ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Exo] Doctor’s Order [KrisHan]

    ลำดับตอนที่ #4 : 4. ถึงเวลารุกฆาต 100%

    • อัปเดตล่าสุด 14 พ.ค. 57


    Doctor’s  Order
    ตอน....  ถึงเวลารุกฆาต
                             Twitter: Tag #ฟิกหมอหล่อ
     
     
     
     

     
     
    ลู่หานเดินเร็วประหนึ่งแข่งเดินระดับชาติ นี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในรพ.เขาจะวิ่งให้รู้แล้วรู้รอด  แต่ถึงแม้เขาจะเดินได้เร็วแค่ไหน
    ไอ้คนข้างหลังก็จี้เขามาติดๆจนบางครั้งเผลอชนเขาอีกแหน่ะ  น่าหงุดหงิดมากให้ตายเหอะ
     
     
    ภาพหมอสองคนที่เดินเร็วเหมือนจะไปไล่ควายที่ไหน สร้างความสนใจให้แก่ผู้สัญจรเดินผ่านไปผ่านมา  แต่ก็ไม่มีใครกล้าทักแม้แต่หมอๆด้วยกันเอง เกรงว่าจะโดนงับหัวได้ เพราะหมอตัวเล็กกว่าหน้าบูดบึ้งแบบไม่รับแขกสุดๆ  
     
    หลังจากที่แข่งเดินเร็วกันมาจนถึงลานจอดรถ หมอตัวเล็กกว่าก็เดินดุ่มๆไปยังรถ Benz E250 สีขาว ที่จอดนิ่งสนิทอยู่
     
    “ลู่หานอ่า.... จะไปไหน”  อี้ฝานที่ยอมงับปากตลอดทางเดิน ถามขึ้นในทันที่ลู่หานยืนอยู่ข้างประตูรถ  
    จะว่าโชคดีหรืออะไรก็ไม่รู้ที่ลู่หานไม่เปิดประตูรถแล้วขับหนีเขาไปเสียก่อน
     
    “กลับบ้าน   นายไม่เคยกลับบ้านหรือไง”  หันมาตอบ  เพราะลู่หานรู้ดีว่าถึงแม้จะขับรถหนีไป ไอ้คนตรงหน้าต้องขับตามแน่
    เพราะรถมันก็จอดอยู่ข้างๆเขานี่แหละ จะตามจองล้างจองผลาญอะไรกันนักหนาวะ ลู่หานจ้อง Porsche Cayenne สีดำอย่างไม่สบอารมณ์
     
     
    “เคย แต่นานๆกลับที  ก็บ้านผมอยู่กวางโจวไม่ได้อยู่ปักกิ่ง”  
     
    “แล้วไง”  ลู่หานพูดขึ้นทันที  รู้ว่ากวนประสาทมากแต่ก็ไม่สน เพราะเขาก็จงใจนี่แหละ
     
    “ก็ไม่แล้วไงครับ  ผมแค่หิวข้าว อยากชวนลู่หานไปกินข้าวกัน  นี่ก็จะเที่ยงกินเสร็จก็ค่อยกลับบ้านก็ได้” เห็นหน้าเขาเป็นคนเห็นแก่กินหรือไง  เจอหน้าเป็นไม่ได้ต้องชวนไม่ก็ลากไปกินข้าวตลอด  ที่จริงลู่หานก็เคยไปกินข้าวกับอี้ฝาน ไม่สิต้องบอกว่าโดนลากอย่างไม่เต็มใจเสียมากกว่าราวๆสองสามครั้ง   เขาก็ไม่เข้าใจว่าอี้ฝานจะอะไรนักหนากับเขา  ดูก็รู้ว่าเขาไม่ชอบใจตัวเองเอาเสียเลย  แต่ก็ยังพยายามเข้ามาวุ่นว่ายให้เขาก็อารมณ์เสียใส่เสมอ
     
     
    “แหน่ะ คิดไรอยู่คิ้วขมวดเชียว”  ไม่ว่าเปล่ายังส่งนิ้วเข้ามาจะจิ้มหน้าผากเขาอีก  ลู่หานจึงเบี่ยงตัวหลบ
     
    “เยอะละๆ”  อี้ฝานได้แต่หัวเราะชอบใจ จนลู่หานก็ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรให้อี้ฝานมันขำนักหนา
     
     
    “ตกลงไปกินข้าวกันนะ  ร้านเนื้อย่างเปิดใหม่หลังรพ.เนี่ย ไปกินกันนะ”  ส่งสายตาออดอ้อนมายังลู่หาน
    แต่ลู่หานก็ยังเป็นลู่หานที่เย็นชากับอี้ฝานวันยังค่ำ หันหน้าหนีแบบไม่สนใจ
     
     
    “ผมจะกลับไปกินข้าวที่บ้าน”  ปฏิเสธหนักแน่น จนอี้ฝานเผลอถอนหายใจ
     
     
    “เฮ้ออ  งั้นผมก็ต้องกินข้าวคนเดียวสินะ”  ทำหน้าได้น่าสงสารมากก ทำท่าได้น่าเห็นใจสุดๆ  
    แต่ไม่กี่วันนี่เองที่เขาไปบังเอิญเจอหมอนี่กินข้าวอยู่สาวดีเทลที่มาขายยา  เหอะ อย่างนายนี่สต็อคเป็นล้าน
     
