คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ศึกหนัก
ผมเริ่มใช้เวทมนต์สอดส่องศัตรูในบ้านหลังนี้อีกครั้ง ในตอนนี้พวกศัตรูกำลังรวมตัวกันใหม่และรีบเดินมาทางบันไดที่ผมเฝ้าอยู่
‘ชิโระจังตอนนี้พวกศัตรูทั้งหมดกำลังรีบมาทางบันไดแล้ว ถ้าพวกมันสามารถหลุดขึ้นไปข้างบนได้ ก็ฝากด้วยนะ’
‘อืม! ไว้ใจได้เลยแลนคุง’
ผมบอกข้อมูลให้ชิโระจังฟังผ่านทางโทรจิต ถึงผมจะบอกไปว่า‘ถ้าพวกศัตรูสามารถหลุดขึ้นไปข้างบนได้ ก็ฝากด้วยนะ’ก็เถอะ แต่ผมก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ให้ใครหน้าไหนขึ้นไปข้างบนได้อย่างเด็ดขาด
เสียงฝีเท้าของพวกศัตรูยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆทำให้ผมรู้ว่าพวกมันใกล้เข้ามาแล้ว ผมหวังว่าพวกศัตรูจะไม่ใช่พวกหมาหมู่ก็คงจะดี เพราะไม่อย่างนั้นผมคงจะรับมือลำบากพอสมควร
“อะไรกันมีแค่เด็กผู้ชายคนเดียวคอยเฝ้าทางขึ้นแบบนี้ ยัยอิโต้นั้นคงประเมินพวกเราต่ำไปหน่อยแล้วมั้ง”
ทันทีที่ศัตรูมาถึงก็ส่งเสียงบ่นออกมาทันที ให้ตายสิรู้สึกรำคาญชะมัด
“นี่เจ้าหนูถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ก็หนีไป แล้วปล่อยให้พวกลุงขึ้นบันไดไปเถอะนะ”
คนที่แต่งตัวแหมือนจอมเวทย์พูดเตือนขึ้นมา ก่อนที่จะให้พวกลูกน้องที่มีปืนหันปืนเล็งมาทางผม
“โอ๊ะ! ลืมไปว่ายังเด็กอยู่คงจะยังคิดอะไรเร็วๆไม่ได้สินะ เดี๋ยวลุงจะให้เวลาคิดซะหน่อยก็แล้วกัน”
คนที่แต่งตัวเหมือนจอมเวทย์พูดขึ้นอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาก็สั่งให้ลูกน้องที่พกดาบยาวทั้งห้าคนเอาดาบมาจี้ตัวผมเอาไว้
“ไม่ต้องเครียดไปหรอกนะเจ้าหนู ตอนนี้ลุงแค่ขู่เฉยๆ ถ้าหนูไม่ได้ทำอะไรให้ลุงไม่พอใจ ดาบพวกนั้นก็ไม่มีวันเข้าตัวหนูหรอก”
คนที่แต่งตัวเหมือนจอมเวทย์พูดขึ้นมาอีกครั้ง ผมยิ้มน้อยๆ
“ผมขอปฏิเสธครับ เพราะว่าข้างบนนี้มีคนที่ไม่ว่ายังไงผมจะต้องปกป้องให้ได้อยู่”
“แหมๆ ถ้าหนูพูดออกมาแบบนั้นก็ช่วยไม่ได้นะ รีบๆตายไปเลยก็แล้วกัน! ”
