คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : 3rd Piece of the Sun : ตระกูลฟูจิวาระ
☼
3
ตระกูลฟูจิวาระ
“ฮ้า เหนื่อยจัง”
ฮิมาวาริเดินเข้ามาในห้องนอน หยิบผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดผมที่สระให้แห้ง แล้วทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ที่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ
วันนี้มีเรื่องให้เธอทำมากมายจนแทบไม่ได้หยุดพัก พอกลับมาถึงบ้านจึงไม่แปลกนักที่เด็กสาวอยากจะโถมกายหาเตียงนอนที่เธอร้องเรียกหาแทบจะทุกวินาที แต่ติดตรงที่ว่ามีการบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เธอต้องทำให้เสร็จเพื่อส่งในวันรุ่งขึ้น ฮิมาวาริไม่รอช้า รีบตั้งใจทำการบ้านให้เสร็จทันที
ใช้เวลาไม่นานนัก ปากกาที่อยู่ในมือของเด็กสาวก็วางลงบนโต๊ะ ฮิมาวาริบิดตัวไปมาเพื่อไล่ความเมื่อยล้าก่อนจะนั่งแบบหมดแรงบนเก้าอี้ วันนี้เธอใช้ทั้งแรงกายและกำลังสมองมาทั้งวันทำให้รู้สึกล้าไปหมด เปลือกตาบางจึงค่อย ๆ ปิดลงเพื่อพักสายตา
แม้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ จะพักการใช้งาน ทว่าสมองก็ยังคงหาเรื่องมาคิดไม่ให้เว้นว่าง เรื่องที่ได้พูดคุยกับมาเอดะและคันนะระหว่างทางกลับบ้านแวบขึ้นมาในหัว
เรื่องเกี่ยวกับคนคนนั้น ผู้ชายที่ชื่อ เร็นโกคุ เคียวจูโร่
ปกติฮิมาวาริไม่ได้ให้ความสนใจกับใครมากเป็นพิเศษ ทุกคนที่เข้ามาวนเวียนในชีวิตเธอก็มีเพียงแค่ไม่กี่คน ส่วนใหญ่มักจะไม่ขอข้องเกี่ยวกับเธอมากกว่า ทว่าเรื่องของชายคนนี้กลับทำให้เธอรู้สึกสนใจขึ้นมาอย่างประหลาด หากมองผิวเผินก็ดูเหมือนคนธรรมดา แต่เพราะเธอคลุกคลีอยู่ในวงการผีๆ มาแต่เด็ก ทำให้พอจะแยกได้ว่าอะไรเป็นอะไร ใครเป็นคนใครเป็นผี แต่น่าแปลกที่กับคนคนนี้เธอกลับให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้ แต่สิ่งที่ยืนยันได้คือความรู้สึกของเธอที่บอกว่าเขาไม่ได้มีพิษภัยอะไร
‘จงอยู่ใกล้เขาให้มากที่สุด เพราะอย่างน้อยเขาก็ช่วยปกป้องคุ้มครองแม่หนูได้’
คำพูดของผีชายชราที่เธอให้ความใส่ใจที่สุดยังคงสะกิดใจอยู่เสมอ ฮิมาวาริไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเท่าไรนัก จึงต้องขอให้เขาขยายความเพื่อที่จะได้เข้าใจในเจตนา แม้มาเอดะและคันนะทำท่าไม่อยากจะพูดถึงในตอนแรก แต่พอเจอลูกตื๊อของเธอเข้า สุดท้ายพวกเขาก็ยอมบอกความจริงออกมาจนได้
‘เธอเคยได้ยินเรื่องอสูรมาบ้างไหม’
‘ตอนนี้พวกมันกำลังออกอาละวาดอยู่ ที่ข่าวออกเมื่อหลายวันก่อนก็ฝีมือพวกมันทั้งนั้น’
พอคิดถึงเรื่องนี้ฮิมาวาริก็ขมวดคิ้วมุ่น เธอเคยได้ยินเรื่องอสูรมาจากย่าของเธออยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่รู้ว่าหน้าตาของพวกมันเป็นยังไง ย่าของเธอก็ตอบไม่ได้เพราะไม่เคยเจอเหมือนกัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่านไปสู่ความเจริญก้าวหน้าขึ้นทุกวัน ทำให้เรื่องแบบนี้ไม่มีใครกล่าวถึงให้ฟัง
สำหรับฮิมาวาริ อสูรก็เป็นแค่เรื่องที่แต่งขึ้น จะด้วยสาเหตุประการใดก็ตามแต่ เด็กสาวไม่เคยปักใจเชื่อว่ามีอยู่จริงสักครั้ง แม้ตระกูลของเธอจะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพวกมันมามากก็ตาม
ตระกูลฟูจิวาระเป็นตระกูลเก่าแก่ที่มีประวัติอันยาวนาน แม้จะไม่มีชื่อเสียงในแวดวงสังคม แต่กลับเป็นที่รู้จักในองค์กรหนึ่งที่เรียกตนเองว่า ‘หน่วยพิฆาตอสูร’
ในสมัยนั้น มนุษย์จำนวนไม่น้อยถูกอสูรเข่นฆ่าเพื่อเอามาเป็นอาหาร หลายคนสูญเสียครอบครัว พี่น้อง หรือแม้แต่กระทั่งคนรัก ทำให้ทุกคนต่างหวาดกลัวพวกมัน แน่นอนว่าตระกูลฟูจิวาระเองก็เป็นหนึ่งในนั้น สมาชิกของตระกูลบางส่วนในอดีตเคยถูกพวกมันทำร้าย แต่ก็ได้คนในหน่วยพิฆาตอสูรช่วยเหลือเอาไว้ ว่ากันว่าพวกเขามีหน้าที่คอยสังหารอสูรเพื่อความสงบสุขของผู้คน ดังนั้นตระกูลฟูจิวาระจึงตั้งปณิธานไว้ว่าจะคอยช่วยเหลือและสนับสนุนองค์กรนี้ อีกทั้งยินดีรับใช้เหล่าสมาชิกที่ได้รับบาดเจ็บให้เข้ามาพักผ่อนได้โดยไม่คิดค่าตอบแทน แน่นอนว่าความตั้งใจอันแน่วแน่นี้ได้ถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น
ฮิมาวาริเพิ่งนึกได้ว่าเคยมีสมุดบันทึกเก่า ๆ ของคนในตระกูลเก็บไว้อยู่จึงเอาออกมาอ่าน กล่องสีม่วงอ่อนขนาดกลางวางอยู่บนโต๊ะ ในนั้นมีสมุดบันทึกของคนในตระกูลที่ย่าของเธอรวบรวมมาได้จำนวนหนึ่ง โชคดีที่ฮิมาวาริยังไม่ได้ทิ้งไปและเก็บรักษามันไว้อย่างดี จำได้ว่าเมื่อก่อนย่าของเธอมักจะหยิบมันขึ้นมาอ่านพร้อมกับจิบชาเวลาว่างด้วยสีหน้าที่มีความสุข
เพราะผ่านเวลามานานมากแล้วทำให้กระดาษซีดเหลือง แม้จะมีรอยเทปปะบนสมุดอยู่เต็มไปหมด แต่บางหน้าก็เปื่อยจนพร้อมจะขาดทุกเมื่อหากเปิดแรงเกินไป ดังนั้นเธอจึงค่อย ๆ เปิดมันอย่างทะนุถนอม หมึกสีดำที่ขีดเขียนแต่ละหน้ากระดาษนั้นจางลงไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังเห็นและพออ่านออกอยู่บ้าง ดวงตาสีมรกตกวาดตาอ่านทุกบรรทัดอย่างตั้งใจ
ครั้งหนึ่งเธอเคยถามย่าว่าบันทึกพวกนี้มีความสำคัญอะไรมากนักหรือ หญิงชราก็เงยหน้าพร้อมกับส่งยิ้มอ่อนโยนแบบที่เคยทำประจำมาให้พร้อมกับบอกว่า
‘สมุดบันทึกพวกนี้เป็นสิ่งที่คนในตระกูลเราจดไว้เพื่อบันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับกลุ่มพิฆาตอสูรที่เราได้ดูแลพวกเขาเสมอมา นี่เป็นความภาคภูมิใจของเรานะ’
แม้ย่าจะพูดแบบนั้นแต่ก็ทำให้เธออดสงสัยไม่ได้ จากตอนนั้นจนถึงตอนนี้ก็ผ่านมานานมากแล้ว พวกอสูรก็คงหมดสิ้น และคนในหน่วยก็คงหมดหน้าที่ แล้วตอนนี้ยังจะมีหลงเหลืออยู่อีกหรือ?