     
    “แล้วสาวดีเทลที่ไปกินข้าวด้วยกันเมื่อวันก่อนๆละ”  พอลู่หานพูดจบ อี้ฝานก็ทำหน้าตกใจในทันที
     
     
    “เฮ้ย  ลู่หานเห็นเหรอ”   เห็นกันทั้งรพ.เลยมั้ง  ก็ห้างมันห่างจากที่นี้สักเท่าไหร่กันเชียว
     
     
    “เห็นดิผมไม่ได้ตาบอดนะ”
     
     
    “แล้วลู่หานคิดยังไง”  พอโดนถามกลับ ลู่หานทำหน้างงในทันที
     
     
    “อะไร?  ถามผมทำไม”  
     
     
    “ไม่หึงไรงี้เหรอ  เนี่ยผมก็ออกตัวแท้ๆว่าจีบลู่หานอยู่  แต่ก็ดันไปกินข้าวกับสาวซะได้ 
    ไม่หวงกันบ้างเหรอ”   ถามด้วยตาเป็นประกายอย่างมีความหวัง  แต่สุดท้ายก็โดนเท้าของลู่หานขยี้ความหวังอันริบหรี่ให้ดับแบบไม่มีแสง
     
     
    “ไม่อะ   เรื่องของคุณนิ่”    ฮืออออออออออออออออ  อี้ฝานอยากจะร้องไห้  จีบมาตั้งนานทำไมไม่หวั่นไหวเลยวะ
    น้ำกรดหยดลงหินทุกวันๆนี่ไม่ช่วยอะไรเลยรึวะ
     
     
    “ก็ผมอยากให้เป็นเรื่องของเรา”  พยายามหยอดต่อ แต่ดูท่าลู่หานจะไม่สนใจนัก
     
     
    “ฝันเอาละกันง่ายกว่า”    จบแบบไม่ต้องสืบ    อี้ฝานได้แต่ทำหน้าบู้บี้แบบโดนขัดใจ  เขาหน้าด้านพอตัวเลยนะ
    นี่ก็หน้าด้านจีบมานาน ก็หน้าด้านจะจีบต่อไป   ถึงจะโดนเบรกแรงๆหลายรอบก็สู้เว้ย   มองเห็นตาหวานๆ ปากเล็กๆ จมูกรั้นๆนี่ก็เสริมผนังหน้าให้ด้านขึ้นเรื่อยๆ
     
     
    “ขนาดฝันว่าจะเอายังไม่ได้เลย” บ่นงุ้งงิ้งสองแง่สองง่ามเบาๆ  แต่ลู่หานดันได้ยิน
     
     
    “พูดไร”   เสียงแข็งมาเชียว  อี้ฝานรีบส่ายหน้าในทันที
     
     
    “ไม่มีไร   เมื่อกี้ละเมอ”
     
    “เหอะ!   หมดธุระคุณแล้วใช่มั้ย ผมจะกลับบ้าน” ลู่หานที่ยอมเสียสละเวลามายืนคุยกับอี้ฝาน    เริ่มตั้งหน้าไล่อี้ฝานละ
    เพราะรู้สึกว่าตัวเองเสียเวลาชะมัด
     
     
    “อ่า.... ไม่กินข้าวก่อนจริงๆเหรอ”  ยังวนกลับมาเรื่องเดิม    ซึ่งลู่หานก็ยืนยันเหมือนเดิม
     
     
    “ไม่ครับ” ตอบสุภาพ พร้อมร้อมยิ้มอย่างเหนือกว่า  จนอี้ฝานคอตก
     
     
    “โอเคครับ   งั้นเจอกันวันจันทร์   ถึงบ้านแล้วโทรหาผมด้วยนะ”    ลู่หานมองอีกฝ่ายที่พูดเข้าทางตัวเองได้ตลอด
    นี่เขาเป็นไรกับหมอนี้นะ  ถึงบ้านแล้วต้องโทรรายงานเนี่ย
     
     
    “ทำไมผมต้องโทรหาคุณด้วยเล่า” ตอบกลับไปอย่างไม่สนใจ  ก่อนเปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่ง  ยังไม่ทันที่ลู่หานจะได้สตาร์ทรถ  อี้ฝานก็เคาะกระจก      ลู่หานถอนหายใจทิ้งก่อนกดเปิดหน้าต่าง
     
     
    “มีไรอีก”   เอ่ยเสียงแข็ง  นี่เขาอุตสาห์ยืนคุยด้วยตั้งนานนะ  ยังจะมายุ่งกับเขาอีก
     
     
    “เป็นห่วง”  
     
     
    “แล้วไง”
     
     
    “ก็ผมเป็นห่วงคุณ  ขับรถกลับบ้านดีๆนะครับ  ถ้าไม่โทรก็ไม่เป็นไร แต่ดูแลตัวเองดีๆนะ  
    ถึงบ้านปลอดภัยครับ”  เป็นไม่กี่ครั้งที่อี้ฝานจะยิ้มแบบจริงใจไม่มีความกะล่อนมาเจือปนให้ลู่หานเห็น
     
    ลู่หานหันหน้ามามองพวงมาลัย ก่อนตอบเสียงเบา
     
    “เอ้อ รู้แล้วละน่า”  
     
    “ครับ...  เป็นห่วงมากๆนะครับ ลู่หานของผม”  จบคำลู่หานกดปิดกระจกในทันที  ก่อนขับรถออกไปด้วยความเร็ว
    จนอี้ฝานต้องกระโดดหลบเพราะเกรงว่านิ้วเท้าอาจจะโดนล้อรถบดได้
     
     
    “น่ารักจังเลยลู่หานของผม  น่ารักๆๆ”   ถ้าใครเดินผ่านแถวลานจอดรถคงเจอหมอตัวสูงหน้าตาพอดูได้ กำลังเสียสติอยู่ก็อย่าถือสานะครับ   หมอแกเครียด  งานแกเยอะ  =______=
     
    ..
    ..
    .
    .
    .
     
