คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : 4th Piece of the Sun: ชายผู้มากับเปลวเพลิง
☼
4
ชายผู้มากับเปลวเพลิง
ท้องฟ้ายามค่ำคืนย้อมไปด้วยสีน้ำเข้มขนานไปกับความสว่างไสวของเมืองที่อยู่เบื้องล่าง แสงไฟระยิบยับที่มาจากตึกสูงและอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ แผ่กระจายเป็นวงกว้างจนไกลสุดลูกหูลูกตา แสงนีออนหลากสีสันจากป้ายตามย่านร้านค้ากะพริบไปมาเพื่อเรียกลูกค้าเข้าร้าน ผู้คนต่างเดินขวักไขว่ไปบนถนน และเสียงแตรที่มาจากรถยนต์ทำให้โตเกียวเป็นนครที่ไม่เคยหลับใหล
ห่างออกไปไม่ไกลนัก ณ ริมแม่น้ำสุมิดะมีหอคอยสูงใหญ่อย่างโตเกียวสกายทรีที่ส่องแสงสีนวลโดดเด่นท่ามกลางแสงไฟหลากสีสันของเมืองใหญ่ มันเป็นสิ่งก่อสร้างสูงเสียดฟ้าที่หากมองจากข้างบนก็จะเห็นกรุงโตเกียวได้ทั่วทุกมุมเมือง
ที่จุดชมวิวของตัวหอคอยมีใครคนหนึ่งยืนอยู่บนนั้น ฮาโอริสีแดงเพลิงโบกสะบัดยามเมื่อลมพัดผ่าน เคียวจูโร่กวาดสายตามองทุกความเป็นไปที่อยู่เบื้องล่าง ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับบรรยากาศเย็นสบายและแสงสียามค่ำคืนอย่างเงียบสงบ รอยยิ้มจางผุดบนใบหน้า ผิดกับใจของเขาที่ยังคงมีเรื่องให้คิดไม่เว้นว่าง
หลังจากวันนั้นที่ฮิมาวาริรู้ความจริงทั้งหมดและขอไม่เจอเขาอีก เคียวจูโร่ก็ไม่โผล่หน้าไปให้เธอเห็นอีกเลย เรียกได้ว่าต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเองราวกับเรื่องราวที่ผ่านมาไม่เคยเกิดขึ้น ใจจริงเขาไม่ได้อยากจะทำแบบนั้น แต่ในเมื่ออีกฝ่ายขอร้อง เขาเองก็พร้อมที่จะทำตามเพื่อความสบายใจของเจ้าตัวแบบไร้ข้อกังขา
เคียวจูโร่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำไปมันผิด และไม่แปลกใจนักหากเธอจะโกรธเขา การโดนคนสะกดรอยตามไม่ว่าจะเป็นใครก็ย่อมต้องรู้สึกกลัวอยู่แล้ว แต่จะให้อธิบายเรื่องราวทั้งหมด เคียวจูโร่เองก็รู้ดีว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบไหน
แน่นอนว่าไม่ได้เป็นไปในทางที่ดี
ภาพที่เด็กสาวรู้ความจริงทั้งหมดเขายังจำได้ ใบหน้าขาวนวลนั้นเรียบเฉยไร้อารมณ์ ทว่าดวงตาสีเขียวมรกตกลับฉายแววกรุ่นโกรธปนผิดหวังในตัวเขาอย่างแจ่มชัด แต่เขาก็เลือกที่จะพูดความจริงออกมาเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ เพราะสัญชาตญาณของตัวเองคอยบอกว่าสิ่งที่ตามฮิมาวาริอยู่ทุกวันไม่น่าใช่คนธรรมดา
แล้วถ้าเกิดเป็นอสูรขึ้นมาล่ะ?
ถึงจะไม่รู้ว่าสุดท้ายจะใช่อย่างที่ตนคิดหรือไม่ เด็กสาวก็ไม่เชื่ออยู่ดี เรื่องอสูรในสายตาเธอเป็นเรื่องไร้สาระ เรื่องนี้เคียวจูโร่เองก็รู้ดี แต่สำหรับเขาที่คลุกคลีกับการล่าพวกมันมานานไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เขาจึงคอยจับตาดูเธอตลอดเวลา เผื่อว่าถ้าเกิดเรื่องอะไรร้ายแรงขึ้นมาเขาจะเข้าไปช่วยได้ทันท่วงที แต่เธอกลับเข้าใจผิดเป็นอีกอย่างแทนเสียอย่างงั้น
จนถึงตอนนี้เขากับฮิมาวาริไม่ได้เจอกันมาเกือบอาทิตย์แล้ว แต่เคียวจูโร่เองก็พอจะรับรู้ว่าเธอเป็นยังไงบ้าง เพราะเหล่าวิญญาณมากหน้าหลายตาต่างแวะมารายงานความเป็นอยู่ของเธอทั้งที่เขาไม่ได้ร้องขอ ซ้ำยังโดนถามกลับว่าด้วยประโยคเดิม ๆ ทุกครั้งที่เจอหน้ากันว่า ‘เดี๋ยวนี้พวกท่านไม่เจอกันอีกแล้วหรือ’ แน่นอนว่าเสาหลักหนุ่มก็ตอบไปตามจริงแม้จะไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมากนัก
อย่างน้อยถ้าเธอยังสบายดี เขาเองก็ควรจะวางใจ
เคียวจูโร่ปล่อยความคิดของตัวเองท่ามกลางความเงียบสงบ คิดในใจว่าที่เป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว การรักษาระยะห่างที่ทั้งสองฝ่ายต่างพึงพอใจนั้นนับว่าไม่เลวซะทีเดียว
และในตอนที่เขาหาข้อสรุปให้กับตัวเองได้แล้วนั้น ใครคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น ชายชราร่างสูงในชุดกิโมโนสีน้ำเงินเรียบโผล่มายืนข้างเขา แต่ก็ยังเว้นระยะห่างพอสมควร เขายิ้มบางให้ชายหนุ่มเป็นเชิงทักทาย
‘มาออกลาดตระเวนหรือพ่อหนุ่ม’
“มาเอดะซัง” เคียวจูโร่ก้มหัวเล็กน้อยให้ผู้มาใหม่ด้วยความเคารพด้วยวิญญาณตรงหน้าอายุมากกว่าตนอยู่หลายปี “ไม่เจอกันเสียนาน ข้าดีใจที่ท่านสบายดี!”
‘โธ่ คนตายไปแล้วมีจะเรื่องอะไรให้เจ็บป่วยกัน คนเป็นต่างหากที่มีแต่โรคภัยจะรุมเร้า’
ชายชราพูดกลั้วหัวเราะ มือเหี่ยวย่นลูบหัวไม้เท้าคู่ใจอย่างพิจารณา แต่ก็รีบวกเข้าประเด็น
‘ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้ไม่ค่อยได้ไปหาแม่หนูคนนั้นเลย ผิดใจกันงั้นหรือ’
คำถามเดิมในรอบสัปดาห์ถูกยกกลับถามมาอีกครั้ง แต่ในคราวนี้เคียวจูโร่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “นางบอกว่าไม่อยากเจอหน้าข้าอีก ข้าก็เลยทำตามที่นางขอ”
‘แล้วได้บอกนางเรื่องนั้นแล้วหรือยัง ข้าเคยเตือนว่าให้อยู่ใกล้กับพ่อหนุ่มไว้เผื่อจะเกิดเรื่องขึ้นมา เห็นทีนางจะไม่เชื่อสินะ’
“ครับ”
มาเอดะครางในลำคออย่างรับรู้ ดวงตาสีเทาอมฟ้ามองไปยังแสงระยิบระยับของเมืองเบื้องล่างอย่างสงบนิ่งแล้วเปรยขึ้นมา
‘งั้นก็คงช่วยไม่ได้ สำหรับบางคนแล้ว...เรื่องบางเรื่องถ้าบอกไปแล้วไม่เชื่อ ก็คงต้องให้เจอด้วยตัวเองละนะ’
เคียวจูโร่พยักหน้ารับ บทสนทนาของพวกเขาจบลงแค่นั้น ทุกอย่างกำลังจะกลับสู่ความเงียบสงบแล้วหากไม่ถูกขัดจังหวะเพราะการมาของใครอีกคน
ผีสาวตนหนึ่งโผล่ขึ้นมาแทรกกลางระหว่างชายทั้งสอง ทว่ายังไม่ทันที่จะพูดอะไร ร่างบางก็ถูกเหวี่ยงออกไปไกลจากที่ตรงนั้น
คันนะกอดตัวเองแน่น ผิวกายร้อนลวกเหมือนพร้อมจะโดนแผดเผาให้สลายเป็นฝุ่นผงได้ทุกเมื่อ สองมือปัดป่ายไปตามตัวเพื่อดับไฟสีแดงฉานที่ไหม้ร่างกาย ใบหน้าหวานบิดเบี้ยวแต่ไม่เปล่งเสียงร้องเจ็บปวดออกมาแต่อย่างใด เธอกลับตื่นตระหนก และเมื่อเห็นเคียวจูโร่กับมาเอดะที่ยืนมองอยู่ก็รีบพูดรัวเร็ว
‘ท่านเสาหลัก มาเอดะซัง แย่แล้ว!’
