ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC Genshin impact X Fate] เอเทอร์ผู้ใช้พลังของวีรชน

    ลำดับตอนที่ #7 : สี่วิหาร/ใครอีกล่ะ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 629
      58
      30 ม.ค. 65

    หลังจากนั้นไม่นานทั้งตัวของเอเทอร์และไพม่อนก็ได้มาถึงวิหารในที่สุด ที่นั่นมีเอมเบอร์กำลังสำรวจภายในวิหารอยู่พอดี

     

     

    “มาถึงกันแล้วสินะ พวกเธอ”

     

     

    "ที่นี่แหละคือ หนึ่งใน วิหารสี่พายุ ที่ถูกทิ้งร้าง" เอมเบอร์เอ่ยทั้งสองคนมองดูภายในของวิหารแห่งนี้ที่ใหญ่มากพอสมควรแต่ว่าสภาพมันดูจะเก่าไปสักหน่อยนะ

     

     

    "ใหญ่จังเลยนะ แต่ทำไมถึงดูเหมือนจะไม่มีใครมาเลยล่ะ" ไพม่อนด้วยความสงสัยจึงเอ่ยถามเอมเบอร์ขึ้นมา ส่วนเอเทอร์เขาได้แต่มองดูวิหารรอบๆ ดูอยู่

     

     

    "ก็นะ…วิหารเหล่านี้ถูกทิ้งเอาไว้เมื่อนานมาแล้วน่ะ คนของมอนสแตทเองก็ไม่มีใครมาเลยด้วย" 

     

     

     

    "ไม่แน่นะ ข้างในอาจจะมีมอตสเตอร์ทำรังอยู่หรืออาจจะมีค่ายของพวก Hilichurl ก็เป็นได้ เพราะในตอนนี้ stormterror เองก็ทอดทิ้งวิหารของตนเองไปแล้วด้วย" เมื่อเอเทอร์ได้ยินประโยคช่วงท้ายที่บอกว่า วิหารของตัวเอง หมายความว่ายังไงน่ะ

     

     

    "วิหารของตัวเองเหรอ??" เอเทอร์เริ่มสงสัยขึ้นมาเลยตัดสินใจเอ่ยถามออกไป เอมเบอร์ทำหน้าลำบากใจทีจะบอกเล็กน้อยแต่เพราะคิดว่าเอเทอร์และไพม่อนก็เป็นเพื่อนพ้องแล้วก็คงต้องบอกให้ฟังสักหน่อย

     

     

    "ใช่แล้ว ถึงจะไม่อยากจะยอมรับเท่าไหร่ก็เถอะ แต่ว่า…stormteror นั้นเมื่อก่อนเป็นหนึ่งในสี่วายุ" เมื่อทั้งสองคนได้ยินเข้าสีหน้าทั้งสองคนต่างก็ตกใจพร้อมกัน

     

     

    "เอ๋!!!!" ไพม่อนดูจะแสดงอาการเยอะกว่าอื่นล่ะนะ ส่วนเอเทอร์ก็เหมือนจะนึกถึงคำพูดของซีกฟรีดเมื่อตอนนั้นที่เขาบอกจะบอกว่ามังกรตนนั้นไม่ได้ชั่วร้ายงั้นเหรอ เอเทอร์คิดอยู่นั้นเอมเบอร์เองก็รีบพูดขึ้นมาทันที เพราะมันจะออกนอกเรื่องไปไกลแล้วตอนนี้ต้องตั้งใจกับหน้าที่ก่อน 

     

     

    "อย่าพูดเรื่องพวกนี้เลย เธอรู้สึกมั้ย ลมของที่นี่มันมีอะไรแปลกๆ เข้าไปดูกันเถอะ เอเทอร์ ระวังตัวไว้นะ ที่นี่ได้รับผลกระทบจากพลังของมังกรอยู่" เอเทอร์์เอ่ยจบก่อนจะกดไปที่หินแกะสลักที่ติดอยู่กับกำแพงของวิหารก่อนที่เอมเบอร์จะเปิดเข้าไปกำแพงด้านหน้าของพวกเขาได้ถูกเปิดออกมาทั้งสามคนรีบเดินเข้าไปในวิหารและสิ่งที่เห็นก็คือ

     

     

    "นี่น่ะเหรอ" เอเทอร์เห็นเป็นวิหารที่ค่อนข้างจะกว้างขวางเป็นอย่างมากแต่ไม่ใช่เรื่องนั้นที่เขาตกใจเพียงแต่เป็นพื้นที่ข้างนอกที่ดูจะเป็นมิติอื่นไปเลยเพราะมันเหมือนกับเป็นท้องฟ้าซึ่งภายในภูเขาที่ตั้งของวิหารมันไม่น่าจะมีอะไรอยู่แท้ๆ แต่ช่างเถอะตอนที่เขาเมื่อก่อนก็เจอเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเยอะกว่านี้แค่นี้ก็ถือว่า เล็กน้อยมากเลยล่ะนะ

