NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Kimetsu No Yaiba] A Piece of The Sun - เสี้ยวแสงแววตะวัน (Kyoujuro x OC)

    ลำดับตอนที่ #3 : 2nd Piece of the Sun : รู้จัก

    • อัปเดตล่าสุด 25 ธ.ค. 64


    2

    รู้จัก

     

    ตึก ตึก ตึก

    เสียงฝีเท้าที่วิ่งหนีอย่างเร่งรีบดังขึ้นในซอยเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง บ้านหลายสิบหลังบริเวณนั้นปิดไฟกันหมดเพราะอยู่ในยามวิกาล ผู้คนต่างหลับใหล มีเพียงแสงไฟจากเสาตรงทางเดินกระพริบถี่ ๆ เท่านั้นที่พอจะทำให้เห็นอะไรราง ๆ ที่กำลังคลืบคลานเข้ามา

    ชายคนหนึ่งกำลังวิ่งหนีมัน ร่างกายของเขาหอบจนตัวโยนเพราะวิ่งมานานแล้ว เหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ปากอ้าออกเพื่อให้หายใจได้ทัน ตาหันไปเหลียวมองสิ่งที่ตามมาข้างหลังจนไม่ได้ระวังทางที่วิ่งอยู่เลยแม้แต่น้อย ทำให้ขาข้างหนึ่งสะดุดล้มจนเขากลิ้งไปกับพื้นและมีสภาพมอมแมม

    แม้ใจอยากจะวิ่งหนีต่อ ทว่าขาของเขากลับลุกไม่ขึ้นเหมือนมีอะไรมาดึงไว้แต่มองไม่เห็น สิ่งที่เขากำลังหนีอยู่เดินเข้ามาหาทุกวินาที ชายคนนั้นจึงพยายามกระเถิบตัวถอยหลังแล้วแหกปากร้องลั่น

    “อย่า…อย่าเข้ามานะ! อย่าเข้ามา!”

    เขาไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง จำได้แค่ว่าตัวเองไปฉลองกินเหล้ากับเพื่อนตามประสาผู้ชายหลังเลิกงาน เมื่อเห็นว่ามืดมากแล้วจึงขอตัวกลับ ระหว่างทางที่เขากำลังกลับบ้านด้วยสภาพที่เมาได้ที่ เขาก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ดังขึ้นที่ซอกตึก ความอยากรู้อยากเห็นที่มีมากกว่าปกติเนื่องจากฤทธิ์เหล้าทำให้เขาตัดสินใจเดินเข้าไปดู

    ใครคนหนึ่งกำลังนอนแผ่บนพื้น ดวงตาของเขาเบิกโพลง  แต่สิ่งที่ทำให้ตกใจกว่าคือเลือดที่เจิ่งนองพื้น กลิ่นคาวคละคลุ้งจนฉุนจมูก เหนือร่างไร้วิญญาณนั้นคือชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งคร่อมอยู่ ทำให้เขาตัดสินใจเดินเข้าไปหา

    “เฮ้ย แก ทำอะไรน่ะ”

    คนถูกถามนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้าไปหาคู่สนทนาช้าๆ ริมฝีปากที่เต็มไปด้วยเลือดเหยียดยิ้มกว้างจนทำให้เห็นเขี้ยวแหลมคม สองมือที่มีเลือดอาบนั้นมีกรงเล็บยาวที่พร้อมจะฉีกเนื้อออกเป็นชิ้น ๆ มันเอียงคอเล็กน้อยเมื่อเห็นผู้มาใหม่ก่อนจะหัวเราะชอบใจ

    “หึหึ มนุษย์งั้นเหรอ” ลิ้นยาวเลียเลือดที่ไหลตามนิ้วอย่างกระหาย ตาจ้องมาที่เขา “วันนี้โชคดีจริง ๆ ที่ไม่ต้องออกแรงหามนุษย์กินให้ยุ่งยาก ในเมื่อมันเสนอหน้ามาหาข้าถึงที่”

    “นะ…นี่แก แกมันสัตว์ประหลาด!” เขาร้องลั่นแล้วรีบก้าวถอยหลัง เพราะเห็นภาพที่น่าสยดสยองตรงหน้าทำให้ขาสั่นจนแทบยืนไม่ไหว แต่ความกลัวที่มีมากกว่าทำให้เขาวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน…

    จนถึงตอนนี้

    “หนวกหูจริง แหกปากไปก็ไม่มีใครช่วยแกได้หรอก” อสูรหัวเราะขณะเดินเข้ามาใกล้

    ชายคนนั้นรีบกระถดตัวถอยหลัง รู้ตัวอีกทีหลังของเขาก็ชิดกำแพงแล้ว ตอนนี้เขาไร้ทางหนี เมื่อรู้ตัวว่าหมดหนทางแล้วเขาจึงขอร้องอ้อนวอนคนตรงหน้าด้วยหวังว่าอีกฝ่ายจะปล่อยเขาไป

    “ฉันขอโทษ! ขอโทษ! ปล่อยฉันไปเถอะนะ”

    ทว่าอีกฝ่ายไม่สนใจ มันเหยียดยิ้มกว้างจนน่าสะอิดสะเอียน และหัวเราะอย่างบ้าคลั่งยามมองคนจนตรอก เพียงแค่เดินไม่กี่ก้าวมันก็เดินเข้ามาถึงตัว กรงเล็บแหลมคมเงื้อขึ้นก่อนจ้วงแทงชายผู้โชคร้ายอย่างไม่ปรานี 

    “อ๊ากกกกกกกกก!!!!!!”

