NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Kimetsu No Yaiba] A Piece of The Sun - เสี้ยวแสงแววตะวัน (Kyoujuro x OC)

    ลำดับตอนที่ #1 : Prologue

    • อัปเดตล่าสุด 21 ส.ค. 65


    Prologue

    ท้องฟ้ายามค่ำคืนพร่างพรายไปด้วยแสงดาว แสงจันทร์สาดส่องแสงขาวนวลกระทบกับผืนหญ้า สายลมอ่อนๆ พัดเบาๆ ทำให้ต้นไม้ใบหญ้าบริเวณนั้นลู่ไหวไปตามลม

    ห่างออกไปไม่ไกลนัก บนทุ่งหญ้าสีเขียวขจีที่กว้างขวางสุดลูกหูลูกตา มีต้นซากุระต้นใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาสร้างร่มเงา ดอกซากุระสีขาวอมชมพูบานเต็มต้น แต่ยามเมื่อโดนลมพัดเบา ๆ ทำให้กลีบดอกร่วงลงมากระทบกับร่างของใครคนหนึ่งที่นอนหลับอยู่ใต้ต้น

    เมื่อรู้สึกว่ามีอะไรสัมผัสกับใบหน้า เร็นโกคุ เคียวจูโร่ ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น พยายามปรับสายตาให้เข้ากับแสงและทัศนียภาพเบื้องหน้า สิ่งแรกที่เขาเห็นคือดอกซากุระที่บานเต็มต้นเหนือตัวของเขา ลมเย็นๆ ที่พัดมาอีกระลอกทำให้กลีบดอกร่วงลงมากระทบกับใบหน้าเขาอีกสองสามกลีบ นั่นจึงทำให้เขาค่อยๆ ชันตัวขึ้นนั่ง

    ดวงตาสีทองกวาดมองไปรอบตัว ความง่วงงุนหายเป็นปลิดทิ้ง และแทนที่ด้วยความสงสัยที่ก่อตัวขึ้นในใจ

    ตอนนี้ข้าอยู่ที่ไหนกัน?

    เขาจำได้ว่าล่าสุดเขาอยู่บนรถไฟเพื่อทำภารกิจสำคัญที่ได้รับจากอุบุยาชิกิ คากายะ ชายที่เขาให้ความเคารพนับถือและเป็นหัวหน้าหน่วยพิฆาตอสูร และยังได้พบกับนักล่าอสูรรุ่นน้องอีกสามคนที่ถูกส่งมาสมทบด้วย จากนั้นก็ต่อสู้กับอสูรข้างขึ้นตนหนึ่งที่ปรากฎตัวบนรถไฟขบวนนั้น แล้วก็…

    พอนึกมาถึงตรงนี้เคียวจูโร่ก็ชะงัก ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ปะติดปะต่อขึ้นมาในหัวจนถึงเหตุการณ์ล่าสุด ในใจนึกสงสัยระคนตกใจ เขายกมือสองข้างมาดูราวกับไม่เชื่อสายตาตัวเอง จากนั้นก็ก้มมองรอบตัวราวกับหาอะไรบางอย่าง เมื่อเห็นทุกอย่างเป็นปกติเขาก็ขมวดคิ้วและกะพริบตาปริบๆ ด้วยความสับสน

    เป็นไปได้ยังไงกัน

    ก็เขาจำได้ว่าตัวเองตายไปแล้วนี่นา

    ทั้งซี่โครงที่หักจากการต่อสู้ อวัยวะภายในถูกทำลาย อีกทั้งตาข้างซ้ายก็บอดสนิท สภาพของเขาในตอนนั้นยืนยันได้เลยว่ายังไงตัวเขาเองก็ไม่รอด

    “ฟื้นแล้วหรือ”

    เสียงแผ่วเบาแต่ก็เต็มไปด้วยอำนาจดังขึ้นใกล้ ๆ ทำให้เคียวจูโร่สะดุ้งเล็กน้อยแล้วหันไปมอง

    รอบตัวเขามีแต่ต้นไม้ใบหญ้า มองไปทางไหนก็ไม่เห็นที่มาของเสียงเลยสักนิด หรือว่าหูฝาด? แต่เขามั่นใจว่าตัวเองได้ยินเสียงนั้นจริงๆ

    “ข้าอยู่นี่”

    ผีเสื้อตัวหนึ่งบินมาอยู่เบื้องหน้าเขา ปีกสีม่วงอ่อนเหมือนกลีบดอกฟูจิกระพือไปมาเบา ๆ เสาหลักเพลิงเห็นอย่างงั้นจึงยื่นมือออกไปข้างหน้าเพื่อให้มันได้เกาะที่นิ้วเขา

    “เจ้าพูดกับข้าเหรอ”

    “แล้วรอบตัวเจ้าตอนนี้มีใครอีกงั้นหรือ”

    พอโดนถามกลับแบบนั้นเคียวจูโร่ถึงกับสะอึก รอบตัวเขาในตอนนี้ไม่มีใครเลยนอกจากเขากับ…

    ผีเสื้อพูดได้หนึ่งตัว?

