับเขา เอไลจาห์รับมันก่อนจะย่อตัวลงให้เท่ากับเบลล่าในวัยแปดขวบ

    "นี่จะเป็นของขวัญสำหรับหนูน้อยโรซาเบลล่าที่น่ารัก" เขาถือให้เธอดูและดวงตาสีฟ้าก็เปล่งประกายด้วยความสุข มันคือสร้อยคอสีทองที่คล้ายรูปดาวและมีเพรชเม็ดเล็กๆล้อมรอบอเมทิสต์สีม่วงอ่อนสวยงาม สร้อยคอที่เธอใส่อยู่ทุกวันและจำไม่ได้ว่ามาจากใครแต่ตอนนี้เธอรู้แล้วมันมาจากเขา

    "ว้าว มันสวยมากเลยค่ะ" เอไลจาห์ยิ้มให้เด็กสาว "ใช่มั้ยล่ะ หันหลังมาสิเดี๋ยวใส่ให้" เขาพูดและเบลล่าก็พยักหน้าก่อนจะหันหลังให้เขา เอไลจาห์เอาผมสีเพลิงยาวออกก่อนจะเอื้อมไปข้างหน้าและใส่สร้อยให้แก่เด็กหญิง 

    หลังจากนั้นเขาก็พาเด็กหญิงไปยังตรงกลางวงกลมก่อนที่เธอจะนั่งลงและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น "ฟังนะ พี่ผู้หญิงคนนั้นจะร่ายมนตร์ป้องกันหนูจากอันตรายและทำให้หนูดีขึ้น หนูจะหลับไปและเมื่อตื่นขึ้นมาเราจะไปทานไอศกรีมกันโอเคมั้ย" เอไลจาห์พูดและเบลล่าก็ยิ้มก่อนจะพยักหน้าด้วยความกระตือรือร้น

    "สัญญา?" เธอถาม "สัญญา" เขายิ้มและดึงเธอเข้าไปกอดและจูบที่ศรีษะค้างไว้สองสามวินาทีก่อนจะผละออกมา นัยตาสีฟ้าจ้องไปที่เอไลจาห์ที่เดินออกไปและเขาก็พยักหน้าให้กับแม่มดที่เริ่มสวดมนตร์คาถา เบลล่ายิ้มให้กับเอไลจาห์ที่ยิ้มตอบด้วยน้ำตาคลอเบ้า วินาทีต่อมาเบลลาก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อยและง่วงนอนก่อนทุกอย่างจะดำมืดสิ่งสุดท้ายที่เธอเห็นคือน้ำตาสีใสที่ไหลลงบนใบหน้าของเอไลจาห์

    เปลือกตาสีมุกของเบลล่าเปิดขึ้นเผยให้เห็นนัยตาสีฟ้าสวยที่มีประกายความเศร้าโศกอยู่ในนั้น เบลล่ายันตัวขึ้นและสูดหายใจเข้าลึกๆ เธอจำวันนั้นได้และหลังจากที่เธอหลับไปเธอก็ตื่นขึ้นมาในห้องนอนกิลเบิร์ตปัจจุบันของเธอ มันเป็นความทรงจำของเธอ เธอจำได้แล้วแม้จะไม่มากแต่มันค่อยๆกลับมาทีละนิด

    นัยตาของหญิงสาวผมสีเพลิงเต็มไปด้วยน้ำตาสีใส "คุณผิดสัญญา" เธอพูดด้วยเสียงกระซิบและหลับตาปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาก่อนจะปิดปาดกลั้นเสียงสะอื้นในความเงียบของยามราตรี เธอยังคงสงสัยว่าทำไมเขาต้องลบความทรงจำของเธอกับสิ่งที่เขาพูดถึงและเธอจะหาคำตอบให้ได้พร้อมกับการดึงความทรงจำทั้งหมดสองปีกลับคืนมา


    เบลล่าอยู่ในห้องของเธอในเช้าวันต่อมาและวางแผนที่จะไม่ออกไปไหนจนกว่าจะได้ความทรงจำทั้งหมดกลับคืนมา เธอมีลางสังหรณ์ว่าต้องทำยังไง เบลล่าเม้มริมฝีปากก่อนจะหายใจเขาลึกและหลับตาใช้มือข้างหนึ่งจับสร้อยและปล่อยใจไปกับความรู้สึกสงบที่เกิดขึ้น

    ไม่นานเธอก็จินตนาการถึงความรู้สึกร้อนอบอุ่นที่เคยแผ่ไปทั่วร่างกายในคืนวันที่เธอถูกลักพาตัว จินตนาการว่ามันกำลังวิ่งผ่านร่างกายของเธอเองและเธอก็ยิ้มออกมาเมื่อมันได้ผล ความร้อนเริ่มเกิดขึ้นและแผ่ไปทั่วร่างกาย เธอสามารถรู้สึกได้ว่ามันค่อยๆไล่จากท้องก่อนจะไหลไปตามเส้นเลือด