    เลือดไหลเจิ่งนองพื้น ส่วนหนึ่งสาดกระเซ็นจนเปรอะกำแพง ร่างนั้นแน่นิ่งไปแล้ว ตาสองข้างเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัว กลิ่นคาวเลือดลอยออกมาทำให้อสูรตนนั้นไม่รอช้า รีบกินเลือดของเหยื่ออย่างกระหาย

    ระหว่างที่กำลังจัดการกับอาหารอันโอชะอยู่นั้น ใครคนหนึ่งก็โผล่มายืนที่หลังคาบ้านซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน ดาบนิจิรินถูกดึงออกจากฝัก แสงจันทร์ที่ส่องสว่างทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืนกระทบกับดาบทำให้เกิดแสงสะท้อนวาววับ อสูรที่กำลังง่วนกับการกินเลือดอยู่เงยหน้าขึ้น เมื่อรู้ว่าเป็นใครมันก็แสยะยิ้ม

    “นึกว่าใคร ที่แท้ก็แกเองเหรอ…เร็นโกคุ”

    เคียวจูโร่ไม่ตอบอะไร เพียงแต่มองอสูรตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย เมื่อคนที่อยู่ข้างล่างหันไปเจอดาบที่อีกฝ่ายถืออยู่ก็ทำหน้ายียวน

    “โอ๊ะโอ ดาบนิจิรินนั่นเจ้าจะเอามาบั่นคอข้างั้นเหรอ ลืมไปแล้วรึไงว่าเจ้าทำอะไรข้าไม่ได้ ต่อให้มีดาบเพลิงสุริยันอะไรนั่นในมือก็เถอะ”

    “ถึงข้าจะบั่นคอเจ้าไม่ได้ แต่ข้าก็ไม่ยอมให้เจ้าสังหารมนุษย์ที่บริสุทธฺ์ไปเรื่อยๆ หรอกนะ!” ชายหนุ่มบอก ทำให้อีกฝ่ายหัวเราะลั่น

    “เหรอ งั้นเจ้าดูนี่สิ” มันยืนขึ้นแล้วหลบออกมาให้เห็นร่างไร้วิญญาณของเหยื่อที่ตนสังหารไป “ข้าเพิ่งจะฆ่ามนุษย์นี่ไปเอง เลือดก็อร่อยใช้ได้เลยนะ เอาล่ะ ถ้าอย่างงั้นก็มาตัดหัวข้าซะเลยสิ”

    เคียวจูโร่มองภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึงก่อนจะแปรปลี่ยนเป็นความโกรธ มือหนากำดาบแน่น เขามาช้าเกินไป เพราะมัวแต่ไล่ตามกลิ่นอายของอสูรตรงหน้าที่หลอกล่อเขาไปอีกทาง ถ้าหากเขาไม่หลงกลมันก็อาจจะช่วยให้ชายผู้โชคร้ายคนนี้รอดตายก็ได้

    อภัยให้ไม่ได้

    ไม่รอช้าชายหนุ่มก็กระโดดลงมาจากหลังคา เงื้อดาบขึ้นสูงหวังจะตัดคออีกฝ่าย อสูรที่ตั้งท่าป้องกันไว้นานแล้วก็รีบเบี่ยงหลบพร้อมกับฟาดกรงเล็บใส่ แต่เคียวจูโร่หลบได้ทัน

    “ถึงจะตัดคอข้าไม่ได้ แต่ฝีมือของเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว”

    แม้จะได้รับคำชมจากอสูรตรงหน้า แต่เคียวจูโร่ก็ไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย เขาอาศัยจังหวะที่มันเผลอฟันที่คอไปเกินครึ่ง เลือดสีแดงเข้มพุ่งกระฉูด แต่ใช้เวลาไม่นานก็สมานกลับมาใหม่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น อสูรเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะในหมู่อสูรด้วยกันเขารู้ว่านักล่าอสูรที่มีเพียงคนเดียวในตอนนี้ ‘ไร้ประสิทธิภาพ’ มากแค่ไหน หากเป็นเมื่อก่อนพวกเขาคงจะเกรงกลัวอีกฝ่ายบ้างเพราะคนตรงหน้าที่เพิ่งตัดแขนเขาไปหยก ๆ เป็นถึงเสาหลักเพลิงแท้ ๆ น่าแปลกที่ขนาดตัดหัวอสูรเจ้าตัวยังทำไม่ได้ พลังอันน้อยนิดของนักดาบตรงหน้าทำให้เขานึกย่ามใจ แต่ทว่าตอนนี้ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นแล้ว เพราะอีกฝ่ายเล่นตัดหัวตนจนเกือบหลุดจากบ่า

    อสูรสบถอย่างขัดใจ ก่อนจะรีบหนีหายไปจากตรงนั้นว่า

    “หนอยแก…เกือบตัดหัวข้าได้งั้นเรอะ ฝากไว้ก่อนเถอะ!”

    เคียวจูโร่มองอสูรที่วิ่งหนีไปด้วยความรู้สึกประหลาด

    ตั้งแต่ที่เบื้องบนมอบชีวิตใหม่ให้ ทุกอย่างก็เหมือนกลับไปที่จุดเริ่มต้น แรงที่คอยจะฟาดฟันกับอสูรนั้นมลายหายไปหมดสิ้น เคียวจูโร่หาสาเหตุนั้นไม่ได้ว่าเพราะอะไรกันแน่ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาทุ่มเทกับการฝึกฝนเสมอ ตำราวิชาปราณเพลิงเขาเองก็ร่ำเรียนจนเชี่ยวชาญ้และเอามาฝึกอยู่ตลอด หากพอถึงคราวใช้จริงกลับไม่เคยสำเร็จสักครั้ง จริงอยู่ที่เขาใช้ปราณเพลิงในการสังหารอสูรแต่กลับตัดหัวไม่ได้ ทำให้อสูรพวกนี้คร่าชีวิตมนุษย์ไปต่อหน้าต่อเขาคนแล้วคนเล่า