หลังจากที่สิ้นสุดประโยคนั้น พวกลูกน้องที่เอาดาบมือจี้ตัวผมก็แท่งดาบอย่างสุดกำลัง แต่ผมก็สามารถกระโดดขึ้นไปหลบอยู่บนเพดานได้เสียก่อน หลังจากนั้นพวกลูกน้องที่มีปืนก็เริ่มยิ่งปืนใส่ผม ผมวิ่งบนเพดานไปเรื่อยๆเพื่อหลบกระสุน ผมหวังว่ากระสุนพวกนี้ไม่ทะลุขึ้นไปโดนชิโระจังที่อยู่ข้างบนก็คงจะดี
ผมกระโดดลงมาจากเพดาน ลงมาอยู่ตรงกลางวงล้อมศัตรู จากนั้นก็วิ่งเข้าไปในกลุ่มที่มีปืน พวกมันที่มัวแต่สนใจผมก็ยิงปืนออกมาเมื่อไม่ยั้งคิด สิ่งที่ผมต้องทำก็คือการหลบและปล่อยให้กระสุนพวกนั้นไปโดนพวกศัตรูด้วยกันเอง หลังจากนั้นผมก็วิ่งไปทางกลุ่มที่มีดาบยาวพวกมันสลับกันฟันผมที่กำลังวิ่งอยู่ผมเข้าไปทางด้านหลังของแต่ละคนที่มีดาบยาว แล้วแอบเอากระดาษที่ผมเขียนวงแหวนเวทมนต์เตรียมเอาไว้ แปะไปที่หลังของคนที่ผมดาบดาบแต่ละคนจนครบทุกคน
กระดาษที่เขียนวงแหวนเวทมนต์เตรียมเอาไว้เหรอ มาคิดอีกทีชื่อเรียกมันก็แปลกๆอยู่นะ เปลี่ยนไปเรียกว่ากระดาษเวทมนต์แทนน่าจะสะดวกกว่า
ผมคิดอย่างนั้นพลางวิ่งออกห่างจากพวกที่พกดาบดาว หลังจากนั้นผมก็ดีดนิ้วกระดาษเวทมนต์ที่ผมแปะเอาไว้ก็สลายไปแล้วแปรเปลี่ยนไปเป็นไฟฟ้า ช็อตพวกศัตรูที่พกดาบยาวจนสลบไปนอนกองอยู่บนพื้น
เยี่ยมจัดการไปได้แล้วห้าคน
คนที่แต่งตัวเหมือนจอมเวทย์ที่เห็นลูกน้องของตัวเองเริ่มเสียท่า จึงรู้สึกโกรธแล้วสั่งให้พวกที่พกดาบสั้นสี่คนเข้ามาโจมตีผม แล้วให้พวกที่มีปืนและไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรให้ยิงปืนมาทางผม พวกที่พกดาบสั้นดูเหมือนจะเป็นพวกนักลอบสังหารจึงสามารถกระโดดขึ้นไปวิ่งบนเพดานได้เหมือนกับที่ผมทำ แต่ก็เสียใจด้วยเพราะผมได้วางกับดักไว้ที่เพดานเรียบร้อยแล้ว ผมดีดนิ้วอีกครั้งพวกที่พกดาบสั้นก็โดนไฟฟ้าช็อตจนสลบและตกลงมาจากเพดานมานอนกองอยู่ที่พื้นทั้งสี่คน
ลัคกี้จัดการได้อีกสี่ เหลืออีกสิบเอ็ดคน
ผมหยิบกระดาษเวทมนต์ขึ้นมาหนึ่งแผ่นแล้วฉีกมันถึง กระดาษนั้นก็แปรเปลี่ยนไปเป็นกระจก พวกศัตรูที่ยิงปืนมาทางผมผมก็ใช้กระจกบานนั้นรับกระสุนเอาไว้ กระสุนพวกนั้นเข้าไปในกระจกและสะท้อนออกมาจากกระจกไปทางพวกที่ยิงปืน แต่น่าเสียดายโดนไปแค่ห้าคนผมคิดว่ามันจะโดนครบสิบคนเสียอีก