    ยังไม่ทันที่เสาหลักเพลิงจะถามอะไร เสียงนั้นก็พูดขึ้นมาก่อน

    “ข้าว่าเจ้าคงมีคำถามอยู่หลายเรื่อง แต่ก็อย่างคิด เจ้าน่ะตายไปแล้ว”

    เคียวจูโร่ไม่ตอบอะไร แล้วก็ไม่แสดงท่าทีตกอกตกใจอย่างที่ผีเสื้อตัวนั้นคิด หากเป็นคนอื่นมาได้ยินแบบนี้เข้าคงร้องโวยวายหรือไม่ก็ตกใจเสียงดังไปแล้ว ท่าทีของชายหนุ่มทำให้ปีกสีม่วงอ่อนกระพือไปมาอย่างถูกใจ

    “ข้า…ทราบเรื่องนั้นดี” เขาตอบเสียงเรียบ

    ถ้างั้นที่นี่ก็คงเป็นสวรรค์ไม่ก็นรกสินะ โลกหลังความตายแท้จริงแล้วเป็นเช่นนี้เองหรือ?

    เคียวจูโร่ประหลาดใจ ครุ่นคิดถึงช่วงเวลาก่อนตายแล้วอารมณ์หลากหลายก็เกิดขึ้นในใจ การช่วยเหลือผู้อื่นให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของอสูรได้นั้นทำให้เขาดีใจ ไหนจะได้ฝากฝังปณิธานอันแรงกล้าของเขาให้นักล่าอสูรรุ่นต่อ ๆ ไปอีกด้วย แม้จะเสียดายเล็กน้อยที่เขาไม่ได้อยู่ดูเหล่าต้นกล้าที่กำลังเติบโตไปเป็นต้นไม้ที่แข็งแกร่งก็ตาม 

    ทุกอย่างช่างลงตัวไปหมด เขาทั้งรู้สึกโล่งใจแล้วก็สบายใจ ความเหน็ดเหนื่อยจากการฝึกฝนและต่อสู้เป็นเวลานานนั้นเหมือนกับฝุ่นละอองที่สลายหายไปกับห้วงเวลาอันเป็นนิรันดร์

    ความตาย…ที่แท้ก็เป็นอย่างงี้นี่เอง

    ยอมรับได้ง่ายๆ คล้ายกับการนอนหลับบนปุยนุ่น

    แต่ทำไมเขาถึงมาอยู่สถานที่แบบนี้ได้ นี่คือสิ่งที่เคียวจูโร่คิด เคยได้ยินคนพูดกันนักต่อนักว่าคนที่มีบ่วงผูกพันเท่านั้นที่จะล่องลอยอยู่ ณ จุดจุดหนึ่งของสามภพ ไม่ได้ที่ที่ไกลแสนไกลเช่นคนที่ปล่อยวางทุกอย่างได้ ตัวเขาตอนก่อนตายนั้นก็ละทิ้งทุกอย่างด้วยจิตใจที่สงบ 

    หรือแท้จริงแล้ว…เขายังมีอะไรที่ติดค้างอยู่?

    ถ้าเป็นเซนจูโร่ น้องชายของเขาแล้ว เคียวจูโร่ไม่นึกห่วงเลยสักนิด เพราะน้องชายของเขายังมีพ่ออยู่ แม้ว่าพ่อของเขาจะชอบดื่มสาเกเมามายไปวันๆ แต่เขาก็เชื่อว่าพ่อของเขาจะต้องปกป้องน้องชาย และดูแลกันและกันได้เป็นอย่างดี

    “เจ้าดูไม่ตกใจเลยสักนิด ข้าประหลาดใจจริงๆ แล้วก็ถูกใจเจ้าด้วย”

    เคียวจูโร่ไม่พูดอะไร แต่ก็ยังคงฟังเงียบๆ

    “ปณิธานของเจ้ายังคงแรงกล้าเสมอแม้วาระสุดท้าย การต่อสู้เพื่อปกป้องคนอื่นโดยไม่สนว่าตัวเองจะเป็นอันตรายถึงชีวิตนั้น มีน้อยคนนักที่คิดได้เช่นเจ้า”

    “…”

    เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่ตอบอะไร ผีเสื้อตัวนั้นจึงพูดต่อ

    “เจ้าตายอย่างมีเกียรติ การสละชีวิตของเจ้าสามารถต่อชีวิตคนอื่นได้อีกนับร้อย และไฟในตัวเจ้าที่จุดไว้ในใจของพวกพ้องนั้นจะเป็นแสงนำทางให้พวกเขาเดินหน้าต่อไปได้ แน่นอนว่าสิ่งนั้นพาให้ข้ามาหาเจ้าที่นี่เช่นกัน”