    คิดแล้วก็ละอายใจเหลือเกิน

    จริงอยู่ที่บางช่วงเขาก็เกือบจะหมดหวัง แต่เพราะเชื่อว่าหากพยายามและตั้งใจฝึกฝนอยู่เสมอจะทำให้เขาสังหารอสูรสำเร็จเข้าสักวัน ทำให้เขามีความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม และพร้อมจะออกล่าอสูรตลอดเวลาเมื่อมันออกมาฆ่ามนุษย์เพื่อเป็นอาหาร แม้จะฆ่าพวกมันไม่ได้ อย่างน้อยก็คอยถ่วงเวลาให้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อหาทางหนีและรอให้แสงอาทิตย์ยามเช้ามาถึง

    ทว่าตอนที่เขาพุ่งเข้าไปบั่นคออสูรเมื่อครู่ ความรู้สึกอุ่นวาบในใจก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย พละกำลังก็เหมือนจะเพิ่มขึ้นมากกว่าแต่ก่อนโดยที่เขาไม่ทราบสาเหตุทำให้เขาเกือบสังหารอสูรตนนั้นได้

    ถึงจะน่าเสียดาย แต่นี่ก็เป็นสัญญาณดี!

    เคียวจูโร่หันไปมองร่างไร้วิญญาณที่นอนอยู่บนพื้น เขาเก็บดาบเข้าฝักก่อนโน้มตัวไปหาร่างนั้นพร้อมกับยกมือข้างหนึ่งปิดตาที่เบิกโพลงของเหยื่อให้หลับลง ใบหน้าที่หวาดกลัวของคนตรงหน้าทำให้เขานึกสงสารจับใจ เคียวจูโร่ยืนขึ้นพร้อมกับโค้งตัว แล้วพูดเบา ๆ ว่า

    “ขอโทษที่ข้ามาช้า ไม่อย่างนั้นเจ้าก็คงรอด แต่ข้าสัญญาว่าจะสังหารอสูรที่ฆ่าเจ้าให้ได้”

    แสงจันทร์สาดลงมาตรงที่ที่เขายืนอยู่ทำให้ผมสีทองดูสว่างไสวกว่าปกติ ชายผ้าคลุมที่แดงเพลิงพลิ้วไหวยามต้องสายลมอ่อนที่พัดมาเบา ๆ ดวงตาสีเหลืองทองที่ไล่เป็นส้มเข้มมองร่างที่หลับใหลเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนหลังคาแล้ววิ่งหายไป

     

     

    เมื่อเวลา 05.30 น. ของวันนี้ มีผู้พบศพของชายคนหนึ่งที่ซอย XXX ย่านชินจูกุ โดยร่างของผู้ตายนั้นมีรอยฟันจากของมีคมขนาดใหญ่ตั้งแต่ช่วงไหล่ลงมาถึงหน้าท้อง เจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่าอาจเป็นการฆาตกรรมต่อเนื่อง…

    เสียงข่าวรายวันดังขึ้นจากหน้าจอโทรทัศน์ในร้านข้าวหน้าเนื้อทำให้ฟุคาเบะที่เพิ่งเดินไปเก็บจานถอนหายใจ 

    “อีกรายแล้วเหรอ ช่วงนี้มีแต่ข่าวแบบนี้แฮะ”

    “ข่าวอะไรเหรอคะ” 

    ฮิมาวาริที่กำลังเช็ดโต๊ะอยู่อีกฝั่งหนึ่งถามขึ้นอย่างสงสัยเมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานสาวทำหน้ากังวล ฟุคาเบะได้ยินแบบนั้นก็หันขวับมาอธิบายทันที

    “ก็ข่าวที่คนตายต่อเนื่องนั่นไง เห็นว่าโดนฟันด้วย น่ากลัวมากเลย”

    “อ๋อ”

    “ฮิมะก็ระวังตัวด้วยนะ อย่าไปไหนมาไหนคนเดียว วันไหนไม่มีงานพิเศษต้องทำก็รีบกลับบ้านนะ” หญิงสาวพูดอย่างเป็นห่วง 

    ฮิมาวาริขอบคุณคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หันกลับไปทำงานต่อ ช่วงนี้มีแต่ข่าวน่ากลัวออกมาอย่างที่ฟุคาเบะบอกจริง ๆ เพื่อนที่โรงเรียนต่างหยิบเรื่องนี้มาพูดในวงสนทนาช่วงพักกลางวันอยู่บ่อย ๆ แต่ฮิมาวาริก็แค่นั่งฟังผ่าน ๆ  เท่านั้น

    กรุ๊งกริ๊ง~

    เสียงกระดิ่งหน้าประตูร้านดังขึ้นพร้อมกับร่างของใครคนหนึ่งที่เดินเข้ามา ฮิมาวาริไม่ได้หันไปมองเพราะมัวแต่จัดโต๊ะให้เข้าที่เข้าทาง แต่ปากก็พูดต้อนรับลูกค้าอย่างที่เคยเป็นประจำด้วยความสดใส

    “เอาข้าวหน้าเนื้อเทอริยากิหนึ่งที่!”

    พอได้ยินเสียงของลูกค้าสั่งอาหารเธอก็เงยหน้าขึ้นมอง เขาเป็นชายร่างสูงที่มีสีผมประหลาดสะดุดตา มันเป็นสีเหลืองอำพันสวยและตรงปลายมีสีแดงแซมเล็กน้อย ยิ่งเจ้าตัวสวมชุดฮากามะก็ทำให้ดูโดดเด่นกว่าลูกค้าคนอื่นที่เข้ามานั่งในร้าน แต่เพราะร้านข้าวหน้าเนื้อแห่งนี้อยู่ใกล้ศาลเจ้า ไม่แปลกนักที่จะมีคนสวมเครื่องแต่งกายญี่ปุ่นเดินไปมาอยู่เป็นประจำ เนื่องจากใกล้ ๆ กันนี้มีร้านชุดญี่ปุ่นให้เช่าสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการถ่ายรูป นี่จึงกลายเป็นเรื่องชินตาสำหรับเธอไปแล้ว

    ดวงตาสีเหลืองทองสว่างกวาดมองไปทั่วร้าน และเมื่อมาหยุดอยู่ที่เธอ รอยยิ้มกว้างก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของผู้มาใหม่ก่อนจะเอ่ยทักเสียงดัง

    “สวัสดี! เราเจอกันอีกแล้วนะ!”