‘มีอะไรคันนะ ค่อย ๆ พูดก็ได้ ทำไมเจ้าจะต้องรีบขนาดนั้น’ ผีชายชราเริ่มบ่น แต่ผีที่อายุน้อยกว่าไม่สนใจซ้ำยังรีบเร่งพวกเขา
‘ช้าไม่ได้แล้วท่าน เราต้องรีบไป!’
“ทำไมล่ะ! มีเรื่องอะไรงั้นรึ”
เป็นเคียวจูโร่ที่ถามขึ้นมาบ้าง สีหน้าเขาดูตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางกังวลของอีกฝ่าย คันนะหันมามองเขาแล้วพูดเสียงสั่น
‘ฮิมะ...ฮิมะโดนอสูรจับตัวไป’
ช่วยด้วย...
นี่เป็นประโยคแรกที่ฮิมาวารินึกออกเมื่อเห็นร่างของอมนุษย์ตรงหน้า
แม้อยากจะขอความช่วยเหลือ แต่ปากกลับไม่เปล่งเสียง ร่างกายไม่ยอมขยับเพราะสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างผิดแผกไปจากคนทั่วไป มันยิ้มเย็นเมื่อเห็นเธอหวาดผวา
“กำลังกลัวงั้นเรอะ สีหน้าแบบนั้นข้าชอบนัก”
อสูรโน้มตัวเข้ามาใกล้ ฝ่ามือใหญ่จับคางเธอเชิดขึ้นเพื่อให้เห็นหน้าชัด ๆ ฮิมาวาริหลับตาปี๋ พยายามสะบัดหน้าหนีจากมือใหญ่ของมัน
“ฮึก...”
เธอตัวสั่น แขนขาอ่อนแรงไปหมดหลังจากที่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ไหนจะต้องหลบเล็บแหลมยาวของมันที่คอยแต่จะจ้วงฟันเธอทุกเมื่อ เสียงหัวเราะสะใจดังก้องจนน่ากลัว อสูรตรงหน้าดูท่าทางจะชอบใจที่ได้เล่นวิ่งไล่จับพร้อมกับเห็นเหยื่อของมันพยายามหนีแบบเอาเป็นเอาตาย
“ปะ...ปล่อยฉันไปเถอะนะ”
“หาเหยื่อแบบเจ้ามาได้ทั้งที คิดว่าข้าจะปล่อยไปงั้นเรอะ ฝันไปเถอะ!”
อสูรตะคอก มันบิดคอไปมาเสียงดังกร๊อบแกร๊บ แสยะยิ้มแล้วเลียริมฝีปากราวกับหิวโหยมานาน ดวงตาสีเหลืองฉายแววสะใจออกมาเมื่อเห็นว่าเหยื่อของมันหวาดกลัว ร่างสูงใหญ่ผิดมนุษย์สาวเท้าไปหาอาหารของมันที่นั่งคุดคู้อยู่บนพื้น
ฮิมาวาริรีบกระเถิบหนี เธอพยายามควบคุมร่างกายไม่ให้สั่น ค่อย ๆ ตั้งสติคิดหาทางหนีทีไล่อย่างใจเย็นแม้หัวใจจะเต้นรัวเร็วเพราะความกลัวสุดขีด ใบหน้าเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อเคล้าน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
จะทำยังไง จะเอาตัวรอดยังไง
ความตายกำลังรอเธออยู่เบื้องหน้า เพียงแค่เล็บของมันฟันลงมาและฉีกร่างเธอออกเป็นชิ้น ๆ ทุกอย่างก็จะจบ
เธอทำอะไรไม่ได้เลย...
ร่างเล็กถอยหนีจนแผ่นหลังชิดกำแพง ตัวสั่นเทิ้มและน้ำตายิ่งไหลเพราะรู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ เธอหมดทางหนีแล้ว ที่ที่เธออยู่ตอนนี้เป็นซอยตัน มันทั้งเปลี่ยวทั้งมืดไร้คนสัญจร ยิ่งอสูรเดินเข้ามาใกล้เธอทุกวินาที ก็ยิ่งตอกย้ำให้เด็กสาวรู้ว่าตัวเองไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ความรู้สึกมากมายกำลังถาโถมเข้าใส่
สิ้นหวังและหวาดกลัว
เธอยอมแพ้แล้ว จากนี้จะเป็นตายร้ายดียังไงก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี...
แวบหนึ่งที่ฮิมาวารินึกถึงเคียวจูโร่ เจ้าของความสดใสและใบหน้ายิ้มแย้มที่เคยเจอกันเมื่อก่อน ตั้งแต่ที่ทะเลาะกับเขาวันนั้นเธอก็ไม่ได้เจอกันอีก แค่คิดถึงตรงนี้ความรู้สึกผิดก็เริ่มตีขึ้นมาในใจ
เขาเตือนเธอแล้วแต่เธอกลับไม่เชื่อเขา ซ้ำยังพูดจาแย่ ๆ ใส่ ไล่เขาไป บอกว่าอย่ามาเจอกันอีก
เรามันแย่ที่สุด…
“โอ๊ะโอ ทำหน้าแบบนั้นก็หมายความว่ายอมแพ้แล้วงั้นสิ” น้ำเสียงยียวนปนสมเพชดังขึ้นตอนที่อสูรเดินมาถึงตัวเธอพอดี “เห็นแก่ที่พยายามกระเสือกกระสนหนีข้าตั้งนาน ข้าจะสงเคราะห์ด้วยการใช้เล็บนี่ฟันเจ้าให้ตายภายในครั้งเดียวแล้วกัน!”
ฮิมาวาริสะอื้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรั่งพรู ร่างเล็กนั่งขดตัวอย่างยอมจำนน เปลือกตาสองข้างปิดลงเตรียมรอรับความตายและความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้
เธอคงไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว จากกันทั้งที่ไม่ได้ลาสักคำ
ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะบอกว่าขอโทษ
“เร็นโกคุซัง...”
ฟุบ!
ยังไม่ทันที่กรงเล็บยาวจะเหวี่ยงมาฉีกร่างของเหยื่ออันโอชะ ใครคนหนึ่งก็โผล่เข้ามารวบตัวเป้าหมายไปเสียก่อน เคียวจูโร่พุ่งเข้ามาช้อนตัวฮิมาวาริขึ้น กระชับร่างเล็กที่ร้องไห้ไว้ในอ้อมแขนก่อนจะกระโดดหลบมือใหญ่ของอสูรที่เงื้อมาหมายจะตะปบได้ทันพอดิบพอดี
เมื่อรับรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไป ฮิมาวาริก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เสี้ยวหน้าของคนที่หายไปหลายวันกำลังอยู่ตรงหน้าเธอ ตอนแรกเธอคิดว่าตัวเองกำลังฝัน แต่พอเห็นว่าถูกเขาอุ้มอยู่ถึงได้รู้ว่านี่เป็นความจริง
และดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัวว่าถูกมองอยู่ เคียวจูโร่จึงหันมาสบตากับเธอพอดี รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้า พร้อมกับทักทายด้วยเสียงสดใสแบบที่เขาทำประจำ
“ฟูจิวาระ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม!”
“เร็นโกคุ...ซัง?”
“อื้ม! ข้าเอง”
เท้าหนาย่ำลงบนพื้นพร้อมกับหมุนตัวแล้ววางเธอลงอย่างนุ่มนวล นัยน์ตาสีทองแซมแดงกวาดมองร่างเล็กที่นั่งร้องไห้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปเรียกใครอีกคน
“คันนะ”
เจ้าของชื่อปรากฏตัวขึ้นอย่างรู้งาน ผีสาวนั่งประกบข้าง ๆ ฮิมาวาริทันทีพลางส่งสายตาบอกเขาเป็นนัยว่าทางนี้เธอจะจัดการเอง เคียวจูโร่พยักหน้า ก่อนจะหันไปหาคนที่นั่งสั่นกลัว
“ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวที่เหลือข้าจัดการต่อเอง!”