     
     
     
    .
    .
     
    “พวกมึงรู้ปะ ตอนกูบอกว่าเป็นห่วงละลู่หานหน้าแดงนี่แม่งน่ารักสุดๆ  เค้าคงชอบกูแล้ว”  จื่อเทาและอี้ชิงที่กำลังคีบเนื้อเข้าปาก  ทำหน้าเหม็นเบื่อพี่ชายที่เอาแต่พูดเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันกลับไปกลับมา จนพวกเขาจะท่องได้ละ
     
    “พี่คริส ผมจำคำพูดพี่ได้หมดแล้วนะ”  เป็นจื่อเทาที่เอ่ยขึ้น เพราะเขาทนฟังไม่ได้แล้วโว้ยย
     
     
    “ก็กูปลื้มอะ” ครับ  ผมรู้    ....  น้องสองคนได้แต่รำพันในใจ
     
     
    “มึงจะจ่ายเองหรือให้กุเลี้ยงก็เลือกเอา”
     
     
    “เลี้ยงดิพี่”  จื่อเทารีบโพล่งทันที  เรื่องกินฟรีนี่ของชอบ
     
     
    “งั้นก็ต้องทนฟังกูไป  ฮ่าๆๆๆๆ”   ของฟรีไม่มีในโลกสินะ ต้องแลกกับการทนฟังพี่ชายพล่ามไปเรื่อยๆ
     
     
    “พี่คริสชอบพี่ลู่หานจริงๆเหรอ”   อี้ชิงที่สงสัยมานานละ ได้ทีก็เลยถามซะเลย
     
     
    “เอ้อดิ  กูก็จีบมาตั้งนานละนะ  ไม่ชอบนี่คงถอดใจไปละ”  
     
     
    “แต่พี่ก็จีบคนอื่นๆด้วยนิ่  ที่ผ่านมาพี่ก็มีแฟน ตอนนี้พี่ก็มีกิ๊กไปทั่ว  ผมก็เลยไม่คิดว่าพี่จะจริงจังกับพี่ลู่หาน”  
     
     
    “อี้ชิง  แล้วที่ผ่านมาลู่หานไม่ได้มีแฟนเหรอ ไม่ได้ปักใจกับใครเหรอ  พี่ก็คนเว้ย เจ็บเป็นช้ำเป็นก็ต้องมีที่ปลอบใจบ้าง”
    จบคำแค่นั้นแหละ จื่อเทาก็โห่พี่ทันที
     
     
    “โหยพี่ เลววะ  มีสำรองด้วย”  
     
    “อ้าวๆกวนตีนละ สำรองบ้านป้ามึงเอ่อ   ณ ตอนนั้นใครเป็นแฟนกู กูให้เค้าสำคัญสุด แต่ในใจลึกๆกูยังมีลู่หานอยู่”
     
     
    “พี่เอาเปรียบแฟนพี่อะ  เขามีพี่คนเดียว แต่พี่ดันมีคนอื่นในใจด้วย” อี้ชิงหันมาต่อว่าพี่ชายต่อ  อี้ฝานได้แต่ถอนหายใจ
    ก่อนตอบ
     
     
     
    “แต่กูไม่เคยบอกเลิกใคร  มีแต่โดนทิ้ง  ถึงคนที่กูคบอยู่เขาจะไม่มีใครในใจ แต่พอถึงเวลาที่เขาจะไป ก็มีคนรออยู่ดี
    มึงคิดว่าใครเลวกว่ากัน”   จื่อเทาได้แต่อึ้งกับความจริงทีได้รู้    เพราะที่ผ่านๆมา จื่อเทาเห็นอี้ฝานคบกับใครก็เห็นไปไหนมาไหนด้วยกัน  แต่ตอนเลิกกันนี่เขาไม่เคยเห็นเหตุการณ์ มีแต่พี่ชายมาบอกเลิกกันแล้ว  หล่อเลือกได้ก็งี้
    ก็ไม่คิดว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างงี้  ต้องบอกเลยว่า โคตรไม่อยากจะเชื่อเลยวะ
     
     
     
    “โนคอมมเมนต์ครับ”  อี้ชิงเองก็อึ้งไม่แพ้กัน  เขาเลยไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
     
     
     
    “ฮ่าๆ  อึ้งเลยเหรอวะไอ้สัด  พวกมึงเห็นแต่หน้าตาท่าทางกูน่ะสิคิดว่ากูต้องเป็นฝ่ายเลว กูนี่โดนทำร้ายจิตใจมาตลอด
    กระทั่งตอนนี้กูแบบโสดสุดๆ ตามจีบลู่หานเท่าไหร่เขาแม่งก็ไม่เห็นความดีของกู  ชีวิตแม่งๆๆ” ไม่ว่าเปล่า ยังเอาตะเกียบจิ้มๆเนื้อบนจานอย่างอาฆาตแค้น
     
