ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC Genshin impact X Fate] เอเทอร์ผู้ใช้พลังของวีรชน

    ลำดับตอนที่ #5 : เข้าเมืองมอนสแตท/ผู้สังหารมังกร

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 781
      76
      28 ม.ค. 65

    หลังจากที่ทั้งเอเทอร์และไพม่อนได้เดินทางมายังเมืองสแตทด้วยการนำทางของเอมเบอร์ที่เป็นอัศวินลาดตระเวน

     

     

    "พวกเขามากับชั้นเองแหละ" เอมเบอร์เอ่ยพร้อมกับแนะนำพวกเขาทั้งสองคนเพื่อให้พวกเขาไม่ใช่คนน่าสงสัยแต่อย่างใด ซึ่งดูจากทหารหรือหลายๆคนก็ต่างก็ใจดีกับตัวของเอมเบอร์กันทุกคนซึ่งทำให้รู้ว่าทกคนนั้นรักเธอมากแค่ไหน…

     

     

    "ชั้นขอแนะนำอย่างเป็นทางการ เมืองกวีแห่งลมและทุ่งดอกแดนลิไลออนเมืองหลวงแห่งอิสรภาพ เหล่านักเดินทางภายใต้การคุ้มครองของกองอัศวินแห่ง ฟาโวเนียส ทุกท่าน ยินดีต้อนรับสู่ มอนสแตท" เอมเบอร์เอ่ยจบก่อนจะหันมาแนะนำเมืองอันน่าภาคภูมิใจสำหรับเธอเป็นอย่างมากเพราะนอกจากจะเป็นเมืองอันน่างดงามแล้วนั้นที่นี่ก็ยังมีเหล่าชาวเมืองที่เธอรักอยู่ด้วยเช่นกัน

     

     

    "ในที่สุดก็ไม่ต้องนอนในป่าในเขาแล้ว" ซึ่งไพม่อนนั้นก็ดูจะไม่เท่าไหร่นัก เพราะแค่อยู่ในเมืองดีกว่าได้นอนอยู่ในป่าแล้วล่ะ

     

     

    "แต่ว่าเหล่าผู้คนในเมืองนี้ ทำไมถึงดูไม่มีชีวิตชีวาเลยล่ะ" ซึ่งพอเอเทอร์ลองดูก็เป็นแบบนั้นจริงนะ เพราะถึงแม้จะเป็นเมืองที่สวยเพียงใดแต่ทว่าผิดกับสีหน้าและท่าทางการใช้ชีวิตของคนในเมืองที่เหมือนอมทุกข์อยู่ตลอดเลยด้วย 

     

     

    "ก็น่าจะเพราะว่า ทุกคนตอนนี้มัวแต่กังวลเรื่อง stormteror ล่ะนะ" เอมเบอร์คิดขึ้นมาเพราะการที่เกิด stomtemeror ปรากฎตัวออกมาก็สร้างทั้งความกลัวและความเสียหายต่อเมืองและผู้คนของเมืองสแตทมากพอควรเลยล่ะ "แต่ถ้าหากมี จีน แล้วล่ะก็ ไม่มีปัญหาแน่นอน" 

     

     

    "จีน??" ไพม่อน

     

     

    "เธอคนนั้นเป็นรักษาการผู้บัญชาการของกองอัศวินแห่งฟาโวเนียส…จีน ผู้ปกป้องเมืองมอนสแตทน่ะ" 

     

     

    "พวกเราเมื่ออยู่กับจีนแล้วถึงแม้จะเป็น stormterror ที่โหดร้ายน่ากลัวก็ไม่มีปัญหาแน่นอน" เอมเบอร์เอ่ยให้ทั้งสองมั่นใจซึ่งตัวของเอเทอร์ก็คิดเอาไว้ว่า (หวังว่าเธอคงจะรู้เรื่องเทพแห่งลมบ้างนะ) ใช่ตอนนี้เขาเองก็ต้องสืบหาเรื่องของเทพลมให้ได้ซะก่อน เขาอาจจะรู้ข้อมูลของน้องสาวของเขาก็เป็นได้