    เมื่อโดนทักแบบนั้น ฮิมาวาริก็ตกใจจนเผลอทำผ้าในมือหล่นพื้น มองซ้ายมองขวาด้วยความงุนงง นี่เขาทักเราอยู่เหรอ?

    “ใช่! เจ้านั่นล่ะ จำข้าไม่ได้เหรอ”

    จำได้สิ ฮิมาวาริตอบในใจ เขาจะเป็นใครไปได้อีกนอกจากเจ้าของแมวสามสีและคนที่เธอสละร่มให้ในวันนั้น นี่ก็ผ่านมาสัปดาห์หนึ่งแล้ว เธอไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะมาปรากฎตัวที่ร้านแบบนี้แถมยังทักทายเธอหน้าตาเฉย เป็นครั้งแรกที่ฮิมาวาริรู้สึกว่าตัวเองทำพลาดอย่างหนัก ความตั้งใจที่จะไม่คุยกับ ‘สิ่งที่มองไม่เห็น’ พังทลายลงตั้งแต่วันนั้นที่เธอยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องของคนตรงหน้า

    เพราะอีกฝ่ายจะเป็นคนก็ไม่ใช่ เป็นผีก็ไม่เชิงนี่นา

    ความจริงเธอรู้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเขาแล้ว แต่เพราะรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีอะไรบางอย่างที่แปลกไปจากวิญญาณอื่นที่เธอเคยพบมาก็เลยทำเป็นไม่รู้เรื่องไป ไหนเขาจะสัมผัสตัวเธอได้อีกเห็นจากที่ตัวเองซุ่มซ่ามไปชนเขาวันนั้น ปกติแล้วพวกผีหรือวิญญาณจะไม่สามารถแตะคนหรือสิ่งของได้ ทำได้แค่แทรกตัวตามที่ต่าง ๆ และพูดคุยบ้างเท่านั้น แต่สำหรับชายหนุ่มตรงหน้านั้นดูเหมือนจะแตกต่างจากวิญญาณทั่วไป ฮิมาวาริตอบไม่ได้ว่าสรุปแล้วเขาคืออะไรกันแน่ แต่ยิ่งเห็นคนรอบตัวมองมาที่เธอจึงแน่ใจว่าทุกคนเห็นเขาอย่างที่คิดไว้ เธอจึงเลือกที่จะทำเป็นไม่รู้จัก และแกล้งตีมึนใส่เขาไป 

    “คุณเป็นใครเหรอคะ”

    ชายหนุ่มตรงหน้าอึ้งไปเล็กน้อยแต่ก็พูดด้วยน้ำเสียงใจดีเหมือนปกติ

    “ก็คนที่เจ้าให้ยืมร่มเมื่อคราวนั้นไง! ขอบคุณมากนะ ถ้าวันนั้นไม่ได้เจ้าละก็พวกข้าคงเปียกทั้งคู่แน่”

    เด็กสาวร้องอ๋อออกมาเบา ๆ แล้วก็จดออเดอร์ที่เขาสั่งลงไปในกระดาษ จากนั้นจึงส่งให้ฟุคาเบะที่รอรับอยู่ที่หน้าแคชเชียร์ ทันทีที่สบตากับฮิมาวาริ เธอก็รีบกระซิบถามด้วยความตื่นเต้น

    “ใครน่ะฮิมะ รู้จักด้วยเหรอ”

    “ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ พอดีเคยเอาร่มให้เขายืมไปเมื่อสัปดาห์ก่อน พอเจอกันเขาก็เลยทักแล้วก็ขอบคุณ” ฮิมาวาริบอกขณะที่สายตาจับจ้องไปที่ชายหนุ่ม ก่อนจะหันมาถามคนข้าง ๆ อย่างสงสัย “ทำไมเหรอคะ”

    “เปล่า ฉันแค่คิดว่าเขาหล่อดี ดูสิ ผมสีเหลืองสวยแบบนั้นหายากนะ ถ้าบอกว่าย้อมมาฉันก็เชื่อ”

    ฟุคาเบะบีบไหล่เธอแน่นพร้อมกับสาธยายลูกค้าที่เธอรู้จักอย่างออกรสชาติ เท่าที่ฮิมาวาริจับใจความได้ คำชมที่หญิงสาวพูดออกมาจากปากวนอยู่แค่สามคำคือ ‘หล่อ เท่ ดูดี’ จนเธอหลุดขำออกมา ก่อนจะเตือนว่าเจ้าตัวมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้ว แถมยังหล่อไม่แพ้กันอีก ทำให้ฟุคาเบะมองค้อนอย่างงอน ๆ 

    ข้าวหน้าเนื้อเทอริยากิร้อน ๆ ถูกส่งออกมาจากห้องครัว ฮิมาวาริที่ไม่นึกอยากจะคุยกับเจ้าของอาหารจานนี้อยู่แล้วจึงเสนอให้หญิงสาวข้างกายเป็นคนไปเสิร์ฟแทน แน่นอนว่าฟุคาเบะที่รออยู่แล้วรีบรับคำอย่างไม่รอช้า เธอรีบเอาอาหารไปเสิร์ฟทันที ฮิมาวาริได้ยินเสียงเขาเอ่ยขอบคุณแล้วหันมาสบตากับเธอพอดี รอยยิ้มกว้าง ๆ จึงถูกส่งมาให้ทำให้ฮิมาวาริยิ้มตอบกลับไปเล็กน้อย