     

     

    "ยังไงก็ระวังตัวด้วยนะ" 

     

     

    "อ่า อื้อ" เอเทอร์เอ่ยขานรับพร้อมกับพยักหน้า

     

     

    "งั้นก็ไปล่ะนะ" เอมเบอร์เอ่ยจบก่อนจะเดินนำหน้าไปทั้งสามคนเดินตามทางไปเรื่อยๆจนพวกเขาได้มาเจอเข้ากับรังของพวก hilichurl เข้าซะแล้ว เอมเบอร์ไม่รอช้าคว้าธนูคู่ใจก่อนจะยิงใส่พวกมันทันที

     

     

    "พวกเราเองก็ไปด้วยเถอะ เอเทอร์" ไพม่อนหันมาบอกกับเอเทอร์ก่อนที่เขาจะพยักหน้า "อ่า" 

     

     

    "ซิกฟรีด" เอเทอร์เอ่ยจบก่อนที่จะปรากฎเป็นดาบเล่มนั้นปรากฎบนมือของเอเทอร์อีกครั้งนึงพร้อมกับปรากฎเป็นลอยสักเป็นสีเขียวขึ้นมาบนอกของเอเทอร์นั่นทำให้เอเทอร์รู้ว่า

     

     

    "ว่าแล้ว…พลังของซีกฟรีดเองก็ใช้ได้เหมือนกับของอตาลันเต้สินะ" เอเทอร์พึมพำกับตัวเองขึ้นมาก่อนจะตัดสินใจวิ่งเข้าไปช่วยเอมเบอร์อีกแรงนึง ดาบของเอเทอร์ได้ฟาดเข้ากลางลำตัวของ hilichurl จนขาดครึ่งอย่างง่ายดาย 

     

     

    "ดีล่ะ งั้นก็…" เอเทอร์ลองตั้งใช้สมาธิแต่ในระหว่างนั้นเองพวก hilichurl เองก็เริ่มเข้ามาโจมตีใส่เอเทอร์เช่นกัน แต่ทว่าทันใดนั้นเองกลับเริ่มปรากฎลมพายุมากมายออกมาจากดาบของเอเทอร์ใช่แล้วล่ะ เอเทอร์ลองใช้วิธีเดียวกับตอนใช้ธนูของอตาลันต้าดูก็คือการ ใช้พลังธาตุลมประสานเข้ากับพลังของดาบซีกฟรีดดูบ้างซึ่งมันก็ค่อนข้างได้ผลเลยทีเดียว

     

     

    "เอาล่ะนะ จงปลิวหายไปซะ" เอเทอร์แกว่งดาบไปรอบๆของตนเองก่อนจะเกิดคลื่นลมมหาศาลพัดพาร่างของพวก hilichurl กระเด็นออกไปอย่างง่ายดายเพียงแค่การโจมตีครั้งเดียวเท่านั้นเอง 

     

     

    "สุดยอดเลย เอเทอร์พลังของนายยังไงกันแน่เนี่ย ครั้งก่อนก็ใช้ธนูแต่ตอนนี้กลับใช้ดาบแล้วเหรอเนี่ย" ไพม่อนเห็นเอเทอร์ใช้พลังของดาบแล้วก็รู้สึกทึ่งกับพลังของเขามากเลยนอกจากจะใช้พลังของธนูแล้วก็ยังใช้ดาบได้อีกแบบนี้

     

     

    “แฮะๆ ก็นะ พอดีว่าชั้นใช้อาวุธได้หลายแบบอยู่น่ะ อย่างน้อยก็อยากจะใช้วิธีสู้หลายแบบด้วยน่ะ” เอเทอร์เอ่ยด้วยการแก้ตัวถ้าขืนบอกเรื่องพลังของซีกฟรีดหรือพลังที่เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดี ที่เขาต้องปกปิดพลังนี้เอาไว้ก็เพราะว่าเขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่า พลังและที่มาของอาวุธพวกนั้นมันมาจากไหนกันแน่นะ

     

     

     "ฟู่ว เสร็จสักทีนะ" เอมเบอร์เองก็จัดการเสร็จแล้วด้วยเช่นกัน

     

     

