คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 1st Piece of the Sun : ศาลเจ้าอาคาซึกิ
☼
1
ศาลเจ้าอาคาซึกิ
11 ปีต่อมา
“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้แล้วกัน กลับบ้านดี ๆ ล่ะ”
สิ้นเสียงครูประจำชั้นที่ลอยมาจากแท่นสอน เสียงลากโต๊ะเก้าอี้ก็พร้อมใจกันดังขึ้นราวกับรอเวลานี้มานานแสนนาน เหล่าเด็กนักเรียนต่างรีบเก็บกระเป๋าเพื่อกลับบ้าน
“เฮ้อ เลิกซักที”
“หิวชะมัด ไปหาอะไรกินกัน”
“วันนี้นายต้องเข้าชมรมรึเปล่า”
เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กทำให้บรรยากาศในห้องเรียนครึกครื้นเหมือนทุกวัน ทว่า ฟูจิวาระ ฮิมาวาริ ไม่สนใจเสียงรอบตัวเลยแม้แต่น้อย เธอรีบหยิบหนังสือเรียนและของอื่น ๆ โยนลงกระเป๋าอย่างคล่องแคล่ว เมื่อตรวจดูอย่างถี่ถ้วนว่าตัวเองไม่ลืมอะไรแล้วจึงรีบเดินออกจากห้อง
ช่วงเวลาเลิกเรียนนั้นอากาศเย็นสบายสมเป็นฤดูใบไม้ผลิ ลมเย็นพัดมาเบา ๆ ทำให้ดอกซากุระที่บานสะพรั่งเต็มต้นโปรยกลีบลงมาอย่างสวยงาม
บริเวณหน้าโรงเรียนคลาคลั่งไปด้วยเด็กนักเรียนหลายสิบคน บางส่วนตรงดิ่งกลับบ้าน บางส่วนก็เข้าทำกิจกรรมชมรม ยิ่งโดยเฉพาะช่วงนี้เปิดเทอมใหม่ ๆ ทำให้กิจกรรมของเหล่านักเรียนคึกคักเป็นพิเศษ
ฮิมาวาริมองต้นซากุระที่ปลูกเป็นแนวยาวไปตลอดทางเดินด้วยความเพลิดเพลินพลางฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ ระหว่างที่กำลังเดินสบายใจบนทางเดินนั้น หญิงสาวในชุดขาวก็ปรากฏตัวขึ้น เธอมีผมยาวประบ่า และผิวกายสีขาวซีดดักรออยู่ข้างหน้า เธอมองฮิมาวาริแล้วร้องทัก
‘แหม ดูมีความสุขจังเลยนะ’
“...”
‘มาอยู่กับฉันไหมล่ะ ตอนนี้ฉันทั้งเหงาแล้วก็โดดเดี่ยวมากเลย นะ?’
หญิงสาวถาม แต่ฮิมาวาริกลับเดินผ่านหน้าตาเฉย เธอมองสองข้างทางไปมาขณะที่ปากฮัมเพลงเบา ๆ
‘ฉันรู้นะว่าเธอมองเห็นฉันน่ะ’
เธอโผล่มาขวางหน้า ทว่าฮิมาวาริเดินผ่านทะลุตัวไป
‘นี่! ทำไมเธอถึงชอบทำเป็นไม่เห็นฉันนักนะ’
คนโดนเมินส่งเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจ เธอโผล่ไปทางนั้น แวบมาทางนี้ หรือแม้แต่กระโดดขวางหน้าแท้ ๆ แต่เด็กสาวกลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวมองอย่างหงุดหงิดและแล้วก็แสยะยิ้มราวกับนึกอะไรบางอย่างออก เธอจึงวิ่งหายแวบไปในกำแพง
ฮิมาวาริฮัมเพลงต่อไปเรื่อย ๆ พลางคิดถึงเรื่องอาหารมื้อเย็น ตายังคงมองทางเดินข้างหน้า แต่แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อหญิงสาวที่หายไปเมื่อกี้โผล่มาขวางทางเธอไว้พร้อมกับยื่นหน้ามาใกล้จนจมูกแทบชนกัน ดวงตาสีดำหดเล็กลงจนเห็นแต่ตาขาว ริมฝีปากซีด ๆ แผดเสียงดังลั่นจนแสบแก้วหู
‘ยัยคนนิสัยเสีย!!!!’
เด็กสาวหลับตาปี๋แล้วร้องเบา ๆ
“โอ๊ย! ตกใจหมดเลย”
‘นั่นไง’ ฮิมาวาริสะดุ้งตอนที่ผีสาวโผล่มาจากข้างหลัง ‘เธอเห็นฉันจริง ๆ ด้วย’
คนโดนแกล้งมองอย่างคาดโทษ ใจนึกอยากจะต่อว่าวิญญาณตรงหน้าที่เล่นแรงเกินไป แต่แล้วเธอก็เลือกที่จะเงียบแล้วรีบวิ่งหนีผีสาวข้างกาย เมื่อเห็นรถประจำทางมาจอดเทียบป้ายที่อยู่ไม่ไกลนัก
‘ชิ ฝากไว้ก่อนเถอะ’ หญิงชุดขาวแค่นเสียงเมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ขอ จากนั้นจึงวิ่งหายแวบเข้าไปในกำแพง
ฮิมาวาริกระโดดขึ้นรถได้ทันท่วงที เพราะคนไม่เยอะเท่าไรนักทำให้ไม่ต้องยืนให้เมื่อยขาและยังสามารถหาที่นั่งเหมาะ ๆ สำหรับชมวิวข้างทางได้อย่างสบาย ๆ
เสียงถอนหายใจดังออกมาจากเด็กสาวเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า แม้จะเจอเรื่องแบบนี้บ่อย ๆ แต่ก็ไม่เคยชินสักที และสาเหตุที่ต้องมาวนเวียนกับ ‘เรื่องแบบนี้’ นั่นก็เพราะ…
เธอเห็นวิญญาณ
ตั้งแต่จำความได้ ฮิมาวาริมักจะเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น หรือที่คนส่วนใหญ่ให้คำจำกัดความสั้น ๆ สองคำคือ ‘ผี’ กับ ‘วิญญาณ’ ส่วนต้นสายปลายเหตุของเรื่องทั้งหมดนั้นไม่มีใครรู้ แม้แต่พ่อกับแม่ก็หาคำตอบให้ไม่ได้ซ้ำยังคิดว่าเธอพูดไปเรื่อยตามประสาเด็ก