    “พาท่านมาหรือ ท่านมีสิ่งใดอยากจะบอกกับข้ากันแน่”

    “ข้าจะมอบรางวัลให้เจ้า จากนี้ไปเจ้าจะมีชีวิตเป็นอมตะจนกว่าจะสังหารอสูรตนสุดท้ายบนโลกนี้ได้ หากเจ้าทำสำเร็จ เจ้าจะได้ไปเกิดใหม่”

    “อะไรนะ!” ชายหนุ่มตกใจเมื่อถูกสิ่งตรงหน้ายื่นข้อเสนอให้ “เดี๋ยวก่อน นี่มัน…”

    “ทุกสิ่งบนโลกนี้ล้วนไม่จีรัง แม้แต่ชีวิตหรือพลังอำนาจที่มากล้นของเจ้าเองก็เช่นกัน เมื่อมีเกิดแล้วก็ต้องมีดับ นับต่อจากนี้พลังที่เจ้าเคยมีจะสลายไป ผู้ที่สามารถเห็นไฟในตัวเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถช่วยเจ้าได้”

    เคียวจูโร่ยังคงสงสัย จริงอยู่ที่รางวัลที่เขาได้รับมันช่างมีค่าและสามารถช่วยเหลือคนได้อีกมาก การมีอสูรอยู่บนโลกใบนี้ทำให้ผู้บริสุทธิ์หลายร้อยชีวิตต้องตายไปอย่างไร้ความผิด เขายินดีที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยอยู่แล้ว แต่การที่จะหาคนที่สามารถช่วยเขาได้นั้นเขาเองก็มืดแปดด้านที่จะตามหาเช่นกัน

    “แล้วข้าต้องไปหาคนๆ นั้นที่ไหนกันล่ะ!”

    ยังไม่ทันที่เขาจะได้รับคำตอบ ดวงดาวหลายร้อยดวงบนท้องฟ้าก็รวมตัวกันจนระเบิดแสงสีทองสว่างจ้าในคราวเดียว ความมืดมิดหายไปหมดสิ้น มีเพียงแสงสว่างและความอบอุ่นเท่านั้นที่รายล้อมอยู่รอบตัวเขา 

    “นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าต้องหาเอาเอง”

    เสียงทรงอำนาจบอกเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมกับร่างของเคียวจูโร่ที่หายไปกับแสงสว่างนั้น

     

     

    ป๊อก!

    ลำไผ่กระทบกับแท่นหินทำให้เกิดเสียงสะท้อนดังไปทั่วบริเวณ เสียงน้ำไหลเอื่อย ๆ และฝูงปลาคาร์พกำลังแวกว่ายอยู่ในบ่อชวนให้รู้สึกสงบไม่น้อย ในสวนของบ้านแบบญี่ปุ่นโบราณหลังใหญ่นั้นเงียบสงบเหมือนเคย แต่ก็ไม่ได้เปล่าเปลี่ยวจนทำให้รู้สึกเหงา 

    ที่ระเบียงไม้ของบ้านซึ่งยื่นออกไปเหนือบ่อน้ำใสนั้น มีร่างของหญิงวัยกลางคนสองคนกำลังดื่มด่ำกับความสวยงามของธรรมชาติที่รายล้อมอยู่รอบตัว ยามเมื่อสายลมอ่อน ๆ พัดผ่านชวนให้รู้สึกเย็นสบายแม้จะอยู่ในช่วงฤดูร้อน หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความสำราญใจตรงหน้า

    “ได้ยินว่าลูกชายแต่งงานมาจะสามปีแล้ว ตอนนี้เป็นยังไงบ้างล่ะ"

    คนข้าง ๆ ที่กำลังยกชาขึ้นจิบได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะตอบเสียงเรียบว่า “ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ”

    เมื่อได้ยินคำตอบแบบนั้นทำให้ดวงตาสีเงินอมม่วงของผู้ถามหันไปมองอย่างสงสัย น้ำเสียงที่บ่งบอกอาการกลุ้มอกกลุ้มใจนั้นทำให้เธอนึกอยากรู้ถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวทั้งหมดที่อยู่ในใจของคนข้างกายจึงตัดสินใจถามออกไป

    “มีเรื่องอะไรไม่สบายใจงั้นหรือ”

    คนถูกถามเม้มริมฝีปากแน่นจนกลายเป็นเส้นตรง ก้มมองใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนกับชาอุ่น ๆ ในแก้ว แล้วพูดระบายออกมา

    “ลูกชายของฉันแต่งงานมาจะสามปีแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีหลานมาให้อุ้มสักที ฉันเองก็มีแต่จะแก่ลงทุกวัน ๆ ก่อนตายก็หวังว่าจะได้อุ้มหลานบ้างน่ะสิ”