ฮิมาวาริในตอนเด็กเคยถามออกไป ทว่าไม่มีคำตอบใดหลุดออกมาจากปากย่าของเธอ
สมุดบันทึกเล่มเก่าปิดลงเบา ๆ ฮิมาวาริเหลือบมองตราประจำตระกูลเล็ก ๆ ที่มีรอยปั๊มจาง ๆ ไว้บนหน้าปก
ดอกฟูจิ…
‘บางครั้งสิ่งที่มองไม่เห็นหรือไม่เคยเจอก็ใช่ว่าจะไม่มีอยู่จริง แม่หนูจะไม่เชื่อพวกเราก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อย ๆ การอยู่ใกล้เขาไว้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายหรอกนะ’
คำพูดของมาเอดะดังขึ้นในหัว ท่าทางจริงจังของผีชายชราทำให้เด็กสาวจมดิ่งอยู่ในห้วงแห่งความคิดอยู่นานมากพอสมควร เมื่อรู้ว่าตัวเองมัวแต่คิดเรื่องราวที่ไร้เหตุผลจนรบกวนจิตใจ ฮิมาวาริจึงสะบัดหัวไล่เรื่องตลกบ้าบอพวกนั้นออกจนหมดสิ้น มือบางตบหน้าตัวเองเบา ๆ เรียกสติ
“ช่างเถอะ เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว สุดท้ายก็เป็นแค่เรื่องราวในอดีตที่เล่าขานกันมาเรื่อย ๆ ละนะ ตอนนี้จะไปมีอสูรได้ไงกัน”
หลังจากนั้นไม่นานไฟในห้องก็ดับลง ความมืดมิดและความเงียบงันค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา เด็กสาวโดดขึ้นเตียง จากนั้นก็สอดตัวใต้ผ้าห่มแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราในที่สุด
‘อ่านหนังสือทั้งวันแบบนี้ไม่เบื่อบ้างเหรอ’
คันนะถามขึ้นขณะนั่งมองฮิมาวาริแก้โจทย์คณิตศาสตร์ด้วยความสงสัย เธอเห็นเด็กสาวนั่งจมอยู่กับหนังสือโจทย์เลขมานานเกือบสองชั่วโมงแล้ว และตอนนี้พวกเธอกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นซากุระที่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงา
ปกติหากวันไหนที่ฮิมาวาริไม่ต้องทำงานพิเศษ เด็กสาวมักจะหาที่นั่งอ่านหนังสือเสมอ ส่วนใหญ่มักจะขลุกตัวอยู่ในห้องสมุดหรือสวนสาธารณะ หอบหนังสือสองสามเล่มมากางอ่านคนเดียวเงียบ ๆ บางครั้งคันนะก็มานั่งเป็นเพื่อนเพราะกลัวเธอจะเหงา
“เบื่อสิ แต่เดี๋ยวขอแก้โจทย์อีกข้อก็จะพักแล้วล่ะ”
ฮิมาวาริตอบทั้ง ๆ ที่มีหูฟังเสียบอยู่ที่หูสองข้าง เสียงเพลงดังคลอเบา ๆ ช่วยให้เธอมีสมาธิจดจ่อกับเนื้อหาที่อ่านมากขึ้น และยังได้ยินคันนะพูดคุยด้วยบางช่วงแม้เธอจะตอบบ้างไม่ตอบบ้างก็ตาม ดินสอกดในมือเคาะกับหนังสือเบา ๆ อย่างใช้ความคิด
ผีสาวที่นั่งข้าง ๆ ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ตอนที่ยังเห็นฮิมาวาริจ้องโจทย์ข้อสุดท้ายอยู่นานแล้ว ดวงตาสีนิลกวาดมองคำถามก่อนจะใช้ความคิด ส่วนนิ้วก็จิ้มไปที่หนังสือว่า
‘โจทย์ข้อนี้แก้ไม่ยากหรอก ก่อนอื่นเธอต้องหาพิกัดที่เส้นตัดนี้ก่อน แล้วตรงนี้เธอก็คิดผิดด้วย มันต้องเป็น...' คันนะอธิบายช้า ๆ ‘เอ้า ลองคิดใหม่อีกทีซิ’
ฮิมาวาริพยักหน้าแล้วแก้โจทย์ตามที่คันนะบอก ใช้เวลาไม่นานก็สามารถทำจนเสร็จ วิธีที่อีกฝ่ายแนะนำเธอนั้นง่ายกว่าที่คิด ประกอบกับการอธิบายที่ไม่ซับซ้อนและเข้าใจง่ายแม้โจทย์จะยากก็ตาม นั่นทำให้เด็กสาวมองผีข้างกายด้วยความทึ่ง
“อู้ฮู เก่งเหมือนกันนะเนี่ย ฉันคิดตั้งนานยังคิดไม่ออกเลย ขอบคุณนะ”
‘ไม่เป็นไร เอาตามจริงพอเห็นเธอแบบนี้ทำให้นึกถึงฉันสมัยก่อนเหมือนกันแฮะ’
มือที่กำลังเก็บของชะงักกึก ฮิมาวาริถามอย่างอยากรู้ “ทำไมเหรอ”
‘ก็…วันๆ เอาแต่เรียน เรียนเสร็จก็อ่านแต่หนังสือ ไม่ได้มีเวลาไปเที่ยวเล่นแบบที่วัยรุ่นควรจะได้ทำไงล่ะ’ ผีนักเรียนสาวเหม่อมองไปยังกลุ่มเด็กนักเรียนที่จับกลุ่มเดินหัวเราะกันอย่างสนุกสนานท่ามกลางต้นซากุระที่โปรยกลีบลงมา แวบนึงใบหน้าหวานที่เคยยิ้มแย้มดูเศร้าหมองลงเมื่อพูดถึงเรื่องในวันวาน จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติแล้วมาบ่นกับเธอเบา ๆ
‘เธอเองก็เหมือนกัน ว่าง ๆ ก็หาเวลาพักผ่อนซะบ้าง! หนังสือมันไม่หายไปไหนหรอกนะ ชีวิตมันต้องหาอะไรสนุก ๆ ทำบ้างมันถึงจะเรียกว่าชีวิตเข้าใจไหม’
“รู้แล้วน่า ฉันก็จะพักแล้วนี่ไง”
เธอบอกพลางยกมือปิดปากหาว นั่งจ้องหนังสือมาสองชั่วโมงกว่าทำให้เธอรู้สึกปวดตาเล็กน้อย สมองเริ่มไม่รับเนื้อหาที่อ่านแล้ว ดังนั้นฮิมาวาริตั้งใจว่าจะขอนอนพักสักงีบ โชคดีที่วันนี้สวนสาธารณะอากาศดี และที่ทำเลที่เธอนั่งอยู่ก็เหมาะกับการเอนกายพักผ่อนมาก ไม่รอช้าฮิมาวาริก็ขยับตัวนั่งพิงใต้ต้นซากุระ จัดของให้เข้าที่เข้าทาง แล้วหลับตาลงโดยไม่ลืมบอกผีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“ถ้าเย็นแล้วปลุกฉันด้วยนะ”
‘อื้ม เธอนอนไปเถอะ ฉันอยู่แถว ๆ นี้ล่ะ’
ไม่มีเสียงตอบจากเด็กสาว แต่ลมวูบหนึ่งที่พัดผ่านไปก็ทำให้รู้ว่าคันนะหายไปแล้ว ฮิมาวาริไม่ได้พูดอะไรอีกเพียงแต่ปล่อยกายปล่อยใจไปกับบรรยากาศรอบตัวและหลับไปในที่สุด
ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไหร่ แต่รู้สึกว่าที่กำลังนอนอยู่ตอนนี้มันสบายจนไม่อยากตื่น ฮิมาวาริพลิกตัวไปมาจนได้ท่าที่นอนสบายที่สุด บิดขี้เกียจเล็กน้อยเพื่อไล่ความเมื่อยล้าออกไปเมื่อลมเย็นพัดมาปะทะตัว
แกรบ
เสียงพลิกหน้ากระดาษดังขึ้นข้างหูทำให้ฮิมาวาริขมวดคิ้ว เปลือกตาบางค่อย ๆ เปิดขึ้น สิ่งแรกที่พบคือหนังสือวิชาประวัติศาสตร์ที่กางอยู่ตรงหน้า ตามด้วยร่างของใครบางคนที่กำลังนั่งอ่านมันอย่างเพลิดเพลิน และเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัวว่าเธอตื่นแล้ว เขาจึงละความสนใจจากหนังสือตรงหน้ามาที่เธอแทน
ทันทีที่หนังสือเล่มหนาถูกเอาออกไป เธอก็สบตาดวงตาสีทองสว่างที่มองมาอย่างเป็นมิตร ใบหน้าคมเข้มทว่าอ่อนโยนยามเมื่อคลี่ยิ้มโน้มเข้ามาใกล้เล็กน้อย และเสียงทุ้มนุ่มนวลที่เอื้อนเอ่ยออกมาจากปากว่า
“สายัณห์สวัสดิ์ เจ้าหลับสบายดีหรือไม่”
ฮิมาวาริไม่ได้ตอบอะไรเพราะมัวแต่มองหน้าเขา ตั้งแต่ที่ได้เจอกับชายหนุ่ม ดูเหมือนครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่เธอกับเขาอยู่ใกล้กันมากที่สุด ยิ่งใบหน้าของเขาที่เข้ามาใกล้ทำให้ได้กลิ่นหอมชวนผ่อนคลายเหมือนแสงแดดยามเช้ามาจากตัวเขา แต่เด็กสาวไม่ได้ปล่อยให้ตัวเองเงียบอยู่นาน เธอกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะนึกได้ว่า…
ตอนนี้เธอกำลังนอนหนุนตักเขาอยู่!
เมื่อตั้งสติได้ฮิมาวาริจึงรีบลุกขึ้นนั่งเหมือนดีดสปริง ก่อนจะร้องออกมาเสียงดังอย่างตกใจ
“ระ…เร็นโกคุซัง!”
“อื้ม! ข้าเอง” เขาตอบเสียงใส
“ไม่ใช่อย่างงั้นค่ะ” ฮิมาวาริโบกมือพัลวันเมื่อไม่เห็นท่าทีสะทกสะท้านของอีกฝ่าย “คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ แล้วทำไมถึงไม่ปลุกฉัน”
“ข้าเห็นเจ้ากำลังหลับสบายเลยไม่อยากปลุก! ตั้งใจว่าจะให้นอนต่ออีกสักหน่อย น่าเสียดายที่เจ้าตื่นขึ้นมาก่อน”
ฮิมาวาริหน้าเหวอ ถ้าเธอไม่ตื่นขึ้นมาก่อนมีหวังหลับยาวสินะ จำได้ว่าตอนแรกเธอแค่นั่งพิงต้นไม้หลับไปเฉย ๆ แล้วทำไมตื่นขึ้นมาอีกทีถึงไปนอนหนุนตักเขาได้ นี่เธอหลับลึกถึงขนาดไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างงั้นหรือ แล้วทำไมคันนะถึงไม่เรียกล่ะ
เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ ฮิมาวาริจึงเหลียวซ้ายแลขวาแต่ก็ไม่พบวิญญาณสาวที่มานั่งด้วยเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ที่ตรงนี้มีเพียงแค่เธอกับเคียวจูโร่เท่านั้น ยังไม่ทันที่จะถามอะไรออกไป คำถามที่ค้างคาอยู่ในใจก็ได้รับคำตอบจากเขา
“ถ้าเจ้าหาคันนะอยู่ละก็ ข้าบอกให้นางไปแล้วล่ะ! ท่าทางนางจะเป็นห่วงเจ้ามากเลยนะ!”