ทว่าความจริงก็คือความจริง เมื่อปัญหาแรกเกิดขึ้น ปัญหาที่สองและสามก็จะตามกันมาเรื่อย ๆ เหมือนลูกโซ่ เริ่มจากพวกวิญญาณที่ดันรับรู้ความสามารถพิเศษในการมองเห็นของเธอเข้า ทำให้พวกเขาจะคอยวนเวียนมาหาบ่อย ๆ ทั้งขอให้ไปอยู่ด้วยบ้าง คอยให้ช่วยทำนี่นั่นบ้างเพื่อที่ตัวเองจะไปเกิดใหม่ทำให้เธอได้พูดคุยกับวิญญาณเหล่านั้นอยู่บ่อยครั้ง และนั่นก็นำไปสู่ปัญหาใหม่ที่เพิ่มเข้ามาจนเธอต้องกุมขมับ เมื่อมีคนปล่อยข่าวลือว่าเธอเห็นผีเพราะเห็นว่าเธอนั่งคุยอยู่คนเดียว ทำให้เพื่อน ๆ ต่างก็หวาดกลัวและตีตัวออกห่างเธอเสียอย่างงั้น
โชคดีที่พระเจ้ายังเมตตาเธออยู่บ้าง เพราะบางคนก็เชื่อสุดใจ ในขณะที่บางคนก็มองว่าไร้สาระเพราะคิดว่าเป็นแค่ข่าวลือ (ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องจริงทั้งนั้น) ทำให้ฮิมาวาริเลือกที่จะปิดปากเงียบ เพราะความคิดคนเป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้ ใครจะว่าอะไรเธอไม่สนใจ ขอแค่ให้ชีวิตอย่างสงบสุขก็เพียงพอ ตั้งแต่นั้นมาเธอจึงเลือกที่จะไม่สบตาและไม่พูดคุยกับวิญญาณเหล่านั้นอีก
ฮิมาวารินั่งมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อใกล้ถึงจุดหมายปลายทางเด็กสาวจึงเอื้อมมือไปกดกริ่ง ความเร็วของรถที่เคยคงที่ค่อย ๆ ชะลอลงและหยุดในที่สุด เธอจึงรีบก้าวขาลงจากรถ
วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบสิบเก้าปี ดังนั้นฮิมาวาริจึงตั้งใจจะมาขอพรที่ศาลเจ้าซึ่งอยู่ใกล้บ้านและโรงเรียนมากที่สุด
ศาลเจ้าอาคาซึกิ เป็นศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงในด้านการให้โชค จึงไม่แปลกนักที่จะมีคนมากมายมากราบไหว้ขอพรไม่ขาดสาย ทั้งคนท้องที่ คนต่างจังหวัด หรือนักท่องเที่ยว แม้จะเป็นศาลเจ้าที่ดูไม่เก่าแก่เท่าไรนักหากเทียบกับที่อื่น ๆ ในญี่ปุ่น แต่ข่าวลือหนาหูที่ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่มากราบไหว้ขอพรที่ศาลเจ้าแห่งนี้ ส่วนมากถ้าไม่สมหวังก็มักจะมีโชค ทำให้คนแวะเวียนมาที่นี่บ่อย ๆ ยิ่งเป็นช่วงเทศกาลหรือวันขึ้นปีใหม่ด้วยแล้วผู้คนจะมามากเป็นพิเศษ
เสาโทริอิสีแดงตั้งตระง่านตรงหน้าทางเข้าศาลเจ้า ความร่มรื่นของต้นไม้ด้านในที่ปลูกเป็นแนวยาวชวนให้รู้สึกสงบ กลิ่นธูปลอยมาแตะจมูกทุกครั้งที่เดินผ่าน และเสียงระฆังดังแว่วมาตามลมเมื่อเข้าใกล้ตัวศาลเจ้า
ฮิมาวาริโยนเหรียญห้าเยนใส่กล่องไซเซ็นบาโกะ* เบา ๆ แล้วเอื้อมมือไปสั่นกระดิ่งยักษ์ที่แขวนใกล้ ๆ จากนั้นจึงโค้งคำนับ ปรบมือสองครั้งแล้วอธิษฐาน
เมื่อขอพรที่ต้องการหมดแล้ว ฮิมาวาริจึงรีบถอยออกมาเพื่อให้คนที่มาทีหลังได้ขอพรบ้าง เสียงเขย่าเซียมซีดังขึ้นเป็นจังหวะเรียกความสนใจ นอกจากศาลเจ้าแห่งนี้จะให้โชคแล้ว เซียมซีที่นี่ก็มีความแม่นยำมากในระดับนึงด้วย ปกติฮิมาวาริไม่ค่อยให้ความสนใจกับเรื่องแบบนี้เท่าไรนัก แม้ศาลเจ้าจะอยู่ใกล้บ้านก็ใช่ว่าเธอจะแวะมาบ่อย ๆ แต่เมื่อคิดได้ว่าไหน ๆ ก็มาถึงที่แล้ว จะลองดูสักหน่อยก็คงไม่เสียหายอะไร เธอจึงรีบเดินเข้าไปทันที
กล่องเซียมซีเขย่าอยู่หลายครั้งจนในที่สุดแท่งไม้ก็หล่นลงมา ฮิมาวาริยื่นให้มิโกะสาวที่คอยบริการหยิบคำทำนายและแนะนำเกี่ยวกับเซียมซี เธอยื่นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ส่งกลับมาให้ฮิมาวาริด้วยรอยยิ้ม
“ขอให้โชคดีในการทำนายนะคะ”
ฮิมาวาริยกยิ้มเล็กน้อยพลางเอื้อมมือไปรับ จากนั้นจึงหมุนตัวเดินออกมาจากบริเวณนั้น ใบเซียมซีถูกคลี่ออก ตัวอักษรญี่ปุ่นเรียงรายปรากฏสู่สายตา เธอตั้งใจอ่านเงียบ ๆ
เซียมซีใบที่ 19
吉
(โชคดี)
ด้ายแห่งโชคชะตากำลังดึงให้พบกัน พระอาทิตย์จะปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดมิด
ชะตาชีวิตจะพลิกผัน
สองคิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อยขณะอ่านใบเซียมซี คำทำนายโดยรวมบอกว่าโชคดี แต่เนื้อหาที่อ่านแทบตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง แม้การเรียนและการเงินอยู่ในเกณฑ์ดี ความรักเรื่อยๆ แต่สุขภาพนั้นเข้าขั้นวิกฤต ไหนจะคำทำนายแปลก ๆ ที่อยู่ในนั้นอีก แต่เมื่อยังมีความโชคดีอยู่บ้าง ฮิมาวาริก็ไม่นึกอยากเก็บมาใส่ใจ เพราะเธอก็แค่ลองเสี่ยงทายบ้างตามประสาคนอยากรู้อยากลอง