อสูรที่เห็นว่าอาหารของตัวเองถูกชิงตัวไปต่อหน้าต่อตาก็สบถอย่างขัดใจ ร่างสูงใหญ่หันมาประจันหน้ากับผู้มาใหม่ด้วยความโกรธเกรี้ยว เมื่อเห็นว่าเป็นใครมันก็หัวเราะชอบใจ
“แกอีกแล้ว? เสนอหน้ามาได้ทุกที่เลยนะเร็นโกคุ”
“เจ้าเองก็ไปได้ทุกที่เหมือนกัน”
ริมฝีปากคล้ำเหยียดยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวแหลม ดวงตาสีเหลืองมองข้ามไหล่ของชายหนุ่มไปหาคนที่นั่งก้มหน้าสะอื้น
“หึ กล้ามากที่มาเอาอาหารของข้าไป เด็กนั่นคงสำคัญกับแกนักละสิ”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า! นางไม่เกี่ยวอะไรด้วย”
“งั้นเรอะ! แต่ข้าไม่สนเรื่องพรรค์นั้นหรอก สิ่งสำคัญตอนนี้คือกินนางเด็กนั่นก็พอ!”
มือที่จับดาบนิจิรินกระตุก นิ้วเรียวดันโกร่งดาบรูปเปลวเพลิงขึ้นเล็กน้อยจนเห็นใบดาบสีแดงวาววับ เตรียมตั้งท่าโจมตีอีกฝ่ายที่กำลังพูดพล่ามอยู่ พอมันเห็นว่าเคียวจูโร่ไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้ก็ยิ่งบันดาลโทสะ
“คนอย่างเจ้าจะทำอะไรได้! อยู่มาจนถึงตอนนี้แต่ไม่เคยตัดหัวอสูรอย่างข้าได้สักครั้ง ไร้น้ำยาซะจริง” อสูรปรามาส “คราวก่อนเจ้าเห็นตอนที่ข้ากินไอ้มนุษย์หน้าโง่นั่นแล้วสินะ งั้นคราวนี้ข้าจะจัดการนางเด็กนี่ต่อหน้าเจ้าให้ดูเป็นขวัญตาละกัน”
“เจ้าไม่มีทางทำแบบนั้นได้หรอก!”
เคียวจูโร่ดึงดาบนิจิรินออกจากฝักก่อนจะพุ่งเข้าไปประชิดแล้วฟันลงที่แขนข้างหนึ่งของอสูรจนขาด เลือดสีแดงพุ่งกระฉูด แขนที่ถูกตัดลงไปกลิ้งบนพื้น
ฮิมาวาริที่มองทุกการกระทำของเคียวจูโร่อยู่ได้แต่อ้าปากค้าง ภาพตรงหน้าเธอไม่น่ามองเท่าไรนัก ยิ่งเห็นเลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นก็แทบจะหมดสติ คันนะที่คอยมองเธออยู่แล้วรีบเอาตัวมาบังไว้แม้จะไม่ได้ช่วยอะไรมากเลยก็ตาม
‘อย่ามองเลย หลับตาเถอะ’
“เร็น...เร็นโกคุซังจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เธอถามเสียงสั่น
‘ไม่หรอก ไม่มีทาง’ คันนะปลอบ แววตาอ่อนโยนลง ‘เป็นถึงเสาหลักเลยนะ ฝีมือไม่ธรรมดาหรอก’
เด็กสาวพยักหน้าแม้จะมีคำถามมากมายอยู่ในที แต่ตอนนี้เธอไม่มีใจจะถามอะไรคันนะอีกต่อไปแล้ว ทำได้เพียงแค่ภาวนาให้ทุกอย่างจบเร็ว ๆ
แขนข้างที่แหว่งไปงอกขึ้นมาใหม่ราวกับไม่เคยโดนตัดมาก่อน เลือดหยุดไหลไปแล้ว และนั่นก็ยิ่งทำให้มันชอบใจมากขึ้นไปอีก สีหน้าของเคียวจูโร่เรียบนิ่ง ทว่าแววตากลับจดจ้องอสูรด้วยความโกรธ
“เห็นไหม สุดท้ายเจ้าก็ทำอะไรข้าไม่ได้ แสดงว่าคราวก่อนเป็นเพราะโชคช่วยงั้นสิ?”
“ก็อาจจะใช่ แต่รอบนี้จะไม่เป็นแบบนั้นหรอก”
เสาหลักหนุ่มพุ่งไปหาร่างสูงใหญ่อีกครั้ง ดูเหมือนว่ามันจะอ่านการเคลื่อนไหวของเขาออก กรงเล็บยาวจึงเหวี่ยงออกมาหาเขาทางด้านซ้ายหมายจะฟันลงที่กลางลำตัว แต่เคียวจูโร่หมุนตัวหลบไปอีกด้านพร้อมกับตวัดดาบฟันที่คอของมันได้พอดิบพอดี
“อึก...”
ดาบนิจิรินฟันเข้าที่คอของอสูรไปได้เพียงครึ่ง แต่แล้วก็ถูกชักออกไปเมื่อมือใหญ่พุ่งเข้ามาจะตะปบเจ้าของมัน เคียวจูโร่กระโดดหลบไปทางขวาแล้วเหวี่ยงดาบออกไปอีกครั้ง
แรงส่งน้อยไป ต้องใส่แรงให้มากกว่านี้
หนึ่งคนหนึ่งอสูรต่างต่อสู้กันอยู่แบบนั้น ดาบยาวกวัดแกว่งกลางอากาศหมายจะปลิดชีพอสูรร้าย หลายครั้งที่เคียวจูโร่ได้เปรียบเพราะเขาไวกว่าและสามารถอ่านการเคลื่อนไหวของมันได้ ความเร็วของทั้งสองนั้นเรียกได้ว่าสูสี แต่ขนาดตัวที่ต่างกันและมือใหญ่ยาวที่มีเล็บแหลมทำให้ความไวของอสูรตรงหน้าสู้เขาได้ไม่เทียบเท่า สิ่งหนึ่งที่เขาจับจุดได้คือแม้อีกฝ่ายนั้นเชื่องช้ากว่าเล็กน้อยอยู่ก็จริง แต่เล็บที่เจ้าตัวมีเป็นอาวุธนั้นก็คมมากขนาดที่ถ้าโดนฟันแค่ครั้งเดียวก็อาจทำให้ทุกอย่างแย่ลง
ทางเดียวคือต้องชิงลงมือก่อน ต้องฟันให้เข้า
“เสียเวลาข้าซะจริง! ในเมื่ออยากรนหาที่ตายกันมากนักก็ตามใจ ข้าจะกินยายเด็กนั่นก่อนแล้วมาเชือดแกทีหลังแล้วกัน”
ว่าจบร่างสูงใหญ่ก็หายวับไป เคียวจูโร่มองหามัน จับสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้หายไปไหนไกล ก่อนจะหันขวับเมื่อเห็นว่ามันโผล่ขึ้นมาอยู่ด้านหลังเขาแล้วพุ่งไปหาฮิมาวาริ มือเงื้อสูงขึ้นเล็งไปที่อก เด็กสาวตกตะลึงก่อนจะกรีดร้องเสียงดัง
“กรี๊ดดดด!”
ไม่รอช้าเคียวจูโร่ก้าวขาวิ่งขึ้นไปบนกำแพง เล็งจุดฟันที่คอซึ่งเป็นจุดสำคัญในการสังหารอสูรและหายใจเพ่งสมาธิ
ครั้งนี้ต้องทำให้ได้!
“ปราณเพลิงกระบวนท่าที่สอง...”
ดาบนิจิรินสีแดงเพลิงตวัดขึ้นเป็นวงล้อขนาดใหญ่ในจังหวะที่ตัวหมุนตีลังกากลางอากาศ ก่อนจะฟันเข้าที่คอของอสูรร่างใหญ่อย่างรวดเร็ว ดวงตาสีเหลืองของมันเบิกโพลงอย่างตกใจเมื่อรับรู้ถึงการโจมตีของอีกฝ่ายที่ตนไม่ทันตั้งตัว
“อาทิตย์สาดส่อง!”
