คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : พักรักษาตัวกับการต่อสู้อีกครั้ง
หลังจากที่ผมและชิโระจังทานข้าวเช้าเสร็จ
“นี่แลนคุง ฉันจะออกไปซื้อของข้างนอก จะฝากฉันซื้ออะไรไหม? ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ฝากซื้อหนังสือการ์ตูนหน่อยละกัน นอนอยู่ที่โรงพยาบาลเฉยๆมันน่าเบื่อน่ะ”
“รับทราบ! เดี๋ยวฉันจะรีบซื้อแล้วรีบกลับมานะ”
หลังจากนั้นชิโระจังก็ทำท่าตะเบะอย่างน่ารักๆใส่ผมแล้วเดินออกจากห้องไป ผมคิดว่าอยู่ที่โรงพยาบาลก็ทำอะไรได้ไม่มากจึงตัดสินใจที่จะนอนรอจนกว่าชิโระจังจะกลับมา จะว่าไปวันนี้ผมนอนไปเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วล่ะเนี่ย
ผมตื่นมาอีกทีก็ตอนที่นางพยาบาลนำอาหารกลางวันมาให้ ภายในห้องไม่มีชิโระจังอยู่สงสัยคงจะยังไม่กลับล่ะมั้ง หลังจากที่นางพยาบาลนำอาหารกลางวันมาวางลงบนโต๊ะคร่อมเตียง เธอก็หยิบจดหมายฉบับหนึ่งมาให้ผม เธอบอกว่ามีคนฝากมาให้พอผมถามว่าคนๆนั้นมีลักษณะยังไง นางพยาบาลก็ตอบไม่ได้หลังจากนั้นเธอก็ออกจากห้องไป
ในตอนแรกผมกะว่าจะทานอาหารกลางวันให้เสร็จก่อนแล้วค่อยอ่านจดหมาย แต่ว่าจดหมายฉบับนั้นกลับมีสีดำทมิฬทำเอาผมรู้สึกไม่ดีจนทานข้าวไม่ลง ผมจึงตัดสินใจที่จะอ่านจดหมายฉบับนั้นก่อนที่จะทานข้าว เนื้อความของจดหมายฉบับนั้นมีอยู่ว่า
-สบายดีรึเปล่าเจ้าหนู? จำได้รึเปล่าว่าลุงเป็นใคร แต่นแต้น!ลุงก็คือหัวหน้าของพวกที่จะมาทำร้ายยัยอิโต้นั่นยังไงล่ะ เจ้าหนูบังอาจทำให้ลุงต้องมาติดคุกแบบนี้ลุงคงต้องเอาคืนให้สาสมซะหน่อยแล้วมั้ง นี่เจ้าหนูรู้รึเปล่าว่าตอนนี้ลุงน่ะแหกคุกออกมาได้แล้วนะ และกำลังคิดที่จะเอาคืนเจ้าหนูอยู่ด้วย ในระหว่างที่กำลังคิดแผนอยู่นั้นเองลุงก็ได้รู้ว่าเจ้าหนูมีเพื่อนสนิทที่เป็นเด็กผู้หญิงอยู่ด้วย ลุงเลยคอยสะกดรอยตามเด็กผู้หญิงคนนั้น พอยัยนั่นเผลอลุงก็เลยลักพาตัวมาและตอนนี้ก็กำลังอยู่ข้างหลังของลุงด้วย ในตอนที่ลุงเขียนจดหมายฉบับนี้อยู่ลุงก็กำลังทรมานยัยนั่นไปด้วย แต่ว่ายัยนั่นดันพูดแต่ชื่อแลนคุงแลนคุงอยู่นั้นแหละด้วยความรำคาญลุงก็เลยเผลอต่อยยัยนั่นไปหนึ่งทีจนกระอักเลือดออกมาเลยล่ะ ขอโทษทีนะที่ลุงตั้งใจต่อยมากไปหน่อย ฮะฮะฮ่า(หัวเราะ) ลุงละอยากจะรู้จริงๆเลยว่าตอนที่เจ้าหนูกำลังอ่านจดหมายฉบับนี้อยู่จะทำหน้าตายังไงกันนะ ถ้าเจ้าหนูแค้นลุงมากนักล่ะก็วันนี้ตอนหนึ่งทุ่มให้มายังสถานที่ตามที่ลุงเขียนเอาไว้ แต่ว่าต้องมาคนเดียวเท่านั้นนะไม่อย่างนั้นยัยเด็กผู้หญิงคนนี้จะเป็นตายร้ายดียังไงลุงก็ไม่รู้ด้วยนะ ฮะฮะฮ่า(หัวเราะ) แต่ถ้าเจ้าหนูไม่มาล่ะก็เตรียมตัวไปงานศพของยัยนั่นได้เลย ฮะฮะฮ่า(หัวเราะ)