    คำตอบนั้นทำให้เจ้าของคำถามอึ้งไม่น้อย ที่นั่งกลุ้มอกกลุ้มใจตั้งนานก็เพราะเรื่องนี้หรือไงกัน แต่ถึงอย่างงั้นเธอก็ไม่ได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกไป มือยกแก้วชาขึ้นจิบก่อนจะบอกคนข้าง ๆ

    “เธอควรดีใจที่อย่างน้อยลูกเธอก็โตเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว เรื่องมีลูกมันต้องใช้เวลา ใช่ว่าจะขอให้มีก็มีได้ทันทีสักหน่อย”

    ฟูจิวาระ ซาโยโกะ ได้ยินแบบนั้นก็นึกเห็นด้วยในใจ มันก็จริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า เรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลา หากถึงคราวก็คงจะมาเอง การจะให้เด็กสักคนมาเกิดได้ดังใจนึกนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ถึงอย่างงั้นเธอก็อยากให้ลูกชายของเธอมีหลานมาให้ดูให้ชมไว ๆ

    บ้านของเธออยู่ไกลจากโตเกียว เป็นบ้านหลังเก่าแก่ที่ได้รับการสืบทอดมาจากตระกูลฝั่งสามี แม้จะอยู่ใกล้ภูเขาและห่างจากตัวเมืองอยู่มากแต่ความสะดวกสบายตามแบบวิถีชนบทนั้นช่างเหมาะกับเธออย่างยิ่ง ยุคสมัยและสิ่งต่าง ๆ  รอบตัวที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ใช่อุปสรรคในการดำเนินชีวิตเลยแม้แต่น้อย เดิมทีเธออาศัยอยู่กับลูกชายที่มีเพียงคนเดียว ส่วนสามีจากไปตั้งแต่ยังหนุ่ม ๆ ทำให้เธอต้องเลี้ยงดูลูกเพียงลำพังตลอดมา จนตอนนี้ลูกของเธอโตขึ้นจนแต่งงานไปนานแล้ว ด้วยหน้าที่การงานและการสร้างครอบครัวเขาจึงต้องอาศัยอยู่ในโตเกียว บ้านหลังนี้จึงมีเพียงแค่เธอเท่านั้นที่อาศัยอยู่ แม้ลูกชายและลูกสะใภ้จะมาเยี่ยมเดือนละครั้งสองครั้งให้หายคิดถึง แต่บ้านหลังใหญ่ที่มีเพียงเธออาศัยอยู่คนเดียวนั้นช่างเงียบเหงาจึงอยากให้มีเด็กสักคนมาช่วยเติมเต็มความเหงานี้บ้าง

    แม้เธอจะตั้งความหวังกับเรื่องแบบนี้มากแค่ไหน แต่ซาโยโกะก็ไม่เคยพูดกับลูกชายอย่างจริงจังสักครั้ง เธอแค่เปรย ๆ ให้ฟังว่าถ้าหากบ้านนี้มีเด็กวิ่งเล่นไปมาคงจะสนุกน่าดู และสิ่งที่ได้กลับมาคือเสียงหัวเราะแห้ง ๆ อย่างจนปัญญาของลูกชาย 

    เป็นเวลาเนิ่นนานที่ซาโยโกะจมอยู่กับความคิดเรื่องนี้ซ้ำ ๆ ทำให้คนที่นั่งมองอยู่นานตั้งแต่แรกนึกเสนอความคิดออกมาทำให้ซาโยโกะหันไปหาด้วยความสนใจ

    “ทำไมไม่ให้ลูกชายไปขอพรที่ศาลเจ้าอาคาซึกิดูล่ะ อยู่ที่โตเกียวด้วยนะ ศาลเจ้านี้น่ะมีแต่คนไปขอพร เขาว่าขออะไรก็ได้ดังใจไปหมด”

    “งั้นเหรอ ทำไมฉันไม่เคยได้ยินชื่อศาลเจ้านี้มาก่อนเลยนะ” 

    “น่าจะเพิ่งมีแหละมั้ง จะลองไปดูก็ไม่เสียหาย แต่ของแบบนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละคน ลองเอาไปคิดดูนะ” 

    คนเป็นแขกบอกเสียงเรียบ เจ้าตัวยกชาขึ้นจิบจนหมดแก้วจากนั้นก็คุยกันต่ออีกนิดหน่อย เมื่อเห็นว่ามาอยู่คุยนานแล้วจึงขอตัวกลับ 

    ประตูไม้บานใหญ่ปิดลงตามหลัง ความเงียบสงัดเข้ามาแทนที่ หญิงสาวหันกลับไปมองบ้านญี่ปุ่นโบราณด้วยสีหน้าอ่านยาก มือบางเอื้อมไปสัมผัสประตูบ้าน ตัวอักษรคันจิตัวใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยดอกฟูจิถูกสลักอย่างวิจิตรทำให้ดวงตาสีเทาอมม่วงวูบไหว

     (ฟูจิ)