ราวกับความร้อนมหาศาลที่แผดเผาตัว เสียงร้องคำรามอย่างเจ็บปวดเจียนตายดังลั่นจนน่าขนลุก หัวของมันหลุดจากบ่าแล้วกลิ้งกระดอนไปบนพื้น ร่างใหญ่ทิ้งตัวลงตามแรงโน้มถ่วง จากนั้นก็ค่อย ๆ สลายกลายเป็นฝุ่นผงหายไปในอากาศ
ดาบนิจิรินสะบัดหนึ่งครั้งก่อนจะถูกเก็บเข้าฝักสีงาช้างตามเดิม ในขณะที่เจ้าของมันใจเต้นตึกตักเหมือนตีกลองรัว
เขาทำได้แล้ว...
เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขาตัดคออสูรได้หลังจากได้ชีวิตใหม่ ความรู้สึกท่วมท้นเหมือนพลังมากมายทั้งหมดได้ใส่ลงไปในกระบวนท่าของดาบที่เขาหลงใหลนั้นกลับมาอีกครั้ง ยามที่มือจับดาบนิจิรินคู่ใจก็สัมผัสได้ถึงความเร่าร้อนของไฟที่อยู่ในอก ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่พบเธอคนนั้น
นัยน์ตาสีเพลิงหันไปหาคนที่นั่งกอดเข่าตัวสั่นอยู่ตรงหน้า ตั้งแต่เจอเธอทุกอย่างก็เปลี่ยนไป วิชาปราณเพลิงที่ฝึกฝนมาสม่ำเสมอนั้นเขายังใช้ได้และไม่มีวันลืม นับวันเข้ามีแต่จะพัฒนา สิ่งที่ขาดไปคือพละกำลังที่เคยมี แต่ก็ได้รับการเติมเต็มทีละนิดเมื่อได้อยู่ใกล้เด็กคนนี้
“ฟูจิวาระ”
เสียงทุ้มดังขึ้นทำให้คนถูกเรียกค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ใบหน้าหวานเปียกชื้นไปด้วยคราบน้ำตาแถมยังซีดเซียวชนิดที่ว่าไม่มีสีให้เห็น นัยน์ตาสีมรกตมีน้ำใส ๆ คลอหน่วยอยู่ในนั้น ริมฝีปากสีพีชสั่นระริกเช่นเดียวกับไหล่บาง มือหนาจึงยื่นไปหาเป็นเชิงบอกว่าให้จับไว้
ฮิมาวาริลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ตัดสินใจยื่นมือตอบรับความช่วยเหลือของเขาทำให้ร่างเล็กลอยหวือไปตามแรงดึงของชายหนุ่ม เธอพยายามยืนทรงตัวไว้ไม่ให้ล้ม แต่ขาสองข้างเจ้ากรรมกลับสั่นจนยืนไม่ไหวทำให้เธอแทบจะทรุดตัวลงไปกองบนพื้น โชคดีที่แขนแกร่งรีบโอบเอวเธอไว้เสียก่อน
เคียวจูโร่มองคนในอ้อมแขนด้วยความสงสาร เพราะอยู่ใกล้กันมากกว่าครั้งไหนจึงรู้ว่าเธอกำลังกลัว มือเล็กเย็นเฉียบ และเสียงสะอื้นยังคงดังออกมาให้ได้ยินแม้อสูรจะหายไปแล้ว เขายืนนิ่งอยู่อย่างนั้น คอยเป็นหลักให้เธอยึดแล้วถามออกไป
“บาดเจ็บตรงไหนไหม”
เสียงที่เคยดังกว่าปกติในครานี้กลับแผ่วลง ฮิมาวาริมองหน้าคนถามเล็กน้อยก่อนจะส่ายหัวช้า ๆ พอได้ยินดังนั้นวงแขนกว้างก็คลายเล็กน้อย เธอจึงผละออกจากตัวเขา แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกอีกครั้งเมื่อเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น
ตึง!
ร่างเล็กขยับตัวเข้าหาเขาอัตโนมัติ พอ ๆ กับเคียวจูโร่ที่โอบตัวเธอเข้ามาโดยสัญชาตญาณ หัวเล็กซุกลงกับอกแกร่ง หวีดร้องเบา ๆ อย่างหวาดกลัวเพราะคิดว่าคงมีอสูรโผล่มาอีกรอบ เสาหลักหนุ่มมองไปยังต้นเสียงที่มาจากที่มืด เห็นดวงตาคู่หนึ่งจ้องมาที่เขาทั้งคู่ มันเดินออกมาช้า ๆ สะบัดหางเล็กน้อยแล้วเดินจากไปโดยไม่ลืมทิ้งเสียงทักทายไว้เบื้องหลัง
“เมี๊ยว”
ทุกอย่างเงียบไปชั่วอึดใจหนึ่ง เคียวจูโร่กะพริบตาปริบ ๆ เพราะงุนงงกับเหตุการณ์เมื่อครู่
“แมวน่ะ”
พอได้ยินแบบนั้น ฮิมาวาริก็ผละออกจากตัวเขา เธอปัดตัวไปมาเพราะสภาพตัวเองนั้นมอมแมม คว้ากระเป๋านักเรียนขึ้นมาถือ แล้วพูดเสียงเบาหวิวทั้งที่ก้มหน้า
“ขอโทษค่ะ”
เคียวจูโร่ยิ้ม แล้วหลังจากนั้นทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีแม้แต่เสียงลมพัดหรือสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยเดินผ่านมาเหมือนคราแรก บรรยากาศระหว่างเธอและเขาดูน่าอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกับฮิมาวาริที่เคยต่อว่าเขาเมื่อคราวก่อน พอมาเจอกันอีกครั้งในสถานการณ์แบบนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มบทสนทนาอย่างไรดี หนึ่งคนยังคงก้มหน้า ส่วนอีกคนก็ได้แต่ยืนยิ้มแล้วมองคนตรงหน้าอีกที
เป็นเวลาเนิ่นนานที่ทั้งสองคนเงียบใส่กันอยู่แบบนั้น ฮิมาวาริรับรู้ว่าสายตาของคนที่เข้ามาช่วยชีวิตเธอยังจ้องมาอย่างไม่ปกปิด เธอไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น ใจคิดอยากจะพูดคุยกับเขา แต่ตอนนี้สมองกลับว่างเปล่าเพราะยังช็อกกับเรื่องคอขาดบาดตายเมื่อครู่
ทว่าโชคไม่เข้าข้างเธอขนาดนั้น ดูเหมือนอยากจะกลั่นแกล้งกันมากกว่า เพราะท่ามกลางความกระอักกระอ่วนของคนสองคนนั้นกลับถูกขัดจังหวะขึ้นด้วยเสียงสวรรค์
แต่เป็นเสียงนรกสำหรับฮิมาวาริ
โครกกก
คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงนั้น ใบหน้าคมฉายแววครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อนึกอะไรดี ๆ ออกจึงรีบเอ่ยปากชวน
“ท่าทางเจ้าจะหิว! งั้นเราไปหาอะไรกินกันดีไหม”
ฮิมาวาริไม่ตอบอะไร แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอของชายหนุ่ม เธอยังคงเงียบและยอมเดินตามเขาไปแต่โดยดี
ว่ากันว่ามื้ออาหารทำให้คนเราสนิทกันมากขึ้น เห็นทีนี่คงจะเป็นเรื่องจริง
ร้านยากินิคุ*ในช่วงเวลาสี่ทุ่มกว่ายังคงครึกครื้นเสมอเช่นเดียวกับตอนกลางวัน ผู้คนแน่นขนัด เสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่ทั่วร้าน สารพัดเรื่องราวในชีวิตประจำวันถูกหยิบยกมาพูดแลกเปลี่ยนกันจนฟังไม่ออกว่าคุยเรื่องอะไรกันบ้าง แก้วใสที่บรรจุน้ำสีอำพันสวยดังก้องกังวานยามชนกันท่ามกลางควันสีขาวที่พวยพุ่งออกมาจากเตาทรงกลม
