NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โชคชะตาลิขิตให้ฉันต้องล้างแค้น

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่1 ตอนที่10 คดีของเล่น 3

    • อัปเดตล่าสุด 29 ก.ย. 65


    หลังจากที่รินใข้เวทย์เขตแดนของเธอ ทำให้พื้นที่รอบๆคล้ายกับว่าอยู่ในอวกาศ ไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ เพียงแค่การมองตากันกับโรเซ่ ทั้งสองจับดาบในมือไว้แน่นก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปหากลุ่มคนสวมหน้ากากจิ้งจอกโดยไม่เกรงกลัวเรื่องจำนวนคนที่เสียเปรียบเลยสักนิด


    “อึก!...พิทักษ์พสุธา!!”


    “วายุพิโรธ!!”




    วรยุทธทมิฬ


    กระบวนท่าที่3


    ผ่าวายุ




    อีกฝ่ายเริ่มใช้พลังที่ได้รับจากหน้ากากจิ้งจอก ทำให้เกิดก้อนหินขนาดเท่าตัวคน รวมถึงสร้างกระแสที่ก่อตัวกันเป็นพายุ โรเซ่เห็นพายุแล้วจึงตั้งท่าจับดาบเหมือนการตั้งท่าตีลูกเบสบอลแล้วหวดพายุสวนกลับไปเพื่อเปิดทางให้ตัวเองกับริน


    “ไอ้เจ้านั่นมัน อาคุตสึ โรเซ่!? เวรแล้วไง โถ่เว้ย! รุมกันจัดการมันก่อนเร็วเข้า!”


    “ดาวตก!!”


    “อ้าก!!...อะไรวะเนี่ย!?ไอ้ก้อนหินพวกนี้ มาจากไหนวะเนี่ย!?”


    ขณะที่อีกฝ่ายกำลังพุ่งเป้ามาที่โรเซ่ รินก็ใช้พลังของเขตแดนทำให้เกิดดาวตกพุ่งเข้าใส่เพื่อสร้างความเสียหายใส่ แม้ว่าจะไม่ได้รุนแรงจนทะลุก็ตาม แต่ก็สามารถทำให้เกิดบาดแผลได้


    “แม่งเอ๊ย!...แยกกันไปจัดการกับพวกมันสองคนนี้เถอะ! ไม่นึกเลยว่าข่าวลือเรื่องคู่หูของจอมมารจะเป็นเรื่องจริง”




    วรยุทธทมิฬ


    กระบวนท่าที่1


    ทำลายความหวัง




    ขณะที่อีกฝ่ายกำลังเตรียมตัวกันใหม่เพื่อรับมือกับพวกโรเซ่ ในพริบตาเดียว โรเซ่จับดำสองมือหันปลายดาบลงพื้นแล้วกระโดดข้ามหัวอีกฝ่ายมาถึงข้างหลังก่อนจะตวัดปลายดาบขึ้นเป็นเส้นทแยงมุม ทำให้หน้ากากของพวกเขาถูกผ่าออกเป็นเส้นทแยงมุมเช่นเดียวกับการตวัดปลายดาบของโรเซ่


    “ริน!!”


    “ไว้ใจได้เลย! Judgement!!”


    โรเซ่หันไปตะโกนเรียกริน ก่อนที่เจ้าตัวจะกำหมัดข้างซ้ายแล้วชูขึ้นเหนือหัว แล้วเกิดแสงใต้เท้าของกลุ่มคนพวกนี้แล้วพุ่งขึ้น สร้างความเสียหายจนฮู้ดที่สวมอยู่สลายหายไป แล้วพวกเขาเหล่านั้นที่โดนความเสียหายด้วยก็พากันสลบนอนกองอยู่กับพื้นที่ตรงนั้น


    “เห้อ!....มีแค่นี้ใช่ไหม? เป็นครั้งแรกเลยที่ต้องสู้กับคนจำนวนขนาดนี้ ”


    “ฉันว่าไม่ใช่แค่นี้หรอกนะ ตอนนี้พวกเรายังอยู่ในคาวาโกเอะอยู่ การจะกลับไปให้ถึงโตเกียวเดาว่ายากแล้วล่ะ...”