เพราะมัวแต่จดจ่อกับใบเซียมซีจึงไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัว พอรู้ตัวอีกทีฮิมาวาริก็พบว่าตัวเองเดินมาด้านหลังศาลเจ้าเข้าแล้ว ต้นซากุระที่ปลูกสูงต่ำเรียงรายมีดอกบานสะพรั่งเต็มต้น ข้าง ๆ กันนั้นมีต้นสึบากิที่มีดอกใหญ่สีแดงสดบานสูงเป็นพุ่มคู่ ฮิมาวาริเดินชมรอบตัวด้วยความสนใจ
“เมี๊ยว”
เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นจนเธอเผลอสะดุ้ง ฮิมาวาริเหลียวมองรอบตัวเพื่อหาที่มาของมันขณะที่เสียงนั้นยังดังเรื่อย ๆ จนในที่สุดเธอก็พบว่ามันอยู่เหนือหัวของเธอ
แมวสามสีตัวหนึ่งนั่งอยู่บนกิ่งซากุระ ดวงตาสีอำพันกลมโตของมันกำลังจดจ้องมาที่เด็กสาว หูสองข้างตั้งขึ้น ส่วนหางนั้นสะบัดไปมาเบา ๆ เมื่อเห็นว่าฮิมาวาริเจอตัวแล้ว มันก็ยิ่งร้องอีก
“อ้าว เจ้าแมวน้อย ไปทำอะไรข้างบนนั้นน่ะ”
ฮิมาวาริวางกระเป๋าแล้วมองขึ้นไปข้างบน พอประเมินจากสายตาแล้วก็พบว่าแมวตัวนี้อยู่สูงมากเกินกว่าที่เธอจะปีนขึ้นไปรับมัน ดังนั้นเธอจึงมองหาใครสักคนที่ผ่านมาแถวนี้ด้วยความหวังว่าจะสามารถช่วยแมวตัวนั้นลงมาได้
มีปลอกคอด้วย แสดงว่ามีเจ้าของสินะ
แต่เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเพราะไม่มีใครผ่านมาแถวนี้เลยสักคนเนื่องจากเป็นบริเวณหลังศาลเจ้า ฮิมาวาริยืนกล่อมมันอยู่นาน จนในที่สุดจึงตะโกนบอกแมวที่ยืนมองเธออยู่ด้านบน
"เจ้าแมวน้อย กระโดดลงมาเลย เดี๋ยวฉันจะรับเอง ไม่ต้องกลัวนะ"
เด็กสาวอ้าแขนรอรับ และเหมือนแมวตัวนั้นจะรู้เรื่อง มันตั้งท่าจะกระโดดลงมาอย่างละล้าละลัง เมื่อเห็นฮิมาวาริพยักหน้าพลางอ้าแขนรอรับ มันจึงตัดสินใจกระโดดลงมา
ฮิมาวาริกะจังหวะที่แมวจะลงมาได้พอดิบพอดี แมวขนสั้นสามสีตกลงมาในอ้อมกอดเธออย่างนุ่มนวล แต่เพราะน้ำหนักที่มากเกินกว่าที่คิดทำให้เธอเซถอยหลังไปชนใครคนหนึ่งที่โผล่มาจากด้านหลัง
"อา...ขอโทษค่ะ"
เธอหันไปพูดเบาๆ แล้วก้มหัวเชิงขอโทษ ก่อนจะคลายอ้อมกอดเล็กน้อยเพื่อให้แมวหลุดจากอ้อมแขน
ทันทีที่เงยหน้ามองผู้มาใหม่ก็ทำให้เธอนิ่งไปชั่วขณะ สิ่งแรกที่สะดุดตาคือผมสีอำพันที่เธอไม่ค่อยได้เห็นเท่าไหร่นัก ปลายผมของเขามีสีแดงเพลิง ทว่ายามสบตากันก็พบว่านัยน์ตาของคนตรงหน้าเป็นสีเหลืองอ่อนไล่ไปเข้มอย่างสวยงามลงตัว เขาเป็นชายร่างสูงที่แต่งตัวด้วยชุดกิโมโนสีแดงเลือดหมูและกางเกงฮากามะสีดำ พอมองดูคร่าวๆ แล้วอายุน่าจะเท่ากันหรือมากกว่าเธอเล็กน้อย
“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
ฮิมาวาริกะพริบตาปริบ ๆ เมื่อรู้สึกว่าจ้องคนตรงหน้านานเกินไปจนเสียมารยาทจึงรีบตอบกลับไป
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันแค่ช่วยแมวเฉย ๆ โชคดีที่รับได้พอดี” เธอมองหาแมวตัวน้อยที่พูดถึง "อ้าว ไปไหนซะแล้วล่ะ"
"คงเดินไปที่อื่นแล้วล่ะ ขอบใจเจ้ามากนะที่ช่วยแมวของข้าไว้! ข้ากำลังตามหาอยู่พอดี กลัวว่ามันจะเดินเพ่นพ่านจนเกิดอันตรายน่ะ!" คนตรงหน้ายิ้มร่า
"แล้วหายไปอีกรอบแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอคะ"
"ไม่เป็นไรหรอก! คงเดินอยู่แถว ๆ นี้ละมั้ง ไว้ข้าจะตามหาอีกทีเอง เจ้าไม่ต้องกังวลไป!"
สำนวนการพูดแปลกดีจัง
ฮิมาวาริคิดในใจ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนักเมื่ออีกฝ่ายยังยืนยันแบบนั้น เธอเดินไปคว้ากระเป๋านักเรียนมาสะพายแล้วหันไปบอกคนแปลกหน้า
“งั้นขอให้เจอไวๆนะคะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัว…”
ครืน
ซู่!
ฉับพลันท้องฟ้าที่เคยแจ่มใสก็ขมุกขมัวในชั่วพริบตา ก่อนจะแทนที่ด้วยฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสาย ฮิมาวาริรีบยกกระเป๋าขึ้นมาปิดหัวเพื่อกันฝนพลางมองหาที่ที่เธอพอจะหลบฝนได้ แต่คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ไวกว่า เขาชี้ไปที่โรงไม้หลังเล็กที่ไม่ไกลมากนัก
“ไปหลบที่นั่นก่อนเถอะ! ฝนตกหนักแล้ว!”
เท้าย่ำไปบนพื้นที่เฉอะแฉะอย่างเร่งรีบเพื่อเข้าที่ร่ม ฮิมาวาริปัดน้ำที่เกาะตามตัวออก มองท้องฟ้าที่ฝนเทลงมาจนแทบไม่เห็นทาง
“แปลกจัง นี่ฤดูใบไม้ผลิแท้ๆ แต่ฝนดันตกซะได้” เธอพูดอย่างแปลกใจ
“นั่นสินะ! เวลาแบบนี้เหมาะกับการชมซากุระมากเลยล่ะ!”