    ค่อยๆไปยังแขน ลำคอและขาของเธอจนในที่สุดมันก็ไปหยุดอยู่ที่ปลายเท้า นิ้วมือและใบหน้าของคนผมสีเพลิงเอง ความร้อนค่อยๆเพิ่มอุณหภูมิมากขึ้นเรื่อยๆหลังจากตอนแรกและเบลล่าก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองอยู่ในไมโครเวฟ น่าแปลกที่ไม่มีเหงื่อแม้แต่หยดเดียวบนใบหน้าหรือลำตัวของเธอเลย

    วินาทีต่อมาความร้อนลดลงและกลับไปสู่อุณหภูมิปกติ เบลล่าโฟกัสไปที่สร้อยและเรียกร้องความทรงจำที่ถูกเก็บไป โดยไม่รู้ตัวสร้อยอมเทิสต์สีม่วงอ่อนของเธอเปล่งประกายแสงอกมา

    เบลล่าเปิดตาขึ้นเผยให้เห็นดวงตาสีขาวโพลนและมือของเธอข้างหนึ่งก็ยังคงจับสร้อยเอาไว้อยู่ ในที่สุดวินาทีต่อมาเบลล่าก็สามารถเข้าถึงความทรงจำของเธอและเรียกมันกลับคืนมาได้ในที่สุด


    หลังจากการเหตุศพของครอบครัวผ่านไปเบลล่าก็ย้ายไปอยู่กับชายชื่อเอไลจาห์ในบ้านพักส่วนตัวของเขา ผ่านไปเป็นสัปดาห์ที่เบลล่าไม่พูดเลยแม้ว่าเอไลจาห์จะพยายามชวนเธอคุยเกือบตลอดเวลาก็ตาม

    เช้านี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เบลล่าตื่นขึ้นมาบนเตียงสีขาวและห้องที่กำลังตกแต่งเพื่อเธออยู่ เอไลจาห์บอกอย่างงั้น เธอเม้มริมฝีปากก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟันและลงไปข้างล่างในสิบนาทีต่อมา

    นัยตาสีฟ้าเห็นเขากำลังทอดเบคอนอยู่ เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ดูหรูหรา เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอเขาก็หันกลับมาและยิ้มให้ "อรุณสวัสดิ์โรซาเบลล่า" เขาทักทายแต่เธอเพียงยิ้มตอบเล็กน้อยเท่านั้นก่อนจะปีนตัวเองขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ที่เคาท์เตอร์และรออาหารเช้ามาเสิร์ฟเหมือนทุกวัน

    จานเบคอนและไข่ดาวถูกวางอยู่ตรงหน้าพร้อมกับผักสองสามอย่าง โรซาเบลล่ากลืนน้ำลายก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเอไลจาห์ที่ยังคงเตรียมนู่นนี่อยู่ "หนูขอน้ำส้มได้มั้ยคะ" เสียงของเบลล่าถามขึ้นและเอไลจาห์ก็ชะงักเมื่อเด็กสาวพูดกับเขาเป็นครั้งแรกหลังจากเหตุการณ์วันนั้น เขาหันไปมองเด็กหญิงและยิ้ม "แน่นอน"

    ในเช้าวันนั้นเป็นวันที่เอไลจาห์มีความสุขที่สุดในชีวิตรอบพันปีของเขา และเบลล่าที่เริ่มปรับตัวได้กินข้าวเช้าโดยมีผู้ใหญ่ในชุดสูทมองอยู่เหมือนทุกๆวัน


    เบลล่าสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายและเธอก็เม้มริมฝีปากแน่นก่อนที่เธอจะทำสิ่งเดียวที่นึกได้ในตอนนั้นคือการลงจากเตียงในห้องของเธอและเปิดประตูก่อนจะเดินไปยังประตูบานไม้สีขาวที่เป็นห้องของคนที่เรียกได้ว่าเป็นครอบครัวเดียวที่เธอมีในตอนนี้

    เบลล่าในวัยเด็กเปิดประตูอย่างช้าๆก่อนจะเดินและปีนขึ้นเตียงของชายหนุ่มที่กำลังหลับอยู่ เธอเม้มริมฝีปากและสะกิดเขาเบาๆ เปลือกตาของแวมไพร์เปิดขึ้นและก็กังวลทันทีเมื่อเห็นสีหน้าของเด็กหญิง "เอลี..ฝันร้าย" เบลล่ากระซิบบอกและเม้มริมฝีปาก "มานี่มา" เอไลจาห์เขยิบที่ว่างให้เบลล่าได้นอนลงและเขาก็ห่มผ้าทับเธอก่อนจะกอดและกล่อมหลับไปในที่สุด