     
    “ดื่มเพื่อลืมเธอมั้ยพี่คริส   พี่ก็เลี้ยงเหล้าพวกผมอีกรอบ”  
     
     
    “เทา ไอ้น้องเหี้ย  หลอกแดกฟรี” หันมาชี้หน้าด่าน้อง แต่จื่อเทาก็หัวเราะอย่างพอใจ
     
     
    “แต่วันนี้กูโง่ เลี้ยงๆ  เดี๋ยวแดกเนื้อย่างเสร็จแวะซุปเปอร์  ไปเมาที่ห้องกู ไม่เช้าไม่เลิก” จบคำประกาศ  
    จื่อเทายิ้มกว้างอย่างยินดีสุดๆ  ส่วนอี้ชิงก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาให้พี่น้องคู่นี้
     
    .....
    ..
    .
    .



    50%










    ฝากแท็ก#ฟิกหมอ





    อีก 50%







    .
    .
     
    .
    .
     
     
    “จะไปไหน”
     
    “ไปไหน?”  คนที่โดนถามหันมามองอีกฝ่ายงงๆ  เพราะซิ่วหมินที่กำลังเดินลงมาจากหอพักดีๆ ก็โดนเพื่อนตัวสูงดักทางไว้
    แล้วก็ถามแปลกๆสภาพกูเนี่ยคงไปขึ้นเวรมั้งครับ แหม..อยู่ในชุดกีฬาพร้อมหิ้วรองเท้าสตั๊ดขนาดนี้
     
    “แดกข้าวมั้งครับ  ถามไรของมึงเนี่ย”   อี้ฝานมองเพื่อนตัวเล็กที่ทำหน้าหงุดหงิดใส่แบบไม่สนใจอารมณ์มันนัก
    ก็พอจะเดาได้ว่ามันจะไปไหน แต่แบบอยากถามถึงอีกคนน่ะ มึงไม่เข้าใจกระแสจิตที่กูส่งไปเหรอเพื่อนนนน
     
     
    “แดกที่ไหนกูไปด้วย”  ตอบหน้ามึนๆ
     
    “ไอ้คริส!  มึงก็เห็นอยู่แล้วจะมาถามกูเพื่อ หลีกทางๆเดี๋ยวกูไปสนามบอลเลทโดนไอ้หานด่าตาย” ในที่สุดชื่อนี้ก็หลุดมา
    นี่แหละๆที่ต้องการ
     
    “กูไปด้วย” เกาะซิ่วหมินยังกับปลิงในทันที  ซิ่วหมินมองสารร่างของเพื่อนแล้วได้แต่ส่ายหน้า
     
    “ไปชุดนี้เนี่ยนะ”     
     
    “ก็เอ้อดิ”  ถามทำไมวะ ก็แค่ชุดเสื้อกางเกงสแลคเสื้อเชิ้ตแล้วมีเสื้อกาวน์ทับ แถมด้วยรองเท้าหนังมันแผล่บนี่ผิดกฎเอ่อ??
    เขาไม่ให้เข้าสนามบอลเหรอ
     
    “ชุดนี้เข้าไม่ได้?” ซิ่วหมิ่นพอได้ยินคำพูดของเพื่อนก็ส่ายหน้าไปมา
     
     
    “ไม่ใช่เข้าไม่ได้  แต่มึงเข้าใจคำว่าสนามบอลมั้ย?  ชุดอย่างมึงเนี่ยจะไปเข้าสนามบอลด้วย เด่นตายห่า” อี้ฝานพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่ก็ไม่ยอมขยับตัวไปไหน
     
    “ไม่เป็นไรกูชอบเด่น”   ไอ้เหี้ยยยยย   ซิ่วหมิ่นโคตอยากตะโกนใส่หน้ามัน  แบบนันสต็อป กูละปวดกะบาล
    ไม่น่าลงมาเจอมันเลยยย
     
     
    “มึงโง่หรือมึงโง่กันแน่ ห๊ะ! ไปเปลี่ยนชุดไป๊  กูเตะอยู่สนามบอลหลังโรงบาลนี่เอง  มึงค่อยตามไป” ว่าแล้วก็สลัดเพื่อนตัวโตออกไป  ก่อนเดินดุ่มๆด้วยความเร็วหารสามของอี้ฝาน  ก็กูขาสั้นอย่าแซวได้ปะวะ   โถ่ววววววว
     
     
    “มึงไม่โกหกกูแน่นะ”  ตะโกนตามเพื่อนไป ซิ่วหมิ่นเลยได้หยุดก่อนหันมาแว้ดใส่
     
     
    “ไม่เชื่อก็ไม่ต้องตามมา” ว่าแล้วก็เดินออกไป  พยายามสาวเท้าให้เร็ว เพราะเลยเวลานัดมาพักหนึ่งแล้วเดี๋ยวกัปตันจะแดกหัว  พูดง่ายๆก็ไอ้หานแหละรองับหัวเขาอยู่     ว่าการเรียนเป็นหมอยากแล้วนะ การเป็นคนกลางระหว่างอี้ฝานกับลู่หานนี่แหละที่มันยากกกกก(ก.ไก่ล้านตัว)ไม่ต่างกัน
     
     
    ..
    .
    .
    .
     