ชายที่ยืนข้างๆ พูดขึ้นขณะที่กอดอกมองฝน ฮิมาวาริพยักหน้าเห็นด้วย ดอกซากุระบานเต็มต้นแท้ ๆ แต่พอเจอสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจแบบนี้ก็อดเสียดายไม่ได้ เพราะตอนที่เธอเดินทางมาศาลเจ้ายังเห็นคนรอบตัวมีความสุขกับฤดูใบไม้ผลิอยู่มากมาย
เป็นเวลาเนิ่นนานที่บริเวณหน้าโรงไม้ไม่มีบทสนทนาใด ๆ ออกมาอีกเลย มีเพียงเสียงฝนที่เทกระหน่ำลงมาเท่านั้นที่คอยทำให้เธอไม่รู้สึกอึดอัดจนเกินไป ปกติฮิมาวาริไม่ค่อยคุยกับคนแปลกหน้า เพราะไม่อยากพลาดไปคุยกับผีที่โผล่มาแทบจะทุกที่ แต่วันนี้ดูเหมือนชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จะทำลายสถิติของเธอทิ้งไปหมดแล้ว
“แย่ละสิ ไม่ทันแน่ ๆ เลย จะทำยังไงดีนะ”
ฮิมาวาริมองฝนที่ตกลงมาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดด้วยความกังวล ตาคอยมองเวลาในโทรศัพท์มือถือบ่อยๆ เพราะวันนี้เธอต้องไปทำงานพิเศษที่อยู่ไม่ไกลจากศาลเจ้า ความจริงใช้เวลาเดินทางราวสิบนาทีก็คงถึง แต่พอเจอฝนตกหนักแบบนี้เข้าเธอชักเริ่มไม่แน่ใจว่าจะไปทันเวลาหรือไม่ จนในที่สุดเธอจึงตัดสินใจว่าจะยอมฝ่าฝนไปแทน
มือเล็กเปิดกระเป๋าเพื่อหาของที่พอจะเอามาบังฝนได้ โชคดีที่ในกระเป๋ามีร่มเล็ก ๆ คันหนึ่งที่เธอเผลอหยิบติดมือมาจากล็อกเกอร์ที่โรงเรียน ฮิมาวาริจำไม่ได้แล้วว่าหยิบมาตอนไหนและดูเหมือนมันจะอยู่ในกระเป๋าเธอมานานจนลืมไปแล้ว แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญหากตอนนี้มันมีประโยชน์มากท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้
เสียงกางร่มดังขึ้นตามด้วยร่างของเธอที่เดินไปหลบในร่ม สองขาวิ่งต้านฝนที่เทกระหน่ำลงมาไม่หยุดหย่อน แต่พอวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวฮิมาวาริก็ชะงักเมื่อนึกได้ว่าคนข้างหลังอาจจะยืนรอฝนซาเพื่อตามหาแมวของเจ้าตัวที่หายไป เธอลังเลเล็กน้อยก่อนจะวิ่งกลับมาหาแล้วยัดร่มใส่มือเขา
“!!!”
“ฉันว่าคุณคงต้องใช้มากกว่า เอาไว้กันฝนนะคะ ตอนหาเจ้าเหมียวจะได้ไม่เปียกทั้งคู่”
เธอบอกเขารัวเร็ว จากนั้นจึงใช้กระเป๋านักเรียนบังหัวแล้ววิ่งออกไป เสียงของคนที่ยืนอึ้งอยู่ดังขึ้นไล่หลัง
“เดี๋ยวสิ! เอาร่มให้ข้าแบบนี้เดี๋ยวเจ้าก็เปียกทั้งตัวหรอก!”
“ไม่เป็นไรค่ะ!” เธอยิ้มให้พร้อมตะโกนแข่งกับเสียงฝน “ฉันวิ่งไปแบบนี้แปบเดียวเอง ไม่เปียกมากหรอกค่ะ!”
ว่าจบฮิมาวาริก็เร่งฝีเท้าวิ่งฝ่าฝนไป
เคียวจูโร่มองร่มในมือด้วยความรู้สึกยากเกินจะบรรยาย
นางไปแล้ว…
จะเรียกก็คงไม่ทัน ฝนที่เทกระหน่ำลงมาทำให้เขานึกเป็นห่วงเจ้าของร่มที่ยอมสละของของตัวเองให้เขา ความจริงเธอจะเดินไปเลยก็ได้ แต่เขาไม่คิดเลยว่าเด็กสาวจะยอมวิ่งฝ่าฝนไปทั้งแบบนั้น
เดิมทีเขาก็คิดว่าวันนี้อากาศดีเหมาะกับการนั่งชมต้นไม้ดอกไม้ที่บานสะพรั่งในฤดูกาลที่สวยงามแบบนี้ ถ้าไม่ติดว่าแมวที่เขาคอยเลี้ยงดูแอบหนีไปวิ่งเล่นนอกพื้นที่ที่ไกลกว่าปกติจนเขานึกเป็นห่วง ทำให้เขาต้องตามหาอยู่นาน
“เมี้ยวๆ ลงมาเถอะนะ อยู่ข้างบนแบบนั้นเดี๋ยวก็ตกลงมาหรอก”
เสียงหนึ่งดังขึ้นระหว่างที่เขากำลังเดินหาเจ้าแมวหนีเที่ยว เคียวจูโร่นึกสงสัยเลยเดินตามเสียงนั้นไปแล้วก็พบเด็กสาวคนหนึ่งกำลังคุยกับอะไรบางอย่างที่อยู่บนต้นไม้ทำให้เขามองตาม
เจอตัวแล้ว
เจ้าแมวสามสีแอบมาอยู่นี่นี่เอง หางของมันสะบัดไปมาเบา ๆ เหมือนเจอสิ่งถูกใจตรงหน้า เพราะเลี้ยงดูมานานจึงอ่านพฤติกรรมมันออก ท่าทางที่ไม่เกรงกลัวอะไรของมันทำให้เขาแปลกใจ เพราะปกติแมวตัวนี้ไม่ค่อยสุงสิงกับคนเท่าไรนัก แต่พอได้เห็นท่าทางที่ดูเป็นมิตรผิดปกตินั่นทำให้เขาตัดสินใจแอบมองอยู่ห่าง ๆ
ดูเหมือนคนที่ยืนคุยกับแมวจะอ่านท่าทีของมันไม่ออก เสียงหวาน ๆ ที่พยายามเลียนเสียงแมวนั่นทำให้เขายิ้มขำ สองแขนของเธออ้ากว้างออกเพื่อให้มันกระโดดลงมาจากต้นไม้ และแล้วเคียวจูโร่ก็เห็นท่าไม่ดี เมื่อมันก้มตัวต่ำลงทำท่าจะกระโดดลงมา เขาจึงรีบวิ่งมายืนรออยู่ด้านหลังของเด็กสาว
เพราะกะจังหวะผิดทำให้ร่างเล็กถอยมาชนเข้าพอดี วินาทีนั้นทำเขาใจกระตุกวูบ ความรู้สึกแปลกๆ แล่นไปทั่วร่างกายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เคียวจูโร่ตอบไม่ได้ว่ามันคืออะไร แต่เขามั่นใจว่ามันไปในแง่ที่ดี
คนที่อุ้มแมวไว้ในอ้อมแขนหันมาหาเขาพลางเอ่ยปากขอโทษ วงแขนเล็กคลายออกเพื่อให้ตัวต้นเหตุหลุดจากอ้อมกอด
“เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า”
ถามออกไปแบบนั้น เพราะกลัวว่าเธอจะบาดเจ็บหากแมวของเขาเผลอข่วนเธอเข้า คนตรงหน้าส่ายหัวเบาๆ พร้อมกับบอกว่าเธอเดินผ่านมาแถวนี้แล้วเห็นเจ้าสามสีพอดีเลยช่วยมันไว้
บทสนทนาของเขากับเธอผ่านไปอย่างรวดเร็ว คนที่ผ่านมาแถวนี้โดยบังเอิญเตรียมจะขอตัวลา แต่เหมือนฟ้าฝนไม่เป็นใจเท่าไหร่นัก เมื่อท้องฟ้าเริ่มครึ้มแล้วฝนก็เทลงมา
เขาพาเธอไปยืนหลบฝนที่โรงไม้หลังเล็กแถวนั้น มันเป็นโรงไม้เก่าๆที่เอาไว้เก็บอุปกรณ์สำหรับทำความสะอาดศาลเจ้าที่สภาพภายนอกดูทรุดโทรมไปสักหน่อย เคียวจูโร่ลอบมองคนข้าง ๆ ที่พยายามปัดน้ำฝนออกจากตัว น่าแปลกที่ทุกการกระทำของเธอทำให้เขาอยากมองอยู่เรื่อย แวบหนึ่งที่เคียวจูโร่นึกสงสัยถึงการกระทำที่ไม่สมเป็นเสาหลักเพลิงอย่างเขาเสียเลย จนสุดท้ายสมองเขาก็ประมวลผลและได้ขอสรุปออกมาว่า
เขาถูกชะตาเธอ…
นี่คือสิ่งที่ชายหนุ่มคิด
เพราะคอยลอบมองอยู่ตลอดทำให้เขารู้ว่าเธอกำลังกังวล มือเล็กที่คอยมองดูวัตถุสี่เหลี่ยมแทบจะทุกห้านาทีทำให้เขานึกสงสัย สิ่งที่คนสมัยใหม่เรียกว่า ‘โทรศัพท์’ นั่นมีอะไรให้น่าดูนักหรือ?