    “ทำไมพวกเขาสองคนถึงดูสบายๆถึงขนาดถ่ายเซลฟี่ตัวเองส่งมาให้นายได้ล่ะเนี่ย?”


    รินหย่อนตัวนั่งพิงข้างทางระหว่างรอให้หน่วยเก็บกวาดคุมตัวคนพวกนี้ขึ้นรถ โรเซ่จึงหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาแล้วเปิดการแชตคุยกับยูโตะให้รินดู เป็นรูปที่ยูโตะกับยูมิเซลฟี่ตัวเองขณะกำลังสู้กับพวกแอนตี้ข้างนอกอุโมง


    “เพราะความเข้ากันได้หลายๆอย่างนั่นแหละนะ พวกเรายังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก เพราะฉันเป็นคนเดียวที่ถ่ายเซลฟี่ได้แต่เธอยังทำไม่ได้นั่นแหละ”


    “ว่าไงนะ!? หนอยแน่! ฉันไม่ได้กระจอกขนาดนั้นสักหน่อย!”


    ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน เมื่อมีโอกาสได้พูดยั่วโมโหรินได้ โรเซ่ก็จะพูดทันที


    “จริงสิ ฉันสงสัยมานานแล้ว ทำไมชื่อของนาย ถึงเป็นชื่อของผู้หญิงล่ะ?”


    “พ่อของฉันเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้ ในตอนที่ฉันคลอดออกมา พ่อก็ตั้งชื่อนี้ให้แล้วเพราะเห็นว่าพี่สาวฝาแฝดเป็นผู้หญิงจึงไม่คิดอะไรรีบตั้งชื่อให้ฉันกับพี่สาวทันทีเลย ถ้าวันนั้นเขามาดูอัลตร้าซาวด์กับแม่ละก็ เขาคงไม่ตั้งชื่อนี้ให้ฉันแน่ๆ”


    “นั่นเรื่องจริงเหรอ?”


    “ใช่”


    โรเซ่บอกเหตุผลของการที่พ่อของเขาตั้งชื่อนี้ให้ แม้มันจะดูเป็นไปไม่ได้เลย การที่พ่อของเขาจะไม่ได้มาดูอัลตร้าซาวด์พร้อมกับแม่ที่กำลังอุ้มท้องอยู่


    “พวกเรานี่เหมือนกันมากเลยนะริน ตรงที่เป็นลูกครึ่งอังกฤษเหมือนกันน่ะ มีพ่อเป็นคนอังกฤษและแม่เป็นคนญี่ปุ่น ฉันเติบโตที่ญี่ปุ่นตั้งแต่เด็ก ส่วนเธอคงจะเติบโตที่อังกฤษตั้งแต่เด็กถูกไหม?”


    “เรื่องจริงใช่ไหมเนี่ย? มันบังเอิญอะไรขนาดนั้นล่ะเนี่ย?”


    รินเพิ่งจะรู้ว่าโรเซ่เองก็เป็นลูกครึ่งอังกฤษญี่ปุ่นเหมือนกันกับเธอ


    ทางฝั่งของพวกยูโตะกับยูมิตอนนี้ หากเรียกว่าต่อสู้คงจะไม่ได้ ควรเรียกว่ากำลังกลั่นแกล้งอยู่ฝ่ายเดียวเสียมากกว่า


    กระสุนที่ยิงออกมา ยูโตะได้ใช้เวทย์เปลี่ยนสภาพของกระสุนนั้นให้กลายเป็นน้ำแข็งแล้วบังคับให้เกิดการกระจายตัวแตกออกมาเป็นประแหลมทิ่มแทงทะลุคอของอีกฝ่ายจนตายในที่สุด


    ส่วนทางยูมินั้นไม่มีสามารถ้ข่ามาถึงตัวเธอได้เลยสักคน ด้วยเวทมนตร์ของเธอนั้นมีอยู่สองอย่าง อย่างแรกที่ได้เห็นกันไปแล้วคือสามารถแช่แข็งอีกฝ่ายได้ ส่วนอย่างที่สองนั้นเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับมิติ อาทิเช่น สามารถเคลื่อนย้ายไปยังที่ที่เคยไปมาแล้วได้ ทำให้บางสิ่งบางอย่างที่เข้าใกล้ตัวถูกส่งออกแทน