    เธอเงยหน้ามองท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ยังคงส่องแสงสว่างจ้าเช่นเคย สายลมเย็น ๆ พัดผ่านทำให้ต้นไม้ที่รายล้อมรอบตัวไหวไปตามแรงลม เสียงถอนหายใจดังเบา ๆ ทิ้งท้ายจากนั้นจึงหมุนตัวเดินจากไป

     

     

    ช่างเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่รู้ตัวอีกทีก็เกิดขึ้นจริงซะแล้ว

    หลังจากที่ได้รับคำแนะนำเรื่องศาลเจ้าที่เหมาะแก่การไปขอพรนั้น ซาโยโกะจึงไม่รอช้าที่จะบอกลูกชาย แม้อีกฝ่ายจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องแบบนี้มากเท่าไรนัก แต่เพื่อความสบายใจของคนเป็นแม่แล้ว เขาจึงยอมอย่างเสียไม่ได้และพาภรรยาไปที่ศาลเจ้านั้น

    แต่ใครจะคิดว่าหลังจากนั้นสามเดือน ภรรยาของเขาจะตั้งท้องขึ้นมาจริง ๆ

    ฟูจิวาระ ซาซึเกะ นั่งอมยิ้มขณะขับรถยามนึกถึงเรื่องราวในอดีต รถยนต์คันเล็กขนาดพอดีสำหรับสมาชิกทุกคนในครอบครัวกำลังเคลื่อนไปข้างหน้า สองข้างทางที่เคยเต็มไปด้วยบ้านเรือนและตึกสูงใหญ่เปลี่ยนไปเป็นถนนคู่ขนานสายยาวมุ่งตรงไปยังนอกเมืองอย่างรวดเร็ว เสียงฮัมเพลงดังขึ้นเบา ๆ จากคนขับทำให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หันมาถามพร้อมรอยยิ้ม

    “คิดอะไรอยู่เหรอ อารมณ์ดีเชียว”

    “เปล่าหรอก ก็แค่คิดถึงเรื่องเมื่อ 6 ปีก่อนน่ะ”

    ภรรยาสาวได้ยินแบบนั้นก็เอียงคออย่างสงสัย ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ เมื่อรู้ว่าสามีพูดถึงเรื่องอะไร เธอหัวเราะแล้วโน้มตัวไปกระซิบกระซาบกับคนข้าง ๆ 

    “เรื่องลูกของเรางั้นเหรอ ดูท่าจะภูมิใจมากเลยนะ”

    “แน่อยู่แล้ว เป็นลูกสาวที่น่ารักแถมเป็นลูกคนเดียวอย่างงี้ก็ต้องภูมิใจสิ!” ซาซึเกะบอกอย่างอารมณ์ดีขณะสายตามองทางข้างหน้า “กว่าจะมีลูกสักคนนี่ก็ไม่ใช่ง่าย ๆ เลยนี่นา”

    พอพูดถึงตรงนี้ ฟูจิวาระ ชิอากิ ก็พยักหน้าเห็นด้วย เรื่องอยากมีลูกเป็นอะไรที่คู่รักที่แต่งงานแล้วใฝ่ฝันอยากจะมี โดยเฉพาะตัวเธอกับสามีที่ต้องการมีอีกหนึ่งชีวิตเข้ามาเติมเต็มความสุขให้แก่ทั้งคู่ แต่มันไม่ง่ายเลยสักนิด แม้พวกเธอจะพยายามทุกวิถีทางรวมไปถึงปรึกษาแพทย์ด้วยแล้ว แต่ก็ไม่มีข่าวดีเกิดขึ้นจนเธอนึกน้อยใจ

    และแล้วความหวังของเธอก็ได้จุดประกายขึ้นอีกครั้ง เมื่อวันหนึ่งเธอได้รับโทรศัพท์จากแม่สามี พร้อมกับทางสว่างที่ให้ไปขอพรที่ศาลเจ้าแห่งหนึ่งในโตเกียว แม้ตอนแรกซาซึเกะจะไม่เห็นด้วยและคิดว่าเป็นเรื่องงมงาย แต่ชิอากิก็ไม่ปฏิเสธแถมออกจะยินดีด้วยซ้ำ นั่นทำให้สามีของเธอยอมในท้ายที่สุด

    “แต่ว่าคุณแม่ก็เก่งเหมือนกันนะที่รู้จักศาลเจ้านั้นด้วย เราอยู่ในโตเกียวแท้ ๆ แถมยังใกล้แถวบ้านอีก ยังไม่รู้จักมาก่อนเลย” ชิอากิเปรยอย่างอดสงสัยไม่ได้ ก่อนจะถามชายหนุ่ม “คุณรู้รึเปล่าว่าคุณแม่ได้ยินมาจากไหน”

    ซาซึเกะโคลงหัวอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่ก็ตอบตามความจริง “เห็นว่าเพื่อนบ้านบอกมาละมั้ง”