เคียวจูโร่กับฮิมาวารินั่งที่มุมหนึ่งของร้าน บนโต๊ะมีจานมากมายวางเรียงรายจนแทบไม่มีที่ว่าง เริ่มตั้งแต่เนื้อสัตว์ไปจนถึงผักสด และเครื่องปรุงอีกสองสามอย่าง ตั้งแต่มาถึงที่นี่ ชายหนุ่มเป็นคนคอยจัดแจงทุกอย่างทั้งหมดไม่ว่าจะพาเธอเดินเข้าร้าน สั่งอาหาร หรือวางของทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางตอนที่พนักงานมาเสิร์ฟ แม้ฮิมาวาริจะยังงงกับสถานการณ์ปุบปับแบบนี้อยู่บ้าง แต่เธอก็อาสาย่างเนื้อบนเตาให้
เสียงปะทุบนเตาตะแกรงดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นหอมฉุยของเนื้อที่ลอยออกมาบ่งบอกว่ามันกำลังได้ที่ ที่คีบเหล็กจึงทำหน้าที่ของมันด้วยการหยิบชิ้นที่สุกแล้วให้คนที่นั่งฝั่งตรงข้าม
เนื้อหลายชิ้นเพิ่มจำนวนขึ้นในจานของร่างสูง ในขณะที่ของฮิมาวาริกลับว่างเปล่าและไม่มีร่องรอยของการลิ้มรสอาหารแม้แต่น้อย ซ้ำเธอยังนั่งย่างเนื้อให้เขากินหน้าตาเฉย เคียวจูโร่เห็นดังนั้นก็เลยถามออกไป
“เจ้าไม่กินรึ”
“ไม่ล่ะค่ะ ฉันไม่อยากอาหารเท่าไหร่” เธอตอบเสียงเบา แล้วคีบเนื้ออีกชิ้นใส่ในจานเขาอีก
บทสนทนาบนโต๊ะอาหารเงียบลงอีกครั้ง เสียงเตาถ่านดังปะทุทำให้บรรยากาศระหว่างคนสองคนไม่ดูน่าอึดอัดเท่าไหร่ ฮิมาวารินั่งก้มหน้า จ้องมองเนื้อที่เพิ่งหย่อนลงย่าง ถึงกระเพาะจะประท้วงว่าเธอควรหาอะไรใส่ท้องบ้าง แต่ใจกลับไม่อยากทำแบบนั้นแม้แต่น้อย ส่วนคนตรงหน้าเธอก็ได้แต่นั่งกินอย่างเงียบเชียบ เคี้ยวอาหารตุ้ย ๆ พลางมองเธออยู่อย่างงั้นคล้ายกับเข้าใจว่าเธอคงไม่อยากพูดคุยอะไรตอนนี้
“คุณ...หาฉันเจอได้ยังไงเหรอคะ”
จู่ ๆ ฮิมาวาริก็ตัดสินใจถามขึ้นทั้งที่เงียบไปนาน นึกสงสัยว่าทำไมเขาถึงมาช่วยเธอได้แบบฉิวเฉียดพอดี
“คันนะเป็นคนมาบอกข้าน่ะ”
“แล้วคุณก็เลยรีบมาเหรอคะ”
“อื้ม! ข้าขอโทษที่มาช้า เจ้าคงกลัวมากเลยสินะ”
ใช่ เธอกลัว กลัวมากด้วย แต่พอเห็นว่าเขามาช่วยความรู้สึกนั้นก็หายไปเหมือนถูกปัดเป่า เพียงแค่เขาปรากฏตัวก็เชื่อว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี
แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือเขาไม่จำเป็นต้องขอโทษเลย คนที่ผิดคือเธอแท้ ๆ
คำพูดและการกระทำของเขาทำให้ตะกอนความรู้สึกทั้งหลายตีขึ้นมาในใจอีกครั้ง มันคับแน่นในอกจนคิดว่าไม่สามารถกักเก็บไว้ได้อีกต่อไป หยาดน้ำใสเริ่มคลอเบ้า ก่อนจะไหลรินลงมาตามใบหน้า
“ฉัน...ฮึก...ฉันขอโทษค่ะ ขอโทษที่วันนั้นไม่เชื่อคุณ”
เคียวจูโร่วางตะเกียบลงเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กเริ่มสั่นและร้องไห้ เขาไม่พูดอะไร เพียงแต่นั่งฟังและปล่อยให้เธอพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
“ขอโทษที่วันนั้นฉันพูดจาแย่ ๆ ใส่คุณด้วย...” ฮิมาวาริยกมือปาดน้ำตา พยายามพูดให้น้ำเสียงเป็นปกติที่สุดแม้ว่าตอนนี้จะทำไม่ได้เลยก็ตาม “ขอโทษที่ไล่คุณไป ขอโทษที่ทำตัวไม่ดี ฮึก...แล้วก็ขอบคุณนะคะที่มาช่วยฉันไว้”
เธอพูดพร่ำอยู่อย่างนั้น ตาสองข้างพร่ามัวเพราะน้ำตาที่บดบังการมองเห็น ชายหนุ่มตรงหน้าเธอยังนั่งนิ่งจนฮิมาวาริแอบหวังว่าเขาจะพูดอะไรออกมาบ้าง จะดุด่าหรือต่อว่าเธอก็ได้ที่ทำกับเขาแบบนั้น จะบอกว่าเธอดื้อที่ไม่ฟังเขาแถมยังทำตัวเป็นเด็กเธอก็ยินดีน้อมรับความผิดทั้งหมด
มือเล็กยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาป้อย ๆ เงยหน้าสบตาคนที่พาเธอมานั่งกินข้าวเล็กน้อย วาดภาพในหัวแล้วว่าสิ่งที่จะได้รับกลับมาจากเขาคงเป็นสายตากรุ่นโกรธและคำต่อว่าที่เธอทำตัวไม่ดี แต่สิ่งที่เขาให้เธอกลับตรงกันข้าม
เคียวจูโร่กำลังยิ้ม เป็นรอยยิ้มสดใสเหมือนทุกทีที่เธอเห็นบ่อยครั้ง นัยน์ตาสีเพลิงเองก็ไม่ได้ฉายแววโกรธเคืองเธอแต่อย่างใด เพียงแต่สื่อว่าเขาให้อภัยและเข้าใจเธอทั้งหมด
“ข้าไม่โกรธเจ้าหรอกนะ! เรื่องแบบนี้ก็ต้องมีเข้าใจผิดกันบ้าง เพราะฉะนั้นไม่ต้องร้องไห้หรอก!” เขาบอกด้วยเสียงอันดังพลางยกมือกอดอก “ข้าเองก็ผิดเหมือนกันที่แอบตามเจ้าไปโดยที่ไม่บอก ต้องขอโทษด้วย!”
“คุณไม่โกรธฉันเหรอคะ” ฮิมาวาริถามเสียงอ่อน
“ไม่เลย!”
“ไม่...แม้แต่สักนิดเดียวเหรอคะ”
“แน่นอน ข้าไม่โกรธเจ้าอยู่แล้ว!”
“เร็น...ฮึก...เร็นโกคุซัง”
เด็กสาวเรียกเขาไว้แค่นั้นแล้วปล่อยโฮออกมาอีกรอบ เคียวจูโร่เอียงคอมองคนตรงหน้าเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงยังร้องไห้อยู่อย่างงั้นแม้เขาจะบอกว่าไม่ได้โกรธอะไรเธออย่างที่ปากพูดและใจคิด แต่พอมานึกดูอีกทีเขาก็คิดว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ดีไม่น้อย เพราะก่อนหน้านี้สีหน้าของคนที่นั่งตรงข้ามเขาไม่ดีเท่าไรนัก
แบบนี้เรียกว่ากลับมาเป็นปกติแล้วสินะ น่ายินดี!
เคียวจูโร่คีบเนื้อย่างในเตาที่สุกพอดีใส่ในจานของเธอ
“กินเนื้อเถอะ! เจ้ากำลังหิว ถึงจะไม่อยากอาหารแต่ก็ต้องกินนะ!”
ฮิมาวาริมองเนื้อในจานนิ่ง กลิ่นหอมของมันทำให้เธอเริ่มอยากกินขึ้นมาจริง ๆ เข้าแล้ว เด็กสาวไม่รอช้ารีบคีบเนื้อใส่ปากทันที เคียวจูโร่ที่เห็นเธอนั่งกินด้วยสีหน้าที่ดีขึ้นก็อดไม่ได้ที่จะถาม
“อร่อยไหม”
“อร่อยค่ะ”
“ถ้างั้นก็กินเยอะ ๆ นะ มื้อนี้ข้าเลี้ยงเอง!”