ทันทีที่ผมอ่านจดหมายจบในใจของผมเต็มไปด้วยความโกรธแค้นต่อหัวหน้าของพวกศัตรู จะมัวมาพักสบายใจแบบนี้ไม่ได้แล้ว ผมจึงรีบทานข้าวกลางวันให้หมดจากนั้นก็เริ่มคิดแผนการที่จะรับมือหัวหน้าของพวกศัตรู ใต้ข้อความในจดหมายฉบับนั้นมีเลือดอยู่หยดหนึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นเลือดของชิโระจังที่เจ้านั้นพูดไว้แสดงว่าเจ้าหัวหน้าศัตรูนั่นคงจะเอาจริงแน่ๆ
อันดับแรกผมลองตรวจเช็คกระดาษเวทมนต์ที่เหลืออยู่ ปรากฏว่าเหลืออยู่แค่สามแผ่นแถมหนึ่งในสามแผนนั้นยังเป็นแผ่นที่ผมถูกท่านอาจารย์โซจิโร่สั่งไว้ว่าห้ามใช้เด็ดขาดอีก ส่วนอีกสองแผ่นที่เหลือแผ่นหนึ่งเป็นแผ่นไว้สำหรับเรียกใช้กระจกสะท้อน และอีกแผ่นหนึ่งเป็นแผ่นไว้สำหรับเคลื่อนย้ายไปยังที่ๆแผ่นนี้ติดอยู่
หลังจากที่ผมตรวจดูจำนวนแผ่นกระดาษเวทมนต์ที่เหลือแล้วผมจึงเริ่มวางแผน หลังจากเวลาผ่านไปได้ไม่นานแผนของผมก็เสร็จ แผนของผมมีอยู่ว่าในตอนแรกผมจะใช้เวทมนต์แบบที่คนส่วนใหญ่เขาใช้กันในการจัดการกับพวกลูกน้อง(ถ้ามี) และใช้ในการจัดการกับหัวหน้าศัตรู แต่ว่าการใช้เวทมนต์แบบนี้ผมไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ ถ้าไม่ไว้จริงๆผมคงต้องทำให้ชิโระหนีไปก่อนแล้วผมก็คอยถ่วงเวลาจนกว่าชิโระจังจะหนีเสร็จ ถึงชิโระจังจะอยากช่วยผมสู้ผมคงต้องขัดใจเธอแล้วบังคับให้เธอหนีไป เพราะว่าท่านอาจารย์โซจิโร่เคยสอนผมไว้ว่า‘ในบางสถานการณ์จงทำตัวให้เหมือนแมว’ความหมายของคำสอนนี้ก็คือโดยธรรมชาติของแมวนั้นถ้ารู้ว่าตัวมันเองกำลังจะตาย มันจะพยายามหาที่ซ่อนไม่ให้มีใครมาเห็นเพราะว่ามันไม่อยากจะให้คนที่มันรักมาเห็นตอนที่มันตาย ถึงแม้ว่าจะไม่มีคำสอนแบบนี้อยู่บนโลก ผมก็คิดว่าไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้คนที่ตนเองรักเห็นที่ตนเองตายอยู่ดี
หลังจากที่ผมวางแผนในการรับมือเสร็จผมก็ต้องวางแผนในการหลบหนีออกจากโรงพยาบาลนี้ต่อ ผมคิดว่าผมจะเริ่มหลบหนีหลังจากที่ทานอาหารเย็นเสร็จ แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าผมจะหนีออกไปด้วยวิธีอะไร กระดาษเวทมนต์สำหรับเคลื่อนที่ก็เหลือแค่แผ่นเดียวจึงต้องเก็บไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน แถมผมก็ยังไม่อยากใช้เวทมนต์จนกว่าจะได้สู้กับพวกหัวหน้าศัตรู ผมทั้งนั่งทั้งนอนทั้งยืนครุ่นคิดถึงวิธีที่จะหนีออกไป แต่ผมก็คิดไม่ออกผมจึงต้องตัดสินใจที่จะต้องหลบหนีในแบบธรรมดา นั่นก็คือพยายามไม่ให้คนอื่นเห็นตอนที่เรากำลังหลบหนีอยู่