“ค่ะ ก็มานั่งด้วยกันบ่อย ๆ เอ่อ…ฉันเห็นวิญญาณน่ะค่ะ” ฮิมาวาริอ้อมแอ้มตอบในประโยคหลัง มาคิดดูแล้วหากพวกผีรู้จักชายหนุ่ม ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขารับรู้เรื่องของเธอมาบ้าง ตั้งแต่ที่พวกวิญญาณรู้ว่าเธอรู้จักกับเขา นับวันก็ชอบมาป้วนเปี้ยนหาเธอบ่อยกว่าเก่า ซ้ำยังพูดเรื่องราวเกี่ยวกับเขาแถมยังตักเตือนให้เธออยู่ใกล้เข้าไว้ด้วย
“อื้ม! อย่างนี้นี่เอง เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าเองก็เป็นแบบเจ้าเหมือนกัน เพียงแต่วิญญาณพวกนั้นไม่ค่อยอยากอยู่ใกล้ข้า เพราะว่าตัวข้าร้อนเกินไป!”
ฮิมาวาริมองเคียวจูโร่ที่นั่งกอดอกพิงต้นไม้ตั้งแต่หัวจรดเท้า เรื่องที่เขาพูดออกมาเมื่อกี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เธอสงสัยเหมือนกัน พอถามพวกผีที่แวะเวียนมาหาบ่อย ๆ ก็ไม่ได้คำตอบอะไรกลับมา ที่น่าแปลกกว่าก็คือ คนตรงหน้ากลับหัวเราะเสียงดังเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าไม่มีผีตนไหนอยากเข้าใกล้แท้ ๆ
“ฉันคิดว่าไม่ใช่อย่างงั้นหรอกค่ะ”
คิ้วหนาของเขาเลิกขึ้นเล็กน้อย “ทำไมหรือ”
“ก็ฉันอยู่ใกล้คุณขนาดนี้ ไม่ได้รู้สึกร้อนอะไรอย่างที่พวกนั้นบอกเลยสักนิด” ฮิมาวาริขยับตัวนั่งในท่าที่สบายขึ้น มุมปากสองข้างคลี่ยิ้ม “แถมเมื่อกี้ฉันก็เอาตักคุณมาเป็นหมอนตั้งนาน ถ้าเป็นอย่างที่ว่าจริง ๆ ฉันคงทนไม่ได้หรอกค่ะ”
เคียวจูโร่นั่งนิ่งไปครู่หนึ่งอย่างใช้ความคิด ที่เด็กสาวพูดมาก็มีความจริงอยู่ ถึงวิญญาณพวกนั้นจะไม่อยากเข้าใกล้เขามากนัก แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นรังเกียจจนไม่อยากสนทนาพาทีอะไรด้วย เป็นเวลาครู่หนึ่งที่เขาจมอยู่ในความคิด ก่อนจะเอ่ยเสียงดัง
“เข้าใจแล้ว อย่างนี้นี่เอง!”
พอเห็นท่าทีผ่อนคลายของคนตรงหน้าก็ทำให้เธอสบายใจขึ้น ฮิมาวาริไม่ได้พูดอะไรต่อ สองมือเก็บหนังสือเข้ากระเป๋า หนังสือประวัติศาสตร์เล่มสีแดงยื่นมาให้ตรงหน้าพร้อมกับรอยยิ้มเล็ก ๆ ของเคียวจูโร่ที่ส่งมาให้ เธอกล่าวขอบคุณแล้วเก็บใส่กระเป๋าอย่างดี
“สองสามวันมานี้ข้าไม่เห็นเจ้าที่ศาลเจ้าเลย เจ้าหายไปไหนมาหรือ”
ฮิมาวาริเอียงคอเล็กน้อย เขาหมายถึงร้านข้าวที่เธอทำงานอยู่สินะ
“เปล่าค่ะ ฉันเป็นแค่พนักงานพาร์ตไทม์ไม่ใช่พนักงานประจำ เพราะงั้นเลยไม่ต้องไปที่ร้านทุกวัน” เธออธิบายให้ฟังเมื่อเห็นเครื่องหมายคำถามอยู่บนใบหน้าของเขา “ฉันทำงานที่ร้านนั้นแค่สองวันต่อสัปดาห์ค่ะ”
“เข้าใจแล้ว! เพราะอย่างงั้นวันนี้เจ้าเลยมานั่งอ่านหนังสือที่สวนนี้สินะ”
“ค่ะ คุณก็เหมือนกันเหรอคะ”
ดวงตาสีทองสว่างไหววูบเล็กน้อย แต่ก็ตอบเสียงดังฟังชัด
“ใช่ ช่วงนี้ซากุระกำลังบาน ข้าคิดว่าเป็นการดีที่จะออกมาเดินเล่น แล้วก็เจอเจ้านอนหลับอยู่พอดี!”
ได้ยินแบบนั้นเด็กสาวก็รีบยกมือปิดหน้า ความร้อนเห่อขึ้นมาที่สองแก้มด้วยความอาย เธอแค่พักผ่อนจากการอ่านหนังสือสุดหฤโหดมานานหลายชั่วโมงเท่านั้นเอง ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะเอามาแหย่เล่นแบบนี้
พระเจ้า...เธออยากจะหายตัวไปซะเดี๋ยวนี้เลย
“ฮะ ๆ ก็อากาศมันดีนี่นา ฉันเลยเผลอหลับไปนิดหน่อยเองค่ะ”
มือบางยกขึ้นมาเกาหัวแก้เก้อ ก่อนที่สายตาจะเหลือไปเห็นพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า ตอนนี้เย็นมากแล้ว ผู้คนที่มาเที่ยวเล่นชมซากุระในสวนก็เบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด ฮิมาวารินั่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วถามชายหนุ่มเสียงใส
“เร็นโกคุซัง เราไปทานข้าวมื้อเย็นด้วยกันไหมคะ”
คนถูกถามเลิกคิ้วเป็นหนที่สองด้วยไม่นึกว่าเด็กสาวจะมาชวนแบบนี้
“มื้อนี้ฉันเลี้ยงเองค่ะ เป็นการขอบคุณที่คุณให้ฉันยืมตักตั้งนาน” เธอบอกเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มลังเล แม้จะอับอายแค่ไหนที่เผลอทำเรื่องเสียมารยาทออกไป แต่เด็กสาวก็ยังอยากขอบคุณที่เขามาเป็นหมอนหนุนให้แม้จะไม่ได้ร้องขอก็ตาม
“อย่ากระนั้นเลย! ข้าเป็นคนกินเยอะ จะเป็นภาระเจ้าเปล่าๆ”
เคียวจูโร่พูดตามความจริง เขารู้ว่าตัวเองกินจุมากแค่ไหน ยิ่งไปกว่านั้นที่เขายอมเป็นหมอนให้เธอนอนพักผ่อนนั้น เขาก็เต็มใจทำทั้งสิ้น ไม่ได้มีเจตนาใดแอบแฝงเลยสักนิด นางจะคิดมากเกินไปแล้ว!
“พูดอะไรอย่างงั้นคะ คนเราต่อให้กินเยอะแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องมีวันอิ่ม จะกินมากกินน้อยไม่สำคัญหรอกค่ะ ขอแค่อิ่มท้องแล้วมีความสุขนั่นก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว คุณไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ”
“ฮ่า ฮ่า! ที่เจ้าพูดมาก็จริง ถ้ากินเยอะ ร่างกายก็จะแข็งแรงไปด้วยนะ!”
“ใช่ไหมละคะ” ฮิมาวาริยิ้ม แล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาอวดเขา “ตอนนี้น่ะกระเป๋าตังค์ฉันหนักมาก ๆ เพราะแบบนั้นเราไปหาของอร่อย ๆ กินด้วยกันเถอะค่ะ”
เคียวจูโร่มองเด็กสาวที่พยายามหว่านล้อมเขาอย่างมุ่งมั่น ใจที่นึกอยากปฏิเสธในตอนแรกพลันมลายหายไปจนหมดสิ้น ยามที่เขาสบตากับดวงตาสีเขียวเข้มกลมโต เขาก็รับรู้ถึงความจริงใจของอีกฝ่ายที่สะท้อนออกมาอย่างเด่นชัด การให้ผู้หญิงมาเลี้ยงข้าวไม่ใช่สิ่งที่ชายอย่างเขาพึงจะทำ แต่หากเป็นน้ำใจที่ไม่ว่าจะเป็นเธอหรือใครก็ตามที่ตั้งใจจะมอบให้ เขาก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธมันเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้นก็ย่อมได้ ข้าขอฝากตัวด้วยล่ะ!”
ฮิมาวาริพอใจในการตอบรับของเขา เธอร้องเย้ด้วยความดีใจ “วางใจได้ค่ะ คุณอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมคะ”
“ตามใจเจ้าเลย! ข้าไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น เจ้ามีอะไรที่อยากกินเป็นพิเศษไหม”
คำถามถูกโยนกลับมาหาเธอ ฮิมาวาริครุ่นคิดคิดอยู่นานสองนาน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ทานข้าวกับเขา (ครั้งก่อนเขาลากเธอไปหาร้านอร่อยๆ แล้วนั่งมองเธอกิน) จึงค่อนข้างลังเลที่จะเลือกเมนูที่อยากกินมากเป็นพิเศษ แต่เพราะไม่อยากเคียวจูโร่รอนาน เธอจึงตอบเสียงค่อย
“โอโคโนมิยากิ*ค่ะ”
“ดีเลย! งั้นไปกันเถอะ!”
ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จากนั้นเธอกับเขาก็เดินออกไปด้วยกัน
เท้าหนาเดินย่ำไปบนพื้นไม้อย่างเงียบเชียบ ในบ้านไม้หลังใหญ่นั้นปกคลุมไปด้วยความมืด มีเพียงแสงไฟสลัวเปิดเรียงรายไปจนสุดทางเดินเท่านั้นที่เผยให้เห็นห้องหับต่าง ๆ ที่ถูกปิดสนิท
เคียวจูโร่เดินเลี้ยวที่ทางแยก ก่อนจะผงะไปครู่หนึ่งเมื่อได้กลิ่นสีน้ำมันที่ลอยคละคลุ้งมาจากทางข้างหน้า คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อย แต่ก็เดินต่อไปเมื่อเห็นห้องห้อง หนึ่งเปิดไฟสว่างโร่ เขาจึงรีบเดินปรี่ไปหาทันที
ร่างสูงยืนหยุดอยู่หน้าห้องนั้น มือข้างหนึ่งเอื้อมไปแตะที่ประตูโชจิหวังจะเปิดออก แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำมัน เสียงๆ หนึ่งก็ดังขัดขึ้นมาซะก่อน
“กลับมาแล้วเหรอ เคียวจูโร่”
“อื้ม! พอดีว่าข้าออกไปเดินเล่นนิดหน่อย!” เคียวจูโร่ตอบอย่างฉะฉานพลางขยับมือจะเลื่อนประตูเปิดออกเพื่อจะได้เห็นหน้าคู่สนทนาชัดๆ แต่อีกฝ่ายร้องห้ามไว้
“ไม่ต้องเปิดหรอก ข้างในมีแต่กลิ่นสีเต็มไปหมด เข้ามาจะเวียนหัวเปล่าๆ อีกอย่างข้าก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรอยากจะคุยกับเจ้ามากมายขนาดนั้น”
คำพูดตรงๆ กระแทกหน้าเสาหลักเพลิงหนุ่มอย่างจัง แต่เขากลับหัวเราะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นเรื่องปกติเสียแล้วที่จะได้รับคำพูดแบบนี้มาจากอีกฝ่าย ทว่าเคียวจูโร่ก็รับรู้ว่าคนที่อยู่ในห้องนั้นไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ถึงจะชอบใช้คำพูดเจ็บแสบและตรงเหมือนไม้บรรทัดอยู่บ่อยครั้ง แต่การกระทำและน้ำเสียงตลอดเวลาที่อยู่ชายคาเดียวกันมานานก็บ่งบอกให้รู้ได้ว่าคนคนนี้เป็นคนที่เอาใจใส่คนรอบข้างอยู่พอสมควร
เพียงแต่ต้องใช้เวลาสักระยะก็เท่านั้น
“ไปกับเด็กคนนั้นที่เจ้าพูดถึงงั้นเหรอ” คนในห้องถามต่อ เคียวจูโร่เห็นเงาที่สะท้อนออกมาที่ประตูก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังขีดเขียนอะไรอยู่บนผืนผ้า
“ใช่แล้ว!”
“ก็ดี เผื่อว่าจะได้คำตอบที่คาใจเจ้ามานานหลายวัน” เจ้าของเงาในห้องบอกเสียงเรียบ “เจ้าไปพักผ่อนเถอะ ข้าเห็นเจ้าออกตระเวนมาหลายวันแล้ว”
เคียวจูโร่พยักหน้ารับ ช่วงนี้เขาออกไปสำรวจพื้นที่หลายวันติดต่อกันอย่างคู่สนทนาบอก เพราะได้ยินจากเหล่าวิญญาณพูดกันว่าอสูรตนหนึ่งกำลังออกอาละวาด ทำให้ต้องคอยจับตาดูอยู่เสมอ แต่วันนี้เขาต้องหยุดภารกิจนั้นไปก่อนด้วยเกรงว่ามันจะไหวตัวทัน เขาจึงพูดคุยกับอีกฝ่ายอยู่สองสามประโยค ก่อนจะขอตัวกลับไปที่ห้องของตัวเอง
ห้องนอนของเขาไม่ได้เล็กหรือใหญ่จนเกินไป เป็นแค่ห้องขนาดกลางที่อยู่สบายพอเหมาะกับตัวของเขา เตียงนอนกว้างตั้งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง ผนังสีขาวมุกมีภาพวาดอยู่สองสามอันใส่กรอบอย่างดีแขวนประดับไว้ชวนให้รู้สึกว่าห้องมีชีวิตชีวา แน่นอนว่าผลงานทั้งหมดเป็นของคนที่เขาเพิ่งเดินจากมาเมื่อครู่ ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ในห้องบ่งบอกรสนิยมของคนเป็นเจ้าของบ้าน มันดูทันสมัยแต่ก็คงความเป็นญี่ปุ่นดั้งเดิมไว้ แน่นอนว่าตอนแรกเขาไม่คุ้นชินเท่าไหร่ แต่พออยู่ไปนานๆ เข้า เขาก็พบว่าหลายอย่างที่อีกฝ่ายเลือกสรรนั้นดูสวยงามลงตัว และอำนวยความสะดวกให้เขามากกว่าเดิมหลายเท่า
เสาหลักหนุ่มวางดาบนิจิรินคู่ใจบนโต๊ะเขียนหนังสือ ปลดเสื้อผ้าออกหวังจะไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาด จากนั้นก็คว้าผ้าขนหนูแล้วเดินไปยังโรงอาบน้ำ ทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย
ใช้เวลาไม่นานนัก ร่างสูงก็กลับมาอยู่ในชุดยูกาตะสีน้ำเงินเข้ม แล้วเดินตรงดิ่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ เปิดโคมไฟให้สว่าง จากนั้นก็หยิบพู่กันขึ้นมาขีดเขียนข้อความลงสมุด
เป็นเรื่องปกติที่เคียวจูโร่จะเขียนบันทึกประจำวัน หลัก ๆ ก็ไม่พ้นเรื่องที่ว่าเขาพบเจออะไรมาบ้างตั้งแต่ตื่นนอนจนหัวถึงหมอน ชายหนุ่มทำเช่นนี้เสมอตั้งแต่ที่เขาได้ชีวิตใหม่กลับมา การที่เขาได้เขียนเหตุการณ์ต่าง ๆ ลงสมุดก็เพื่อย้ำเตือนว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นใตแต่ละวันนั้นไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นความจริงที่ใครหลายคนรับรู้เข้าก็คงคิดว่าเป็นปาฏิหาริย์
เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสฟื้นจากความตายอีกครั้ง
ตัวหนังสือสีดำเรียงรายสวยงามบนแผ่นกระดาษ ดวงตาสีทองสว่างกวาดอ่านบันทึกของวันนี้อีกครั้งว่ามีอะไรที่เขาตกหล่นหรือไม่ เมื่อแน่ใจว่าครบทุกอย่างแล้วก็ย้อนกลับไปอ่านบันทึกหน้าเก่า ๆ ที่เขาเขียนไว้
ทุกวันของเคียวจูโร่ผ่านไปปกติ เขาตื่นนอน กินข้าว กวาดลานกว้าง ฟันดาบ อ่านหนังสือ และทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อแบ่งเบาภาระเจ้าของบ้านที่วัน ๆ ชอบขังตัวเองอยู่ในห้อง พอช่วงค่ำก็ออกไปสอดส่องความเรียบร้อยข้างนอกเผื่ออสูรออกอาละวาด และไปพบเจอกับเด็กสาวคนนั้น
ฟูจิวาระ ฮิมาวาริ
ร่างสูงขยับตัวเล็กน้อยให้ได้ท่านั่งที่สบาย สองมือยกขึ้นมากอดอกพลางถอนหายใจ
หลายวันมานี้เขาเจอเธอบ่อย ๆ ทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นอย่างแรก เคียวจูโร่ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวของฮิมาวาริมากนัก เพราะเพิ่งรู้จักกันไม่นานและคุยกันไม่กี่ครั้ง แต่เขากลับรู้สึกว่าเธอมีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดเขาตลอดเวลา มันเป็นความรู้สึกอบอุ่นที่แผ่ไปทั่วร่าง เหมือนมีมวลพลังมหาศาลเกิดขึ้นในตัวเขา
เพราะแบบนี้เขาจึงอยากหาคำตอบ อยากเจอเธออยู่เรื่อย ๆ
และเหมือนโชคจะเข้าข้าง เพราะทุกครั้งที่ออกไปลาดตระเวน ก็มักจะเจอพวกวิญญาณที่วนเวียนอยู่แต่ละที่บ่อย ๆ และดูเหมือนพวกเขาจะรู้จักเด็กสาวเสียด้วย พอเขาถามอะไรเกี่ยวกับตัวเธอพวกนั้นก็ตอบได้หมดเหมือนเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานาน
นั่นทำให้เขาเจอเธอที่สวนสาธารณะ
ฮิมาวาริกำลังหลับอยู่ใต้ต้นซากุระใหญ่ ข้าง ๆ เธอมีหนังสือสองสามเล่มวางเป็นกองไว้พร้อมกับกระเป๋านักเรียน หัวเล็ก ๆ โยกไปมาเหมือนคนสัปหงก ตอนแรกเคียวจูโร่ตั้งใจว่าจะนั่งเป็นเพื่อนเธอสักพักจึงเข้าไปทรุดตัวนั่งลงข้างๆ มองคนที่เดินผ่านไปผ่านมาอย่างสบายอารมณ์
ทว่า...ดูเหมือนที่เขาจะตั้งใจไว้ไม่เป็นอย่างนั้น
ร่างเล็กค่อย ๆ เอนมาทางเขา พร้อมกับสายลมอ่อนที่พัดมาเบา ๆ ทำให้กลิ่นหอมจากเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนของเธอลอยมาแตะจมูก เคียวจูโร่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง แต่เพราะเธอกำลังหลับอยู่ ครั้นจะให้ปลุกเขาเองก็ไม่กล้า ฝ่ามือใหญ่จึงค่อย ๆ ดันไหล่เธอให้ร่างกลับมาตั้งตรงอีกครั้ง
เด็กสาวขยับไปมาอย่างไม่สบายตัว แน่นอนว่าทุกการเคลื่อนไหวอยู่ในสายตาของเขาตลอด เคียวจูโร่มองคนข้างๆ ที่โยกตัวไปมา ก่อนจะตัดสินใจทำบางอย่าง
ฝ่ามือหนาเอื้อมไปโอบคนตัวเล็กเบา ๆ เหลือบมองเล็กน้อยเพราะไม่อยากขัดช่วงเวลาแห่งการนอนหลับของเธอ จากนั้นจึงค่อย ๆ ดึงให้เธอมานอนหนุนตักเขา
ใบหน้าขาวนวลซับสีชมพูระเรื่อทำให้ดูน่ามอง ดวงตาสีเขียวสดใสที่เป็นประกายวิบวับเสมอตอนที่เจอกันปิดสนิท ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีพีชขยับยิ้มบางเมื่อรู้สึกสบายตัว
เป็นครั้งแรกเลย ที่ได้อยู่ใกล้นางขนาดนี้
เขาก้มหน้ามองคนที่นอนหนุนตักด้วยสีหน้าครุ่นคิด พยายามหาสาเหตุของความรู้สึกแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับเขาทุกครั้งที่เจอเธอ แต่ยิ่งหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ
เพราะแบบนี้เขาจึงไปเธอบ่อย ๆ จริงอยู่ที่มันอาจจะดูแปลก แต่คำถามที่มีอยู่มากมายในใจนั้นย่อมมีมากกว่าจนมองข้ามความปกติสามัญของคนที่ไม่ได้สนิทกัน เคียวจูโร่อยากจะถาม แต่เมื่อคิดว่าเรื่องจะต้องโยงไปถึงอสูร สิ่งมีชีวิตที่ไม่ว่าคนในกี่ยุคกี่สมัยไม่มีวันเชื่อ เขาก็เลือกที่จะเก็บเงียบ
ปกติเขาเป็นตรงไปตรงมาแท้ ๆ พอมาเจอเธอ ทำไมเขาถึงลังเลกันนะ
‘ช่วงนี้ฉันคงกลับบ้านมืด ๆ ไม่ได้แล้วล่ะค่ะ’
‘คือว่า...หลายวันมานี้ฉันรู้สึกเหมือนมีคนเดินตามตลอดเลยน่ะค่ะ ก็เลยคิดว่าจะกลับบ้านให้ไวขึ้นหน่อย’
‘คุณเองก็ต้องระวังตัวนะคะ’
คำพูดที่เธอบอกเขาก่อนจะจากกันวันนี้วนเวียนในหัว ช่วงนี้เคียวจูโร่ไปกินข้าวกับเธอบ่อยๆ เขาไม่ได้ว่าอะไรสักนิดที่เธอจะกลับไว ออกจะยินดีมากกว่า ผู้หญิงกลับบ้านมืดค่ำย่อมอันตราย แต่สิ่งที่ทำให้เขาตะขิดตะขวงใจคือคนที่คอยตามเธอต่างหาก
จะเป็นไปได้ไหมนะ
“เมี๊ยว”
เสียงแหลมเล็กดังขึ้นก่อนที่แมวตัวหนึ่งจะโผล่ขึ้นมาที่ตัก เคียวจูโร่ไม่ได้ตกใจ แต่กลับหัวเราะอย่างชอบใจเมื่อมันเอาหน้ามาถูอกกว้างอย่างออดอ้อน เขาชินแล้วที่แมวตัวนี้ชอบโผล่แบบมีเสียงมาก่อนตัว
มือหนาลูบหัวมันเบา ๆ ดวงตาสีอำพันกลมโตของมันจ้องมาที่เขาเหมือนอยากถามว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่เขาส่ายหัว แล้วยกมือขึ้นมาเกาคางอย่างที่มันชอบให้ทำ
“มาอ้อนข้าอย่างนี้ คืนนี้เจ้านอนกับข้าดีไหม”
แมวสามสีขานรับ ก่อนจะกระโดดลงจากตัก แล้วเดินนวยนาดไปที่เตียงนอนของเขา
เคียวจูโร่ละความสนใจจากสัตว์สี่ขาที่ตอนนี้ยึดพื้นที่เตียงนอนของเขาไปเรียบร้อย หันมาสนใจชื่อของเด็กสาวที่อยู่บนทุกหน้าสมุดในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
วันนี้พักเสียก่อน ไว้ค่อยไปตามสืบเอาล่ะกัน!