    หญิงสาวร้องอ๋อออกมาเบา ๆ อย่างรับรู้ จากนั้นจึงชวนสามีคุยระหว่างเดินทาง วันนี้ครอบครัวของเธอตั้งใจจะไปเยี่ยมแม่สามีที่อยู่ห่างออกไปจากโตเกียว ระยะการเดินทางจากบ้านไปถึงจุดหมายปลายทางนั้นช่างห่างไกลหลายกิโลเมตร นั่นทำให้เวลาการเดินทางก็ยิ่งยาวนานมากขึ้นไปด้วย หลังจากที่ทั้งคู่ทำงานอย่างหนัก ในที่สุดก็ถึงเวลาที่จะได้ใช้วันหยุดเพื่อมาพักผ่อนสักที ประกอบกับเธอและครอบครัวไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนญาติผู้ใหญ่มานาน นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด

    ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ท้องฟ้าที่เคยอึมครึมยามเช้ากลายเป็นปลอดโปร่งเมื่อถึงตอนบ่าย แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในตัวรถ ร่างเล็กที่กำลังนอนหลับอย่างสบายที่เบาะหลังรถนั้นขยับตัวไปมาก่อนจะปรือตาขึ้น สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่จากนั้นก็เคลื่อนเข้าสู่ตัวเมือง ภาพบ้านเรือนที่คุ้นเคยทำให้รอยยิ้มผุดขึ้นมา เด็กหญิงโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วร้องถามพ่อกับแม่เสียงใส

    “พ่อขา แม่ขา ใกล้จะถึงบ้านคุณย่าแล้วใช่ไหมคะ”

    “ตื่นแล้วเหรอฮิมะ” คนเป็นแม่หันมาหาด้วยรอยยิ้ม “ใกล้ถึงแล้วจ้ะ อีกแป๊บเดียวก็ได้เจอคุณย่าแล้วนะ”

    “พ่อแวะซื้อเค้กมาฉลองวันเกิดลูกด้วย ไว้ถึงบ้านคุณย่าแล้วเราไปเป่าเทียนกับคุณย่ากันนะ” ซาซึเกะบอกลูกสาวขณะมองที่กระจกหน้ารถ

    “เย้! จะได้เจอคุณย่าแล้ว”

    รถยนต์ของสามพ่อแม่ลูกเลี้ยวเข้าซอกซอยต่าง ๆ จนในที่สุดก็ขับเลียบรั้วบ้านไม้สูงใหญ่ที่ทอดยาวไปจนเกือบสุดทาง ระหว่างที่รถกำลังเคลื่อนไปช้า ๆ นั้น เด็กหญิงที่นั่งเกาะกระจกรถมองทิวทัศน์ริมทางอยู่นั้นก็เห็นใครคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้าน

    เพราะแสงแดดที่จ้าเกินไปทำให้เธอมองไม่เห็นใบหน้าของคนที่เป็นแขกของย่า มีเพียงร่างสูงที่สวมชุดสีดำและชายผ้าคลุมสีแดงเพลิงเท่านั้นที่เธอพอจะมองเห็นได้ เด็กหญิงพยายามหรี่ตามอง ความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็กทำให้เธอหันหลังกลับไปหา แต่ก็พบความว่างเปล่า

    คนอะไรใส่ชุดประหลาดจัง…

    เด็กหญิงตัวน้อยคิดแต่ไม่พูดอะไรออกมา จากนั้นความสงสัยก็มลายไปหมดสิ้นตอนที่เสียงของพ่อร้องบอกว่าถึงที่หมายแล้ว มือเล็กเปิดประตูวิ่งเข้าบ้านไปอย่างเริงร่าทำให้คนเป็นพ่อและแม่หัวเราะอย่างมีความสุข

    ในบ้านแบบญี่ปุ่นโบราณ หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งจิบชายามบ่ายริมบ่อน้ำเล็ก ๆ ข้าง ๆ เธอนั้นมีกล่องเก็บของมากมายวางระเกะระกะ บนโต๊ะตัวเล็กมีสมุดบันทึกเก่า ๆ สองสามเล่มวางอยู่ด้วย

    ซาโยโกะกำลังนั่งเพลิดเพลินกับบรรยากาศยามบ่าย มือเรียวเปิดสมุดบันทึกนั่งอ่านฆ่าเวลารอลูกหลานกลับมาหา ใบหน้าของหญิงวัยชราต้น ๆ กวาดสายตามองข้อความในสมุดบันทึกอย่างสงบ แต่แล้วเธอก็เงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงตึงตังดังมาจากระเบียงพร้อมกับร่างของเด็กหญิงตัวน้อยที่พุ่งมากอดเธอจากด้านหลัง

    “คุณย่าขา ฮิมะมาหาแล้วค่า!”