หลังจากที่ผมคิดแผนสำหรับหลบหนีเสร็จผมก็ตัดสินใจที่จะนอนพักเอาแรง เพราะไม่รู้ว่าคืนนี้การต่อสู้จะจบกันตอนกี่โมง การนอนพักผ่อนเอาแรงก็ถือว่าเป็นการเตรียมพร้อมที่สำคัญ ในระหว่างที่ผมกำลังจะนอนนั้นผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าผมลืมทานยาหลังอาหาร แต่ว่าผมก็ทานอาหารไปตั้งแต่สองชั่วโมงที่แล้วถ้าจะทานยาไปตอนนี้คงไม่ดีแน่ๆ ผมจึงนอนพักผ่อนไปทั้งๆที่ยังไม่ได้ทานยาไปทั้งๆอย่างนั้น และอีกอย่างผมก็คิดว่าการทานยาพาราฯไม่ได้ทำให้แผลของผมหายไวขึ้นหรอก
ผมตื่นมาอีกทีก็คือตอนที่นางพยาบาลเอาอาหารเย็นมาให้ ผมจึงรีบทานอาหารเย็นให้เสร็จแล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไม่ให้มีใครรู้ว่าผมเป็นคนไข้ของที่นี่ แผนการหลบหนีจึงได้เริ่มขึ้น
เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่แผนการหลบหนีของผมเป็นไปอย่างค่อนข้างราบรื่น ผมจึงรีบมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่หัวหน้าศัตรูบอกซึ่งสถานที่นั้นคือบ้านร้างในป่า เมื่อไปถึงผมก็หลบซ่อนตัวเพื่อดูว่ามีลูกน้องอยู่เยอะรึเปล่า แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีลูกน้องสักคนผมจึงรีบเคลื่อนที่ไปยังประตู ผมคิดว่าถ้าเปิดประตูไปจะไม่เจอพวกลูกน้องของหัวหน้าศัตรูโจมตีใส่มารวดเดียวก็คงจะดี หลังจากที่ผมพอจะทำใจได้แล้วผมก็เตรียมตัวให้พร้อมแล้วถีบประตูเข้าไป ข้างในบ้านร้างไม่มีใครนอกจากหัวหน้าศัตรูและชิโระจังที่กำลังหมดสติอยู่ ร่างของชิโระจังถูกผูกไว้กับไม้กางเขน ตามตัวของเธอมีรอยพกช้ำมากมายและยังมีคราบหยดเลือดติดอยู่ที่เสื้อนิดหน่อย และยังมีรอยที่เหมือนกับถูกของแข็งตีตามตัวในจุดต่างๆ ผมรู้สึกผิดกับท่านอาจารย์มากเพราะก่อนที่จะมาทำภารกิจนี้ผมก็สัญญากับท่านอาจารย์ไว้แล้วว่าจะคอยปกป้องดูแลชิโระจังให้ แต่ผมกลับปล่อยให้เธอถูกลักพาตัวไปอย่างง่ายๆแล้วยังต้องมาโดนทรมานอะไรแบบนี้อีก
“เป็นใบหน้าที่งดงามมากเจ้าหนู นี่แหละใบหน้าที่ลุงต้องการเห็น ฮะฮะฮ่า”