เธอพยักหน้าเชิงขอบคุณ แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มทานเนื้อย่างอย่างเอร็ดอร่อยโดยมีเคียวจูโร่คอยหยิบชิ้นที่สุกแล้วใส่ในจานให้ ตอนแรกเธอยังร้องไห้อยู่บ้าง แต่พอได้แตะอาหาร น้ำตาที่เคยไหลก็หายไปจนหมดสิ้น ฮิมาวาริมองเขาที่จ้องเนื้อในเตาอย่างใจจดใจจ่อ
ทำไมเขาถึงดีกับเธอแบบนี้นะ
ผู้ชายคนนี้ช่างแปลกประหลาดซะจริง
ฮิมาวาริได้แต่คิดอยู่แบบนั้น ก่อนจะสลัดมันทิ้งไปเพื่อจดจ่อกับช่วงเวลาและอาหารตรงหน้า
หลังจากสังหารอสูรได้สำเร็จในวันนั้น เวลาล่วงเลยจนกระทั่งผ่านมาได้หนึ่งสัปดาห์ เคียวจูโร่ยังคงออกไปตรวจตราทุกวัน และทยอยปราบอสูรไปบ้างแล้ว การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่เช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่น้อย
ร่างสูงเดินออกมาจากศาลเจ้า ก้าวฉับ ๆ มาจนถึงร้านข้าวหน้าเนื้อ ตั้งใจว่าจะมาหาอะไรใส่ท้องก่อนจะออกไปทำภารกิจคืนนี้ และอยากมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของเด็กสาวที่ทำงานที่นี่หลังจากไม่เจอกันหลายวัน ก่อนจะรู้ว่า...
“หืม ลาออกไปแล้ว?”
เสียงทุ้มถามขึ้นราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ตนได้ยิน
คนตรงหน้าเขา มิสึทานิ ฟุคาเบะ คือหญิงสาวในวัยยี่สิบหกปีที่เคียวจูโร่เห็นหน้าค่าตาอยู่บ่อยครั้ง เธอเป็นพนักงานประจำของร้านที่อยู่กับฮิมาวาริบ่อย ๆ เปรียบเสมือนคู่หูที่ตามติดเธอทุกเวลาที่เขามาที่ร้าน ปกติเธอมักจะยิ้มแย้มเสมอ แต่ในเวลานี้กลับดูกังวลอย่างเห็นได้ชัดไม่ต่างจากน้ำเสียงที่พูดคุย
“ค่ะ เมื่อหลายวันก่อนมาทำงานที่ร้านแล้วจู่ ๆ ก็บอกว่าขอลาออก ผู้จัดการตกใจหมดเลย”
เคียวจูโร่ยืนฟังนิ่ง เรื่องราวของคนที่เขาถามหาลอยเข้าหู ในหัวคอยประมวลผลสิ่งที่ได้ยินจนทำให้ปะติดปะต่ออะไรหลาย ๆ อย่างได้
ใช้เวลาไม่นานนัก ชายหนุ่มก็เดินออกมาจากร้านโดยไม่ลืมบอกลาพนักงานสาว ท้องฟ้ายามเย็นเป็นสีส้มสดใสพร้อมกับพระอาทิตย์ที่ค่อย ๆ ลาลับขอบฟ้า สายลมอ่อนพัดปลิวปะทะร่างกายเขา แต่ไม่อาจลบสิ่งที่ตนรับรู้มาให้หายไปได้เลย
เป็นเพราะเรื่องวันนั้นไม่ผิดแน่
เขาหวนนึกถึงวันที่ไปช่วยเด็กสาวที่โดนอสูรหลอกพาตัวไป จากการบอกเล่าของคันนะที่ตามมาเล่าเรื่องให้ฟังในภายหลังถึงรู้ว่าอสูรตนนั้นปลอมตัวเป็นคนที่เธอรู้จัก นั่นคงทำให้เธอหวาดกลัวและไม่ไว้ใจคนรอบตัวมากเท่าไร สำหรับคนทั่วไปแล้วทำยังไงก็ไม่มีทางแยกออกว่าคนที่อยู่ด้วยกันจะเป็นเจ้าตัวจริง ๆ หรืออสูรกันแน่ แต่ตอนนี้สิ่งที่เขานึกเป็นห่วงขึ้นมากลับเป็นผลกระทบที่ได้รับหลังจากเหตุการณ์นั้นมากกว่า
สภาพจิตใจอันเลวร้ายที่ต้องการการฟื้นฟู
จากประสบการณ์ที่เขาอยู่ในหน่วยพิฆาตอสูรและออกไปช่วยผู้คน มีคนจำนวนไม่น้อยที่หวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บางคนก็ไม่เป็นไรซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดี แต่บางคนกลับเป็นเหมือนฝันร้ายตลอดชีวิต เคียวจูโร่นึกถึงบุคคลประเภทหลัง เพราะรู้ว่าพวกเขาจะมองรอบตัวไม่เหมือนเดิม มีแต่จมอยู่กับความกลัวที่ไม่มีวันหายไป สิ่งเดียวที่เขาและหน่วยพิฆาตอสูรจะทำได้คือคอยเยียวยาความทุกข์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
‘อาจจะเป็นการขอร้องที่มากไปหน่อย แต่ถ้าเจอฮิมะก็ฝากดูเธอหน่อยนะคะ ตัวคนเดียวแท้ ๆ ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรยังไงบ้าง’
คำพูดของฟุคาเบะลอยขึ้นมาในหัวทำให้เขาฉุกคิดไปพักหนึ่ง
บางทีอาจจะต้องแวะไปดูสักหน่อย ปล่อยไว้คงไม่ได้แล้ว!
สนามเด็กเล่นแถวบ้านในช่วงเวลาเย็นนั้นผู้คนเบาบางลงไปมาก แต่ก็ไม่ได้น้อยขนาดที่ทำให้รู้สึกว่าเงียบเหงา เพราะยังมีเสียงเจื้อยแจ้วของกลุ่มเด็ก ๆ ที่วิ่งไปมา และบางส่วนที่ห้อยโหนไปตามเครื่องเล่นสีสันสดใสบนผืนทรายซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล
ฮิมาวาริกำลังนั่งบนชิงช้า ปล่อยให้ร่างกายขยับไปตามแรงแกว่งไกวซึ่งใช้เท้าถีบเพื่อไม่ให้มันอยู่นิ่งพลางมองรอบตัวด้วยสายตาเหม่อลอยเช่นเดียวกับความคิดต่าง ๆ ที่วนเวียนในหัวอย่างไร้ที่สิ้นสุด
เธอคิดว่าช่วงนี้ตัวเองค่อนข้างฟุ้งซ่าน
ทั้งตกใจง่ายขึ้น ระแวงรอบตัวมากขึ้น เวลากลางคืนแค่ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กนิดหน่อยก็สะดุ้งตื่น เป็นเช่นนี้มาหลายวันแล้ว ถ้าจะพูดให้ถูกก็คงเริ่มตั้งแต่วันที่เจออสูรในตอนนั้น ถึงจะรอดมาได้แบบหวุดหวิด แต่สิ่งที่เจอในวันนั้นมันคือฝันร้าย ไม่ว่าจะรูปร่างผิดมนุษย์มนา เสียงหัวเราะสะใจที่น่าหวาดผวา และคำขู่ที่หมายจะเอาชีวิตนั้นยังตามหลอกหลอนเธอจนถึงตอนนี้
ตัวเธอในตอนนี้ไม่ต่างจากหมีแพนด้าเท่าไรนัก หลายครั้งที่ส่องกระจกฮิมาวาริก็แอบตกใจกับสภาพตัวเองอยู่เหมือนกัน ใต้ตาที่คล้ำขึ้นมานิดหน่อยนั้นบ่งบอกให้รู้ว่าเธอนอนไม่หลับหรือบางครั้งก็หลับไม่สนิท
เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันมาจากความดื้อของเธอทั้งนั้น ถ้าหากว่าฟังที่เคียวจูโร่พูดแต่แรกก็คงไม่ต้องมาอยู่ในสภาพนี้
และสิ่งแรกที่ฮิมาวาริทำหลังจากที่รอดมาได้คือลาออกจากร้านข้าวหน้าเนื้อหน้าศาลเจ้าทันที แม้จะรู้ว่านั่นไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นมาและเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่เพราะอยากนั่งคิดทบทวนอะไรหลาย ๆ และคำนึงถึงความปลอดภัยสำหรับชีวิตของเธอเองแล้ว นี่คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้
ตอนที่ผู้จัดการร้านและเพื่อนร่วมงานคนอื่นที่สนิทกันได้ยินเรื่องนี้เข้าก็ตกใจกันมาก แต่ทุกคนก็เข้าใจว่าคงมีเหตุผลส่วนตัวและเธอเองก็ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่ก็ควรเอาไปทุ่มกับตรงนั้นมากกว่า การหางานที่เหมาะสมกับเงื่อนไขของเวลาจึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ฮิมาวาริต้องเก็บไปคิดเสียใหม่
ส่วนเรื่องของฟุคาเบะ ฮิมาวาริโล่งใจที่เจ้าตัวไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่คาด ดูจากท่าทางที่เข้ามาคุยกันแล้ว นี่คือเธอตัวจริงเสียงจริง ไม่ใช่อสูรจำแลงกายมาหาเธอแบบหลายวันก่อน หากจะให้พูดตามตรงแล้ว ความกลัวที่มีต่อหญิงสาวยังคงมีอยู่บ้าง แต่ฮิมาวาริก็แค่ปลอบใจตัวเองว่าตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว
เอาเป็นว่าทุกอย่างก็จบด้วยดี สิ่งที่เด็กสาวต้องทำต่อจากนี้คือหางานพาร์ทไทม์ใหม่
แม้จะบอกแบบนั้น แต่ตอนนี้ใจเธอกำลังวนไปคิดเรื่องอื่น
ถ้าไม่นับเรื่องงานพาร์ทไทม์ สิ่งที่น่าห่วงยิ่งกว่าคือสภาพร่างกายและจิตใจในตอนนี้ที่ไม่ดีเท่าไร ขอบตาหมีแพนด้ากับท่าทางเหมือนซอมบี้เป็นสิ่งที่น่ารำคาญใจที่สุด ถ้าขืนยังจมอยู่กับความหวาดระแวงและอยู่แบบนี้ต่อไป มีหวังชีวิตนี้คงไม่ต้องทำอะไรกันพอดี
ทว่าความจริงที่ว่าอสูรมีตัวตนจริง ๆ ในยุคสมัยแบบนี้คือสิ่งที่ทำให้ฮิมาวาริกังวล เธอรอดมาได้เพราะเคียวจูโร่ก็จริง แต่คงไม่ได้โชคดีแบบนี้ไปตลอด ถ้าคราวต่อ ๆ ไปต้องเจอพวกมันอีกล่ะ เธอควรจะทำยังไง?