    ปกติแล้วร้านข้าวหน้าเนื้อแห่งนี้มักจะมีลูกค้าเข้ามาอยู่ตลอด แต่ดูเหมือนว่าวันนี้คนจะเยอะมากเป็นพิเศษ พาให้บรรยากาศคึกครื้นกว่าทุกวัน บริเวณหน้าร้านมีแต่คนยืนต่อคิวรอยาวเป็นหางว่าว ทำให้ผู้จัดการถึงกับรีบออกมาจากหลังร้านเพื่อดูความผิดปกติอันน่าประหลาดใจ ก่อนจะเดินมาที่หน้าแคชเชียร์แล้วแอบถามเบา ๆ

    “นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ ก็รู้นะว่าร้านเราคนเยอะ แต่ก็ไม่ถึงขนาดต้องต่อคิวไหม”

    “ไม่แปลกหรอกค่ะ” ฟุคาเบะที่ยืนกดแคชเชียร์อยู่หันมาตอบ ก่อนจะชี้ไปที่ใครคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะกลางร้าน

    “อร่อย! อร่อย! อร่อย!”

    เสียงของชายเจ้าของสีผมประหลาดคนเดิมที่เธอชื่นชมดังขึ้นตลอดตั้งแต่อาหารจานแรกเสิร์ฟไปถึงโต๊ะ หญิงสาวเข้าใจอยู่แล้วว่ามันเรื่องธรรมดาที่ผู้ชายวัยกำลังหนุ่มอาจจะกินเยอะเพราะต้องการสารอาหารอย่างมาก แต่เธอแค่ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะกินจุถึงเพียงนี้

    แต่ทว่าสิ่งนั้นก็ไม่บดบังความหล่อเหลาของเขาได้ ถ้าเธอมีเงินมากกว่านี้ละก็ จะกินเยอะเท่าไหร่เธอก็พร้อมจ่ายไม่อั้น

    “มีโต๊ะว่างสำหรับลูกค้าสองท่านไหมคะ”

    ฮิมาวาริวิ่งเข้ามาในร้านแล้วร้องถาม วันนี้คนเยอะมากที่สุดตั้งแต่เธอทำงานมา และเธอก็รับหน้าที่วิ่งจัดคิวให้ลูกค้าทุกคนที่ยืนรอจนหาปลายแถวไม่ได้ ส่วนพนักงานคนอื่น ๆ ก็คอยรับออเดอร์ลูกค้ากันไม่หยุดหย่อน แม้แต่แม่ครัวก็ทำอาหารจนหัวหมุนเพราะชายหนุ่มแปลกหน้าที่เธอเจอเมื่อหลายวันก่อน

    “อร่อย! ขอข้าวหน้าเนื้อเทอริยากิอีกห้าที่!”

    “หา! ยังต่ออีกเหรอ เมื่อกี้กินไป 7 จานแล้วนะ” ฟุคาเบะร้องออกมาด้วยความทึ่ง

    “เอาเถอะ สั่งเยอะก็ดีแล้วคนจะได้มาเยอะ ๆ พยายามเข้าล่ะ ฉันไปช่วยในครัวก่อนเดี๋ยวไม่ทัน” ว่าจบผู้จัดการร้านก็วิ่งหายเข้าไปในห้องครัว

    ฟุคาเบะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเรียกกำลังใจก่อนจะหันมาหาฮิมาวาริด้วยแววตามุ่งมั่น “เรามาเปลี่ยนงานกันฮิมะ เดี๋ยวฉันไปรันคิวลูกค้า ส่วนเธอคุมตรงนี้นะ”

    ฮิมาวาริรับคำอย่างงุนงงแต่ก็ยื่นใบคิวของเธอให้หญิงสาว จากนั้นจึงวิ่งไปยืนประจำตำแหน่งที่ตกลงกันไว้ เธอหันไปมองชายหนุ่มที่กำลังเพลิดเพลินกับอาหารตรงหน้าแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ

    เวลาผ่านไปนานหลายชั่วโมงในที่สุดก็ถึงเวลาเลิกงาน ซองสีขาวยื่นมาตรงหน้าเธอ ฮิมาวาริรับมาด้วยความดีใจ พนักงานคนอื่น ๆ ที่เปิดซองเงินดูแล้วถึงกับร้องลั่น

    “ผู้จัดการครับ นี่มันเยอะกว่าค่าจ้างที่ตกลงกันนี่ครับ!”

    “ก็วันนี้คนเข้าร้านเยอะ ยอดขายก็เลยเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมน่ะสิ ฉันให้เป็นโบนัสนะ วันนี้ขอบคุณทุกคนมาก ๆ”

    “ขอบคุณครับ/ค่ะ ผู้จัดการ!”

    จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ฟุคาเบะเดินมากอดคอเธอและพูดคุยอย่างเริงร่า พร้อมกับบอกว่าวันนี้จะไปฉลองกับแฟนหนุ่ม และอยากชวนเธอไปด้วย ถือซะว่าเป็นฉลองที่ร้านมียอดขายสูงกว่าทุกวันที่ผ่านมา แต่เด็กสาวปฏิเสธเพราะไม่อยากไปขัดขวางช่วงเวาแห่งความสุขของคู่รัก จึงขอตัวออกมา

    วันนี้เธอหมดแรงไปกับการทำงาน ทำให้หิวจนท้องร้องประท้วงให้หาอาหารลงกระเพาะ ฮิมาวาริจึงเดินหาร้านอาหารอร่อย ๆ ในราคาย่อมเยา เพราะเธออยู่มัธยมปลายปีที่สามแล้วไหนจะต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย จึงไม่ค่อยทำอาหารกินเองโดยเฉพาะวันที่ต้องมาทำงานพิเศษ เนื่องจากกลับบ้านไปเธอก็ต้องทำการบ้านและอ่านหนังสือ ดังนั้นการหามื้อเย็นกินข้างนอกน่าจะช่วยประหยัดเวลามากกว่า

