คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ประกาศศึก...
Intro
จะกี่ครั้งที่สายตา ฉันมองเธออยู่
จะกี่ครั้งที่หางตา เธอก็ยังมองผ่าน...
ฉันเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือในมือก่อนมองขึ้นข้างตัวอย่างตกใจ เมื่ออยู่ๆก็มีใครไม่รู้มายืนเล่นกีตาร์ข้างๆม้านั่งของฉัน ฉันมักจะหมกมุ่นอยู่ในโลกของตัวเองเสมอ แม่ชอบบอกแบบนั้น เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้ตัวก็มีเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันมายืนดีดกีตาร์เปิดหมวกข้างๆแล้ว เพียงมองแวบเดียวก็รู้ว่าเขาเป็นรุ่นราวคราวเดียวกัน ความดูดีเอาการของเขาทำให้เด็กสาวหลายคนเริ่มมุงเข้ามาจนฉันไม่รู้จะเดินออกไปจากไทมุงแบบนี้ยังไง (ก็ฉันซวย หรืออีตาบ้านี่ไม่ดูตาม้าตาเรือไม่รู้ ทำไมต้องมาเปิดหมวกข้างๆด้วย) ฉันหันไปมองเจ้าของปัญหา...ไม่อยากมายืนในที่ๆคนเอาแต่มองเลย ให้ตายเถอะ...ฉันลุกขึ้นหนีออกมาจากตรงนั้น
“ขอโทษนะคะขอออกไปหน่อย...”ฉันพยายามแหวกเด็กม.ต้นกลุ่มหนึ่งเพื่อเดินออกไป
“พี่คะเงียบๆหน่อย”เด็กคนหนึ่งหันมาดุฉัน อ้อ...ถ้าพ่อแม่มาเห็นคงปลื้มตาย พยายามอยู่สักพักฉันก็รู้สึกเหมือนตัวเองเริ่มเด่นขึ้นมาจริงๆเลยจำใจต้องยืนดูผู้ชายคนนั้น...
เขามองตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มขี้เล่นพร้อมกับร้องท่อนหลักของเพลงด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล อ่อนโยน เกินกว่าที่ฉันเคยได้ยินจากผู้ชายคนไหน ดวงตาแสดงแววของความอัดอั้นในเนื้อเพลง ตัดพ้อ...
รู้ทั้งรู้ว่าฉันเป็นแค่เพียงทางผ่านหัวใจ
ไม่ได้หวังและคิดเป็นอื่นไกลแค่คนรู้จัก
รู้ทั้งรู้ยิ่งฝืนยิ่งไม่มอง ก็ยิ่งช้ำ
อยากขอเธอได้ไหมแค่สบตา
มองมาที่ฉันสักครั้งบ้าง....
ฉันรู้สึกวาบแปลบขึ้นในอกขึ้นมาพร้อมๆกับที่นึกชื่อของหนุ่มนักกีตาร์ตรงหน้าออก(ฉันมักเป็นแบบนี้แหละเวลาคิดอะไรที่ลืมไปแล้วออก) นั้นมันนายสิทธิพงศ์ ห้อง8 นี่นา ฉันเห็นเขาเดินกับพี่เบนซ์ อดีตประธานนักเรียนบ่อยๆ มีบางครั้งที่เราร่วมงานกันในงานของคณะประธานนักเรียน เพราะว่าห้อง 2 ของฉันได้รับเลือกเป็นคณะประธานนักเรียนในปีนี่ (และคงทำการรับงานเต็มตัวเมื่อขึ้นม.6)
“แกดูสิพี่พงมองฉันด้วยแหละแก”เด็กม.ต้นคนเดิมพูดขึ้น
“อีบ้า เขามองฉันแกเพ้อแล้ว”ฉันกรอกตาก่อนรีบเดินออกไปจากไทมุงเมื่อเห็นช่องทาง
ฉันมองกลุ่มคนที่อออยู่ ทำไมถึงได้มีคนสนใจมุมดูตาบ้านี่มากขนาดนี้นะ
“รู้ทั้งรู้ว่าฉันเป็นแค่เพียงทางผ่านหัวใจ...”
ฉันร้องขึ้นพร้อมๆกับพงโดยที่ไม่รู้ตัว ฉันเองก็ตกใจ ไม่ใช่คนที่จะอารมณ์สุนทรีบ่อยนัก ยิ่งเป็นเพลงที่ไม่รู้จักด้วยน่ะนะ
ฉันกลับมาสนใจโจทย์คณิตตรงหน้าอีกครั้ง แต่เสียงเพลงมันก็ยังวนไปวนมาในหัว...