หลังจากนั้นผมก็ดีดนิ้วอีกครั้งกระจกบานนั้นก็หายไป ผมวิ่งไปทางศัตรูที่โดนกระสุนเมื่อกี๊นี้พลางหลบกระสุนไปด้วย ผมเข้าไปใกล้ตัวพวกนั้นให้ใช้กระบวนท่าที่ลักจำมาจากชิโระจังใส่พวกนั้นจนสลบไป
จัดการได้อีกห้า เหลืออีกหกคน
ผมหยิบกระกระดาษเวทมนต์ขึ้นมาห้าแผ่นจากนั้นก็ฉีกมันทิ้งทั้งหมด กระดาษพวกนั้นแปรเปลี่ยนไปเป็นมีดสั้นห้าเล่ม ผมกระโดดข้ามพวกที่พกปืนที่ยังคงเหลืออยู่ไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ปามีดสั้นนั้นไปที่หลังของพวกนั้นทุกคน ผมพยายามเลี่ยงจุดตายไว้เพราะว่ายังไม่อยากฆ่าใครในตอนนี้ พวกที่โดนมีดสั้นของผมก็ล้มลงไปนอนกับพื้น
จัดการได้อีกห้าคน เหลือแค่หัวหน้าพวกมันที่เป็นจอมเวทย์อีกแค่คนเดียว
ตอนนี้หัวหน้าของพวกศัตรูยิ้มออกมาเล็กน้อยหลังจากนั้นก็ตบมือดังแปะๆสองสามที พอลูกน้องตัวเองถูกจัดการหมดก็เสียสติกันเลยรึไง
“เก่งมาก ที่สามารถจัดการลูกน้องของฉันจนหมดได้ผ่านในเวลาอันแสนสั้น”
“ขอบคุณที่ชมนะครับ พวกเราสองคนมาต่อกันเลยไหม? ”
“นั่นสินะ”
หลังจากนั้นหัวหน้าศัตรูก็หยิบไม้เท้าเวทมนต์ที่ซ่อนเอาไว้ออกมา ผมจึงเตรียมท่าพร้อมที่จะสู้ทุกเมื่อ
“เราสองคนลองมาเล่นเกมกันไหม? ”
“เกม? ”
“ใช่แล้วล่ะ เกมยังไงล่ะ มันเป็นเกมที่ง่ายแสนง่าย แต่ว่าถ้าจะมาเล่นตรงนี้มันก็ค่อนข้างจะไม่สะดวกอ่ะนะ เพราะฉะนั้นย้ายไปที่มิติของฉันกันเอาไหม? ”
“ที่จะชวนเล่นเกมผมก็สนใจเหมือนกันนะครับ แต่ว่าถ้าคิดจะหลอกขังผมไว้ในมิตินั้นล่ะก็ ผมขอปฏิเสธครับ”
“หนูนี่มองโลกในแง่ร้ายจังเลยนะ”
“ก็มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นิครับ เพราะว่าท่านอาจารย์ของผมสอนผมมาอย่างนี้”
หลังจากนั้นหัวหน้าศัตรูก็เริ่มร่ายเวทมนต์
“คาเระเฟ็น”
เกิดสายลมพัดกระดาษเวทมนต์ที่ผมถือเตรียมไว้ในมือปลิวไปทางด้านหลังของผม ผมจะหันไปเก็บก็ไม่ได้เพราะว่าจะทำให้เกิดช่องโหว่จนศัตรูโจมตีเข้ามาได้ ผมจึงหยิบกระดาษเวทมนต์แผ่นใหม่ขึ้นมาแทนอย่างรวดเร็ว