เรื่องของพวกอสูรก็พอรู้แค่ผิวเผินว่ากินมนุษย์เป็นอาหาร สิ่งที่จะสามารถสังหารมันได้ก็มีเพียงดาบที่ตีขึ้นมาแบบพิเศษเท่านั้น ฮิมาวาริรู้เพียงเท่านี้เพราะเคยอ่านจากสมุดบันทึกของตระกูลที่มีจำนวนน้อยนิดและฟังจากคำบอกเล่าของย่า นอกนั้นเนื้อหาที่กล่าวถึงก็ไม่ได้เจาะลึกอะไรมากเป็นพิเศษ
คนที่รู้เรื่องแบบนี้ก็มีแค่คนที่มาช่วยเธอไว้เมื่อคราวก่อน ฮิมาวารินึกสงสัยเกี่ยวกับตัวของเคียวจูโร่อยู่บ้างเหมือนกัน แต่ที่เจอกันครั้งล่าสุดก็คือวันที่เขาช่วยเธอไว้แล้วพากินเนื้อย่างสุดอร่อย หลังจากนั้นก็ไม่ได้เห็นหน้ากันอีก
ชิงช้าที่เคยแกว่งไปตามความเร็วค่อย ๆ ผ่อนแรงลง ดวงอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้าเข้าทุกทีแล้ว เธอควรจะรีบกลับบ้านก่อนที่มันจะมืด เผื่อต้องเจอสิ่งมีชีวิตประหลาดนั่นอีก
ฮิมาวาริคว้ากระเป๋าเตรียมตัวกลับ แต่แล้วเสียงร้องทักของใครคนหนึ่งขึ้นมาจากด้านหลัง
“ฟูจิวาระ!”
เจ้าของชื่ออย่างเธอถึงกับสะดุ้งโหยงอย่างตกใจ เสียงที่ดังหลายเดซิเบลทำเอาเธอเกือบกรี๊ดออกมา พอหันไปเห็นว่าเป็นใครก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เร็นโกคุซัง”
“จะกลับแล้วรึ”
เคียวจูโร่ถามเมื่อเห็นว่าฮิมาวาริถือกระเป๋านักเรียนทำท่าว่าจะกลับบ้าน
“เอ่อ ก็ใช่ค่ะ” เธอยิ้มจาง “แต่ถ้าคุณมาหาฉันละก็ ฉันนั่งต่ออีกหน่อยก็ได้ค่ะ”
คำตอบที่ได้ยินทำให้มุมปากของเคียวจูโร่ยกยิ้มกว้าง เขาเดินมานั่งที่ชิงช้าข้าง ๆ เธอ โยกตัวไปมาราวกับถูกใจในเครื่องเล่น
ร่างสูงในวันนี้ไม่ได้สวมชุดเครื่องแบบเหมือนเมื่อหลายวันก่อนแล้ว เพียงแต่เป็นชุดสบาย ๆ ในแบบที่เจ้าตัวชอบใส่อย่างกิโมโนสีเขียวอ่อนและกางเกงฮากามะสีเทาเข้มซึ่งฮิมาวาริเห็นอยู่บ่อยครั้ง
เสียงเอี๊ยดอ๊าดของชิงช้าดังขึ้นขัดบทสนทนาของทั้งคู่ ฮิมาวาริได้แต่นั่งเงียบด้วยไม่รู้จะพูดอะไรดีทั้งที่มีคำถามอยู่ในใจมากมาย
“เจ้าเป็นยังไงบ้าง”
จู่ ๆ เป็นคนข้างกายเธอที่ถามขึ้นมาเสียเอง ใบหน้าคมเข้มหันมาหา นัยน์ตาสีเพลิงมองอย่างอยากรู้
“หมายถึงอะไรเหรอคะ”
“ตัวเจ้า” เสาหลักหนุ่มตอบแล้วพูดขยายความ “ข้าไปหาเจ้าที่ร้านเพราะอยากรู้ว่าเจ้าเป็นยังไงบ้าง แต่เพิ่งมารู้ว่าเจ้าลาออกแล้ว! เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ”
ฮิมาวาริเงียบไปอึดใจหนึ่ง เพราะไม่คิดว่าเขาจะถามตรง ๆ แล้วก็ไม่คิดว่าเขาจะไปหาเธอที่ร้านนั่นด้วย
เป็นคนที่เอาใจใส่คนอื่นจังแฮะ
“ฉันแค่คิดว่างานที่นั่นไม่ค่อยเหมาะกับตัวฉันในตอนนี้เท่าไหร่ค่ะ” เธอตอบตามจริงแม้จะเป็นเหตุผลย่อย แขนเล็กกอดกระเป๋านักเรียนแน่นอย่างคนประหม่า “อีกอย่างฉันก็แค่กลัวค่ะ”
“...”
“ฟุคาเบะซังสนิทกับฉันก็จริง แต่พอโดนอสูรแปลงหลอกเป็นเขาแบบนั้น ฉันเองก็อดกลัวไม่ได้ ก็แหม! เหมือนจนแยกออกเลยนี่นา ฮะฮะ”
ฮิมาวาริพยายามพูดติดตลก เพราะไม่อยากให้คนข้าง ๆ กังวลกับเธอมากจนเกินไป ที่เขาช่วยเธอในวันนั้นก็มากเพียงพอแล้ว จนถึงตอนนี้เด็กสาวยังคงนึกขอบคุณเขาอยู่ในใจลึก ๆ
“คุณคงคิดว่าสภาพของฉันในตอนนี้มันดูแย่มากเลยใช่ไหมคะ”
“เจ้าน่ะรึ? ข้าก็ไม่ได้คิดว่ามันแย่ขนาดนั้นหรอกนะ แต่แค่รู้สึกว่าเจ้าไม่ร่าเริงเลย!”