วันงานกีฬาสีใกล้เข้ามาแล้ว การประชุมคณะกรรมการนักเรียนมีรายละเอียดปลีกย่อยมากกว่าทุกครั้ง ฉันจดมือแทบจะพังทีเดียว และครั้งนี้ฉันก็ได้รู้ว่านายพงมีหน้าที่อะไรในคณะกรรมการนักเรียน หมอนั้นเป็นนักเรียนประชาสัมพันธ์ เจ้าของเสียงตามสายที่จัดรายการตอนเช้า-กลางวัน-เย็นนั้นเอง เห็นว่าปีนี้เด็กประชาฯส่งตัวแทนเป็นนายพงเข้ามาทำการประสานกับทางคณะ ฉันแอบเห็นนะว่าหมอนั้นสัปหงกหลายครั้ง
“เรื่องเยอะน่าดูเลยว่ะส้ม”ลิฟประธานคนปัจจุบันบอกฉันหลังเลิกประชุม ฉันหัวเราะหึๆเพราะหัวของนายลิฟยุ่งไม่เป็นทรง คงเพราะเถียงกับชมพู่เรื่องประเภทกีฬาที่จะเสนอทางท่านรองผู้อำนายการมากไปหน่อย
ฉันกับลิฟรู้จักกันมาแต่เล็กเพราะบ้านใกล้กัน แต่พอโตขึ้นนายลิฟก็เพื่อนเยอะขึ้นแถมอยู่คนละห้องไม่ได้มาเกาะติดฉันอีกเหมือนเคย โดยฉะเพราะเมื่อฉันเป็นพวกที่คนส่วนมากมักลำบากใจเมื่ออยู่ใกล้ ลิฟบอกว่าตาของฉันดุไป แถมยังเฮี้ยบเรื่องเรียนสุดๆ แต่พอตอน ม.ปลายนายลิฟกับฉันก็โคจรมาอยู่ห้องเดียวกันจนได้ เรียกว่าเป็นเวรเป็นกรรมของฉันก็คงไม่ผิด
“ไม่ไปไหนต่อหรอ?”
“ไม่อ่ะเลิกเรียนแล้วเดี๋ยวก็กลับบ้าน.... นี่ฮัมเพลงอะไรอยู่”
“ห๊ะ?”
“ก็ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว เห็นฮัมเพลงอยู่”ฉันมองลิฟตาโต ฉันฮัมเพลงอยู่หรอไม่รู้เรื่องเลย...
“คิดไปเองหรือเปล่า”
“ฉันได้ยินเต็มสองรูหู”ลิฟยืนยันแต่ฉันเองก็หนักแน่น จนหมอนั้นยอมแพ้และจากไปพร้อมกับเพื่อนที่มาเรียก ฉันนั่งลงที่ป้ายรถเมย์ป้ายเดิม ยกหนังสือทฤษฎีฟิสิส์ขึ้นมาอ่าน อีกไม่นานแม่คงมารับ
“รู้ทั้งรู้ว่าฉันเป็นแค่เพียงทางผ่านหัวใจ...”ใครบางคนร้องขึ้นเมื่อเขานั่งลงข้างๆฉัน
“ไม่ได้หวังและคิดเป็นอื่นไกล แค่คนรู้จัก”ฉันร้อง ก่อนหันไปมองคนข้างตัว นายพงนั้นเอง เขายิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยว หน้าของเขาแดงขึ้นเล็กน้อย ฉันอึ้งไปเลย ก็เผลอร้องตบหมอนั้นไป นี่แล้วดูยิ้มเข้า เป็นบ้าหรือเปล่า?
“จำได้ด้วยหรอ”
“อืม”ฉันตอบ พยายามไม่สนใจอะไรมาก เพราะโดนเขายิ้มให้ขนาดนั้นก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับว่านั่งคุยกับคนบ้า หมอนั้นหน้าเจือนไป จนฉันเริ่มสงสาร
“วันนั้นที่มาร้องเพลง เพราะดีนะ” หมอนั้นอมยิ้ม...”แต่ถ้าให้ดีไปร้องที่อื่นเถอะ ฉันอยากมีสมาธิ”
ก็เขาจะได้รู้ว่าเสียงเพลงของเขามันทำให้ฉันขาดสมาธิ...ถึงมันจะเพราะก็เถอะ
แม่มารับพอดี ฉันเดินขึ้นรถ และไม่รู้ทำไมถึงหันกลับไปมองที่ๆหมอนั้นนั่งอยู่ แต่กลับพบเพียงที่นั่งว่างเปล่า
ก็นั้นน่ะสิ...ก็แค่ที่นั่งว่างเปล่า
!!
หมอนั้นเดินกลับมาพร้อมกับกระดาษในมือ เขากางมันออกก่อนเชิดหน้าขึ้นมองฉันด้วยหางตา
‘มีแต่สมาธิ...ระวังจะไม่มีหัวใจ’
งอน! อาการนี้มันงอนชัดๆ ฉันเหวอไปเลยเกิดมาไม่เคยมีใครมางอนใส่ อึ้ง ไม่รู้จะไปต่อยังไง ยิ่งคนไม่ได้รู้จักมักจีกันแบบนี้ ใครก็ได้บอกที
ตาคนนี้มันบ้าใช่ไหม?
รถออก...หมอนั้นแสยะยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ ฉันอ้าปากค้างจนต้องรีบหุบเมื่อแม่ถามว่าทำไมถึงเงียบไป ฉันรีบปฏิเสธจนแม่สงสัย แต่แม่ไม่ได้ว่าอะไร
ความคิดเห็น