    “พวกมันเป็นปีศาจชัดๆเลย...ไม่เอาแล้ว ฉันยังไม่อยากตาย”


    “ยูมิ....ฝากด้วยนะ”


    “ได้สิ Portal”


    ขณะที่พวกแอนตี้กำลังพากันหนีจากยูโตะกับยูมิด้วยความหวาดกลัว ทั้งสองพูดคุยกันไม่กี่พยางค์ ยูมิเปิดประตูมิติขึ้นมาแล้วให้ยูโตะเล็งปืนใส่ประตูมิตินั้นแล้วลั่นไกโดยไม่ต้องลังเล


    เมื่อกระสุนปืนทุกนัดที่เข้าไปในประตูมิตินั้นหมดแล้ว ยูมิก็ปิดประตูมิตินั้นทันทีก่อนจะเปิดประตูมิติขนาดเล็กจำนวนมากซึ่งติดตามพวกแอนตี้เหล่านั้น ก่อนที่กระสุนจากประตูมิติแรกจะพุ่งออกจากประตูมิติแล้วทะลุเข้าสมองในพริบตาเดียว


    “ไม่ว่าจะฆ่าไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกว่ามันจะลดลงสักทีเลย ไอ้พวกกางเขนสีเลือด หายไปจากโลกนี้สักทีเถอะ”


    “อ่า...ฉันรู้สึกขยะแขยงมากเลยทุกครั้งที่มองพวกมัน”


    สิ่งหนึ่งที่รินไม่เคยได้เห็นมาก่อน แววตาของยูโตะกับยูมิที่มองดูพวกสมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มกางเขนสีเลือด แววตาของทั้งคู่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง รังเกียจ ราวกับว่ามีความแค้นกันมาเนิ่นนานแล้ว


    ระหว่างที่โรเซ่กับรินเปิดอกคุยกันอย่างถูกคอนั้น ก็มีข้อความแชตจากยูโตะบอกว่าทางสะดวกแล้ว โรเซ่จึงหันไปบอกให้หน่วยเก็บกวาดขับรถต่อได้เลยและไปรับพวกยูโตะด้วย


    “ทั้งสองคงจะรู้ใช่ไหมว่าพอถึงโตเกียวแล้วจะเจอกับอะไร?”


    “อ่า...พวกมันคงรอดักที่ตรงนั้นด้วยสินะ? อยากรู้จริงๆเจ้านายของพวกมันเป็นแค่ระดับ4 ทำไมถึงมีลูกน้องเยอะขนาดนี้กันนะ?”


    เป็นที่น่าสงสัยมาก ระดับ4ของกลุ่มกางเขนสีเลือดนั้น คือระดับล่างสุดเลย แต่เพราะอะไรทำไมถึงได้มีลูกน้องมากมายขนาดนี้ ยูโตะได้แต่นึกสงสัย


    “คุณรินเป็นยังไงบ้างคะ? กับคุณพี่ชายคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว?”


    “ก็เรื่อยๆนะคะ ยังไม่ขั้นเป็นคู่หูที่สุดยอดเหมือนกับพวกคุณยูมิหรอกค่ะ”


    “เอ่อ....ดูเหมือนคุณจะเข้าใจไปอีกอย่างนึงแทน...เอาเป็นว่าช่างมันก่อนละกัน”


    ยูมิถามเรื่องความสัมพันธ์ของรินกับโรเซ่ว่าคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว แต่รินกลับเข้าใจผิดว่าหมายถึงการประสานงานกัน


    “จะว่าไปนะ คู่หูของจอมมารนี่มันหมายความว่ายังไงเหรอคะ?”


    “นั่นเป็นฉายาของคุณพี่ชายที่พวกแอนตี้ตั้งขึ้นมาเองน่ะค่ะ” 


    “อะฮ่าๆๆ คงจะดูน่ากลัวสำหรับคนที่เป็นศัตรูด้วยสินะคะ”


    รินสงสัยเรื่องคู่หูของจอมมาร เธอเพิ่งเคยได้ยินคำนั้น นั่นเป็นฉายาที่พวกแอนตี้ตั้งให้กับโรเซ่เพราะเป็นตัวตนอันแสนน่ากลัวเกินกว่าจะสู้ได้


    “จะว่าไปทำไมนายถึงไม่ใช้เวทย์บงการจิตใจของนายเพื่อบังคับให้ชูพูดออกมาล่ะ?”