     
     
    “แกมาช้า”  ทันที่ก้าวเข้าไปในสนามก็โดนทันที  เอ้อ! ชีวิตกูมันยากๆๆ
     
     
    “โทษที” ตอบเสียงเหนื่อยหน่าย  ก่อนเดินเอาข้าวของไปกองไว้ที่สแตนท์     ลู่หานพอเห็นสีหน้าเพื่อนก็รีบถลาเข้ามาหาทันที
     
    “ซิ่วหมิ่นอา…. ฉันไม่ได้ตั้งใจจะดุแกนะ แกโกรธเอ่อวะ” รีบปรี่เข้ามาง้อเพื่อน ซิ่วหมิ่นพยายามยิ้มเฝื่อนๆให้ เพราะเห็นว่าเพื่อนดูกังวลเกินเหตุ   คือกูไม่ได้โกรธกูแค่สงสารชีวิตตัวเอง
     
     
    “เปล่าโกรธ  แค่เพลียๆวะ”  เพลียจริงเพลียจังตั้งกะเจอไอ้คริสเมื่อกี้ละ   งานปวดหัวกำลังจะเข้า
     
     
    “เฮ้ย ไหวเปล่า  แต่ว่า.....ไม่ไหวก็ต้องไหวนะ  เดี๋ยวจะมีกีฬารพ.แล้ว  เวลาซ้อมยิ่งน้อยๆอยู่ แพ้ทีมอื่นอายเขาตายเลย”
    เอิ่มมม ดีมากกก เป็นเพื่อนที่ดีมากก  ซิ่วหมิ่นรู้เต็มอกว่าลู่หานนี่รักบอลยิ่งกว่าอื่นใดในโลก  โอเคถึงจะปางตายกูก็ต้องมาซ้อมบอลกับมึงสินะ    
     
     
    “ยังไม่ได้ตาย  ถ้าเห็นตายก็หามเข้าห้องดับจิตเลย”  พูดส่งท้ายก่อนวิ่งไปรวมกลุ่มกับเพื่อนหมอผู้รักการเตะบอลเป็นชีวิตจิตใจอีก6-7คน     โดยมีลู่หานที่วิ่งตามมาสมทบ
     
     
    ที่รพ.จะมีงานกีฬาสีทุกๆปี  โดยจะแบ่งเป็น 5 สี  สีเหลือง สีเขียว สีฟ้า สีชมพูและสีแดง  คัดจากการจับสลากโดยผอ.รพ.
    ที่จะเอาแต่ละแผนกมายำรวมกันแล้วแบ่งเป็น 5 สี  ซึ่งปีนี้ลู่หานที่พอรู้ว่าตัวเองได้อยู่สีแดงก็เริงร่าอย่างดีใจ เพราะได้สีแดง  สีแดงเป็นสีของแมนยู (มันคิดไปเอง) และเสื้อก็ออกมาในรูปแบบที่ไม่ต้องแปลกใจเลย  เสื้อทีมบอลแมนยูนั่นแหละแถมมันยังจองเบอร์ 7 อีก  งานนี้มันบอกมันจะต้องเป็นแชมป์  ต้องชนะให้ได้     ดีที่อย่างน้อยการแข่งฟุตบอลเขาให้เป็นแค่ฟุตซอล  ไม่อย่างงั้นคงวิ่งกันลิ้นห้อยในสนามอันกว้างใหญ่  แต่ว่าวิ่งสนามฟุตซอลก็ใช่ว่าจะไม่เหนื่อย  แต่อย่างน้อยก็ดีกว่านิดนึงละวะ   
     
     
    ซึ่งวันนี้ไอ้ลู่หานจอมบ้าพลังให้พวกผมวอร์มกันชนิดหอบแดก  วิ่งไปวิ่งมาแบบไม่ได้เกรงใจสังขารพังๆของพวกผม ที่เพิ่งลงเวรกันมา แถมมีบางคนที่อยู่ในเวรแต่แม่งแว้บมาซ้อม   วิ่งกลับไปกลับมาไม่รู้กี่รอบ  แล้วต้องมาต่อบอลกันอีก  ฝึกเลี้ยงเข้าไปยิงอีกคนละไม่รู้กี่ลูก  บอกตรงๆจะเป็นลม   เดี๋ยวได้มีการแบกหมอไปหาหมอก็งานนี้แหละ
     
     
    “เสร็จรอบนี้ก็พอก่อน”   จบคำประกาศิต  ก็ได้ยินเสียงโห่ร้องเบาๆอย่างดีใจ  คือที่เสียงไม่ดังไม่ใช่อะไรนะ หมดแรง  -*-
    ไม่ทันที่ได้เดินไปพักกัน ก็มีมนุษย์ชุดแดงเดินหัวทองตัวยังกะตึก เดินทอดน่องประหนึ่งมาเดินแบบเข้ามาในสนาม 
     
     
    “ยาฮู้วววว  เหนื่อยกันม้ายยย”   ไอ้คริสในชุดChicago bullsสีแดง  แหกปากเสียงดังชนิดทุกคนหยุดมองมันในตาเดียว
    คือมึงสนามบาสอยู่ถัดไป  มึงเข้ามาผิดสนามแล้ว
     