    "นั่นสินะ เอาเป็นว่าไปกันต่อเถอะ" ไพม่อนพูดก่อนจะนำทางไป เดี๋ยวนะ นี่เธอรู้เส้นทางเหรอไม่ใช่ว่าพาหลงนะนั่นน่ะ สุดท้ายกว่าจะผ่านเส้นทางอันยากลำบากมากันได้ก็นานพอสมควร

     

     

    "มาถึงแล้วล่ะ" ทั้งสามคนในที่สุดก็มาถึงที่นี่เสียทีนึงกว่าจะมาถึงก็ทำเอาลำบากแย่มากเลยทีเดียวล่ะ ไม่ว่าจะเจอกัปดักเข้ามาขวางทางไม่ว่าจะเจอกับพวกศัตรูที่ซ่อนอยู่ๆก็เข้ามาโจมตีด้วย

     

     

    "กว่าจะมาถึงได้น้า ชั้นรู้สึกเหนื่อยมากเลยเนี่ย" ไพม่อนบ่นออกมา

     

     

    "ไม่ต้องห่วงหรอก พวกเรามาถึงแล้วล่ะ" เอมเบอร์เอ่ยจบก่อนจะเดินขึ้นบันไดก่อนตรงหน้านั้นจะมีหินที่มีลักษณะคล้ายกับไข่วางอยู่กับพื้นแถมยังมีออร่าลมสีเขียวปกคลุมอยู่ด้วย

     

     

    "นั่นน่ะเหรอ??" เอเทอร์เอ่ยถามเอมเบอร์ "ลมหายใจของมังกร พลังของมันมาจากตรงนั้นงั้นเหรอ"

     

     

    "ดีล่ะ งั้นก็ทำลายมันเลยแล้วกันนะ" เมื่อเอมเบอร์เอ่ยจบก่อนหันมามองที่เอเทอร์เหมือนกับจะให้เอเทอร์จัดการสินะ ก็นะ ตอนที่เธอเห็นเขาสู้กับมังกรได้แบบนี้ก็คงไม่แปลกที่จะให้เราจัดการล่ะนะ

     

     

    "ฝากด้วยนะ" เอมเบอร์เอ่ยจบก่อนจะถอยหลังให้เอเทอร์เป็นคนจัดการ 

     

     

    "เข้าใจแล้วล่ะ" เอเทอร์ไม่รอช้าใช้ดาบของซีกฟรีดฟันลงไปที่สิ่งที่เรียกว่า ลมหายใจมังกร ทันที ซึ่งก็ตามคาดเอาไว้ดูเหมือนว่าดาบของซีกฟรีดจะมีผลกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ประเภทมังกรได้โดยเฉพาะด้วยสินะ เอมเบอร์ที่เห็นว่าลมหายใจของมังกรนั้นได้หายไปแล้วมังกร stormter ตนนั้น

     

     

    "เรียบร้อยแล้วล่ะ" เอเทอร์เอ่ยจบก่อนที่ดาบซิกฟรีดจะหายไปพร้อมกับรอยสักบนร่างกายของเขาเช่นเดียวกัน

     

     

    "แต่ว่า แบบนี้ก็พอจะแบ่งเบาภาระของหััวหน้ากองจีน ได้บ้างล่ะนะ การป้องกันของพวกเราในสมัยนั้นอย่างน้อยก็พอจะปกป้องความปลอดภัยภายในเมืองได้" 

     

     

    "แต่ว่าตอนนี้ stormteror เองก็เริ่มที่โจมตีภายในของมอนสแตทแล้ว" "ทิศทางของลมเปลี่ยนไปแล้ว แผนการของพวกเราก็ต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย" 

     

     

    "ฟังดูมีหลักการจัง" เอเทอร์

     

     

    "มันเป็นคำพูดติดปากของลิซ่าน่ะ อ๋อ จริงสิ เรื่อง สี่วายุ ที่เราคุยก่อนหน้านี้" เอมเบอร์ที่เห็นว่า พวกเอเทอร์และไพม่อนยังไม่รู้เรื่องของสี่วายุหรือเมืองนี้เท่าไหร่นัก ซึ่งที่เดียวที่จะทำให้เอเทอร์ได้รู้เรื่องพวกนี้ได้ก็มีแต่ต้องถามเธอคนนั้นเท่านั้นแหละ

     

     

    "หากเธอต้องการทราบประวัติความเป็นมาในอดีตล่ะก็ เธอก็สามารถถามลิซ่าได้เลยนะ" เอมเบอร์

     

     

    "ขอบอกไว้ก่อนนะว่า ไม่ใช่ว่าเพราะวิชาประวิติศาสตร์ชั้นมันแย่หรอกนะ" 