“ไรริโม”
คราวนี้หัวหน้าศัตรูใช้เวทมนต์เผากระดาษเวทมนต์ที่ผมพึ่งจะหยิบขึ้นมาจนไหม้เกรียม ผมตรวจสอบจำนวนกระดาษเวทมนต์ที่เหลืออยู่
เหลืออยู่อีกแค่สิบแผ่น
“ฉันน่ะอ่านออกหมดแล้วนะ เวทมนต์ของหนูน่ะจะใช้ไม่ได้ถ้าไม่มีเจ้าแผ่นกระดาษพวกนั้นใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นถ้าฉันสามารถทำลายแผ่นกระดาษพวกนั้นของแกให้หมดก่อน ฉันก็จะเป็นฝ่ายชนะยังไงล่ะ”
หัวหน้าของศัตรูพูดออกมาด้วยท่าทีโอ้อวด
“แหมๆเก่งจังเลยนะครับที่รู้จุดอ่อนในการใช้เวทมนต์ของผมได้ แต่ว่านะของแบบนี้น่ะแค่เด็กอนุบาลดูครั้งแรกก็รู้จุดอ่อนหมดแล้วล่ะ แต่คุณลุงน่ะต้องดูผมจัดการลูกน้องของคุณลุงให้หมดก่อนถึงจะรู้ สมองคุณลุงเนี่ยท่าทางจะแย่กว่าเด็กอนุบาลเสียอีก”
“หน่อยแหนะแก! เป็นแค่เด็กแท้กล้ามาต่อว่าผู้ใหญ่อย่างฉันด้วยอย่างนั้นเรอะ! ”
“ก็ท่านอาจารย์สอนผมมาว่า‘ผู้ใหญ่ที่ทำตัวเป็นคนเลวน่ะ เราไม่ควรจะนับว่าเป็นผู้ใหญ่หรอก แต่ควรจะนับว่าเป็นพวกเศษสวะเสียมากกว่า’เพราะฉะนั้นตั้งแต่พวกคุณลุงย่างก้าวเข้ามาที่นี้ผมก็นับว่าพวกคุณลุงไม่ใช่ผู้ใหญ่แล้วล่ะครับ”
ในที่สุดหัวหน้าของพวกศัตรูก็โกรธจนถึงขีดสุด นี่แหละที่ผมต้องการ หลังจากนี้คงจะจัดการง่ายขึ้นเยอะ ผมใช้เวทมนต์ใส่กระดาษเวทมนต์หนึ่งแผ่นจากนั้นก็ปาใส่หัวหน้าของศัตรูอย่างรวดเร็ว แต่ก็พลาดเป้า นั่นแหละที่ผมต้องการ พลาดเป้าน่ะดีแล้ว
“นี่เจ้าหนู พอโดนรู้จุดอ่อนก็ฝีมือตกกันเลยรึไง”
“คงจะประมาณนั้นแหละครับ แต่ว่าหลังจากนี้นี่แหละของจริง”
“น่าสนุกดีนี่ มิมะชุ”
หัวหน้าของศัตรูร่ายเวทมนต์อีกครั้ง คราวนี้เขาได้สร้างกระสุนน้ำจำนวนมากแล้วยิงมาทางผมด้วยความเร็วสูง ผมจึงต้องคอยหลบอย่างระมัดระวัง แล้ววิ่งตรงไปทางหัวหน้าของพวกศัตรู เมื่อถึงด้านหน้าของหัวหน้าศัตรูผมก็กระโดดขึ้นไปบนเพดาน
“จบกันซะทีนะเจ้าหนู มิมะชุ”
คราวนี้สร้างกระสุนน้ำขึ้นมาแค่นัดเดียว สงสัยพลังเวทย์คงใกล้จะหมดแล้วล่ะมั้ง
“มันยังไม่จบแค่นี้นะเว้ย คาโอว”