ฮิมาวาริคิดว่าตั้งแต่ที่เธอรู้จักผู้ชายที่ชื่อ เร็นโกคุ เคียวจูโร่ อะไรหลายๆ อย่างค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป
เริ่มจากร้านข้าวหน้าเนื้อที่เธอทำงานพิเศษขายดิบขายดีแทบทุกวันชนิดที่ว่าพนักงานวิ่งวุ่นแทบไม่ได้หยุดพัก ฟังดูอาจจะน่าเหลือเชื่อ แต่สำหรับเธอแล้วนี่เป็นความจริงข้อหนึ่งที่เห็นได้ชัดที่สุด ที่ชายหนุ่มบอกว่าจะมาอุดหนุนที่ร้านอีกนั้น เจ้าตัวก็มาตามที่บอกไว้จริงๆ แน่นอนว่าจำนวนอาหารที่สั่งก็เยอะอีกตามเคย คนที่เดินผ่านไปมาละแวกนั้นมาเห็นเข้าก็มาต่อแถวรอจนยาวเหยียด จนตอนนี้ผู้จัดการแทบจะปูพรมแดงให้เขาเดินเข้าร้านทันทีที่เห็นผมสีเหลืองแซมแดงอันเป็นเอกลักษณ์เข้ามาใกล้
พูดง่ายๆ ก็คือเขากลายเป็นเทพมาโปรด เปรียบเสมือนไอเท็มนำโชคที่เรียกลูกค้าและเงินเข้าร้าน
อีกอย่างที่ฮิมาวาริเพิ่งรู้สึกได้ก็คือ เธอกับเขาดูเหมือนจะพูดคุยกันมากกว่าแต่ก่อน เป็นเพราะเธอเจอกับเคียวจูโร่บ่อยๆ และเขามักจะชวนเธอไปกินของอร่อยเสมอ ทำให้เส้นแบ่งของความเป็นคนแปลกหน้าระหว่างพวกเธอบางลงทีละเล็กละน้อย จนกลายเป็นว่าตอนนี้เธอกับเขากลายมาเป็นเพื่อนนั่งกินข้าวด้วยกันเสียแล้ว
เรื่องที่มาเอดะบอกเมื่อหลายวันก่อนและเนื้อหาต่าง ๆ จากสมุดบันทึกของตระกูลนั้น ฮิมาวาริไม่ได้สนใจมันอีก อาจจะเรียกได้ว่าเธอลบออกไปจากหัวเรียบร้อยแล้ว แม้ย่าจะชอบพูดถึงเรื่องหน่วยพิฆาตอสูรอยู่บ่อย ๆ แต่เวลาที่ผ่านมาช่างเนิ่นนานเกินว่าที่จะมีบุคคลและสิ่งมีชีวิตแบบนั้นแล้ว เธอจึงไม่ขอยุ่งเกี่ยวใด ๆ อีก ถึงเธอจะเจอเคียวจูโร่ทุกวัน แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดอะไรถึงเรื่องนั้นเลย ฮิมาวาริจึงปล่อยผ่านไป
“เอาเทมปุระอีกไหมคะ”
ฮิมาวาริถามขึ้นตอนที่เคียวจูโร่วางชามซุปมิโสะลงบนโต๊ะ มองถ้วยจานอาหารที่วางกองไว้เป็นหย่อม ๆ พลางอมยิ้ม ตั้งแต่ที่มานั่งกินข้าวด้วยกันที่ร้านที่เจ้าตัวแนะนำก็ได้ยินชายหนุ่มชมว่าอร่อยอยู่ตลอด
ปกติฮิมาวาริไม่ใช่คนกินเยอะ ดังนั้นเวลาสั่งอาหารก็เอาแค่ที่ตัวเองกินพออิ่ม ถ้าหากว่ากินมากเกินไปเธอจะจุกจนไม่อยากขยับไปไหน แต่ถ้าตรงหน้าเป็นของหวานก็ เด็กสาวจะสั่งเยอะแบบไม่ลังเล
“อื้ม! ว่าแต่เจ้าน่ะอิ่มแล้วเหรอ ข้าเห็นเจ้ากินน้อยมากเลยนะ”
เคียวจูโร่ถามพลางมองอาหารส่วนที่เธอสั่งมากินอย่างแปลกใจ หากเทียบกันแล้วเด็กสาวกินน้อยกว่าเขาอยู่มาก ดูได้จากของบนโต๊ะที่มีแค่ปลาซาบะย่าง ซุปมิโสะ เกี๊ยวซ่าและข้าวร้อนๆ อย่างละที่เท่านั้น
“ไม่ละค่ะ” ฮิมาวาริยกธงขาว “ฉันกินอิ่มจนพุงกางแล้วค่ะ รับมากกว่านี้ไม่ไหวแล้วจริงๆ”
“ถ้าอย่างงั้นขนมหวานก็ไม่ต้องกินแล้วสิ! ข้าตั้งใจว่าจะพาเจ้าไปกินไทยากิเจ้าอร่อยแท้ๆ เชียว น่าเสียดายจังนะ”
“เร็นโกคุซัง คุณรู้ไหมคะว่าคนเรามีกระเพาะแยกของคาวกับของหวาน” ฮิมาวาริทำหน้าจริงจังขึ้นมาทันที “เพราะอย่างงั้นเอามารวมกันไม่ได้ค่ะ ถึงฉันอิ่มกับอาหารมื้อนี้แล้ว แต่ถ้าเป็นขนมหวานละก็ กระเพาะของฉันยังพร้อมเสมอนะคะ”
ว่าจบเธอก็หันไปสั่งเทมปุระให้เขาเพิ่มอย่างรู้งาน เคียวจูโร่หัวเราะกับท่าทีของเธอ
ใช้เวลาไม่นานอาหารทุกอย่างก็นำมาเสิร์ฟที่โต๊ะ เขาจึงรีบจัดการทันที ฮิมาวาริที่กินส่วนของตัวเองหมดไปแล้วก็นั่งรออีกฝ่ายไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้เบื่อ ตอนนี้เธอชินกับการที่นั่งมองเขาตอนทานอาหารไปแล้ว ได้เห็นใบหน้าคมเข้มของเขาเปล่งประกายไปด้วยรอยยิ้มทุกครั้งที่ทานอาหารด้วยกันนี่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างหนึ่ง
เพราะอย่างน้อยเธอก็ไม่เหงาจนเกินไป
ฮิมาวาริเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อน เพราะข่าวลือแปลก ๆ ทำให้เพื่อนหลายคนหวาดกลัวที่จะเข้าใกล้ แม้จะมีคนที่ไม่เชื่ออยู่ด้วยบางส่วน แต่นั่นก็นับว่าน้อยกว่าอยู่ดี ดังนั้นคนส่วนใหญ่ในโรงเรียนจึงไม่คุยกับเธอมากนักหากไม่จำเป็น คบกันก็เพียงผิวเผิน เวลาทำงานกลุ่มด้วยกันก็ทำได้แต่ก็ไม่ได้สนิทกันมากขึ้นกว่าเดิมเลยแม้แต่น้อย พักกลางวันเธอก็นั่งกินข้าวคนเดียวเงียบ ๆ มองนกมองต้นไม้ไปเรื่อยเปื่อย แน่นอนว่าฮิมาวาริไม่ได้มีปัญหาเรื่องนี้ แม้จะเหงาบ้างในบางครั้ง แต่การอยู่คนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
มื้อเย็นของเธอกับเขาจบลงแล้ว ทั้งสองเดินออกมาจากร้านในตอนที่ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มซึ่งบ่งบอกว่านี่คือเวลาค่ำ ฮิมาวาริหยิบมือถือขึ้นมาดูก็พบตอนนี้เลยเวลาเคอร์ฟิวที่เธอตั้งไว้แล้วจึงหันไปบอกคนข้างๆ
“เรื่องขนม...ไว้วันอื่นได้ไหมคะ”
เคียวจูโร่ที่มองตรงไปยังทางข้างหน้าหันมาหาเธอ
“ได้สิ! ตอนนี้ก็มืดแล้ว เจ้าควรรีบกลับ ไว้คราวหน้าข้าจะพากินขนมอร่อยๆ!”