     

     

    "ก็ความรู้ผู้ดูแลห้องสมุด ดูแล้ว…ก็น่าจะครอบคลุมกว่าอัศวินลาดตระเวนล่ะมั้ง" เอมเบอร์เอ่ยจบก่อนที่เธอจะนำมาทางมายังทางออกของวิหารสี่วายุ ตรงนี้ถ้าเกิดออกมาทางนี้ก็จะวาร์ปมายังหน้าวิหารทันที ซึ่งทั้งไพม่อนและเอมเบอร์ก็ออกไปหมดแล้วส่วนเอเทอร์เข้าไปคนสุดท้ายแต่ทว่าระหว่างนั้นเองจู่ๆก็ได้มีลมพายุพัดเข้ามาจากด้านหลังของเอเทอร์

     

     

    "หือ ความรู้สึกนี้มัน…อ่ะ" เอเทอร์รู้สึกถึงอะไรบางอย่างก่อนจะหันไปด้านหลังแต่ทว่าด้านหลังของเขานั้นกลับไม่ใช่วิหารวายุที่เขายืนอยู่เมื่อกี้แต่กลับเป็นสถานที่มีแต่ความมืดมิดไร้ซึ่งแสงสาดส่องมายังที่แห่งนี้ ที่ๆอันแสนคุ้นเคยเป็นอย่างมาก

     

     

    "ที่นี่มัน…อีกแล้วงั้นเหรอ" ถ้าเขาจำได้แล้วว่าที่นี่ก็คือ ที่ๆ เขาได้เจอกับอเวนเจอร์เป็นครั้งแรกสินะ จนกระทั่งได้มีเสียงฝีเท้าคู่นึงเดินออกมาจากความมืดตรงหน้าของเขา

     

     

    "อ่ะ อเวนเจอร์งั้นเหรอ" เอเทอร์เอ่ยถามกลับคนตรงหน้าของตนก่อนจะปรากฎร่างนั้นเป็นเงา เงานั้นได้ค่อยๆจางลงเรื่อยๆทำให้มองเห็นร่างของเงานั้นได้ชัดขึ้น

     

     

    "ไม่ใช่หรอกข้านั้นไม่ใช่ ทั้งอเวนเจอร์ ไม่ใช่ทั้งนายนักล่า..อตาลันเต้หรือผู้พิชิตมังกร..ซิกฟรีก แต่เป็นเพียงแค่" ร่างนั้นได้เอ่ยขึ้นมาซึ่งดูจากน้ำเสียงแล้วก็คงจะไม่ใช่ทั้งซิกฟรีดหรืออตาลันเต้ด้วยแล้วเค้าเป็นใครกันล่ะ

     

     

    "อาวุธของ…เทพเพียงเท่านั้นเอง มาสเตอร์ของเรา" ร่างเงานั้นค่อยเริ่มปรากฎเป็นร่างให้เอเทอร์ได้เห็นชัดมากขึ้นจนรู้ว่าร่างนั้นเป็นชายไม่สิหญิงเหรอ ไม่สิไม่ใช่เพียงแต่มีผมสีเขียวยาวสลวยและสวมชุดคลุมสีขาวปกคลุมร่างเท่านั้น

     

     

    "อาวุธของเทพ??…" เอเทอร์คงกับคำพูดของเขาคนนี้ ที่พูดว่าอาวุธของเทพหมายความว่ายังไงกันแน่ แต่ดูเหมือนร่างๆนั้นก็รู้ว่าตัวของเอเทอร์เองก็เริ่มสงสัยแล้วเหมือนกัน

     

     

    "ข้ารู้ว่าท่านคงกำลังสงสัยอยู่ แต่ในตอนนี้นั้นพันธะสัญญาที่พวกเราได้ผูกมัดอยู่นั้น..มิอาจจะสามารถบอกเรื่องนั้นให้ได้เท่าไหร่หรอก" ร่างของเขาคนนั้นได้เอื้อมมือขวามาทางเอเทอร์สายตาของเขาคนนั้นมันดูช่างอบอุ่นเสียเหลือเกิน ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานนักลมพายุุต่างพัดเข้ามาที่พวกเขาทั้งสองคนอย่างแรงจนเอเทอร์เองก็ต้องใช้แขนทั้งสองข้างปิดใบหน้าเอาไว้ตามสัญชาตญาณ แต่ร่างนั้นก็เอ่ยได้พูดออกมา

     

     

    "เพียงแต่…ถ้าเกิดสายลมนั้นได้พัดพามาอีกครานึง ข้าผู้นี้จะเป็นโซ่ให้แก่ท่านอย่างแน่นอน ท่านมาสเตอร์ของข้าเอ๋ย"