     

     

    "จริงสิ!! ก่อนที่เราจะไปถึงที่ศูนย์บัญชาการของกองอัศวิน ชั้นอยากจะมอบของขวัญให้แก่ นักเดินทางไม่สิ" 

     

     

    "เอเทอร์ สักหน่อยน่ะ" จู่ๆ ก็พูดแบบสนิทสนมเลยสินะ แต่ว่าเขาก็ไม่ว่าอะไรหรอก แถมยังดีใจด้วยซ้ำที่เธอเริ่มเรียกชื่อของเขาบ้างมันจะได้คุยสบายๆ สักที 

     

     

    "ถือเป็นการขอบคุณที่ช่วยชั้นกวาดล้างค่ายของ Hilichurl เมื่อตอนนั้นด้วย" เอมเบอร์คิดว่าตอนนั้นที่เอเทอร์ได้ช่วยเธอเอาไว้อย่างน้อยก็ควรจะตอบแทนสักหน่อยด้วย ไม่งั้นนามของอัศวินสำหรับเธอแล้วคงจะเสียชื่อเป็นแน่แท้ เพราะงั้นถ้าเกิดมีบุญคุณแล้วก็ต้องตอบแทนเสมอ 

     

     

    "เอ๋ แล้วของชั้นล่ะ" ไพม่อนเองก็อยากจะได้ด้วยเหมือนกันถึงจะไม่รู้ว่าของตอบแทนมันคืออะไรก็เถอะนะ

     

     

    "เอ่อ เพราะว่า ไพม่อน…น้อย ไม่น่าจะใช้สิ่งนี้ได้ล่ะมั้งนะ" เอมเบอร์เอ่ยด้วยท่าทีไม่มั่นใจเรื่องของขวัญของไพม่อนเท่าไหร่นัก แต่ว่าอย่างน้อยก็ยังพอตอบแทนได้อีกเรื่องก็คือ "แต่…ว่าเย็นนี้ชั้นจะเชิญเธอไปกินเนื้ออบแครอทราดซอสน้ำผิ้ง ของขึ้นชื่อของมอนสแตทด้วยนะ" 

     

     

    "เนื้ออบแครอท? ราดซอสน้ำผึ้งล่ะ?" ไพม่อนที่ได้ยินของกินเข้าก็หันตัวมามองหน้าของเขาด้วยตาประกายเป็นภายในนัยต์ตากลมๆโตๆนั่น…

     

     

    "มากับชั้นก่อนละกัน พวกเราจะไปส่วนที่สูงขึ้นไปของเมืองนะ" เอมเบอร์เอ่ยจบก่อนจะพาพวกเขาเดินขึ้นไปด้านบนก่อนจะแนะนำร้านแต่ละร้านให้พวกเขารู้จัก

     

     

    "ว้าว มีร้านเต็มไปหมดเลยล่ะ" ไพม่อนเอ่ยจบก่อนทั้งสองคนจะมาถึงจุดหมายซึ่งมันก็คือ หน้ารูปปั้นของเทพแห่งลมที่ตั้งอยู่บนสุดของเมืองสแตทที่ด้านหลังก็ยังมีปราสาทขนาดยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่ข้างหลังพวกเขาอีกทีด้วย

     

     

    "แล้ว….ของขวัญที่ว่าคือ.." ไพม่อนถามขึ้นมา เอมเบอร์ที่เห็นว่าทั้งสองคนรู้สึกสงสัยว่า ที่ว่าของขวัญหรือของตอบแทนนี่แหละมันคืออะไรกันแน่ เอมเบอร์ได้เปิดกระเป๋าด้านหลังของตัวเองออกมาก่อนจะเห็นเป็นปีกนั่นเอง

     

     

    "มันก็คือ เครื่องร่อนเวหา ไงล่ะ" เอมเบอร์เอ่ยพร้อมกับเดินไปด้านหลังของเอเทอร์และทำการสวมใส่เครื่องร่อนที่หลังของเอเทอร์ซึ่งความพิเศษก็คือ..