ฮิมาวาริทำหน้าเสียดาย แต่ความปลอดภัยต้องมาก่อน หลายวันมานี้เธอรู้สึกเหมือนมีคนคอยเดินตามตลอดเวลาจึงตั้งเวลากลับบ้านอย่างชัดเจน เพราะข่าวฆาตกรรมต่อเนื่องยังคงมีมาเรื่อย ๆ ทำให้ใคร ๆ ต่างก็หวาดกลัว แม้จะมีงานพิเศษที่ต้องทำและเลิกมืด แต่เธอก็มีค่าใช้จ่ายต้องกินต้องใช้ ดังนั้นจะให้ขอเปลี่ยนกะก็จะกระทบกับคนอื่นเปล่าๆ เธอจึงพยายามระวังตัวให้มากที่สุดเสมอเมื่อต้องเดินทางกลับบ้าน
“ถ้างั้น...ลาตรงนี้นะคะ”
“อื้ม! กลับบ้านดี ๆล่ะ”
ชายหนุ่มโบกมือลาเธอด้วยรอยยิ้ม ฮิมาวาริโค้งให้เล็กน้อยก่อนจะเดินหายไปท่ามกลางผู้คน
วันนี้ย่านร้านค้ามีคนเดินมากกว่าที่เคย ดังนั้นฮิมาวาริจึงใช้เวลานานกว่าจะฝ่าฝูงคนออกมาได้ เธอก้าวขาลงจากรถเมล์ แล้วเดินเข้าซอยที่เธอใช้เดินทางกลับบ้านเป็นประจำ
บนถนนเส้นเล็กนั้นเปล่าเปลี่ยวไร้ผู้คน มีเพียงแสงไฟจากเสาไฟฟ้าข้างทางเท่านั้นที่ยังคอยส่องสว่างให้พอเห็นทางเดิน
ฮิมาวาริเดินคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย พยุงร่างตัวเองที่เดินสะโหลสะเหลให้ถึงบ้านเร็วที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้ หลายวันมานี้เธอรู้สึกว่าตัวเองเหมือนโดนสูบพลัง เพราะคร่ำเคร่งอ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืน ไหนจะต้องวิ่งทำงานพิเศษ ดังนั้นพอถึงบ้านก็อยากทิ้งกายลงบนเตียงนอนนุ่ม ๆ ให้หนำใจ
ระหว่างที่กำลังจมอยู่กับความคิดนั้น ความรู้สึกประหลาดก็แล่นเข้ามาแทนที่ เสียงฝีเท้าดังมาจากที่ไกลๆ ด้านหลัง พอหันกลับไปมองก็ไม่เห็นว่ามีใครตามมา เห็นดังนั้นฮิมาวาริจึงสาวเท้าเดินต่อไปโดยพยายามทำให้แนบเนียนที่สุดเหมือนกับว่าเธอไม่รู้ตัวว่าโดนตามอยู่
ทว่ายิ่งเดินเร็วเท่าไหร่ เสียงฝีเท้าด้านหลังก็ยิ่งเร่งให้เร็วตามเธอมากขึ้นเท่านั้น ไฟทางเดินกะพริบถี่ ๆ ราวกับเป็นใจให้กับสถานการณ์ตอนนี้ ข่าวที่ออกโทรทัศน์แทบทุกวันยิ่งทำให้เธอกลัวมากกว่าเดิม แม้อยากจะร้องหาคนให้ช่วยก็ไม่มีใครผ่านมาแถวนี้สักคน
ฮิมาวาริพยายามหาทางหนี เมื่อเดินมาถึงทางแยกจึงรีบวิ่งไปซ่อนตัวหลังพุ่มไม้ใหญ่ที่ปลูกไว้ริมทาง ย่อตัวลงเพื่อหลบคนที่เดินตามมาข้างหลัง และสังเกตท่าทีของอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบ
เสียงฝีเท้าเงียบไปพร้อมกับร่างสูงของใครคนหนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้น เขาหันซ้ายหันขวาเหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่าง แสงไฟกระพริบถี่นั้นส่องให้เห็นบุคคลมาใหม่จนฮิมาวาริถึงกับตะลึงค้าง แผ่นหลังที่คุ้นเคย ท่าเดินแบบผึ่งผาย และที่สะดุดตาที่สุดคือผมสีทองแซมแดงอันเป็นเอกลักษณ์นั้นทำให้เธอพูดอะไรไม่ออก
เร็นโกคุซัง…
นี่เขาตามเธอมาเหรอ?
มีคนเคยบอกว่า หากเจอกันหนึ่งครั้งคือเรื่องบังเอิญ สองครั้งคือโชคชะตา สามครั้งขึ้นไปคือความตั้งใจ แต่สำหรับฮิมาวาริแล้ว ถ้าหลาย ๆ ครั้งนี่เรียกว่า ผิดปกติ
ฮิมาวาริรู้ว่าตัวเองไม่ได้มีความพิเศษอะไรขนาดที่ผู้ชายคนหนึ่งจะให้ความสนใจ เธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงวัยสิบเก้าปีที่วัน ๆ คิดแต่เรื่องเรียนและทำงานพิเศษ เรื่องที่จะออกไปเที่ยวเตร่หรือสังสรรค์กับเพื่อนเป็นเรื่องที่ควรลืมไปได้เลย เพราะเด็กสาวไม่มีเพื่อนที่สนิทพอจะคบหาด้วย เนื่องจากเพื่อนที่โรงเรียนต่างหลีกเลี่ยงที่จะคุยกับเธอกันหมดหากไม่จำเป็น แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเธอแม้แต่น้อย เพราะเด็กสาวอยู่คนเดียวจนชินไปแล้ว
ทว่าในกรณีของเคียวจูโร่ ฮิมาวาริคิดว่ามันแปลก
มาคิดดูอีกที เวลาสบตากับดวงตาสีทองสว่างที่มองมาตอนที่พูดคุยกัน ทำให้เธอรู้สึกว่าเขาอาจจะต้องการอะไรบางอย่างจากตัวเธออยู่ เพียงแต่เขาไม่ได้ถามออกมาตรงๆ และฮิมาวาริเองก็ไม่รู้ว่าเขาอยากรู้อะไร
“เร็นโกคุซัง”
คนถูกเรียกหันหน้ามาหา เมื่อเห็นว่าเป็นเธอก็รีบสาวเท้าเข้ามาใกล้ ทว่าฮิมาวาริไวกว่า เธอรีบถอยหนีทันที
“ฟูจิวาระ เจ้า...”
“คุณแอบตามฉันมาเหรอคะ”
เคียวจูโร่สังเกตเห็นท่าทีหวาดผวาของเธอจึงหยุดยืนเฉยๆ ก่อนตอบตามความจริง
“ใช่ ข้าตามเจ้ามา”
“ตามมาทำไมคะ”
คำถามใหม่ของเด็กสาวทำให้เขาเงียบชั่วขณะหนึ่ง เขารู้ว่าฮิมาวาริจะต้องถามแบบนี้ แม้จะมีคำตอบอยู่แล้ว แต่ก็คิดว่าพูดไปเธอก็คงไม่เชื่อ ครั้นจะไม่บอกอะไรเลย แสร้งโกหกไปก็ไม่ใช่นิสัยของเคียวจูโร่แม้แต่น้อย ในเมื่อกล้าทำก็กล้ารับ ความจริงก็คือความจริง เป็นเรื่องไม่สมควรที่จะโกหกอีกฝ่าย
“เจ้าเคยบอกข้าว่าช่วงนี้มีคนคอยตามเจ้าอยู่ ข้าก็เลยตามมาดูเผื่อว่านั่นอาจจะเป็นอสูร”
“แล้วเจอไหมละคะ อสูรที่คุณว่านั่นน่ะ” ฮิมาวาริเสียงสั่น ฝ่ามือเย็นไปหมด “คุณรู้ไหมคะว่าหลายวันมานี้ฉันกลัวขนาดไหนทุกครั้งที่เดินทางกลับบ้าน ฉันระแวงตลอดเวลาว่าถ้าเจอฆาตกรนั่นขึ้นมาจริง ๆ ฉันจะเป็นยังไง จะตายไหม แล้วฉันจะหนียังไง”
ฮิมาวาริพูดสิ่งที่คิดออกมาทั้งหมด พยายามสะกดกลั้นความโกรธไว้ น้ำใส ๆ เริ่มคลอเบ้า บอกตามตรงว่าตอนนี้เธอกลัวไปหมด ร่างบางตัวสั่นเพราะความคิดต่าง ๆ เข้ามาประเดประดังในหัว มาบอกว่าที่ตามเธอมาเพราะคิดว่าอสูรกำลังตามติดเธออยู่งั้นหรือ เรื่องแบบนั้นจะเป็นไปได้ยังไง
เขาต้องการอะไรจากเธอกันแน่...
“ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ้ากลัว แต่ที่ข้าทำแบบนี้เพราะมีเหตุผล”
“เหตุผลอะไรคะ เพราะอสูรงี่เง่าที่ออกอาละวาดตอนนี้งั้นเหรอ คิดว่าฉันจะเชื่อรึไง นี่มันเรื่องไร้สาระชัด ๆ”
“ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าเชื่อ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ที่ข้าพูดไปนั่นเป็นความจริง แม้เวลาจะผ่านไปนานมากแล้ว แต่อสูรก็ยังมีอยู่ เพียงแต่เจ้าไม่เคยเห็นมันก็เท่านั้น”
“...”