     
    “ใครพามา” ลู่หานพูดเสียงเบาให้ซิ่วหมิ่นได้ยินคนเดียว     ซึ่งคิดไม่ยากว่าไอ้หานกำลังใส่ร้ายผม ซึ่งถูก ผมแหละเป็นคนบอกให้มันมาเอง
     
    “มันอาจจะมาซ้อมบาสก็ได้นิ่  มันแค่อาจเดินผ่านมา”  ซิ่วหมิ่นพยายามหาข้อแก้ตัวให้ตัวเอง  แต่ลู่หานไม่ยักกะทำหน้าเชื่อ  ไรวะ แถไม่เนียนหรือเนี่ย
     
     
    “หานๆอ่า... เหนื่อยมั้ย..    ผมซื้อน้ำกับของกินเล่นๆมาให้กิน  ซื้อมาเผื่อทุกคนด้วยนะ” พูดจบก็ยิ้มเก็กหล่อให้ลู่หาน ซึ่งดูท่าจะไม่ได้ผลนัก เพราะลู่หานยังคงมองหน้านิ่ง
     
    ซิ่วหมิ่นมองหน้าสองคนเหมือนที่เพื่อนๆในสนามกำลังทำ  ก่อนถอนหายใจ
     
     
    “มีเกลือแร่ปะมึง” สุดท้ายเป็นซิ่วหมิ่นที่ต้องเปิดปากพูดเอง เพราะทุกคนในสนามเงียบกริบ ก็ลู่หานนมองไอ้คริสตาเขม็งพร้อมจะระเบิดทุกเมื่อ  เขาก็เป็นคนจิตใจดี เลยสงเคราะห์ไอ้คริสที่มองลู่หานตาละห้อย
     
    “มีอยู่  แต่มึงต้องเดินมาหยิบเองนะ อยู่ในถุงนั้น”  ทำคุณบูชาโทษโปรดสัตว์ได้บาปจริงๆกู  แต่อย่างน้อยมันก็ซื้อมาเผื่อ
    ถึงแม้มันจะไม่สำนักบุญคุณที่พยายามช่วยทำบรรยากาศให้เย็นลงของกูเลยสักนิด
     
    “เอ้อขอบใจ”  ซิ่วหมิ่นเอ่ยอย่างปลงตก  กำลังจะก้าวขาเดินไปที่สแตนท์ก็โดนกัปตันพูดดักทาง 
     
    “เพิ่งวิ่งเหนื่อยๆจะกินทำไมน้ำ  อยากจุกตายหรือไง”  แหน่ะ มันขู่เสียงเขียว   คือมึงใจเย็น.... กูไม่ได้ไปซัดโฮก  แค่จิบแก้กระหาย   
     
    “ทุกคนเขารู้หรอกน่า ว่าต้องทำยังไง”  หื้ออออออออ  คริส?  มึงกินยาเขย่าขวดปะ ทำไมไปแหย่ลู่หานแบบนั้นนน
     
    สภาพลู่หานตอนนี้เลยเหมือนสติกเกอร์หมีที่มีไฟพุ่งออกด้านหลัง
     
     
    “นี่มันเรื่องของพวกผมไม่เกี่ยวกับคุณ!”  ลู่หานพูดขึ้นเสียงดังด้วยน้ำเสียงและหน้าตาที่บ่งบอกความไม่พอใจสุดขีด
    คนอื่นๆแทบจะกลั้นหายใจหยุดการกระทำทุกอย่าง  แต่อี้ฝานกลับยืนมองลู่หานด้วยท่าทีสบายๆ
     
     
    “แต่ทุกคนในนี้ก็เพื่อนผม  ผมก็แค่เป็นห่วงพวกมัน”  สาบานเลยว่าเป็นห่วงพวกมันจริงๆ  เพราะไอ้ที่หมดสภาพในสนามก็เพื่อนที่เรียนมาด้วยกันทั้งนั้น  ทำไมจะไม่สนใจพวกมันละ  แล้วก็ไม่อยากเป็นสาเหตุให้พวกมันต้องช็อกตายคาสนามด้วย
     
     
    “แต่นี่เป็นเรื่องของสีแดง” ลู่หานที่เห็นสีหน้าอ้อนวอนของเพื่อนก็หลับตาลง ก่อนหันมาเถียงอี้ฝานอีก เพราะเขาไม่อยากยอมแพ้และต้องไม่แพ้ด้วย!
     
     
    “งั้นก็เรื่องของผมด้วยครับ  เพราะผมก็อยู่สีแดง  เพราะสีแดงเป็นสีเสื้อของชิคาโก้บูลส์”  เดี๋ยวนะตรรกะนี่มันคุ้นๆวะ
     
     
    “ไม่ใช่! สีแดงเป็นของแมนยู!”  ว่าแล้วทำไมมันคุ้นๆ  จากไอ้หานนี่เอง     ซิ่วหมิ่นตบหน้าผากตัวเองด้วยความละเหี่ยใจ
    คืออะไร!  ตกลงที่เถียงๆกันอยู่ประเด็นคือ???    โอ้ยยยย ไอ้พวกบ้า!!!
     