ผมนึกไม่ถึงเลยว่าหัวหน้าของศัตรูจะให้เวทมนต์ทำให้กระสุนน้ำนั้นขยายใหญ่ขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว แต่แบบนั้นมันก็ดีแล้ว มันทำให้แผนที่ผมวางเอาไว้ง่ายมากขึ้นไปอีก
ทันทีที่หัวหน้าของศัตรูปล่อยกระสุนน้ำยักษ์มาทางผม ผมก็รีบหยิบกระดาษเวทมนต์ขึ้นมาหนึ่งแผ่นแล้วฉีกมันทิ้งทันดี กระดาษเวทมนต์แผ่นนั้นแปรเปลี่ยนไปเป็นกระจกสะท้อนบานใหญ่และดูดกระสุนน้ำยักษ์นัดนั้นเข้าไป แต่ว่ากระจกสะท้อนนั้นไม่สามารถสะท้อนพลังเวทย์ออกมาได้ สิ่งที่ออกมาจากกระจกนั้นจึงมีเพียงแค่เม็ดน้ำขนาดใหญ่เท่านั้น เม็ดน้ำขนาดใหญ่นั้นได้ตกลงไปโดนหัวหน้าของพวกศัตรูเต็มๆ ท่าทางคงจะชุ่มฉ่ำน่าดู หลังจากนั้นผมก็กระโดดลงมาจากเพดานมายืนอยู่ข้างหน้าของหัวหน้าศัตรู จากนั้นก็หยิบกระดาษเวทมนต์ขึ้นมาห้าแผ่นแล้วรีบแปะไปยังส่วนต่างๆในร่างกายของหัวหน้าศัตรู ซึ่งได้แก่ หน้าท้อง หัวไหล่ทั้งสองข้างและขาทั้งสองข้างอย่างรวดเร็วจนหัวหน้าของศัตรูไม่ทันรู้ตัว จากนั้นผมก็กระโดดถอยห่างออกมา
ด้วยความโกรธที่ตัวเองถูกเล่นงานหัวหน้าของพวกศัตรูจึงได้หยิบดาบสั้นที่ตัวเองแอบซ่อนเอาไว้ขึ้นมาแล้ววิ่งมาทางผม
“คุณลุงรู้รึเปล่าว่าคุณลุงน่ะ แพ้ผมตั้งแต่ตอนที่โกรธผมครั้งแรกแล้ว”
“หน่อยแหนะเจ้าหนูอย่ามาดูถูกคนอย่างฉันนั้นเฟ้ย! ”
วินาทีที่หัวหน้าศัตรูจะแทงผม ผมก็ดีดนิ้วหนึ่งครั้งแล้วหายไปต่อหน้าของหัวหน้าศัตรู แต่ถึงจะบอกอย่างนั้นแต่ผมก็แค่ใช้เวทมนต์เครื่องย้ายตัวเองมาอยู่อีกตำแหน่งในชั่วพริบตาก็เท่านั้นเอา ซึ่งตำแหน่งนั้นก็คือตำแหน่งของกระดาษเวทมนต์ที่ผมจงใจปาพลาดที่ตกอยู่กับพื้น หลังจากนั้นผมก็ดีดนิ้วอีกครั้งกระดาษเวทมนต์ที่ผมแปะเอาไว้ที่ตัวของหัวหน้าศัตรูก็ทำงาน กระดาษเวทมนต์พวกนั้นได้ช็อตร่างกายของหัวหน้าศัตรู ผมได้ยินเสียงร่างกายของหัวหน้าศัตรูล้มลงกับพื้น ในตอนที่ผมหันกลับไปดูร่างของหัวหน้าศัตรูดาบสั้นของเขาที่หยิบออกมาตอนนั้นก็ถูกปามาแทงโดนบริเวณท้องของผม
“ก็บอกแล้วไงว่าอย่าดูถูกฉันให้มันมากนัก...”