“แย่ละสิ ไม่ทันแน่ๆเลย จะทำยังไงดีนะ”
เธอบ่นเบาๆ ขณะมองฝนที่กระหน่ำตกลงมา ไม่นานนักเธอก็กางร่มแล้ววิ่งออกไป รู้ตัวอีกทีร่มสีเขียวเข้มของเธอก็ถูกยัดใส่มือเขา ก่อนที่เด็กสาวจะพูดออกมา
“ฉันว่าคุณคงต้องใช้มากกว่า เอาไว้กันฝนนะคะ ตอนหาเจ้าเหมียวจะได้ไม่เปียกทั้งคู่”
ไม่รอเขาพูดพร่ำทำเพลงอะไรเธอก็วิ่งออกไป เขาเรียกรั้งเธอไว้ แต่เจ้าของร่มหันกลับมาหาพร้อมส่งยิ้มให้
“ไม่เป็นไรค่ะ! ฉันวิ่งไปแบบนี้แปบเดียวเอง ไม่เปียกมากหรอกค่ะ!”
ดูยังไงก็น่าจะเป็นมากกว่า ถึงจะเอากระเป๋าบังหัวไว้ แต่วิ่งฝ่าฝนไปแบบนั้นเคียวจูโร่รู้ว่ายังไงเธอก็ต้องเปียกทั้งตัวอยู่แล้ว
เขาไม่รู้ว่าเธอไปไหน แต่การกระทำเล็กๆ ที่ยื่นร่มมาให้ทำให้เขาประทับใจเธอไม่น้อย ที่บอกว่าถูกชะตาก็คงไม่ผิด
จะได้เจออีกรึเปล่านะ ถ้าได้เจอกันครั้งหน้าละก็ เขาจะไปขอบคุณเธอให้ถึงที่เลย!
ใช้เวลาไม่นานนักฝนที่เทลงมาอย่างหนักก็หยุดลง พระอาทิตย์ยามเย็นกำลังตกลับขอบฟ้า เสาหลักเพลิงหุบร่มลง สะบัดเบาๆ เพื่อให้น้ำฝนที่เกาะหลุดออกมา เสียงแซ่กๆ ดังขึ้นที่พุ่มไม้ข้างๆ โรงไม้ทำให้ดวงตาสีเหลืองอ่อนผสมกับสีส้มหันไปมอง
แมวขนสีขาวและน้ำตาลแซมดำตัวหนึ่งเดินเข้ามาหาเขา มันพันแข้งพันขาอย่างอ้อนๆ จนเขาหลุดหัวเราะเสียงดัง
“เมี๊ยว”
มือหนาอุ้มมันขึ้นมากอดแนบอก ลิ้นสีชมพูของมันเลียที่ใบหน้าเขาอย่างเอาใจ เคียวจูโร่ยิ้มกว้างพลางมองร่มในมือ นิ้วเรียวลูบที่สติ๊กเกอร์รูปดอกทานตะวันเบา ๆ ที่ด้ามร่ม ใบหน้าของเด็กสาวที่เขาเจอเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนแวบขึ้นมาในหัว
“มีคนทิ้งร่มให้เจ้ากับข้าด้วยล่ะ! นางใจดีเนอะเจ้าว่าไหม”
ม๊าว มันขานรับอย่างเห็นด้วยก่อนจะยกขาหน้าข้างหนึ่งมาเลีย เคียวจูโร่มองมันอย่างเอ็นดู
“นี่ก็เย็นมากแล้ว เรากลับกันเถอะเจ้าเหมียว!”
เขาอุ้มมันไว้ในอ้อมแขน สองขาก้าวออกมาจากโรงไม้ จากนั้นหนึ่งคนหนึ่งแมวก็หายวับไปหลังพุ่มดอกสึบากินั้น
“ฮัดชิ่ว!”
เด็กสาวนั่งจามเป็นครั้งที่ห้าของวัน มือเล็กยกขึ้นมาขยี้จมูกอย่างเบื่อหน่าย อากาศในร้านขายข้าวหน้าเนื้อเย็นมากจนเธอขนลุกซู่เพราะวิ่งตากฝนมาเข้ากะงานพิเศษตอนเย็น สภาพที่เปียกเหมือนลูกหมาตกน้ำนั่นทำเอาเพื่อนร่วมกะถึงกับตกใจ
ที่บอกว่าสิบนาทียังไงก็มาเข้างานทันนั้นไม่ใช่เรื่องโกหก ฝีเท้าในการวิ่งของเธอเป็นเครื่องยืนยันว่าตัวเองวิ่งไวแค่ไหน เหรียญเงินตอนแข่งวิ่งมาราธอนช่วงงานกีฬาสีที่โรงเรียนตอนมัธยมปลายปีสองเป็นหลักประกันชั้นดีว่าความเร็วในการวิ่งของเธอนั้นไม่ธรรมดา
แต่เธอดันลืมนึกไปว่าที่วิ่งตากฝนมานั่น จุดเริ่มต้นมันคือหลังศาลเจ้าน่ะสิ!