    ปกติฮิมาวาริทำงานพิเศษอยู่สองที่ คือร้านข้าวหน้าเนื้อ และร้านสะดวกซื้อแถวบ้าน ทำที่ละสองวันช่วงกะเย็นหลังเลิกเรียน หากเป็นเมื่อก่อนเธอทำแทบจะทุกวันจนไม่มีเวลาหยุดพัก แต่เพราะมีเรื่องการสอบมหาวิทยาลัยเข้ามาแถมมีความสำคัญกับชีวิตเธอมาก เด็กสาวจึงลดงานลงให้เหลือทำแค่สองที่เท่านั้น เงินที่ได้รับก็พอดีกับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน บางทีอาจจะมากไปด้วยซ้ำ แต่นั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องดี

    สองเท้าเดินไปตามทางเพื่อหาร้านที่ถูกใจที่สุด ระหว่างที่กำลังคิดหาอะไรอร่อย ๆ ทานอยู่นั้น เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นตอนที่เธอเดินผ่าน

    “สายัณห์สวัสดิ์! เจ้ากำลังจะไปไหนเหรอ”

    “อ๊า! ตกใจหมดเลย” ฮิมาวาริร้องออกมา ใจเต้นโครมครามเมื่ออีกฝ่ายโผล่มายืนข้าง ๆ

    เขาเป็นชายหนุ่มกินจุคนเดิมที่เข้าไปอุดหนุนที่ร้านของเธอเมื่อตอนเย็น คนที่ทำให้เธอวิ่งจนขาแทบหลุดเพราะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แถมยังเป็นคนที่ทำให้เธอได้โบนัสเพิ่ม ใบหน้าคมส่งยิ้มกว้างมาให้พร้อมกับโบกมือทักทายเธอเบา ๆ แล้วพูดออกมาเสียงดัง

    “ขอโทษที่ทำให้เจ้าตกใจ ข้าไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น! แค่เห็นเจ้าเดินเล่นอยู่เลยเข้ามาทักทายน่ะ!”

    “อ๋อ…ค่ะ” ฮิมาวาริตอบกลับด้วยความงุนงง ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกเป็นครั้งที่สาม แม้สัญชาตญาณจะบอกว่าเขาเป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับที่เธอหาคำตอบไม่ได้ ทว่าเพราะท่าทางใจดีและเป็นมิตรของเขาทำให้เธอลบความคิดอคติตรงนั้นไป ย่าเคยสอนเธอเสมอว่าคนเราไม่ควรตัดสินใครที่ภายนอก ดังนั้นเธอจึงยอมเปิดปากคุยกับเขาอย่างเต็มใจในที่สุด

    “วันนี้ขอบคุณนะคะที่ไปอุดหนุนที่ร้าน เพราะคุณแท้ ๆ ร้านเราเลยขายดี แถมฉันยังได้เงินเพิ่มด้วย” ฮิมาวาริชูซองสีขาวให้เขาดู

    “งั้นเหรอ! ดีแล้วล่ะ นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับนะ!" เขาบอก “อีกอย่างอาหารร้านเจ้าก็อร่อยมาก ข้าประทับใจ ไว้ข้าจะไปอีก!” 

    เป็นคนที่ดูสดใสจัง แถมยังยิ้มตลอดเวลาเลยแฮะ

    ฮิมาวาริไม่รู้จะคุยอะไรต่อ เพราะเธอกับเขาไม่ได้สนิทกันถึงขนาดที่จะหาเรื่องจิปาถะมาคุยด้วยกันได้ เธอจึงเลือกที่จะเงียบและรออีกฝ่ายถามอะไรออกมาแทน และเหมือนคนตรงหน้าจะรู้ เขาจึงพูดต่อ

    “จริงด้วย! ข้าเอาร่มมาคืนเจ้า ถึงจะพูดไปแล้วแต่เพราะตอนที่เจอกันเจ้าอาจจะกำลังยุ่ง ข้าจึงอยากพูดอีก ขอบใจเจ้ามากนะ!”

    เขาหยิบร่มสีเขียวเข้มคันโปรดของเธอออกมาจากกระเป๋าชุดฮากามะแล้วยื่นให้ ฮิมาวาริรับมาแล้วกล่าวขอบคุณ

    “แล้วเจ้าเหมียวสบายดีนะคะ”

    “อื้ม! สบายดี หลังจากฝนหยุดมันก็ออกมาหาข้าน่ะ”

    เธอพยักหน้ารับอย่างโล่งใจ ดีแล้วที่เขาหามันเจอ ไม่อย่างงั้นมันอาจจะหลงทางจนหาทางกลับบ้านไม่ได้แน่ๆ ฮิมาวาริระบายยิ้ม ตั้งใจว่าจะขอตัวลาเพราะกลัวว่าจะกลับบ้านมืด แต่คนตรงหน้าก็ชิงพูดอีกครั้ง

    “ข้าชื่อ เร็นโกคุ เคียวจูโร่ เจ้าชื่ออะไรเหรอ”

    พอเจอคำถามแบบนี้ฮิมาวาริถึงกับไปไม่ถูก ปกติเธอไม่บอกชื่อให้พวกผีเพราะกลัวจะเกิดปัญหาซ้ำรอยอีก แต่พอเจอแววตาใสซื่อของอีกฝ่ายเธอก็อดใจที่จะบอกเขาไม่ได้

    “ฮิมาวาริค่ะ ฟูจิวาระ ฮิมาวาริ”

    “เป็นชื่อที่เหมาะกับเจ้าดีนะ แต่ข้ารู้สึกคุ้น ๆ นามสกุลเจ้ามากเลย!”