“ตอนที่ได้ยินนามสกุลเจ้าครั้งแรก ข้าก็รู้สึกคุ้นหูอย่างประหลาด” เคียวจูโร่พูดต่อ “ข้าเป็นคนที่อยู่ในหน่วยพิฆาตอสูร เจ้าคงจะเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาบ้าง เพราะฟูจิวาระคือตระกูลที่เคยดูแลหน่วยของข้ามาตั้งแต่อดีต”
“แล้วยังไงคะ คุณก็เลยคอยตามฉันแบบนี้ ที่มาเจอฉันบ่อย ๆ ก็เพราะเรื่องนี้ด้วยใช่ไหมคะ”
“ไม่ใช่!” เคียวจูโร่ตอบทันควัน “ข้าแค่รู้สึกว่าทุกครั้งที่ได้อยู่กับเจ้ามันเหมือนมีพลังงานบางอย่างไหลเวียนอยู่ในตัวข้า ข้าไม่รู้ว่าเพราะอะไรกันแน่ แต่มั่นใจว่ามันมาจากเจ้า เพราะแบบนั้นก็เลยแวะเวียนมาหาเจ้าอยู่ตลอด”
เสียงถอนหายใจดังมาจากเด็กสาว ฮิมาวาริไม่คิดว่าตัวเองจะมาได้ยินอะไรแบบนี้ คำตอบของเขาเหนือความคาดหมายเธออยู่มาก ทั้งเรื่องอสูร เรื่องพลังอะไรนั่นที่เขาพูดถึงช่างเป็นเรื่องที่ไม่มีเนื้อหาสาระของความเป็นจริงได้เลย พูดแบบนี้จะให้เธอปักใจเชื่อได้ยังไงกัน
แต่สิ่งหนึ่งที่เธอรู้ได้คือ การที่เขาเข้าหาเธอบ่อย ๆ ก็เพราะหวังกับเรื่องแบบนี้ คิดว่าเธอเป็นเหมือนแหล่งพลังบ้าบอที่ไม่มีที่มาของมัน
เธอกำลังผิดหวัง ยิ่งมารู้ว่าอีกฝ่ายเข้าหาเธอเพราะผลประโยชน์ของตัวเองก็ยิ่งรู้สึกแย่ ที่ผ่านมาเขาดีกับเธอมาตลอด ไม่ว่าจะการกระทำหรือคำพูดก็ดูเหมือนจะมาจากความจริงใจของเขาทั้งนั้น แต่พอมารู้ความจริงเข้า ฮิมาวาริเองก็พูดไม่ออก
ไม่อยากเชื่อเลย คิดว่าจะเป็น ‘เพื่อน’ กันได้แท้ๆ...
“คุณรู้ไหมคะ ว่าตั้งแต่ที่ฉันรู้จักกับคุณ พวกวิญญาณก็มาหาฉันอยู่ตลอด คอยถามเรื่องคุณแทบทุกวัน ยิ่งฉันทำเป็นหูทวนลมก็จะตามรังควาน ยิ่งคุยด้วยก็จะตามเกาะ”
“...”
“ชีวิตของฉันมีแต่เรื่องแบบนี้เข้ามาตลอด ยิ่งมาเจอคุณทุกอย่างก็หนักกว่าเก่า บอกตามตรงนะคะ ตอนนี้ฉันเหนื่อยมาก”
ฮิมาวาริยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่กำลังไหล เคียวจูโร่ได้แต่ยืนฟังเงียบ ๆ
“...”
“ไม่ว่าคุณจะเข้าหาฉันเพราะอะไรก็ช่างเถอะค่ะ แต่ขอบอกไว้ตรงนี้ว่าที่คุณพูดมาทั้งหมดฉันไม่คิดจะเชื่อเลยสักนิด ถึงตระกูลของฉันจะเคยคลุกคลีกับพวกคุณมาบ้าง แต่อดีตมันก็คืออดีต”
“...”
“ต่อจากนี้เราอย่ามาเจอกันอีกเลยค่ะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณแล้ว หรือถ้าเจอกันจริงๆ ก็ช่วยทำเหมือนเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเถอะค่ะ”
ดวงตาสสีเพลิงเบิกกว้างกับคำพูดของเธอ “ฟูจิวาระ คือว่าข้า...”
“ที่ผ่านมาขอบคุณมากนะคะ แต่...ฉันขอให้ทุกอย่างจบลงที่ตรงนี้ หวังว่าคุณจะเข้าใจ”
“...”
“ลาก่อนค่ะ เร็นโกคุซัง”
ฮิมาวาริก้มหัวให้ ก่อนจะยิ้มแบบที่เธอเคยทำเป็นประจำเวลาอยู่กับเขา จากนั้นจึงหมุนตัวเดินจากมาพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาเงียบๆ ด้วยความผิดหวัง
หลายวันมานี้ร้านข้าวหน้าเนื้อหน้าศาลเจ้าอาคาซึกิเงียบเหงาลงไปอย่างเห็นได้ชัด ลูกค้าที่เคยนั่งเต็มร้านก็มีเพียงแค่คนสองคนเท่านั้น พนักงานทุกคนนั่งกร่อยเพราะไม่ต้องวิ่งเสิร์ฟอาหารกันให้วุ่นเหมือนหลายสัปดาห์ก่อน แม้แต่ผู้จัดการร้านที่วิ่งไปช่วยงานในครัวก็ออกมานั่งกดรีโมตหารายการโทรทัศน์ที่ถูกใจเหมือนเป็นบ้านตัวเอง
พูดง่าย ๆ ก็คือทุกอย่างแตกต่างไปจากหลายสัปดาห์ก่อนราวฟ้ากับเหว
แม้แต่ขาประจำอย่างเคียวจูโร่เองที่ชอบแวะมาทานข้าวบ่อยๆ ก็หายหน้าไปจนทุกคนต่างสงสัย เพราะอีกฝ่ายชอบมาฝากท้องที่ร้านทุกอาทิตย์ และสั่งเมนูเดิม ๆ แบบไม่รู้จักเบื่อจนทุกคนเห็นหน้าก็แทบไม่ต้องถามว่าวันนี้อยากทานอะไร
ฮิมาวาริเองก็รับรู้ถึงความผิดปกติของร้านในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ เด็กสาวนอนฟุบไปกับเคาน์เตอร์แคชเชียร์ที่อยู่หน้าร้าน หันหน้ามองไปยังถนนที่มีคนเดินผ่านไปมาขวักไขว่ในตอนเย็น มีหลายครั้งที่ดวงตาสีเขียวมรกตแอบมองที่ประตูโทริอิสีแดงหน้าศาลเจ้าอย่างเหม่อลอย คิดถึงใครบางคนที่ชอบมาหาเป็นประจำ
ตั้งแต่วันนั้นที่เธอยื่นคำขาดว่าไม่ขอเจอเขาอีก เคียวจูโร่ก็ทำแบบที่เธอขอไว้จริงๆ ชายหนุ่มไม่โผล่มาให้เธอเห็นอีกเลยไม่ว่าจะเวลาที่เธอมาทำงานที่ร้าน หรือเวลาเลิกงานที่ชอบเดินเตร่หาของกิน แม้แต่สวนสาธารณะที่เธอชอบไปนั่งอ่านหนังสือบ่อยๆ ก็ไม่มีวี่แววของอีกฝ่ายเลยสักนิด
วันนั้นเราพูดแรงไปรึเปล่านะ...
คำถามนี้ก่อกวนใจเธอตลอดเวลา วันนั้นยอมรับว่าเธอเองก็กลัวไม่น้อยที่รู้ว่าเขาแอบตามมา และยิ่งโกรธแถมผิดหวังเข้าไปอีกเมื่อรู้ว่าที่เขาพยายามเข้าหา และทำดีกับเธอมาตลอดก็เพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทว่าพอมานึกย้อนดูอีกทีเธอเองก็เป็นฝ่ายผิดที่พูดจาไม่ดีใส่เขา
“ช่วงนี้ดูซึมๆ ไปนะ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึเปล่า?”
เป็นฟุคาเบะนั่นเองที่ถามขึ้น เธอยื่นลูกอมรสช็อกโกแลตให้เม็ดหนึ่งก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ว่างข้างๆ ฮิมาวาริขอบคุณเบาๆ
“อ่า...ไม่มีค่ะ แค่คิดเรื่องสอบเข้านิดหน่อย” เธอพูดปด
“งั้นเหรอ จะว่าไปฮิมะก็ปีสามแล้วนี่นา” หญิงสาวเปรย หยิบลูกอมเอาปาก “ทั้งเรียนไปด้วยทำงานพิเศษไปด้วย เหนื่อยแย่เลยนะ ไหนจะสอบเข้ามหา’ลัยอีก ถ้าไม่ไหวก็พักบ้างเถอะ สุขภาพก็สำคัญนะ”
ฮิมาวาริพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ในใจนึกขอโทษฟุคาเบะลึกๆ ที่เธอโกหก ตามจริงแล้วเรื่องสอบเข้าก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่เธอคิดอยู่ในหัวตลอด แต่นั่นนับว่าเป็นเรื่องรอง เพราะเธอวางแผนการเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าแล้วจึงไม่มีผลอะไรกับเธอมากเท่าที่ควร ฮิมาวาริกลับคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติที่เด็กมัธยมปลายปีสุดท้ายอย่างเธอจะเครียดและจิตใจว้าวุ่น
ส่วนเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งคือเรื่องของคนที่หายหน้าไปต่างหาก
เธอจะทำยังไงดี เขาคงโกรธเธอมากแน่ ๆ
เด็กสาวถอนหายใจอย่างปลงตก ก่อนจะฟุบหน้าลงไปที่โต๊ะอีกครั้งโดยมีฟุคาเบะตบบ่าเบา ๆ
ปึง!