ฮิมาวาริถอนหายใจเบาๆ ราวกับคนที่ปลงสภาพในตอนนี้ของตัวเอง การที่เธอวิ่งฝ่าฝนที่ตกหนักมาได้นั่นนับว่าเธอใจกล้ามากทีเดียว ตัวเปียกตั้งแต่หัวจรดเท้า โชคดีที่กระเป๋านักเรียนยังกันน้ำ ไม่อย่างงั้นหนังสือเรียนกับของในกระเป๋าคงมีสภาพไม่ต่างจากเธอในตอนนี้
ลูกค้าภายในร้านไม่ได้มากเหมือนอย่างเคยเพราะสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการออกมาทานข้าวข้างนอก ทำให้เธอมีเวลาว่างมากพอที่จะนั่งมองฝนตกหน้าร้านอย่างเหม่อลอย พอเห็นคนเดินกางร่มผ่านหน้าร้านไปทำให้เธอนึกถึงใครบางคนที่เพิ่งเจอที่ศาลเจ้าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า
ผู้ชายที่โผล่เข้ามาโดยบังเอิญ คนที่ดูโดดเด่นทั้งหน้าตา รวมไปถึงสีผมและดวงตาสีเหลืองอำพันคนนั้น ถ้าจะบอกว่าเจิดจ้าเหมือนพระอาทิตย์ ฮิมาวาริก็บอกได้เลยว่ามันไม่เกินจริง
และเธอก็ยกร่มให้เขาไปแล้ว
ร่มคันเดียวและคันสุดท้ายที่เธอมีนั่นล่ะ
ไม่รู้ว่าทางนั้นจะเป็นยังไงบ้าง ถ้าไม่ติดว่าเธอมีงานพิเศษที่ต้องทำเธอก็อยากจะช่วยเขาหาแมวสามสีให้เจอ ดูจากใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรของคนๆ นั้นทำให้รู้ว่าเขาเป็นคนรักสัตว์มากทีเดียว ตอนที่เธอเดินกางร่มออกจากโรงไม้นั่นทำให้เธอนึกกังวล กลัวว่าถ้าฝนไม่หยุดตกเขาคงหาแมวไม่เจอ หรือไม่ก็มันอาจจะหลงทางจนหาทางกลับไม่พบ ฮิมาวาริจึงตัดสินใจมอบร่มคันโปรดให้เขาไป
แล้วป่านนี้จะเจอเจ้าแมวน้อยนั่นหรือยังนะ?
“ฮะ…ฮัดชิ่ว!”
“ท่าทางไม่ไหวแล้วนะ วันนี้กลับไปพักเถอะ”
พนักงานประจำสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาหาด้วยรอยยิ้ม เธอวางถาดเสิร์ฟอาหารลงที่ข้างแคชเชียร์แล้วนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ฮิมาวาริเอามือลูบหน้าตั้งสติให้ใจจดจ่อกับงาน เธอยิ้มแหย ๆ ให้แล้วบอกคนตรงหน้า
“ไม่เป็นไรค่ะ ยังไม่หมดเวลาทำงานเลย แค่นี้สบายมากค่ะ”
“เห แต่ดูจากสภาพเธอตอนนี้ไม่ไหวหรอก นั่งจามตั้งแต่เข้ากะแล้วนี่นา กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะนะ”
ฮิมาวาริลังเล ที่คนตรงหน้าพูดมาก็จริง ตั้งแต่เข้ากะวันนี้เธอก็นั่งจามไปหลายหน นึกขัดใจที่ร่างกายเป็นอุปสรรคการทำงาน แต่เพราะเธอทำตัวเองจึงไปโทษใครไม่ได้ ตอนนี้เธอเริ่มมึนหัวขึ้นมาเหมือนกัน สงสัยวันนี้คงต้องรีบกลับไปกินยาแล้วพักผ่อนซะแล้ว
และเหมือนคนอายุมากกว่าจะรู้ว่าฮิมาวาริคิดอะไรอยู่ เธอขยับยิ้มพูดขยายความความต่อ “ไม่เป็นไรหรอก ผู้จัดการอนุญาตแล้ว ฉันไปขอมาให้เพราะดูท่าว่าเธอจะไม่ไหว วันนี้ลูกค้าน้อยเพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงหรอกนะ”
“จริงเหรอคะ” ฮิมาวาริตาเป็นประกาย เธอเด้งตัวขึ้นจากแคชเชียร์แล้วพูดอย่างร่าเริง “ขอบคุณนะคะ ฟุคาเบะซัง!”
หญิงสาวที่ชื่อฟุคาเบะหัวเราะนิดๆ อย่างชอบใจ เธอโบกมือไปมาราวกับเป็นเรื่องเล็กน้อย “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ถือซะว่าตอบแทนที่ฮิมะช่วยอยู่แทนฉันคราวก่อนที่ต้องพาน้องชายไปหาหมอล่ะกัน”
ฮิมาวาริพยักหน้ารับด้วยความดีใจ เธอขอบคุณหญิงสาวตรงหน้าอย่างซาบซึ้ง ฟุคาเบะที่เห็นว่าเธอไม่ยอมไปสักทีจึงรีบดันเธอไปที่ห้องแต่งตัวตัวพนักงานก่อนจะรีบออกมารับออเดอร์ลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาในร้าน ฮิมาวาริแอบมองแล้วยกยิ้ม จากนั้นจึงรีบไปเปลี่ยนเป็นชุดนักเรียนที่เพิ่งซักแห้งมา ก่อนออกจากร้านเธอก็ไม่ลืมไปขอโทษผู้จัดการที่วันนี้ขอออกกะก่อนเวลา ซึ่งเขาก็ไม่ว่าอะไรพร้อมกับบอกให้เธอดูแลตัวเองดี ๆ
โชคดีที่ฝนหยุดตกตอนที่เธอออกจากงานพอดี ถนนที่เฉอะแฉะทำให้คนที่เดินผ่านย่านนี้เบาบางลงถนัดตา ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินซึ่งเป็นเวลาค่ำแล้ว ร้านรวงรอบ ๆ เปิดไฟสว่างจ้าอย่างสวยงาม ฮิมาวาริมองรอบตัวอย่างสบายใจ
หลังจากเดินไปได้สักพัก เธอก็หยุดที่ร้านขายเบเกอรี่ร้านหนึ่ง ข้างในมีตู้กระจกใสที่มีเค้กหลายก้อนวางเรียงอยู่ในนั้น วันนี้เป็นวันเกิดอายุครบสิบเก้าปีของเธอ ดังนั้นฮิมาวาริจึงรีบผลักประตูเข้าร้านไปอย่างไม่รีรอ
ใช้เวลาเลือกไม่นานนัก ไม่กี่นาทีต่อมาเค้กขนาดหนึ่งปอนด์ก็มาอยู่ในมือ เสียงพนักงานกล่าวขอบคุณไล่มาตามหลังพร้อมกับคำอวยพรวันเกิด ฮิมาวาริก้มหัวให้เล็กน้อยก่อนจะเดินออกมาจากร้าน
ทว่ายามที่จะก้าวเดินเธอก็ต้องชะงัก กระจกของร้านสะท้อนภาพของใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าขาวนวล ดวงตาสีเขียวมรกต ผมสีน้ำตาลอ่อนที่ยาวลงมาถึงไหล่เล็ก และริมฝีปากสีพีชได้รูปยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยด้วยความภูมิใจยามมองตัวเองในกระจก
นี่คือ ฟูจิวาระ ฮิมาวาริ ในวัยสิบเก้าปีเต็ม