    “งั้นเหรอคะ ความจริงตอนนี้ก็มีแค่ฉันคนเดียวที่ใช้นามสกุลนี้ คุณคงจำผิดจากคนอื่นละมั้งคะ”

    “อื้ม! เป็นไปได้! แต่ช่างเถอะ แล้วเจ้ากำลังจะไปไหนเหรอ” เขาถามอย่างอยากรู้ เพราะเห็นเธอเดินวนแถวนี้มานานแล้ว

    “กำลังหาร้านอุด้งอร่อย ๆ ทานน่ะค่ะ” ฮิมาวาริบอกเสียงใสเมื่อนึกออกว่าอยากจะกินอะไร “แต่ว่ายังหาร้านที่ถูกใจไม่ได้เลย”

    เคียวจูโร่พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเดินนำเธอไป 

    “มีร้านอร่อยอยู่ร้านหนึ่ง ข้าไปกินประจำเลยล่ะ ข้าจะพาไปเอง!”

    ยังไม่ทันที่ฮิมาวาริจะพูดอะไรต่อ ชายหนุ่มก็เดินไปไกลแล้ว เธอจึงได้แต่รีบวิ่งตามเขาไป

     

     

    ฮิมาวาริก้าวขาลงจากรถประจำทางด้วยความเหนื่อยล้า หลังจากที่จัดการมื้อเย็นเสร็จแล้วเธอก็ตรงดิ่งกลับบ้าน

    ร้านอุด้งที่เคียวจูโร่แนะนำนั้นอร่อยอย่างที่เจ้าตัวบอกจริง ๆ ดูจากท่าทางทีี่เขาคุยกับเจ้าของร้าน ฮิมาวาริก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเขาเป็นลูกค้าประจำ และเพราะเธอติดสอยห้อยตามชายหนุ่มไปด้วย เธอจึงได้สิทธิพิเศษโดยการรับเกี๊ยวซ่าสุดอร่อยมาทานฟรี ๆ อย่างงง ๆ แม้เธอจะปฎิเสธเพราะมันเป็นของซื้อของขาย แต่ชายวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของร้านกลับไม่ถือสา แถมยังแทบจะอ้อนวอนให้เธอเอากลับไปชิม หากถูกใจก็ขอให้ตอบแทนโดยการกลับมาอุดหนุนที่ร้านอีก

    เด็กสาวอิ่มแปล้จนตาแทบปิด วันนี้เธอเหนื่อยทั้งวันทั้งจากเรื่องเรียนและทำงานพิเศษ พอคิดว่าในที่สุดก็หมดวันแล้วและกำลังจะได้กลับบ้านไปนอนบนเตียงนุ่ม ๆ รอยยิ้มแห่งความสุขก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้า

    ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่ม ระหว่างทางกลับบ้านจึงเงียบสงัดไร้ผู้คน ฮิมาวาริชินแล้วที่จะต้องเดินทางกลับบ้านดึกดื่นแบบนี้ จริงอยู่ที่เวลากลางคืนมันอันตราย แต่เพราะต้องหาเงินเข้าบ้านจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่เธอต้องทำคือระมัดระวังตัวอยู่เสมอเวลาไปไหนมาไหนคนเดียวในเวลาแบบนี้

    แวบหนึ่งที่เธอนึกถึงข่าวที่ฟุคาเบะพูดถึงเมื่อตอนเย็น ตอนแรกฮิมาวาริไม่ได้นึกกลัวอะไร เพราะสถานที่เกิดเหตุอยู่คนละเขตที่เธออาศัยอยู่ แต่พอเป็นช่วงเวลามืด ๆ แบบนี้ เธอเองก็อดกลัวไม่ได้ จริงอยู่ที่เธอวิ่งเร็ว แต่หากเจอสถานการณ์คับขันขึ้นมาจริง ๆ ฮิมาวาริก็รับประกันไม่ได้ว่าฝีเท้าของเธอจะวิ่งไวได้มากแค่ไหน พอคิดได้แบบนั้นเธอจึงรีบเดินกลับบ้าน

    แกรก!

    เสียงก้อนหินเล็ก ๆ ตกลงมาบนพื้น เด็กสาวสะดุ้งเบา ๆ พลางเหลียวมองรอบกาย ในใจนึกสวดมนต์อ้อนวอนต่อเทพเจ้าด้วยหวังว่าเธอคงไม่ใช่คนที่โชคร้ายเกินไป ยิ่งลมพัดมาเบา ๆ ทำให้เธอขนลุกซู่ และแล้วเสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากกำแพง

    ‘ทำอะไรน่ะ ท่าทางตลกจัง’

    พอมองไปทางต้นเสียงถึงได้รู้ว่าสิ่งที่พูดกับเธออยู่ไม่ใช่คน แต่เป็นผีนักเรียนสาวที่นั่งห้อยขาอยู่บนกำแพง ข้าง ๆ กันนั้นเป็นผีชายแก่สวมชุดกิโมโนสีน้ำเงินเรียบ ๆ ใบหน้าเหี่ยวย่นแต่ทว่าใจดีส่งยิ้มมาให้แล้วทักทาย

    ‘กลับบ้านมืดอีกแล้วเหรอแม่หนู’

    “ค่ะ พอดีหนูต้องทำงานพิเศษน่ะค่ะ”

    ‘อะไรกัน ทีกับมาเอดะซังเธอกล้าคุยด้วยเหรอ สองมาตรฐานชัด ๆ เลยนี่นา’ ผีนักเรียนสาวบ่น

    ‘ก็เจ้าชอบแกล้งนางบ่อย ๆ ไม่แปลกหรอกที่เขาจะไม่คุยด้วย ดูอย่างที่เจ้าโยนหินใส่นางสิ’

    ไม้เท้าที่อยู่ในมือของชายชราเขกหัวผีสาวไปหนึ่งที ทำให้ฮิมาวาริหัวเราะออกมาอย่างถูกใจ ในบรรดาผีทั้งหมดที่เคยเจอมา มาเอดะเป็นผีตนเดียวที่ฮิมาวาริเต็มใจจะคุยด้วย เพราะอีกฝ่ายดูเป็นมิตรและใจดีที่สุดในบรรดาผีที่เธอเจอมา