    “ฉันสามารถบงการจิตใจได้ก็จริง แต่ถ้าเจ้านั่นมีอักขระเวทย์เขียนอยู่บนร่างกายที่จะทำงานถ้าเกิดทรยศล่ะ?”


    “เพราะอย่างนั้นจึงต้องให้รุ่นพี่เรมิเป็นคนช่วยด้วยสินะ?”


    รินเริ่มจะเข้าใจการวิเคราะห์เรื่องต่างๆของโรเซ่มากขึ้นแล้วหลังจากเป็นคู่หูกันมา2เดือน


    รถของหน่วยเก็บกวาดแล่นผ่านเส้นทางจนมาถึงโตเกียว แต่ระหว่างทางที่จะไปถึงสถานสอบปากคำนั้นกลับไม่มีกลุ่มแอนตี้ดักรอโจมตีเลย


    “คงไม่อยากจะสูญเสียลูกน้องไปมากกว่านี้แล้วสินะ? หรือไม่ก็คงไม่มีลูกน้องเหลือแล้ว”


    หากลองคิดตามโรเซ่แล้วก็จริง อีกฝ่ายนั้นคงต้องการเหลือลูกน้องเอาไว้เผื่อกรณีอื่นบ้าง ขนาดว่าส่งมาตั้งเกือบร้อยคนแต่กลับทำอะไรพวกโรเซ่ไม่ได้เลยสักคนเดียว 


    จนเมื่อมาถึงสถานสอบปากคำ เมื่อเข้าไปก็เห็นเจ้าของร้านขายของเล่นเพิ่งจะสอบปากคำเสร็จและเดินออกจากห้องมา


    “เป็นยังไงบ้างล่ะ?”


    “ครับ ทางเราได้ให้เขาจดทะเบียนเป็นนักสร้างอุปกรณ์เวทย์แล้ว และให้เขาเสียค่าปรับ พร้อมทั้งให้เขาลดระดับพลังที่ใช้สร้างน้อยลงเพื่อให้อนุภาคของเล่นนั้นไม่เกิดอันตรายขึ้น”


    โรเซ่หันไปถามไวท์ระดับทั่วไปคนหนึ่งที่กำลังจัดเอกสารที่บันทึกการสอบปากคำเมื่อสักครู่ไป ก่อนจะพากันเดินตรงไปต่ออีกห้องที่ไกลออกไป ซึ่งหน่วยเก็บกวาดนั้นนำตัวของชูที่ถูกแช่แข็งมาไว้ข้างในห้องเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะเข้าไปก็มีเรมิยืนรออยู่แล้วซึ่งโรเซ่ได้ติดต่อหาเธอระหว่างที่รอพวกยูโตะสู้ข้างนอกอุโมงในตอนนั้นนั่นเอง


    เมื่อเข้าไปข้างในแล้วยูมิก็ยกเลิกการแช่แข็งให้ชู ผ่านไปสักพักเขาก็รู้สึกตัวขึ้นมา จนเมื่อแหงนหน้าขึ้นมองเห็นใบหน้าอันนิ่งเฉยของโรเซ่ก็เกิดหวาดกลัวพยายามจะตะเกียกตะกายหนีแต่ไม่สามารถทำได้เพราะถูกล็อคตัวเอาไว้อยู่กับเก้าอี้


    “เอาล่ะ...ไหนๆแกก็ตื่นสักที นี่คือคำสั่ง บอกมาซะว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องของเหตุการณ์ในอากิฮาบาระ? ”


    “ฮะฮ่าๆๆ เปล่าประโยชน์น่า ร่างกายของฉันลงอักขระเวทย์เพื่อป้องกันการทรยศเอาไว้ และฉันจึงไม่คิดจะบอกแกอยู่แล้วว่า......สุเมรากิ อิจิโร่ เป็นคนอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์อากิฮาบาระ.......อะไรวะเนี่ย!? ทำไมฉันถึงบอกชื่อท่านผู้นั้นออกมาได้ล่ะ!? เวทย์อักขระมันควรจะทำงานสิ!”