เธอปัดผมและดูความเรียบร้อยของตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า ยิ้มให้ตัวเองอีกครั้งก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา จากนั้นเธอก็รีบวิ่งเพื่อให้ทันรถประจำทางที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
วันนี้เธอถึงบ้านไวกว่าเวลาปกติเพราะออกงานไว ฮิมาวาริบิดตัวไปมาด้วยความเมื่อยจากการเดินเป็นเวลานาน จากนั้นจึงรีบหยิบกุญแจไขประตูเข้าบ้านไป
“กลับมาแล้วค่ะ”
“…”
ไม่มีเสียงตอบใด ๆ กลับมา ในบ้านนั้นมืดสนิท ฮิมาวาริถอนหายใจก่อนจะถอดรองเท้าใส่ไว้ในตู้ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ประตูภายในบ้าน มือเอื้อมเปิดไฟไล่ไปตามทางเดิน บ้านหลังใหญ่สว่างโร่ในไม่กี่นาที เด็กสาวมองรอบบ้านที่เงียบสงัดด้วยความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้ามา ความโดดเดี่ยวกำลังเรียกหาเธอ
ใช่สิ ก็เธออยู่บ้านหลังนี้คนเดียวนี่นา
ถึงจะเป็นเรื่องปกติ แต่ฮิมาวาริก็ไม่เคยชินเอาเสีย บ้านหลังใหญ่กับตัวเธอเพียงคนเดียวทำให้อดที่จะรู้สึกเหงาและเปล่าเปลี่ยวไม่ได้ ทุกครั้งที่กลับบ้านเธอมักจะรู้สึกแบบนี้เสมอ
พ่อกับแม่เสียชีวิตไปตั้งแต่เธออายุเก้าขวบด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ฮิมาวาริจำได้ว่าวันนั้นเธออยู่บ้านเพราะเป็นวันหยุดและฝนก็ตกหนัก พ่อกับแม่ของเธอเพิ่งเลิกงานและตกลงกันว่าจะซื้อเค้กมาเป่าฉลองวันเกิดด้วยกัน แต่ระหว่างทางกลับบ้าน ถนนที่ใช้สัญจรเกิดลื่นทำให้รถเสียหลักลงข้างทาง พ่อกับแม่จึงเสียชีวิตคาที่
ฮิมาวาริจำได้ว่าตอนนั้นเธอช็อคมาก เหมือนโลกทั้งใบพังทลายลงแทบไม่มีชิ้นดี การจากไปของพ่อกับแม่เธอนั้นทำให้เธอเคว้งคว้างและเสียศูนย์ แต่โชคดีที่เธอยังมีย่าอยู่ ตอนที่โรงพยาบาลโทรไปแจ้งข่าวร้าย ย่าของเธอร้องไห้น้ำตาไหลอาบสองแก้ม ภาพที่ย่ากอดศพพ่อกับแม่ตอนที่จะเตรียมทำพิธียังคงติดตาเธอตลอดมา
ฮิมาวาริในตอนนั้นไม่ได้ร้องไห้ ไม่ใช่เพราะไม่เศร้า แต่เพราะร้องจนแทบจะไม่มีน้ำตาหลงเหลืออีกต่อไป ความโศกเศร้าเกาะกินจิตใจเด็กอายุเก้าขวบอย่างเธอมาก แขกเหรื่อที่มาในงานศพต่างมองเธอด้วยความสงสารเวทนา เสียงกระซิบกระซาบที่พวกผู้ใหญ่คุยกันลอยเข้าหูเธอตลอด และเหมือนย่าก็รับรู้เรื่องนี้ หญิงวัยชราต้น ๆ ดึงเธอเข้ามากอดไว้แน่น
“ไม่เป็นไรนะฮิมะ หลานยังมีย่าอยู่ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ย่าจะดูแลหลานอย่างดีเองนะ”
คำพูดของย่าทำให้น้ำตาของเธอที่เหือดแห้งไปนานหลายวันกลับมาคลอหน่วยอีกครั้ง มือเล็กโอบรอบคอคนตรงหน้า น้ำใสๆ ไหลออกมา เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังเงียบๆในอ้อมอกของย่า สัมผัสอบอุ่นที่เธอโหยหาได้รับการเติมเต็มอีกครั้งพร้อมกับคำมั่นสัญญาที่ทำให้เธอใจชื้นขึ้นช่วยให้เธอกลับมามีกำลังใจอย่างเต็มเปี่ยม
หลังจากพ่อแม่จากไป ฮิมาวาริก็อยู่ในความดูแลของย่าตลอดมา หญิงชราย้ายมาอยู่ที่บ้านในโตเกียวที่พ่อกับแม่สร้างไว้ให้ เธอกับย่าอยู่กินได้ด้วยสมบัติที่สองหนุ่มสาวสร้างไว้ เงินประกันมากมายที่พ่อกับแม่ทำให้ส่วนหนึ่งเอาไปจ่ายธนาคารทำให้บ้านเป็นของสองย่าหลานเต็มตัว และเงินอีกส่วนย่าของเธอเก็บไว้เพื่อให้เธอใช้ในอนาคต
ชีวิตที่ไม่มีพ่อกับแม่ของฮิมาวารินั้นในสายตาคนอื่นดูเป็นเด็กที่น่าสงสาร แต่สำหรับเธอแล้วกลับไม่มีปัญหาอะไรเลยแม้แต่น้อย เพราะย่าเลี้ยงดูเธอด้วยความรักความอบอุ่นเสมอ หญิงชราเป็นให้ทั้งพ่อและแม่ นั่นทำให้เธอเป็นเด็กร่าเริงอยู่เสมอ
สองย่าหลานใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยกันตลอดมา จนกระทั่งฮิมาวาริอยู่มัธยมต้น เธอก็พบข่าวร้าย…
ย่าของเธอเป็นโรคหัวใจ
แม้จะตกใจ แต่หญิงชรากลับหัวเราะด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับว่าไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร พร้อมกับปลอบใจกึ่งแหย่เธอเล่นว่านี่คือ ‘โรคของคนแก่’ ที่คนในวัยแบบเธอต้องเจอซึ่งเป็นเรื่องปกติ ตั้งแต่นั้นมาฮิมาวาริจึงคอยดูแลย่าของเธออย่างดี
ชีวิตในแต่ละวันนั้นผ่านพ้นไปด้วยความสุข แต่คำพูดที่ว่าความสุขมักอยู่กับเราไม่นานนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง
เย็นวันหนึ่งในฤดูหนาว ฮิมาวาริกลับมาจากโรงเรียนพร้อมกับใบคะแนนสอบที่ทำได้เต็มด้วยความภาคภูมิใจ เธอตั้งใจจะเอามาอวดหญิงชราอย่างเต็มที่ ทว่าเมื่อเปิดประตูเข้าบ้านไปก็พบย่าของเธอนอนหลับอยู่บนเสื่อทาทามิเหมือนที่เคยทำเป็นประจำเวลารอเธอเลิกเรียน เสียงโทรทัศน์รายการโปรดดังขึ้นในห้องนั่งเล่นทำให้เธอนึกสงสัย ปกติย่าของเธอจะคอยนั่งดูรายการนี้อย่างตั้งอกตั้งใจเสมอไม่เคยพลาดเลยสักนาทีเดียว ฮิมาวาริเอื้อมมือไปกอดย่าเต็มแรงหวังจะให้เธอตกใจเล่น แต่ทว่ากลับเป็นเธอต่างหากที่ตกใจแทน
ร่างกายของคุณย่าเย็นเฉียบเลย