     
    “หานๆเถียงแบบนี้ไม่น่ารักเลย  ต้องยอมรับสิครับ ไมเคิลจอร์แดนน่ะรู้จักมั้ย?”  เหมือนมันจะเริ่มแถออกไปอีกทางยังไงไม่รู้
    ซิ่วหมิ่นเลยใช้ช่วงเวลาบ้าๆของสองคน เดินชิลไปหยิบเกลือแร่มากินก่อนนั่งดูมวยคู่ปัญญาอ่อน
     
     
    “นายน่ะรู้จักมั้ย อิริคคันโตน่าน่ะ”  ซิ่วหมิ่นไม่ยักกะคิดว่ามันจะบ้าจี้ปัญญาอ่อนตามไอ้คริส  นี่สินะเขาเรียกว่ามวยถูกคู่
     
     
    “ลู่หานยังไม่ตอบคำถามผมเลย”  อี้ฝานแสร้งทำสีหน้าจริงจังใส่   ลู่หานที่อารมณ์มาเต็มกำลังหัวเสียกับลีลากวนประสาทของอี้ฝานที่สุด  จนสตงสตินี่กู่ไม่กลับละ อยากเอาชนะอย่างเดียว
     
     
    “คุณก็ไม่ตอบถามผมเหมือนกัน”  ตอบเสียงดังอย่างไม่ยอมแพ้    อี้ฝานได้แต่ยักไหล่ก่อนพูดต่อ
     
     
    “โอเค แฟร์ๆ  ต่างฝ่ายต่างไม่ตอบ  เราเสมอกัน”
     
     
    “ไม่! คุณแพ้!”  ลู่หานเอ่ยเสียงแข็ง    อี้ฝานมองตาคนที่โมโหควันออกหูก่อนอมยิ้มน้อยๆ แล้วยกมือสองข้างเชิงยอมแพ้
     
     
    “ครับๆ ผมแพ้เอง  ผมน่ะแพ้ลู่หานตลอดแหละ  แค่เห็นหน้าลู่หานก็ยอมแพ้ละ” ไม่ลืมที่ยิ้มหวานตบท้าย
    จนลู่หานกำหมัดแน่น
     
     
    “ไอ้!   หึ้ย!! ”  ลู่หานที่หน้ามืดตามัวอยู่นานก็ถึงกับสบถอย่างไม่สบอารมณ์  เขาพลาด พลาดอย่างน่าโมโห  ท
    ทำไมไอ้คนตรงหน้ามีพรสวรรค์ในการยั่วโมโหทำให้เขาฟิวส์ขาดได้ตลอดนะ
     
     
    “หานๆ พูดไม่เพราะ จะโดนลงโทษ”  
     
     
    ซิ่วหมิ่นที่เฝ้าดูสถานการณ์รีบเดินเข้าไปเข้าแยกคนสองคน เพราะถ้าไม่แยกนี่เรื่องยาวววว
     
     
    “โอเคๆ จบเกมส์  แยกย้ายๆ   อี้ฝานมึงมานั่งหน้าเมายาอยู่ข้างกู  ส่วนคุณลู่หานนี่เกลือแร่แดกซะ ละไปนั่งอยู่มุมโน้นกับเหอหนาน” ซิ่วหมินออกคำสั่งในทันทีก่อนที่ลู่หานจะกระโดดต่อยอี้ฝาน     ลู่หานได้แต่เดินกระฟัดกระเฟียดไปอีกฝั่ง
    แต่ไอ้คริสนี่สิยังยืนมองเขาอย่างอาลัยอาวรณ์   
     
     
    “มึงไม่โดนมันต่อยนี่บุญโขมานั่งกับกูนี่มา” ซิ่วหมิ่นพูดพลางลากเพื่อนตัวโตไปนั่งสงบสติอารมณ์ข้างตัวเอง
     
     
    “เขาว่าผู้หญิงด่าแปลว่ารักเว้ย”  สำนวนสมัยไหนไอ้บ้านี่   มันด่าคือมันเกลียดมึง เข้าใจใหม่ซะ!
     
     
    “ไอ้หานเป็นผู้ชาย”  ไอ้นี่ก็หลงเขาไม่ลืมหูลืมตา
     
     
    “ก็เหมือนๆกันแหละมึง” อี้ฝานพยายามแถจนซิ่วหมิ่นอ่อนอกอ่อนใจ 
     
     
    “ลู่หานนี่แม่งน่ารักวะ กูพาไปทางไหนก็คล้อยตามดูหลอกง่ายดี รู้งี้กูรุกหนักๆซะตั้งนาน” ซิ่วหมิ่นถอนหายใจจนไม่รู้อายุเขาหดเหลือกี่ปีกันแล้ว 
     
     
    “มึงฟังกูนะ  ไอ้ห่านเกลียดมึงมากขึ้นทุกครั้งที่มึงเข้ามาหามัน  กูว่ามึงควรหยุด กูปวดหัว”  สาบานเลยเขาไม่ได้พูดเวอร์
    คือเขาเริ่มไม่ไหวที่จะห้ามทัพระหว่างสองคน    มันปวดกะบาลมึงเข้าใจกูมั้ยยย
     
     
    อี้ฝานหันไปมองเพื่อนตัวเล็กที่ดูเหมือนจะปวดหัวตามที่พูดจริงๆ   แต่เขาทำไม่ได้  มันยากเกินไปที่จะเลิก  
    เพราะเขายังไม่อยากยอมแพ้ แม้จริงๆก็รู้อยู่หรอกว่ามันแทบเป็นไปไม่ได้
     