    “ในระหว่าง ที่แกยังไม่ตื่น รุ่นพี่เรมิก็ไปแก้อักขระของแกทำให้มันไม่สามารถทำงานได้ไงล่ะ...เอาล่ะ คำถามต่อไปล่ะนะ”


    โรเซ่นั่งลงบนเก้าอี้พร้อมเริ่มถามคำถามแรกใส่อีกฝ่ายทันที ชูที่คิดว่าตัวเองจะไม่บอกชื่อขงอเจ้านายตัวเอง กลับลกายเป็นว่าต้งอพูดออกไปเพราะเรมินั้นได้แก้อักขระเวทย์บนตัวเขาไปแล้ว


    “ในตอนนั้น แกบอกว่ามีคนเป็นหนอนบ่อนไส้ในสาขาโตเกียว...มันเป็นใคร?”


    “อึก!....คัตสึ....รากิ.....ชินจิ”


    “ไอ้เวรนั่นเองเหรอ? มันกลับจากเกียวโตตอนไหนกันนะ? ”


    ชูเริ่มทรมานทุกครั้งที่ถูกโรเซ่ใช้เวทย์บังคับให้ตอบคำถาม กระทั่งได้รู้ว่าหนอนบ่อนไส้ในสาขาโตเกียวคือใคร น้ำเสียงของโรเซ่ก็เปลี่ยนไป


    “ชิโรคุโมะ ชู และพรรคพวกของแกมีความผิดข้อหามีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มกางเขนสีเลือด โทษของพวกแกคือประหารสถานเดียวในทันที การสอบปากคำจบเพียงเท่านี้”


    “เดี๋ยวสิ!...ไม่ มันยังไม่จบ ฉันยังมีข้อมูลให้อีกนะ ขอร้องล่ะ! เอาเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิตก็ได้! ได้โปรด--อั้ก!!......”


    เมื่อได้รับข้อมูลที่ต้องการมากพอแล้ว โรเซ่ก็ลุกแล้วเดินออกจากห้องไปขณะที่ชูเริ่มหวาดกลัวความตายที่กำลังเข้ามาใกล้ เขาได้แต่ขอร้องอ้อนวอนให้โรเซ่ไว้ชีวิต แต่มีหรือชายที่แสนจะเย็นชาอย่างเขาจะสนใจใยดีแอนตี้ทึ่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มกางเขนสีเลือด โรเซ่ดีดนิ้วหนึ่งครั้งทำให้ชูเลือดออกจากตา หู จมูก ปากเป็นจำนวนมากและตายในที่สุด


    “แล้วได้ข้อมูลอะไรบ้างล่ะ?”


    “คัตสึรากิ ชินจิ เป็นหนอนบ่อนไส้ ตอนนี้เราอย่าเพิ่งรายงานให้คนในสาขารู้ว่าชูและพรรคพวกตายแล้วเด็ดขาดไม่งั้นมันจะไหวตัวทัน”


    “แล้วคนที่อยู่เบื้องหลังล่ะเป็นใคร รู้ที่อยู่บ้างไหม?”


    “สุเมรากิ อิจิโร่....คือคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ แต่ที่อยู่ของมัน กลับไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลยยกเว้น ไอ้เวรชินจิ เพราะฉะนั้นเราจะต้องจับมันมาแบบเป็นๆเท่านั้น”


    รินหลังจากสอบปากคำคนอื่นเสร็จแล้ว ก็มาถามโรเซ่ว่าได้เรื่องอะไรบ้าง เรื่องของหนอนบ่อนไส้รินยังสัมผัสถึงน้ำเสียงที่ดูปกติได้อยู่ แต่เมื่อเป็นเรื่องของสุเมรากิ อิจิโร่ คนที่อยู่เบื้องหลังนั้น น้ำเสียงของโรเซ่กลับเต็มไปด้วยความเคียดแค้น


    • ───────────────── •

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×