     

     

    เมื่อเครื่องร่อนได้ติดไปที่หลังของผู้สวมแล้วปีกที่ยังไม่ทำการร่อนหรือกางออกมาปีกของมันจะอยู่ในสภาวะล่องหนอยู่ตลอดเวลาเพื่อลดภาระเวลาผู้สวมใส่จะไม่เกิดภาระบนหลังและเครื่องร่อนนั้นก็มีน้ำหนักเบาเป็นอย่างมากอีกทำให้สามารถติดได้ตลอดเวลาอีกด้วยเรียกได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่ค่อนข้างจะสะดวกสบายทีเดียว

     

     

    "เอ๋ เครื่องร่อนเหรอครับ" เอเทอร์มองดูด้านหลังของตัวเองที่น่าจะมีเครื่องร่อนติดเรียบร้อย

     

     

    "อ่า ก็นะพวกอัศวินลาดตระเวนใช้มั้ยเพื่อบินบนท้องฟ้า ผู้คนของมอนสแตทก็ชอบใช้มันเหมือนกัน" เอมเบอร์

     

     

    "ที่ชั้นพาเธอมานี่ก็เพราะเหตุนี้เพื่อจะให้เธอเห็นข้อดีของมันได้โดยทันทีไงล่ะ" เอมเบอร์พูดเมื่อกี้ก็คงจะหมายถึงก็คือให้เขาร่อนลงมาจากข้างบนนี้ไปด้านล่างนี้อย่างนั้นสินะ…ปกติแล้วเขาไม่เคยใช้เครื่องร่อนก็เถอะ ปกติเขาจะบินเอาเลยต่างหากล่ะแต่ว่าในตอนนี้พลังของเขาก็หายไปแล้วตอนนี้ก็คงจะบ่นไม่ได้หรอกอย่างน้อยก็น่าจะต้องปรับตัวเข้ากับโลกนี้ให้ได้เท่านั้นแหละนะ

     

     

    "ดูเธอจะรู้สึกตื่นเต้นกับการแนะนำสิ่งนี้จังเลยนะ" เอเทอร์

     

     

    "ก็เพราะว่า ลม คือจิตวิญญาณของมอนสแตทยังไงล่ะ" เอมเบอร์เอ่ยจบก่อนจะบินแต่ก่อนที่เธอจะเดินลงไปข้างล่างเธอก็เตือนขึ้นมาด้วยว่า "รีบมาลองเครื่องร่อนเวหามาที่ตรงชั้นอยู่นะ ถึงแม้ว่าจะใช้งานง่ายแต่เธอจะต้องฟังคำแนะนำจากชั้นให้ดีนะ" 

     

     

    "และก็…ระวังเรื่องการทรงตัวพวกนี้ตอนร่อนลงมาด้วยล่ะ" 

     

     

    "อ่ะ อื้อ" เอเทอร์ได้ยินเช่นนั้นก็ยืนบนกำแพงก่อนจะเริ่มวิ่งลงมาเครื่องร่อนด้านหลังที่มีลักษณะเป็นปีกนกได้กางออกมาก่อนที่เริ่มค่อยๆล่อนลงมาเรื่อยซึ่งสำหรับเขาที่ไม่ได้บินแบบนี้มานานก็รู้สึกน่าคิดถึงอยู่เหมือนกันแฮะ…

     

     

    "ทำได้ดีมากเลยนะเนี่ย" เอมเบอร์เอ่ยชมที่ถึงแม้จะว่าตัวของเอเทอร์จะหัดร่อนเป็นครั้งแรก แต่ก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว ซึ่งในระหว่างทั้งสามคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง จู่ๆก็เริ่มเกิดลางไม่ดีขึ้นซะแล้วล่ะ เมื่อเอเทอกลับเริ่มรู้สึกเจ็บแปลบกลางอกของเขาขึ้นมากระทันหัน แต่ว่าที่มันน่าจะเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่านั้นก็คือ