     
    “ซิ่วหมิ่น มึงไม่เป็นกูไม่รู้หรอก   ว่าการชอบใครสักคนหนึ่งมากๆและมากขึ้นทุกวัน การไม่เจอเขามันทรมานแค่ไหน”
    ซิ่วหมิ่นมองคนข้างๆอย่างแปลกใจ  ก็รู้ว่าอี้ฝานมันม่อลู่หานมาตั้งแต่ครั้งแรกที่มันเจอเมื่อเข้ามาเรียนปีแรก  
    แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะจริงจังขนาดนี้
     
     
    “นี่มึงเอาจริง?”  ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ  ซึ่งอี้ฝานก็หันมายิ้มบางๆให้เพื่อน  เป็นรอยยิ้มอย่างที่ซิ่วหมิ่นเห็นจนชินตา
    และเป็นรอยยิ้มที่อี้ฝานใช้มองลู่หานทีเผลอหลายครั้ง
     
     
    “กูจะลองสู้สักตั้งวะ   ก่อนที่กูจะเรียนจบ  ถ้ามันไม่รอด พอจบแล้วกูจะกลับแคนาดา” ซิ่วหมิ่นมองเพื่อนตาโต
    คือก็รู้ๆอยู่ว่าอี้ฝานมันมีบ้านอีกหลังที่แคนาดา  แต่ไม่เคยคิดว่ามันจะไปทำงานที่โน้น เพราะเหมือนมันคุยๆเรื่องขอทุนเรียนต่อมาเป็นอาจารย์ที่นี้ เช่นเดียวกันลู่หาน  
     
     
    “คริสมึงไหวนะ”  พอเห็นเพื่อนดูเอาจริง  ซิ่วหมิ่นก็อดเป็นห่วงสภาพหัวใจมันไม่ได้  เพราะดู%การสมหวังนี่=0.0001 เลยทีเดียว
     
     
    “เล็กน้อยน่ะ  กูหยอดนิดหยอดหน่อยมาเป็นสิบปี โดนด่าไล่เปิงมาตลอดกูก็หน้าด้านทนได้  แค่อีกสี่ซ้าห้าเดือนทำไมจะไม่ไหว”  ซิ่วหมิ่นพอได้ยินคำปลอบใจตัวเองของเพื่อน ก็ตบบ่าให้กำลังใจ
     
    “เอ้อ สู้ๆละกัน รอบนี้กูเอาใจช่วยมึง” จะบอกให้มันตัดใจก็ไม่ได้  ก็ต้องเอาใจช่วยมันแทน
     
     
    “มึงช่วยกูด้วยสิ”  ได้คืบจะเอาศอกนะครับมึง
     
     
    “ช่วยยังไง”  มองหน้าเพื่อนอย่างสงสัย
     
    “เออน่า   เดี๋ยวกูบอกเอง”  ซิ่วหมิ่นทำได้แค่พยักหน้ารับ  ก็ช่วยๆมันไปละกันเห็นแก่ความพยายามของมัน
    เฮ้อออ  ชอบใครไม่ชอบมาชอบไอ้หาน แถมมันยังเป็นผู้ชายที่ย้ำตัวเองว่าแมนๆ  โอกาสที่จะมาแลผู้ชายด้วยกันนี่ 0.0001%  แถมเป็นผู้ชายอย่างอี้ฝานที่จะลดทอนความแมนของมันอย่างงี้จะไหวเหรอ?    แต่ก็นะอย่างน้อยก็มีหางของ%ให้หวัง  โอกาสจะเป็นไปได้ก็คงมี  เรื่องอย่างงี้มันก็ไม่แน่  แค่มีความหวังและความพยายาม  อะไรที่แทบเป็นไปไม่ได้ก็อาจจะเป็นไปได้  ใครจะรู้   ฟ้าดินลิขิตหรือจะสู้มานะคน  สู้ๆเว้ยอี้ฝาน  ความพยายามอยู่ที่ไหนก็อยู่ที่นั่นแหละ  
    ชีวิตยังมีหวัง ...................
     
     
    มั้ง..................
    ...
    .
    .
    .
    .
     
     
    -*-
     
     
     

     
    END
     
     
     
     


     
     
     
    *เป็น 50 % ที่สั้นกุดชะมัด  55555    -0-   .............    แล้วนี่เมื่อไหร่หมอลู่หานจะเริ่มรักหมอคริสนะเลี่ยยย ผ่านมา4ตอน
    พระเอกนี่โดนด่าทุกตอนไม่โดนต่อยนี่บุญจริงๆ  แหมฟิกหวานๆนี่มีให้อ่านเยอะแล้ว มาเจอฟิกพระเอกมาโซบ้างจะเป็นไรไปเนอะ อิๆ    ยังไงก็ขอบคุณคนที่เฟบฟิกเรา ถ้าช่วยเมนต์จะขอบคุณมากๆๆ เราอยากรู้ความคิดเห็นของทุกๆคนเลยยย
    ไม่เมนต์แท็ก #ฟิกหมอ  ได้นะจ๊ะ  ^0^  สู้ๆ (บอกตัวเอง) 55555555555 
     


    ใครสงสัยอยากถามไรเรา ทวิต @ryuxxs  นะจ๊ะ     ;)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×