ฮิมาวาริเริ่มร้อนรน เธอเรียกหญิงชราอยู่หลายครั้งแต่ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา ย่าของเธอไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ฮิมาวาริจึงตัดสินใจเรียกรถพยาบาล
“ดูเหมือนว่าคุณยายคนนี้จะเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้ได้สักหนึ่งชั่วโมงแล้วครับ คาดว่าน่าจะเป็นเพราะหัวใจล้มเหลว”
บุรุษพยาบาลหนุ่มบอกตอนที่กำลังเคลื่อนศพของย่าไปชันสูตร ฮิมาวาริได้แต่ยืนฟังเงียบ ๆ
“…”
“ผมขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ”
เขาโค้งตัวให้ก่อนจะหันไปยืนคุยกับพยาบาลสาว จากนั้นจึงเรียกเธอขึ้นรถไปโรงพยาบาลด้วยกัน
งานศพจัดขึ้นอย่างเงียบ ๆ ฮิมาวาริในวัยสิบห้าปียืนมองภาพของย่าด้วยความรู้สึกว่างเปล่า เธอเคยเจอเรื่องแบบนี้มาแล้วตอนเก้าขวบ ในตอนนั้นเหมือนเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ครั้งแรก
และครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง
หากจะบอกว่าโลกใบก่อนที่มีพ่อกับแม่พังทลาย งั้นโลกใบใหม่ที่เธออยู่กับย่าก็คงดับสลายละมั้ง
การจากไปแบบไม่มีคำร่ำลาของคนที่รักสามคนทำให้เธอเสียใจอย่างหนัก ความโศกเศร้าเกาะกินใจเธอนานเกือบปี ฮิมาวาริไม่มีญาติิให้พึ่งพิง และนั่นเป็นสิ่งยืนยันว่าต่อจากนี้ไปเธอต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียวอย่างสมบูรณ์
ดูเหมือนว่าย่าของเธอจะรู้ว่าตัวเองอยู่ได้ไม่นาน เอกสารจำเป็นต่างๆ จึงถูกจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อย เงินจำนวนหนึ่งของย่าที่ทิ้งไว้ให้นั้นมากพอที่ให้ฮิมาวาริีใช้จนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ยิ่งรวมกับเงินที่พ่อแม่เก็บไว้ด้วยทำให้เธอกินใช้สบายหายห่วง แต่ฮิมาวาริตั้งใจว่าจะเก็บไว้ใช้เป็นเป็นค่าเทอมและเรื่องฉุกเฉินแทน บางส่วนเจียดมาใช้กินอยู่บ้างเท่าที่จำเป็น ทว่าเงินที่มีแต่รายจ่ายออกไป นานวันเข้าก็ค่อย ๆ ลดหายไปตามกาลเวลา เช่นเดียวกับความโศกเศร้าที่เคยมีก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นแรงฮึดสู้ ดังนั้นพออายุสิบหกเธอจึงเริ่มทำงานพิเศษเพื่อหาเงินเข้าบ้าน แลใช้ชีวิตแต่วันอย่างมีความสุข เรียกว่าเธอจัดสรรชีวิตตัวเองได้ดีทีเดียว
"หวังว่าทุกคนจะสบายดีนะคะ ตอนนี้หนูมีความสุขดี ไม่ต้องเป็นห่วง"
ฮิมาวาริยิ้มให้รูปสองรูปที่จัดใส่กรอบอย่างดี รูปแรกเป็นรูปถ่ายสามคนพ่อแม่ลูกที่ถ่ายตอนที่ไปเที่ยวทะเลเมื่อตอนอายุเจ็ดขวบ ส่วนอีกรูปเป็นภาพถ่ายของเธอกับย่าที่สวนดอกไม้ที่บ้านต่างจังหวัด เป็นภาพที่มีความสุขและมีชีวิตชีวาเสมอทุกครั้งที่เธอมองมัน
ไฟในบ้านดับลงเหลือเพียงไฟในห้องนั่งเล่นที่ให้แสงสลัว เทียนห้าเล่มถูกจุดขึ้น เสียงร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ดังเบา ๆ จนครบสามรอบ ฮิมาวาริจึงอธิษฐาน
ตั้งแต่เสียพ่อ แม่และย่าไปฮิมาวาริก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับวันเกิดเท่าไรนัก ปกติเธอแค่ไปศาลเจ้าขอพรเหมือนทุก ๆ ปี หากปีไหนรู้สึกอยากให้มันพิเศษขึ้นมานิดหน่อย เด็กสาวก็แค่ไปซื้อเค้กมาสักก้อนแล้วจุดเทียนฉลองคนเดียวเงียบ ๆ
เมื่ออธิษฐานจบ เด็กสาวจึงเป่าเทียนทุกเล่มให้ดับลง ควันสีเทาลอยหายไปในอากาศ ฮิมาวาริมองเค้กตรงหน้า ริมฝีปากสีพีชขยับยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดออกมาเบา ๆ
“สุขสันต์วันเกิดครบรอบสิบแปดปีนะฮิมาวาริ ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดีสำหรับเธอนะ”
*กล่องไซเซนบาโกะ (賽銭箱) คือ กล่องที่เอาไว้สำหรับให้โยนเหรียญขอพรในศาลเจ้า ส่วนใหญ่คนญี่ปุ่นนิยมใช้เหรียญห้าเยนในการขอพร เพราะคำว่าห้าเยนออกเสียงว่า ‘โกะเอน’ (ご縁) ซึ่งพ้องเสียงกับคำที่มีความหมายดีในภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่า โชคหรือโชคชะตา ดังนั้นจึงมักใช้เหรียญห้าเยนใส่ในกล่องไซเซ็นบาโกะเพื่อสักการะของพรจากเทพเจ้า และบางครั้งชาวญี่ปุ่นอาจพกเหรียญนี้ติดตัวแทนเครื่องรางเพื่อความโชคดี
ทอล์กเบาๆ กับโรธี
ในที่สุดก็ได้ลงตอนแรกแล้วววว (น้ำตาไหล) รอมานานเหลือเกินกว่าจะได้ลง มรสุมไฟนอลรุมเร้าไหนจะภารกิจส่วนตัวทำให้ล่าช้า ดีใจมากๆ เลยค่ะที่ได้มาอัพสักที ชีวิตของฮิมาวาริผ่านอะไรมาเยอะมาก กอดๆนะคนดี อืม…ไปศาลเจ้ามาเขาบอกว่าจะโชคดีใช่ไหมนะ แต่คำทำนายดูแปลกๆ นะ เอ่อ…เอาเป็นว่าจะเป็นยังไงต่อโปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ เราพยายามเขียนออกมาให้ดีที่สุดเลยค่ะ หากอ่านแล้วภาษาแปลกๆ ต้องขออภัยทุกคนด้วยนะคะ ตอนนี้้ขอลาไปก่อนค่าาา
ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะทุกคน!
ด้วยรัก ♥
Rothy☺
แก้คำผิดครั้งที่ 1: 25 ธ.ค. 64
ความคิดเห็น