หลังจบประโยคนั้นหัวหน้าของศัตรูก็สลบไป ผมรู้สึกเจ็บใจกับตัวเองที่ดันประมาทเกินไป ผมก้มลงไปดูบาดแผลของตัวเองก็เห็นว่าเลือดไหลไม่หยุด สติของผมเริ่มเลื่อนลาง ในขณะที่ผมยังมีสติอยู่นั้นผมจึงรีบโทรจิตไปหาชิโระจังว่าให้โทรเรียกตำรวจและรถพยาบาลให้มาที่นี่ หลังจากนั้นไม่นานผมก็หมดสติลง
ผมรู้สึกตัวอีกทีก็ช่วงเช้าของวันต่อมา ผมมองไปรอบๆก็รู้ว่าผมอยู่ในห้องผู้ป่วยในโรงพยาบาล ผมเห็นชิโระจังกำลังนั่งหลับอยู่ข้างๆเตียงของผมสงสัยเธอคงจะคอยเฝ้าผมตลอดทั้งคืน ผมหันไปรอบๆอีกครั้งเพื่อหาคุณอิโต้แต่ก็หาไม่เจอ ผมจึงตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงถึงจะรู้สึกเจ็บท้องนิดหน่อยแต่ผมก็อดทนเอาไว้ ผมเข็นเสาให้น้ำเกลือเดินอ้อมเตียงที่ผมนอนแล้วไปทางที่ที่ชิโระจังนั่งหลับอยู่ ผมหยิบกระดาษเวทมนต์ขึ้นมาแล้วฉีกมันทิ้ง กระดาษเวทมนต์นั้นแปรเปลี่ยนไปเป็นผ้าห่มสีชมพูแล้วผมก็เอาผ้าห่มนั้นห่มให้ชิโระจัง จากนั้นผมก็เข็นเสาให้น้ำเกลือเดินไปยังระเบียงยืนตากลมที่พัดเข้ามาอยู่สักพัก หลังจากนั้นไม่นานคุณอิโต้ก็เดินเข้ามาในห้องแล้วเดินตรงมาทางผม
“ฟื้นแล้วเหรอแลนสัน เมื่อคืนคงจะเหนื่อยน่าดูเลยสินะ ขอบคุณที่ช่วยจัดการกับเจ้าพวกนั้นให้นะ”
“ผมแค่ทำตามหน้าที่ที่ผมได้รับมอบหมายก็เท่านั้นเอง อย่าใส่ใจอะไรมากเลยครับ ว่าแต่ตอนนี้พวกศัตรูที่ผมจัดการไปเป็นอย่างไรบ้างเหรอครับ? ”
“ตอนนี้คงจะกำลังนอนอยู่ในคุกนั้นแหละ แล้วตอนนี้อาการของเธอเป็นยังไงบ้างล่ะ เห็นหมอบอกว่าเสียเลือดเยอะสมควร”
“ก็ยังรู้สึกปวดบริเวณแผลอยู่นิดหน่อยน่ะครับ แต่ผมคิดว่าอีกไม่กี่วันก็คงจะหายแล้ว”
“แบบนี้อีกไม่กี่วันก็คงได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วสินะ”
“นั่นสินะครับ ถ้าผมออกจากโรงพยาบาลแล้วยังจะให้พวกผมคุ้มกันคุณอิโต้ต่อรึเปล่าครับ? ”
ทั้งๆที่แผลยังไม่หายดีเลยแท้ๆ ผมดันเผลอพูดเรื่องงานหลังจากนี้ไปซะได้ ผมนี่กลายเป็นพวกบ้างานไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย
“คงไม่ต้องแล้วล่ะ เจ้าพวกนั้นก็โดนขังคุกจนหมดทุกคนแล้วด้วย คงจะไม่มีใครคิดจะมาทำร้ายฉันแล้วล่ะ”
หลังจากนั้นคุณอิโต้ก็ขอตัวไปคุยงานกับลูกค้าที่อื่นต่อ ส่วนผมก็เข็นเสาให้น้ำเกลือแล้วเดินไปยังเตียงนอน ผมนอนลงบนเตียงแล้วหันไปมองชิโระจังที่กำลังหลับอยู่ ผมยิ้มน้อยๆให้เธอ ความจริงผมอยากจะเดินไปลูบหัวเธอแต่ว่าถ้าในตอนนั้นชิโระจังตื่นขึ้นมาแล้วเห็นผมกำลังลูบหัวเธออยู่ เธอคงจะรู้สึกอายแล้วคงจะบ่นกับผมเรื่องที่ไม่ยอมนอนพักผ่อนอย่างแน่นอน