     

     

    "ทำไม ท้องฟ้าถึง.…" เอมเบอร์มองดูท้องฟ้าที่เริ่มจะมืดลงทั้งที่เมื่อกี้พึ่งมีแสงแดดส่องอยู่แท้ๆนะ แต่แล้วเอเทอร์กลับสัมผัสได้ถึงสิ่งที่กำลังพุ่งเข้ามาหาพวกเขาจากบนท้องฟ้าที่กำลังเริ่มมือครึ้มนั้นก็ปรากฎเป็น..

     

     

    "นั่นมัน!!!" เอเทอร์เองก็รู้สึกรู้สึกได้ทันทีสิ่งที่มานั่นก็คือ มังกรเมื่อตอนนั้นนั่นเองมันได้เริ่มบินโฉบไปรอบๆเมืองด้วยความเร็วสูงพร้อมกับเกิดลมพายุอย่างแรงจนข้าวของปลิวลอยได้อย่างสบายๆเหล่าผู้คนในมอนสแตทต่างก็วิ่งหนีตายไปจนหมด

     

     

    "รีบไปหลบที่อาคารให้เร็วที่สุด" เอมเบอร์เอ่ยพร้อมกับบอกให้ทั้งคู่ตามเธอไปแต่ในระหว่างกลับเกิดพายุไซโคลนเกิดขึ้นมารอบเมืองซึ่งมันได้พัดตัวของเอเทอร์ไปด้วย

     

     

    "อ่ะ เย้ย" ตัวของเอเทอร์ได้ถูกพายุลอยพัดขึ้นไปข้างบนท้องฟ้าด้วยลมของพายุไต้ฝุ่น ทำให้เครื่องร่อนกางปีกออกมาทำให้เอเทอร์ไม่ตกลงไปข้างล่างต้องขอบคุณเอมเบอร์ที่ให้เครื่องร่อนนี้กับเขาจริงๆนะ แต่ในระหว่างที่เอเทอร์กำลังพึ่งรอดได้อย่าหวุดหวิดอยู่นั้นเอง ความซวยก็ยังมาหาไม่หยุดไม่หย่อนเมื่อมีอะไรสักอย่างบินโฉบตัวของเขาไปจากด้านหลังซึ่งมันก็คือมังกรตนนั้นนั่นเอง

     

     

    "อ่ะ เอ๋!!!" เอเทอร์เกิดอุทานออกมาก่อนมังกรตนนั้นจะบินเข้ามาเอเทอร์แต่โชคยังเข้าข้างตัวของเขา เอเทอยังหลบได้พ้นพอดิบพอดี 

     

     

    "อ่ะ!!" แต่ว่ามันกลับพุ่งเข้ามาหาเอเทอร์อีกครั้งจนได้ทำให้เอเทอร์ชักรู้สึกสงสัยขึ้นมาแล้วว่า ทำไมเครื่องร่อนถึงทำงานอยู่ล่ะแล้วยังลอยค้างราวเอเทอร์กำลังบินอยู่อย่างนั้นแหละ

     

     

    "ทะ ทำไมเครื่องร่อนเวหา…ถึงลอยค้างอยู่บนฟ้าได้นานขนาดนี้เลยงั้นเหรอ" เอเทอร์เริ่มมองดูปีกของตัวเองดูหรือเพราะอะไรสักอย่างทำให้เขาลอยบนฟ้าได้งั้นเหรอ…ทั้งที่มันเป็นเครื่องร่อนเท่านั้นเองและเขาก็ไม่ได้ร่ายเวทย์ลอยตัวด้วยซ้ำนะ 

     

     

    กระทั่งได้มีเสียงปริศนาเสียงดังออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้…

     

     