คำพูดแรกของหัวหน้าศัตรูทำให้ความโกรธของผมทะลุถึงขีดสุด ผมจึงใช้เวทมนต์โจมตีใส่หัวหน้าศัตรูแต่เพราะว่าถูกความโกระครอบงำการโมตีของผมส่วนใหญ่จึงไม่โดน
“อะไรกันเนี่ยเจ้าหนู พอเห็นเพื่อนตัวเองเป็นแบบนี้ก็สติแตกกันเลยเหรอ แต่แบบนี้น่ะดีแล้วลุงชอบนะมันทำให้ลุงรู้สึกสะใจมากเลยล่ะ”
หลังจากนั้นเจ้าหัวหน้าศตรูนั่นก็เริ่มทรมานชิโระจังต่อ ชิโระจังที่หมดสติอยู่พอถูกแซ่ของเจ้าหัวหน้าศัตรูนั่นตีเข้าก็ได้สติกลับมาแล้วก็กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ซึ่งภาพนั้นทำให้ต่อมความอดทนของผมระเบิด ผมจึงรีบหยิบแผ่นกระดาษเวทมนต์ขึ้นมาซึ่งแผ่นนั้นก็คือแผ่นที่ท่านอาจารย์โซจิโร่บอกว่าห้ามใช้ แต่ว่าตอนนี้ผมไม่สนคำพูดของท่านอาจารย์อีกแล้ว สิ่งที่ผมสนอยู่ตอนนี้ก็คือการจัดการกับศัตรูที่มาทำร้ายชิโระจัง ผมจึงฉีกกระดาษเวทมนต์แผ่นนั้นทิ้งทันใดนั้นก็มีฟ้าผ่าใส่ผม แต่ผมก็ไม่เป็นไรเพราะว่าฟ้าผ่านี้ก็เป็นผลจาการฉีกกระดาษเวทมนต์เมื่อกี๊
“นี่แก เป็นตัวอะไรกันแน่!? ”
หัวหน้าของศัตรูที่เห็นผมก็พูดออกมาด้วยท่าทีที่ตกตะลึงจนหยุดทรมานชิโระจัง
“แลนคุงทำไมถึงต้องทำถึงขนาดนี้... เพื่อปกป้องฉันด้วย”
ส่วนทางด้านชิโระจังก็พูดออกมาทั้งน้ำตา
“เกราะเทพอัสนีบาต!!! ”
ตอนนี้ผมกำลังสวมใส่เกราะสีทองอร่ามอยู่ ในมือทั้งสองข้างก็ถือดาบยาวสีทองทั้งเล่มอยู่ เส้นผมของผมที่แต่เดิมเป็นสีดำตอนนี้ก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นสีเหลืองทอง พื้นที่ผมยืนอยู่ตอนนี้ยุบตัวลงไปจากเมื่อกี๊นิดหน่อย ทุกๆก้าวที่ผมเดินพื้นดินที่เท้าของผมสัมผัสก็จะยุบลงไปเล็กน้อย หัวหน้าศัตรูที่เห็นผมในร่างนี้ก็เริ่มตัวสั่นแล้วเริ่มถอยหนีผมไปที่ละก้าว แต่หลังจากที่ถอยไปเพียงสามก้าวหัวหน้าศัตรูก็ยิ้มออกมา
“แบบนี้ก็น่าสนุกเซ่! ในที่สุดฉันก็ได้เห็นซะทีหนึ่งในเกราะเทพ ไม่คิดเลยว่าจะดูมีพลังมากถึงขนาดนี้ แต่ฉันว่าเกราะเทพนั่นน่ะมันไม่เหมาะกับเด็กอย่างแกหรอก แต่มันเหมาะกับคนอย่างฉันมากกว่า ซึริเอะ! ”
หัวหน้าใช้เวทมนต์สร้างก้อนดินขึ้นมาแล้วโมตีใส่ผม แต่ว่าของพรรค์นี้ไม่มีท่าทางเอาชนะผมได้หรอก ผมใช้ดาบยาวสีทองฟันไปที่ก้อนดินนั้นจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แถมยังทิ้งรอยคลื่นดาบไว้กับพื้นอีก
“สุดยอด! ยิ่งเห็นพลังอันแข็งแกร่งแบบนี้ยิ่งทำให้ฉันอยากได้มันมากขึ้นไปอีก ซึเซ...ดาบ! ”