    สิ้นสุดคำพูดนั้นจู่ๆเขากลับรู้สึกตัวขึ้นมาทันที และที่เขาอยู่นั้นก็คือข้างนอกของวิหารสี่วายุเสียแล้วและมีเอมเบอร์และไพม่อนเรียกเขาอยู่ข้างๆ

     

     

    "นี่ๆ เอเทอร์" เอมเบอร์เอ่ยถามเอเทอร์ด้วยความเป็นห่วงเช่นเดียวกับไพม่อนล่ะนะ "อ่ะ ไม่มีอะไรหรอกๆ" ซึ่งแน่นอนว่าเขาปฎิเสธทันควันทันทีพร้อมกับยิ้มกลบเกลื่อนไปด้วย

     

     

    "ป่าวหรอกเห็นนายเม่อไปน่ะ ไม่ใช่ว่าเป็นไข้หรอกนะ" เอมเบอร์ไม่รอช้ามือแทบหน้าผากของเอเทอร์ดูก็เห็นว่าไม่ร้อนจึงนำมือออกไปด้วย

     

     

    "ไม่ต้องห่วงหรอก ชั้นดูแลเอเทอร์ตลอด 24 ชั่วโมงเชียวนะ แค่นี้เอเทอร์ไม่เป็นอะไรหรอกเนอะ" ไพม่อนเอ่ยด้วยความมั่นใจแบบสุดๆ

     

     

    "อ่า นั่นสินะ งั้นชั้นหมดหน้าที่ตรงนี้แล้วล่ะ เดี๋ยวชั้นต้องไปรายงานให้จีนรู้ก่อนส่วนพวกเธอก็ไปสมทบกับเคยะและลิซ่านะ" เอมเบอร์เอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไป

     

     

    "อ่า เข้าใจแล้วล่ะ" เอเทอร์และไพม่อนต่างก็เอ่ยพร้อมกับโบกมือลาเอมเบอร์ 

     

     

    "เอาไว้เจอกัน ตอนเสร็จภารกิจนะ" เอมเบอร์รู้ว่ายังต้องตอบแทนพวกเขาอยู่เพราะงั้นระหว่างนี้จะไปซื้อของตอบแทนให้ก็แล้วกันนะ ซึ่งหลังจากที่เอมเบอร์จากไปแล้วไพม่อนที่เริ่มจะสังเกตุว่าหมู่นี้เอเทอร์มีอาการแปลกๆ อยู่ๆบ่อยซึ่งตอนแรกไพม่อนคิดว่าเพราะว่าเขามาจากต่างโลกทำให้การใช้ชีวิตอาจจะต่างกับคนในโลกนี้ก็ได้

     

     

    "งั้นไปวิหารต่อไปเถอะนะ ไพม่อน" เอเทอร์เอ่ยจบก่อนจะเดินนำหน้าไปยังวิหารต่อไป

     

     

    "อื้ม นั่นสินะ" ไพม่อนเอ่ยก่อนจะบินนำเอเทอร์์ไปด้วย ซึ่งในระหว่างทางนั้นเองเอเทอร์ก็คอยครุ่นคิดถึงเรื่องที่ยังคงมีปริศนาทิ้งเอาไว้ต่อไป ไม่ว่าจะเรื่องพลังของเขา เรื่องของน้องสาว เรื่องของมังกรวายุ ที่ตอนนี้น่าจะเริ่มค่อยๆ เฉลยขึ้นมาเรื่อยๆแล้วล่ะ

     

     

    ตัดมา ณ สถานที่เอเทอร์ได้เจอกับร่างปริศนาเมื่อกี้นี่ ร่างปริศนานั้นกำลังยืนอยู่ในความมืดด้านหลังของเขาปรากฎเป็นร่างของอเวนเจอร์โผล่ออกมา สายตาของเขาดูจะแอบตกใจอยู่นิดหน่อยด้วยเมื่อเห็นว่าเขาเองก็ตื่นขึ้นมาแล้วเช่นกัน

     

     

    "ดูเหมือนว่าเจ้าเองก็ตอบสนองต่อพลังวิชั่นลมงั้นหรือ…แลนเซอร์" อเวนเจอร์เอ่ยชื่อคลาสของร่างปริศนาคนนั้นขึ้นมา

     

     

    "ข้าเองก็ยังแปลกใจอยู่เลยล่ะ แต่ดูเหมือนว่าตัวของข้านั้นก็เหมาะกับสายลมอันแสนอ่อนโยนนี้เหมือนกันนะ" 

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×