เคียวจูโร่มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าที่ไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรสักนิด ฮิมาวาริรับรู้ถึงความเห็นใจที่มาจากนัยน์ตาสีเพลิงสวยคู่นั้นและรอยยิ้มที่ส่งมาราวกับต้องการจะปลอบใจ
“ข้าเข้าใจว่าตอนนี้เจ้าอาจจะยังกลัวอยู่ บางครั้งก็อาจจะระแวงคนรอบตัวที่เจ้ารู้จัก รวมถึงข้า”
เขาพูดทั้งที่ไม่ได้มองมาทางเธอ แต่กลับเป็นสนามเด็กเล่นที่ไร้ผู้คน ทุกอย่างเงียบสงบ เหล่าเด็ก ๆ หายกันไปหมดแล้ว มีเพียงแค่เสียงเสียดสีของกิ่งไม้ที่มาจากลมพัด เส้นผมสีเหลืองทองปลายแดงของเคียวจูโร่พลิ้วไปตามลมเย็นที่พัดผ่าน แสงอาทิตย์ยามเย็นที่กำลังลาลับขอบฟ้าสาดลงมายังชิงช้าที่พวกเธอนั่ง
“ถ้าเป็นคุณฉันก็ไม่กลัวหรอกนะคะ”
เคียวจูโร่หันมาถาม “ทำไมล่ะ!”
ฮิมาวาริส่งเสียง ‘อืม’ ในลำคออย่างชั่งใจ ดวงตากลมสดใสกวาดมองร่างสูงที่โยกตัวบนชิงช้าเบา ๆ ด้วยแววตาครุ่นคิด ก่อนจะตอบพร้อมรอยยิ้ม
“เพราะว่าคุณช่วยชีวิตฉันไว้ค่ะ”
“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก มันเป็นสิ่งข้าต้องทำนะ!”
“จะพูดแบบนั้นก็ได้ค่ะ” เธอพูดกลั้วหัวเราะ “แต่คุณรู้ไหมคะ ในช่วงระหว่างความเป็นความตายของมนุษย์ ใคร ๆ ต่างก็คาดหวังให้อะไรบางอย่างเกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีหนึ่งของช่วงเวลานั้น สิ่งที่ไม่คาดคิดที่เราเรียกมันว่าปาฏิหาริย์ค่ะ”
“...”
“สำหรับฉัน คุณเองก็เป็นแบบนั้น คุณคือปาฏิหาริย์ของฉันค่ะเร็นโกคุซัง”
ฮิมาวาริพูดออกมาจากใจจริง ย้อนนึกถึงวันนั้นที่เขาเข้ามาช่วยไว้
ใช่แล้ว สำหรับฮิมาวาริ ปาฏิหาริย์ของเธอคือไฟ
ไฟที่มากับผู้ชายคนนี้
ไฟที่จุดขึ้นใหม่ ท่ามกลางความมืดมิดอันไร้หนทางของเธอ
มาจนตอนนี้ฮิมาวาริเข้าใจในสิ่งที่มาเอดะเคยบอกกับเธอเมื่อนานมาแล้ว
‘ข้าไม่ค่อยได้คุยกับพ่อหนุ่มนั่นแล้ว’
‘เพราะร้อนเกินไปน่ะสิ’
แล้วก็เข้าใจในสิ่งที่เคียวจูโร่เคยพูดกับเธอที่สวนสาธารณะเช่นกัน
‘พวกเขาไม่อยากคุยกับข้า เพราะตัวข้าร้อนเกินไป!’
อา...แบบนี้นี่เอง
ที่บอกกันว่าร้อน ที่พูดว่าไม่อยากอยู่ใกล้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะเรื่องนี้ เพราะตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันที่ศาลเจ้า ตอนที่เขามาเจอเธออีกครั้งที่ครั้งที่ร้านข้าวหน้าเนื้อ ที่สวนสาธารณะ และช่วงเวลาอื่น ๆ ที่ได้เจอกันโดยบังเอิญในบางวัน หรือแม้แต่ตอนที่เข้ามาช่วยเธอจากอสูรนั่น ผู้ชายคนนี้มักจะมาพร้อมกับไฟเสมอ
มันคือไฟที่มาจากตัวของเขา
ฮิมาวาริไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเคียวจูโร่บ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่รับรู้ได้ตั้งแต่ที่ได้รู้จักกันคือคนคนนี้ไม่ธรรมดา เขาไม่ได้อันตรายถึงขนาดที่เจอแล้วต้องหนีให้ไปให้ไกล หรือต่อให้อยู่ใกล้ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจะโดนแผดเผาให้ไหม้ไปเสียเดี๋ยวนั้น
เธอกลับรู้สึกอบอุ่นมากกว่า
ตลอดเวลาหลายวันที่ผ่านมาเธอคิดถึงแต่เรื่องของเขา พยายามหาเหตุผลมากมายเพื่อให้ได้คำตอบที่เธอสงสัย และในตอนนี้มันก็กระจ่างแจ้งแล้ว การที่ได้เจอกันอีกครั้งในวันนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องดีในรอบสัปดาห์ และฮิมาวาริก็ไม่คิดจะปล่อยให้มันหลุดมือไป
“ไหน ๆ ก็เจอกันแล้ว ฉันมีเรื่องที่อยากจะถามคุณค่ะ”
“อื้ม! ว่ามาสิ” เคียวจูโร่ขยับตัวอย่างตั้งใจฟัง เด็กสาวเห็นดังนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากกว่าทุกที
“เร็นโกคุซัง”
คราวนี้เจ้าของชื่อสบตากับเธอ คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถามอยู่ในที
ฮิมาวาริรู้สึกว่าตัวเองกำลังตื่นเต้น สองมือเริ่มชื้นเหงื่อที่ซึมตามผิวหนัง นัยน์ตาสีเขียวสดใสไหววูบอย่างลังเลใจเล็กน้อย แต่ก็พยายามให้กำลังใจตัวเองในสิ่งที่จะทำต่อจากนี้
เธอคิดมาดีแล้ว คิดมาอย่างถี่ถ้วน และไม่ว่ายังไงก็ไม่คิดเปลี่ยนใจ
เด็กสาวเงียบไปชั่วอึดใจครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกไป
“เรา...มาอยู่ด้วยกันไหมคะ”
*ยากินิคุ คือ อาหารประเภทปิ้งย่างของญี่ปุ่นค่ะ ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่เนื้อวัวที่มาจากหลากหลายสายพันธุ์ สันนิษฐานกันว่าอาหารประเภทนี้มาจากชาวเกาหลีที่อพยพมาอยู่ที่ญี่ปุ่นในแถบคันไซ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ค่ะ คนญี่ปุ่นจึงได้รับอิทธิพลด้านอาหารประเภทนี้จนกลายมาเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน การทานยากินิคุให้อร่อยคือเอาเนื้อสัตว์ไปปิ้งย่างบนตะแกรงร้อนที่มาจากถ่านโดยตรงเพื่อให้ได้กลิ่นหอม เนื้อนุ่มละมุนลิ้น และรสชาติอร่อยค่ะ
Rothy's Talk:
หลังจากตอนก่อนที่มอบตอนพิเศษให้ไป มารอบนี้ขอวกเข้าเรื่องหลักค่ะ ตอนนี้ฮิมะร้องไห้เยอะพอสมควรเลย แต่เร็นซังมาช่วยแล้วแถมพาเธอไปกินเนื้อย่างด้วยนะ คู่นี้เขามีทเลิฟเว่อร์ค่ะ มออ~
ในที่สุดเรื่องที่เข้าใจผิดก็จบลงไปได้ด้วยดี สำหรับตอนนี้ฮิมะคือน่าสงสารจัง เหนื่อยด้วย ร้องไห้ด้วย แพนิคกับเรื่องที่เจอด้วย โอยย ขอกอดหมับ ขวัญเอ๊ยขวัญมานะ//ลูบหัว แต่ตอนจบคืออะไรเนี่ย ไหนกลับมาคุยกันซิ!
ว่าด้วยเรื่องของตอนนี้ เราทำใจนานกว่าจะอัพลงเหมือนกันค่ะ เพิ่งได้เขียนฉากต่อสู้ครั้งแรกก็เลยกังวลมากพอสมควร (ร้องไห้) ดังนั้นถ้าอ่านแล้วมันขัด ๆ ก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ จะพัฒนาให้ดีขึ้นในตอนต่อ ๆ ไป อีกอย่างคือรู้สึกว่าภาษาของเรามันแปลกด้วย โฮ แต่ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ดีใจมาก ๆ ถ้ายังไงฝากกดใจและคอมเม้นต์ด้วยนะคะ ><
ขอให้มีความสุขสำหรับเดือนสุดท้ายของปี และโปรดดูแลสุขภาพด้วยนะคะ
ด้วยรัก
Rothy :)
ความคิดเห็น