เสียงประตูล็อกเกอร์ในห้องของพนักงานปิดลงเบา ๆ ฮิมาวาริตรวจดูความเรียบร้อยของตัวเองอีกครั้ง เมื่อมั่นใจว่าไม่ลืมอะไรแล้วจึงเดินออกมาจากห้อง
วันนี้ฮิมาวาริเลิกงานช้ากว่าทุกวันเพราะต้องอยู่ทำความสะอาดร้านซึ่งเป็นเวรประจำ เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ กลับไปหมดแล้ว มีเพียงเธอเท่านั้นที่ช่วยผู้จัดการเก็บของเล็ก ๆ น้อย ๆ ในร้านให้เข้าที่เข้าทาง
ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มตรง บริเวณหน้าศาลเจ้ายังมีคนเดินอยู่แม้จะน้อยกว่าช่วงหัวค่ำ ร้านบางร้านเริ่มทยอยเก็บของกลับบ้านบ้างแล้ว ฮิมาวาริจึงต้องรีบหาอาหารมื้อเย็นติดมือกลับบ้านให้เร็วที่สุดเพราะไม่อยากกลับมืดจนเกินไป
เมนูอาหารอร่อย ๆ ลอยขึ้นมาในหัว สายตาคอยสอดส่องร้านที่ถูกใจสักร้าน ทว่าระหว่างที่เดินอยู่นั้นก็มีใครบางคนสะกิดที่ข้างหลัง
“อ้าว ฟุคาเบะซัง”
เจ้าของชื่อยิ้มร่า เธอขยับสายกระเป๋าสะพายคู่ใจแล้วถาม “เพิ่งเลิกเหรอ”
“ค่ะ ว่าแต่ฟุคาเบะซังยังไม่กลับเหรอคะเนี่ย เห็นออกจากร้านไปตั้งนานแล้วนี่คะ”
ฮิมาวารินึก คุ้น ๆ ว่าหญิงสาวเลิกงานก่อนเธอได้ราวครึ่งชั่วโมง
“อ๋อ ใช่” ฟุคาเบะพยักหน้า “พอดีว่าฉันรอฮิมะอยู่น่ะ”
“รอฉัน? มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ฉันนัดกับแฟนไว้ว่าจะไปกินอาหารมื้อเย็นด้วยกันตอนเลิกงาน แต่เขาดันยกเลิกเพราะมีงานด่วนที่ต้องไปทำ ก็เลยคิดว่าจะชวนฮิมะไปกินข้าวด้วยกัน”
ได้ยินอีกฝ่ายชวนแบบนั้น ฮิมาวาริก็เลิกคิ้วเล็กน้อย ในใจนึกหาทางปฏิเสธเพราะไม่อยากกลับบ้านมืดเท่าที่ควร เพราะยังคงกลัวข่าวที่ออกมาต่อเนื่องทำให้เธอต้องคอยระวังตัวเองให้มาก
“ขอโทษนะคะ คือฉันก็อยากไปอยู่หรอก แต่นี่มันดึกมากแล้ว ไว้วันหลัง...”
“ขอร้องล่ะ ไปเป็นเพื่อนฉันเถอะนะ” หญิงสาวทำหน้าเว้าวอน “ไม่ต้องไปนั่งกินด้วยกันก็ได้ แค่ไปซื้อข้าวร้านนั้นกับฉันก็พอ เสร็จแล้วเราค่อยแยกย้าย นะ?”
ฟุคาเบะชี้ไปยังร้านข้าวร้านหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปจากร้านอาหารอื่น ๆ หน้าศาลเจ้า ฮิมาวาริลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อคนตรงหน้าคะยั้นคะยอก็เลยต้องยอมอย่างเสียไม่ได้
“ก็ได้ค่ะ”
“ดีละ! งั้นเราไปกันเถอะ”
ฟุคาเบะร้องออกมาอย่างดีใจ ก่อนจะจับมือพาเธอไปยังที่หมาย ฮิมาวาริเดินตามไปอย่างว่าง่ายพลางหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา
มาคิดดูอีกที ร้านที่ฟุคาเบะอยากไปก็ใช้เวลาเดินนานกว่าที่คิดทั้ง ๆ ที่ร้านก็ไม่ได้อยู่ไกลเลยแม้แต่น้อย คนนำทางฮัมเพลงอย่างมีความสุขขณะที่กุมมือเธอไว้ราวกับกลัวเธอจะหนีไปไหน บางครั้งฮิมาวาริรู้สึกว่าอีกฝ่ายจะจับมือเธอแน่นเกินไปแล้ว แม้จะหาจังหวะดึงออก แต่เหมือนเธอจะรู้ตัวและจับแน่นกว่าเดิมจนเด็กสาวนิ่วหน้า
เจ็บ...
“ฟะ...ฟุคาเบะซัง คือว่า...”
“ใกล้ถึงแล้ว อีกนิดเดียว” ฟุคาเบะบอกเสียงใส
ฮิมาวาริเริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล จำได้ว่าร้านข้าวที่จะไปไม่ได้มาทางนี้ ทว่าหญิงสาวกลับพาเธอเข้ามาในซอยแห่งหนึ่งที่เป็นทางตัน บรรยากาศรอบตัวเงียบสะงัด แสงไฟจากเสาข้างทางอ่อนลงเหมือนพร้อมจะพังตลอดเวลา ลมเย็นพัดผ่านวูบหนึ่งทำให้ฮิมาวาริขนลุกซู่ แต่คนตรงหน้ากลับไม่สะทกสะท้าน
“คุณจะพาฉันไปไหนคะ”
ในที่สุดก็ตัดสินใจร้องถามออกไป สองขาหยุดเดินทันทีทำให้ฟุคาเบะที่เดินนำอยู่หันมามอง
“ไปหาอะไรกินไงล่ะ”
คนตรงหน้าตอบด้วยท่าทางซื่อ ๆ แต่ฮิมาวาริไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว ดวงตาสีมรกตฉายแววแห่งความไม่พอใจออกมาแบบที่ไม่เคยทำกับอีกฝ่ายมาก่อน
“ทำไมเดี๋ยวนี้ฮิมะดื้อจัง ทั้งที่เมื่อก่อนว่านอนสอนง่ายแท้ ๆ”
ฟุคาเบะยิ้มหวานเมื่อเห็นท่าทีของเพื่อนร่วมงานที่อายุน้อยกว่า แต่ก็เดินเข้ามาคว้าแขนเธอไว้แล้วพาไปด้วยกัน ฮิมาวาริขัดขืน พยายามสะบัดแขนให้หลุดจากมือของหญิงตรงหน้า แต่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างใจคิด เพราะฟุคาเบะบีบแขนเธออย่างแรงจนเจ็บไปหมด
ทั้งสองยื้อยุดกันไปมาอยู่อย่างนั้น และดูเหมือนคนที่เป็นตัวต้นเหตุจะทนไม่ไหว ในที่สุดก็เหวี่ยงร่างของฮิมาวาริอย่างแรงด้วยความโมโห
“โอ๊ย!”
ฮิมาวาริร้องอย่างเจ็บปวดตอนที่ตัวเองล้มกลิ้งไปกับพื้น รู้สึกเจ็บแปลบที่แขนข้างที่โดนจับและหัวเข่าทั้งสองข้าง กระเป๋านักเรียนตกไปอีกทาง ฮิมาวาริพยายามยันตัวขึ้น แต่เงาของคนที่ยืนอยู่ทาบทับลงมา ฟุคาเบะมองด้วยความเคียดแค้นและยิ้มเหี้ยม
“พามาดีๆ ไม่ชอบ ต้องให้ใช้กำลังให้เจ็บตัวอยู่เรื่อย มนุษย์นี่มันโง่เง่าจริงๆ”
ยังไม่ทันที่ฮิมาวาริจะพูดอะไรออกไป ร่างของหญิงสาวตรงหน้าก็เริ่มหงิกงอผิดรูปทำให้เสื้อผ้าที่สวมใส่ค่อยๆ ขาดออกจากกัน เสียงกระดูกดังกร๊อบแกร๊บจนเรียกได้ว่าน่าจะแหลกแทบไม่เหลืีอชิ้นดี ใบหน้าหวานบิดเบี้ยวทีละนิดจนฮิมาวาริได้แต่นั่งอ้าปากค้าง
ร่างของฟุคาเบะหายไปแล้ว ไม่สิ ต้องเรียกว่าเปลี่ยนรูปไปถึงจะถูก สิ่งมีชีวิตตรงหน้านั้นสูงใหญ่กว่าคนปกติเล็กน้อย ตัวของมันมีสีเขียวคล้ำและผิวมันลื่นที่ส่งกลิ่นเหม็นจนอยากจะอาเจียน ผมสีดำรุงรังยาวมาถึงกลางหลัง เขาสองข้างงอกออกมาจากใบหน้าเหี่ยวย่น ไหนจะมีเขี้ยวแหลมและกรงเล็บยาวที่สามารถฉีกร่างของคนออกได้เป็นชิ้น ๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่ฮิมาวาริหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก
ที่ผ่านมาเธอเจอผีหลายรูปแบบ และแต่ละแบบก็แตกต่างกันออกไปจนเธอเห็นภาพอันน่ากลัวจนชิน ทว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอได้ก้าวข้ามคำคำนั้นไปเรียบร้อยแล้ว ต้องเรียกว่าน่าสยดสยองมากกว่า ดวงตาสีเหลืองของมันจ้องมาที่เธอนิ่ง แสยะยิ้มอย่างสะใจ
“เอาละ ได้เวลาอาหารของข้าแล้ว”
เพราะมันไม่ใช่ผี แต่เป็นอะไรที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้น
นะ...นี่มัน
อสูร!?
*โอโคโนมิยากิ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า พิซซ่าญี่ปุ่น เป็นอาหารที่มีชื่อเสียงในภูมิภาคคันไซและฮิโรชิม่าซึ่งแตกต่างกัน กล่าวคือ แบบคันไซจะนำเครื่องทุกอย่างผสมกับแป้งแล้วย่างบนกระทะ แต่แบบฮิโรชิม่าจะทำเป็นชั้นๆ ทั้งนี้ แบบคันไซจะมีชื่อเสียงมากกว่าและแพร่หลายไปทั่วญี่ปุ่น โอโคโนมิยากิ มาจากคำว่า “โอโคโนมิ” แปลว่า สิ่งที่ชอบ และ “ยากิ” ที่แปลว่า ปิ้ง, ย่าง เมื่อเอาคำสองคำนี้มารวมกันจะแปลว่า เอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ชอบมารวมกัน แล้วปิ้งย่างบนกระทะ ดังนั้นส่วนผสมของโอโคโนมิยากิจึงมีหลากหลาย และขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน
Rothy's talk : ฮัดช่า! นี่ล่ะของจริง สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นนี่เป็นเรื่องจริงสินะ เขาเตือนเธอแล้ว โฮฮฮ (;v; มาดูกันค่ะว่าฮิมะจะเป็นยังไง โปรดติดตามตอนต่อไปด้วยนะคะ! ดูแลสุขภาพกันด้วยค่า ><♥
ป.ล. เรื่องนี้เราลงใน readAwrite ด้วยนะคะ ใครสะดวกแพลตฟอร์มไหนเชิญติดตามได้เลยค่าาา ลงทั้งสองแอพเลยยย ฝากกดให้กำลังใจและติดตามด้วยนะคะ ขอบคุณทุกท่านล่วงหน้าค่ะ!
แก้คำผิดครั้งที่ 1: 25 ธ.ค. 64
ความคิดเห็น