ผมไม่รู้ว่าผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตื่นมาอีกทีก็นอนเก้านาฬิกาซึ่งเป็นตอนที่คุณหมอมาดูอาการของผม ตอนนั้นชิโระจังตื่นแล้วแล้วกำลังอุ่นอาหารเช้าให้ผมอยู่ หลังจากที่คุณหมอตรวจดูอาการผมเสร็จเขาก็ให้ยาผมมาทาน คุณหมอบอกว่าให้ทานหลังอาหารและยังบอกอีกว่าถ้าอาการของผมยังดีขึ้นเรื่อยๆแบบนี้วันพรุ่งนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว หลังจากที่คุณหมอออกจากห้องไปผมก็ตรวจดูยาที่คุณหมอให้มาทานซึ่งยานั้นก็คือยาพาราเซตามอล ให้ตายสิพาราเซตามอลมันรักษาได้ทุกอาการเลยรึไง
หลังจากที่ชิโระจังอุ่นอาหารเช้าให้ผมเสร็จ เธอก็เดินถือถาดอาหารเช้านั้นมาให้ผม
“แลนคุงอยากให้ฉันป้อนให้ไหม? ”
ป้อนเหรอ? เมื่อกี๊ผมได้ยินคำว่าป้อนใช่ไหม? ชิโระจังกำลังจะป้อนอาหารให้ผม? ผมก็อยากให้ชิโระจังป้อนให้อยู่หรอก แต่ว่าถ้าทำอย่างนั้นมันจะทำให้ผมดูอ่อนแอลง ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยอยากแสดงท่าทีอ่อนแอให้คนอื่นเห็น ยิ่งเป็นชิโระจังด้วยแล้วยิ่งแล้วใหญ่
“ไม่ต้องหรอกชิโระจัง ผมทานเองได้ ชิโระจังก็ไปพักผ่อนเถอะเมื่อคืนคงจะเฝ้าผมทั้งคืนเลยสินะ”
“ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้ฉันก็พักผ่อนมามากพอแล้ว ให้ฉันได้อยู่ช่วยแลนคุงเถอะถึงจะเล็กน้อยก็ยังดี”
“ไม่เป็นไรหรอกชิโระจัง จริงสิ!ชิโระจังไม่ไปทานข้าวเช้าบ้างเหรอ? ”
“ฉันทานไปแล้วน่ะ...”
จ๊อก~~~!
เสียงท้องร้องของใครสักคนดังขึ้น แต่ว่าห้องนี้ไม่มีใครนอกจากผมและชิโระจัง ที่แน่ๆเสียงท้องร้องเมื่อกี๊ไม่ใช่ของผม จึงสรุปได้เลยว่าเสียงท้องร้องเมื่อกี๊เป็นของชิโระจังอย่างแน่นอน ผมจึงหันไปยิ้มน้อยๆให้ชิโระจัง
“ชิโระจังช่วยมาทานข้าวเช้าเป็นเพื่อนผมหน่อยได้ไหม? ”
“แหมๆ ถ้าแลนคุงขอร้องมาอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้นะ ฉันจะทานข้าวเช้าเป็นเพื่อนด้วยละกัน”
ชิโระจังพูดด้วยท่าทีที่เขินอายนิดๆคงจะอายเสียงท้องร้องเมื่อกี๊ล่ะมั้ง หลังจากนั้นชิโระจังก็หยิบข้าวเช้าของตัวเองที่เตรียมไว้ว่าจะทานทีหลังขึ้นมา แล้วเดินมาทางผมแล้ววางอาหารเช้านั้นลงบนโต๊ะคร่อมเตียงที่ผมจับมันหันข้างให้ผม ผมทานอาหารเช้าไปด้วยพลางมองชิโระจังที่กำลังทานอาหารเช้าอยู่ จู่ๆชิโระจังก็เงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วยิ้มให้ผมเล็กน้อย ซึ่งทำให้ผมรู้ว่าการทานอาหารเช้าครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งที่ผมมีความสุขที่สุดก็ได้
**********
ความคิดเห็น