    "ชั้นเป็นคนที่ปล่อยให้สายลมแห่งพันปีช่วยพวกเธอ…เพื่อไม่ให้ร่วงลงไปเองล่ะ" แต่มันราวกับอยู่ใกล้ๆเขาจนได้ยินเสียงนั้นชัดเจนด้วย… 

     

    "งั้น เอาล่ะที่นี้ก็ลองจินตนาการดูว่าเธอจะสามารถคว้าเอาลมเหล่านี้ใช้มันร่อนผ่าเมฆไปได้มั้ย" 

     

     

    "เสียงนี้มัน…ใครกันน่ะ" พอเอเทอจะถามเสียงนั้นกลับหายไปซะแล้ว เอเทอร์เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกว่า ก่อนอื่นต้องหยุดมังกรตนนี้ให้ได้ซะก่อน

     

     

    "จะว่าไปแล้วทำไม เมื่อตอนนั้นชั้นถึงได้ หรือว่าเพราะเป็น…มังกร งั้นเหรอ อัก!! ทำไมอยู่ๆถึง…" เอเทอร์กลับเริ่มรู้สึกเจ็บที่อกของอีกครั้ง ซึ่งทำให้เอเทอร์เริ่มนึกไปถึงตอนแรกที่ได้เจอมังกรตนนี้อยู่ๆ ก็เกิดปฎิกิริยาโดยไม่ทราบสาเหตุมาก่อนเช่นกัน มันเพราะอะไรกันนะ…แต่ว่าในตอนนี้มันเปลี่ยนไปเพราะมันกลับเกิดแสงสีเขียวเริ่มเรืองแสงขึ้นมาจากตรงอกของเอเทอร์มันเหมือนกับว่ามันเป็นสัญลักษณ์อะไรสักอย่างนึงอยู่บนอกของเอเทอ

     

     

     

     

    พอเอเทอร์แหวกเสื้อตรงอกของตัวเองดูก็เห็นเข้ากับบาดแผลหรือลอยสักหรืออะไรสักอย่างปรากฎอยู่บนอกของเอเทอร์เสียแล้ว แต่ในระหว่างที่เอเทอร์กำลังลอยอยู่นั้นก็มีเสียงอีกนึงดังออกมาจากตัวของเอเทอร์แต่มันต่างกับคนเมื่อกี้คราวนี้เป็นเสียงของชายหนุ่มน้ำเสียงของเขาจะค่อนข้างจะทุ้มเล็กน้อยต่างจากเสียงที่เรียกเขาเมื่อกี้นี้…

     

     

    ท่านมาสเตอร์ ข้าต้องขออภัยด้วยที่ข้าเข้ามาแทรกในสถานการณ์เช่นนี้ แต่ว่ามังกรตนนั้นมิได้เป็นมังกรที่ชัวร้ายอย่างที่เหล่าชาวเมืองเล่าลือกันแต่กลับเป็นมังกรอันแสนบริสุทธิ์ที่กลับถูกแปดเปื้อนไปเพราะความมืด เพราะฉะนั้นแล้วโปรดใช้พลังของข้าด้วยความระมัดระวังด้วยนะครับ ท่านมาสเตอร์

     

     

    เสียงนั้นได้ดับลงไปพร้อมรอยสักที่กลางอกของเอเทอได้แผ่ออร่าออกมา "อ่ะ ถึงจะไม่รู้คุณเป็นใครก็เถอะ แต่ว่าเข้าใจแล้วล่ะ" เมื่อเอเทอร์เอ่ยจบในขณะที่เขากำลังบินเข้าไปหามังกรยักษ์ตนนั้นกระแสลมสีเขียวเริ่มปรากฎอีกครานึง

     

     

    เอเทอร์จะเอ่ยคำนี้ออกมา

     

     

    ซีกฟรีด 

     

     

    เมื่อสิ้นสุดคำกล่าวของเอเทอก็ปรากฎเป็นดาบเล่มหนึ่งปรากฎขึ้นมาบนมือของเอเทอแบบเดียวกับที่เขาใช้เรียกธนู เมื่อตอนนั้นเปี๋ยบเลย