คราวนี้หัวหน้าศัตรูใช้เวทมนต์สร้างดาบจากดินขึ้นมาแล้ววิ่งตรงมาทางผม ในตอนที่เขาง้างดาบกำลังจะฟันผมผมก็ใช้ดาบสีทองเล่มหนึ่งปัดจนดาบนั้นหลุดมือของหัวหน้าศัตรูไป จากนั้นผมก็ใช้ดาบอีกเล่มหนึ่งแทงไปที่หัวหน้าศัตรู หัวหน้าศัตรูล้มลงกับพื้น
“จบกันเท่านี้ล่ะนะ คิเระชิ! ”
ผมนำฝ่ามือทั้งสองข้างประกบกันอย่างแรง จากนั้นก็มีฟ้าผ่าลงมาที่ร่างของหัวหน้าศัตรูด้วยความร้อนที่มีมากมายมหาศาล จึงทำให้ร่างกายของหัวหน้าศัตรูสลายไผไม่เหลือแต่แม้เศษเสี้ยวเดียว หลังจากนั้นผมก็เดินไปทางชิโระจังแล้วแก้มัดเธอออกจากไม้กางเขน ทันทีที่ร่างเกราะเทพอัสนีบาตของผมสลายไปผมก็ล้มลงไปนอนกับพื้นแต่ชิโระจังก็เข้ามารับไว้ได้ทัน ทำให้ศีรษะของผมไม่ไปกระแทกกับพื้นแต่ไปกระแทกกับหน้าตักนุ่มๆของชิโระจังแทน
“ทำไม...แลนคุงถึงต้องใช้ร่างเกาะเทพอัสนีบาตเพื่อปกป้องฉันด้วย...ทั้งๆที่ทุกครั้งที่ใช้จะทำให้อายุขัยของตัวเองสั้นลงไปตั้งห้าปีแท้ๆ…”
น้ำตาของชิโระจังเริ่มไหลลงมาโดนใบหน้าของผม
“ฉันเป็นคนทำให้ชิโระจังต้องมาทรมานแบบนี้...การแลกอายุห้าปีของฉันเพื่อปกป้องชิโระจัง...สำหรับฉันฉันคิดว่ามันเหมาะสมกับแล้ว...”
เลือดที่แผลเก่าของผมไหลออกมาอีกครั้ง ท่าทางผมคงจะฝืนร่างกายที่ยังไม่ฟื้นตัวดีพอหนักเกินไปหน่อย
“นี่แลนคุงตอบมาสิ...ว่าทำไมเพื่อปกป้องฉันถึงต้องทำขนาดนี้...”
น้ำตาของชิโระจังเริ่มไหลออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ผมอยากจะเอามือของผมปาดน้ำตาให้เธอแต่ว่าตอนนี้ไม่มีเรี่ยวแรงเหลือมากพอ
“ก็เพราะว่า...ชิโระจังน่ะ...”
สติของผมเริ่มเลือนราง ไม่สิไม่ใช่แค่สติแต่ดูเหมือนว่าการรับความรู้สึกก็เริ่มจะแย่ลงเรื่อยๆ นี่ร่างกายของเรามันมาแย่ถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“ชิโระจังน่ะเป็น...”
ดวงตาของผมค่อยๆจะปิดลง ตอนนี้ผมพยายามให้แรงที่เหลือเปิดดวงตานั้นไว้ เพื่อจะได้บอกความรู้สึกของผมที่มีต่อชิโระจังออกไป เพราะผมก็ไม่รู้ว่ามผมจะได้มีโอกาสลืมตาขึ้นมาอีกครั้งรึเปล่า
“ก็เพราะว่าชิโระจังน่ะเป็น...คนที่ผมรักที่สุดยังไงล่ะ...ผมน่ะรักเธอมากที่สุดเลยนะชิ...โระ...จัง...”
ผมไม่รู้ว่าเหตุการณ์หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น เพราะว่าหลังจากที่ผมสารภาพรักกับชิโระจังออกไป การรับรู้ทั้งหมดของผมก็ราวกับถูกตัดขาดไป...
**********
ตอนต่อไป เข้าสู่ตอนสุดท้ายของเรื่อง
“คู่หมั้นของผมเป็นจอมเวทย์ไม่เอาไหน ภาค 1.5”
ความคิดเห็น