    “แล้วมาเอดะซังมาดักรอหนูถึงนี่ มีอะไรหรือเปล่าคะ” ฮิมาวาริถาม เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยชอบไปไหนมาไหนไกล ๆ โดยปกติพวกวิญญาณจะคอยอยู่ตามที่ที่ตัวเองรู้สึกผูกพันก่อนตาย สำหรับชายชราตรงหน้าแล้ว ที่ตรงนี้ไม่ใช้เขตที่เขาชอบมาสักเท่าไหร่ เพราะไกลจากที่ที่เขาสิงสถิตอยู่มาก

    ‘ข้ามีเรื่องสำคัญจะมาถาม แล้วคันนะก็โผล่มาพอดี เลยถามว่าแม่หนูอยู่ที่ไหนแล้วให้นางพามา’

    ฮิมาวาริหันไปมองผีนักเรียนสาวที่ชื่อคันนะอย่างจับผิด ไม่เคยคิดมาก่อนผีสาวจะรู้ด้วยว่าเธอไปไหนมาไหนบ้าง หรือว่าจะแอบตามมาโดยที่เด็กสาวไม่รู้กันแน่ พอคันนะเห็นสายตาแบบนั้นเลยรีบแก้ตัวพัลวัน

    ‘อย่ามองฉันแบบนี้สิ ฉันแค่มีสายนิดหน่อยเลยไปถามเอาน่ะ อีกอย่างเธอเองก็โด่งดังในหมู่พวกเราจะตาย ยังไม่ชินอีกเหรอ’

    เด็กสาวได้ยินแบบนั้นถึงกับเหวอด้วยความทึ่ง แม้แต่พวกผีก็มีคอนเนคชั่นด้วยงั้นเหรอ นี่คงเป็นเรื่องพีคที่สุดในรอบสัปดาห์ของฮิมาวาริซะแล้ว แต่เธอไม่ได้สนใจมากขนาดที่อยากจะถามต่อจึงหันไปคุยกับมาเอดะแทน

    “แล้วมีเรื่องอะไรอยากจะถามหนูเหรอคะ”

    ชายชรากระแอมเบาๆ แล้วรีบเปิดประเด็น

    ‘วันนี้ข้าเห็นแม่หนูคุยกับชายคนหนึ่งแถวศาลเจ้าอาคาซึกิน่ะ รู้จักกันงั้นเหรอ’

    ฮิมาวารินึกถึงเคียวจูโร่ขึ้นมาก่อนจะพยักหน้าตอบ “ค่ะ”

    ‘งั้นแม่หนูก็คงรู้ใช่ไหมว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา’

    “หนูทราบค่ะ เพียงแต่บอกไม่ได้ว่าเป็นคนหรือเป็นผีกันแน่ แค่รู้สึกว่าเขาพิเศษกว่าคนอื่น”

    มาเอดะครางในลำคออย่างพอใจ ฮิมาวาริที่เป็นคนตอบคำถามมาตลอดก็ขมวดคิ้วสงสัย หรืออีกฝ่ายจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับคนที่เธอเพิ่งจะรู้จักกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า ด้วยความอยากรู้จึงเป็นฝ่ายถามออกไปบ้างว่า

    “หรือว่าคุณรู้จักเขาเหรอคะ”

    เสียงหัวเราะดังออกมาจากชายชรา เขาโบกไม้โบกมือไปมาราวกับถูกใจในคำถามแล้วตอบเสียงนุ่ม

    ‘ยิ่งกว่ารู้จักเสียอีก ข้าเคยคุยกับพ่อหนุ่มนั่นอยู่หลายหน เป็นคนที่มุ่งมั่นและเอาการเอางานมาก ข้าชอบคนแบบนั้น’

    คันนะพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาเพราะคนที่อายุมากสุดแตะบ่าห้ามเอาไว้ราวกับจะปรามว่าเขาขอเป็นคนพูดเอง ให้อีกฝ่ายอยู่เฉย ๆ แล้วพูดต่อ

    ‘ข้าแค่อยากจะบอกว่าจงอยู่ใกล้เขาไว้ให้มากที่สุด อย่างน้อยเขาก็ช่วยปกป้องคุ้มครองแม่หนูได้’ 

    ฮิมาวาริขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ จู่ ๆ ก็มาบอกว่าให้เธออยู่ใกล้คนที่เพิ่งรู้จักกันแปบเดียวแบบนี้มันออกจะดูแปลกไปสักหน่อย เขาต้องคิดว่าเธอโรคจิตแน่ ๆ 

    ‘เอาเป็นว่าเชื่อข้าเถอะ ที่ข้ามาเตือนเพราะเอ็นดูแม่หนู อีกอย่างช่วงหลัง ๆ นี้ข้าไม่ค่อยได้คุยกับพ่อหนุ่มนั่นแล้ว เห็นคันนะบอกว่าเขายังสบายดีอยู่ข้าเองก็สบายใจ’

    อีกฝ่ายบอก รอยยิ้มใจดีส่งมาให้ แต่เป็นฮิมาวาริที่เอียงคอสงสัย จึงถามออกไป 

    “ทำไมล่ะคะ”

    ชายชราที่มองรอบตัวอย่างเพลิดเพลินหันมาสบตาเธอนิ่ง ก่อนจะตอบด้วยเสียงราบเรียบว่า

    ‘เพราะร้อนเกินไปน่ะสิ’

     

     

    Rothy's Talk :

    ในที่สุดก็รู้จักกันแล้ว เคียวจูโร่ไปไหนมีแต่คนเอ็นดูสมเป็นตัวเขาจริง ๆ ค่ะ มาทีทำเอาฮิมะหัวหมุนเลย 555 ว่าแต่ทำไมพวกผีถึงมาบอกแบบนั้น มีนัยยะอะไรแอบแฝงรึเปล่านะ 

     

    แก้คำผิดครั้งทืี่ 1: 25 ธ.ค. 64

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×