     

     

    ยินดีที่ได้รับใช้ท่านอีกครานึง ท่านมาสเตอร์

     

     

    เสียงนั้นได้เอ่ยด้วยค่ำกล่าวอันแผ่วเบาราวกับว่าตัวตนของเขาเริ่มจะหายไปเรื่อยๆ อะไรทำนองนั้นเลย มังกรยักษ์ตนนั้นพุ่งเข้ามาหาเอเทอร์พร้อมกับคำรามออกมา

     

     

    ทางด้านของเอเทอร์ชูดาบเล่มนั้นขึ้นเหนือหัวของตนปลายดาบชี้ไปยังดวงอาทิตย์เหนือหัวของตนก่อนจะปรากฎเป็นออร่าพลังงานสีเขียวแผ่ขยายออกมาจากดาบและบาดแผลกลางของอกของตนก่อนจะเกิดลมพายุรอบๆตัวของเอเทอร์ไปด้วยเช่นเดียวกัน

     

     

    "มังกรผู้ร่วงหล่นลงมาจากฟ้า บัดนี้ โลกจักไปสู่อาทิตย์อัสดง!!" ดวงตาของเอเทอร์เริ่มเกิดแสงสีเขียวบนดวงตาของเอเทอร์พร้อมกับมีออร่าสีเขียวรวมมาที่ดาบจนเกิดเป็นคลื่นพลังเป็นรูปดาบมังกรยักษ์มิรอช้าพุ่งเข้าไปหาเอเทอร์แทบจะในทันที

     

     

    "โฮกกกกกกกกก!!!" มันกรีดร้องคำรามดวงตาสีฟ้าของมันจับจ้องไปที่ร่างของเอเทอร์ ในขณะที่เอเทอร์เองก็

     

     

    "นามนั้นก็คือ!!…" เอเทอร์ได้ฟาดดาบลงไปที่มังกรตนนั้นก่อนจะเอ่ยขึ้นมาทิ้งท้ายเอาไว้ว่า….

     

     

    "บัง มุง!!! (ดาบใหญ่มายา มารฟ้าร่วงหล่น)

    ดาบของเอเทอร์ได้ฟันลงไปที่มังกรตนนั้นอย่างแรงคลื่นพลังสีเขียวของเอเทอร์จะค่อนข้างมีผลกระทบต่อมังกรตนนั้นพอควรคงจะเป็นผลมาจากพลังของลอยสักบนร่างกายนี้ของเขากระมัง…

     

     

    "โฮกกกกกก" มันได้ร้องคำรามออกมาก่อนจะโดนคลื่นพลังจากดาบของเอเทอร์ทำให้มันกระเด็นออกไป แต่ทว่ามันไม่ได้ตายแต่เพียงแค่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้นเองและมันก็ได้บินจากไป ส่วนเอเทอร์นั้นอยู่ๆลอยสักบนร่างกายและดาบในมือของเขาก็ได้หายไปในทันที 

     

     

    "อ่ะ!!" เอเทอร์กลับรู้สึกว่าร่างกายของเขามันค่อนข้างจะอ่อนล้าพอสมควรมากกว่าตอนใช้พลังแบบครั้งก่อนอีกและยังสงสัยอีกว่า คำว่า บังมุง ที่เขาใช้มันไปมันคืออะไรกันแน่แล้วทำไมกันถึงรู้วิธีการใช้มันได้กันนะ…หรือว่าเป็นเพราะตัวของเอเทอร์เองจะสามารถรับรู้ถึงการต่อสู้และความทรงจำของพวกเขาได้กันนะ

     

     

    "อ่ะ เอาเป็นว่ากลับกันไปที่เมืองมอนสแตทก่อนแล้วกันนะ" เอเทอร์เอ่ยจบก่อนจะบินกลับไปยังเมืองมอลสแตททันที

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×