    คืนนั้นเอไลจาห์ได้สัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่าความเป็นพ่อเป็นครั้งแรกและเบลล่าได้สัมผัสกับความรู้สึกของลูกสาวกับพ่อหลังจากที่ไม่ได้รู้สึกมานานเกือบหกเดือน


    เอไลจาห์มองดูหญิงสาววิ่งเล่นในสนามเด็กเล่นกับเด็กคนอื่นๆ เขายิ้มเมื่อเห็นรอยยิ้มที่สดใสของเธอก่อนที่นัยตาสีฟ้าของเบลล่าจะสบกับเขาและหยุดวิ่งพร้อมกับโบกไม้โบกมือให้เขาและเขาก็โบกมือตอบกลับไป

    แวมไพร์ดั้งเดิมมองดูเด็กหญิงกระซิบกระซาบกับเพื่อนก่อนจะวิ่งมาหาเขาและเขาก็รู้ว่าต้องทำอะไร เอไลจาห์ย่อตัวลงก่อนจะอ้าแขนออกและเบลล่าก็เข้าสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นของเขา "เราไปกินไอศกรีมได้มั้ยคะ" เธอถามทันทีที่ผละออกจากอ้อมกอด เอไลจาห์หัวเราะเบาๆ "แน่นอน" เบลล่าร้องเสียงดังก่อนจะยิ้มกว้างและเต้นไปรอบๆอย่างมีความสุข


    เบลล่าสังเกตเห็นหนังสือเล่มหนึ่งและหยิบมันขึ้นมาก่อนจะเดินไปหาเอไลจาห์ที่อ่านหนังสืออยู่บนโซฟากลางบ้าน เมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอเขาก็วางหนังสือลงและเลิกคิ้วเมื่อสังเกตเห็นหนังสือในมือของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ

    "เอลี เล่าเรื่องนี้ให้ฟังหน่อยสิ" เธอพูดเชิงถามและเขาก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนจะหยิบหนังสือออกมาจากมือเล็กๆของเด็กหญิง เบลล่าขึ้นไปนั่งบนโซฟาเอาหัวพิงอกของเอไลจาห์ฟังเขาเล่าเรื่องในหนังสือก่อนจะผลอยหลับไป


    "เอลี!" เสียงตะโกนเรียกของเด็กหญิงทำให้เอไลจาห์หันไปหาด้วยใบหน้าของแวมไพร์และเลือดที่มุมปาก เด็กหญิงกระพริบตาด้วยความกลัวก่อนที่เขาจะก้มหน้าลงด้วยความอับอายและไม่นานก็สัมผัสได้ถึงมือเล็กๆบนแก้มของเขา

    "เอลี" คราวนี้เสียงของเธออ่อนโยนกว่าเมื่อครั้งที่แล้วทำให้เขาเงยหน้าขึ้นขณะที่ยังคงมีเส้นเลือดสีดำใต้ตา เบลล่าจำได้ว่าเขาเคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับแวมไพร์ มนุษย์หมาป่าและแม่มด เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันเป็นจริงจนกระทั่งวันนี้แต่ยังไงซะเขาก็ดูแลเธอมาเธอจะกลัวเขาไม่ได้หรอก 

    เบลล่ายิ้มให้เขาและลูบแก้มเขาเบาๆ "มันสวย...หนูไม่กลัวคุณ เอไลจาห์ ไมเคิลสัน" เบลล่าพูดกับเขาเบาๆและเส้นเลือดสีดำใต้ตาของเอไลจาห์ก็จางหายไปเผยให้เห็นดวงตาสีน้ำตาลเข้มสวยงาม เบลล่าดึงเขาเข้ามากอดและพวกเขาก็สูดดมกลิ่นของกันและกัน

    ในวันนั้นเบลล่าได้เรียนรู้ว่าโลกเหนือธรรมชาติมีจริงในขณะที่เอไลจาห์ได้เรียนรู้ว่ายังมีคนที่กล้าหาญและไม่กลัวเขาอยู่บนโลกใบนี้


    เบลล่ากระพริบตาสองสามครั้งขณะที่มันกลับไปเป็นเหมือนเดิม เธอหอบหายใจและยกมือแตะด้านล่างของจมูกเมื่อรู้สึกได้ถึงคาวเลือดในปากของเธอและเธอก็ถอนหายใจออกมา

    มือเรียวหยิบทิชชู่อย่างรวดเร็วและเช็ดเลือดออกจนกระทั่งมันหมดไปจากใบหน้าของเธอ มือเรียวของเธอวิ่งผ่านเส้นผมสีเพลิงและเบลล่าก็ล้มตัวลงนอนเมื่อรู้ว่าวันนี้เธอจะไม่ได้อะไรไปมากกว่านี้ เบลล่าถอนหายใจและได้แต่คิดถึงความทรงจำที่เพิ่งได้กลับมา ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเพิ่มเลย
    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×