    “ตายแล้ว หลานย่าเองเหรอ ไหนขอดูหน่อยซิ” ซาโยโกะหัวเราะเบา ๆ แล้วคว้าตัวหลานสาวมาเฉยชม “ไม่ได้เจอกันหลายเดือน หลานดูโตขึ้นเยอะเลยนะ”

    เด็กหญิงยิ้มแฉ่ง ก่อนจะเข้าหอมแก้มย่าของเธอหลายฟอดด้วยความคิดถึง ซาโยโกะมองหลานสาวตัวเองอย่างมีความสุข ยกมือลูบหัวเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู

    “ฮิมะ ทีหลังอย่าวิ่งบนระเบียงเสียงดังสิลูก”

    ซาซึเกะเตือนลูกเบา ๆ ด้วยความเหนื่อยหอบจากการวิ่งตามลูกสาวเข้ามาในบ้าน ในมือสองข้างมีถุงของฝากและสัมภาระมากมายหลายอย่าง ชายหนุ่มวางของลงบนพื้นแล้วทักทายมารดาของตัวเอง

    “มาไวจังนะเจ้าตัวแสบ ไปอาบน้ำอาบท่าพักผ่อนก่อนเถอะ ไว้ตอนเย็นค่อยทำอะไรกินกัน” ซาโยโกะบอกพลางกอดลูกชายแน่น จากนั้นก็หันไปคุยกับลูกสะใภ้อย่างออกรส เมื่อรู้ว่าทักทายกันพอหอมปากหอมคอแล้วแล้ว ชิอากิจึงหันไปบอกลูกสาว

    “ฮิมะนั่งคุยกับคุณย่าไปก่อนนะลูก แม่กับพ่อจะไปจัดของซะหน่อย”

    เด็กหญิงขานรับแล้วเดินไปจูงหญิงชรามานั่ง ซาโยโกะรินชาใส่แก้วส่งให้หลานสาว 

    “คุณย่าทำอะไรอยู่เหรอคะ”

    “ย่ากำลังจัดของอยู่จ้ะ แล้วมาเจอสมุดบันทึกนี่เข้าพอดีเลยนั่งอ่านสักหน่อย”

    คนอายุน้อยเอียงคอมองสมุดบันทึกตรงหน้าอย่างสงสัย ตัวอักษรญี่ปุ่นเขียนเต็มหน้ากระดาษไปหมด เพราะสมุดบันทึกพวกนี้ผ่านกาลเวลาอันยาวนานมามากพอสมควร ทำให้กระดาษกลายเป็นสีเหลืองทุกแผ่น บางหน้าก็ยุ่ยบ้างกรอบบ้าง แต่หมึกที่เขียนไม่ได้เลือนรางไปเลยแม้แต่น้อย

    เด็กหญิงที่นั่งมองการกระทำของย่ามองรอบตัวด้วยความซุกซน บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบแต่ก็ไม่ได้อึดอัดเลยแม้แต่น้อย สายลมเย็น ๆ พัดมาทำให้รู้สึกเย็นสบาย ชาอุ่น ๆ แต่ไม่ขมไหลลงคอทำให้รู้สึกสดชื่น สายตาของเด็กหญิงร่างเล็กมองแก้วชาสามใบที่ตั้งบนโต๊ะ ใบหนึ่งของคนตรงหน้า ใบสองเป็นของตัวเธอเอง

    แล้วใบที่สามเป็นของใคร?

    เธอจำได้ว่าย่าของเธออยู่คนเดียว พอมานึกถึงตรงนี้ ความสงสัยที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนเข้าบ้านนั้นกลับมาในห้วงความคิดและรบกวนจิตใจเด็กน้อยเป็นอย่างยิ่ง เธอเหลียวมองรอบตัว เมื่อเห็นว่าพ่อกับแม่ไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ จึงแอบถามคนตรงหน้า

    “เมื่อกี้คุณย่ามีแขกเหรอคะ”

    หญิงชราที่จมดิ่งสู่โลกแห่งการอ่านถูกดึงกลับมาสู่ความเป็นจริงเมื่อได้ยินคำถามจากหลานสาว ดวงตาที่ผ่านเรื่องราวในชีวิตมานับไม่ถ้วนนั้นเบิกกว้างเล็กน้อย เสียงปิดสมุดบันทึกดังขึ้นเบา ๆ แล้วตอบด้วยท่าทีสบาย ๆ

    “ใช่จ้ะ เป็นแขกคนสำคัญด้วยนะ พอดีเขาขอมาพักที่บ้านสักสองสามวันน่ะจ้ะ”

    ซาโยโกะเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระแวง ก่อนจะโน้มหน้าไปกระซิบกับหลาน

    “พ่อเราไม่รู้เรื่องนี้ใช่ไหม”

    เด็กหญิงยิ้มแล้วพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน “ค่ะ!”

    ซาโยโกะถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอมักจะโดนลูกชายบ่นบ่อย ๆ เรื่องที่ชอบให้ที่พักพิงคนเดินทางเข้าบ้านโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน เธอเองก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของลูกชาย ไม่ใช่ว่าซาซึเกะเป็นคนแล้งน้ำใจ แต่เพราะเป็นห่วงว่าคนที่มาพักจะเป็นผู้ไม่หวังดีแล้วอาจจะทำร้ายแม่ตัวเองต่างหาก จริงอยู่ที่เคยมีปากเสียงเกี่ยวกับเรื่องนี้บ่อยครั้ง แต่สุดท้ายลูกชายของเธอก็ต้องยอมอย่างเสียไม่ได้ และไม่หยิบเรื่องนี้มาพูดกันอีก เพียงแต่กำชับกับมารดาว่าควรจะดูให้ดีก่อนพาใครเข้าบ้าน

    เมื่อมองเด็กหญิงที่กำลังหยิบสมุดบันทึกมาอ่านอย่างสนใจ ซาโยโกะจึงคิดถึงเรื่องที่เธอนึกเป็นห่วงมากที่สุด มือบางตบเบา ๆ ที่เบาะข้างตัวแล้วเรียกหลานสาว

    “ฮิมะ มาหาย่าหน่อยซิลูก”

    คนถูกเรียกรีบไปหา ขยับตัวเข้าไปในอ้อมกอดของย่า ซาโยโกะหัวเราะอย่างชอบใจในความขี้อ้อนของหลานตัวเอง เธอหยิบกล่องใบหนึ่งขึ้นมาเปิด ในนั้นมีรูปถ่ายหลายใบที่ถ่ายไว้นานมากแล้ว บางรูปก็ซีดจาง บางรูปก็เลือนหายจนมองไม่ออกว่าเค้าเดิมเป็นยังไง แต่ก็ยังพอมีรูปที่ยังมองเห็นชัดอยู่บ้าง

    รูปถ่ายใบหนึ่งถูกหยิบมาวางบนโต๊ะ เด็กหญิงร่างเล็กมองรูปนั้นด้วยความสนอกสนใจ

    “นี่เป็นรูปของเทียดฮิสะ ต้นตระกูลฟูจิวาระของเรา”

    ซาโยโกะชี้ไปที่รูปนั้น คนที่ยืนอยู่ตรงกลางรูปเป็นหญิงชราที่รูปร่างเตี้ย ผมสีขาวมัดเป็นดังโงะ ใบหน้าเหี่ยวย่นเหมาะกับช่วงอายุแต่ก็สัมผัสได้ถึงความเมตตายามมอง คนสองคนที่ยืนขนาบข้างคือใครก็มองไม่ออกเพราะส่วนใบหน้านั้นเลือนหายไปแล้ว แต่สองนั้นสวมชุดกักคุรันสีดำทั้งตัวและมีดาบนิจิรินเหน็บอยู่ข้าง ๆ

    “เมื่อก่อนบนโลกเรามีสิ่งมีชีวิตที่ดุร้าย เราเรียกพวกมันว่า ‘อสูร’ พวกมันคอยทำร้ายและกินมนุษย์มายาวนาน แน่นอนว่าตระกูลของเราก็ถูกล่าเหมือนกัน”

    เด็กหญิงนั่งฟังนิ่ง มองรูปนั้นด้วยแววตาสงสัย

    “แต่ว่าก็มีคนกลุ่มหนึ่งคอยออกล่าปราบปรามพวกมัน เราเรียกคนกลุ่มนั้นว่า ‘หน่วยพิฆาตอสูร’ ”

    “หน่วยพิฆาตอสูรเหรอคะ?”

    “ใช่จ้ะ แน่นอนว่าฟูจิวาระอย่างพวกเราก็ได้รับการช่วยเหลือนั้น ทำให้มีลูกหลานมากมายจนถึงตอนนี้ ตั้งแต่นั้นมาตระกูลของเราก็ยึดถือความคิดที่จะคอยช่วยเหลือและต้อนรับพวกเขาอย่างเต็มที่เสมอมา”

    พอพูดถึงตรงนี้ ซาโยโกะก็กุมมือหลานไว้อย่างทะนุถนอม ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองด้วยความห่วงใยและแสนรัก

    ฮิมะ หลานจงฟังคำขอของย่าให้ดี ตระกูลของเรานั้นคอยรับใช้หน่วยพิฆาตอสูรเสมอมา หากวันใดที่พวกเขามาหา จงช่วยเหลือเขาให้เต็มที่นะลูก”

    ในตอนนั้นเด็กหญิงยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณย่าของเธอพร่ำบอก นี่เป็นคำขอที่อยากจะให้เธอดูแลใครสักคนที่มาจากกลุ่มที่คอยช่วยชีวิตบรรพบุรุษครอบครัวเธอไว้อย่างงั้นหรือ? แล้วเธอจะต้องไปหาเขาจากไหน จะเจอตัวได้อย่างไร? นี่เป็นสิ่งที่เด็กหญิงยังคงตั้งคำถามเสมอเมื่อได้ฟังคำขอของคนตรงหน้า

    แม้จะไม่เคยถามออกไปสักครั้ง แต่หากนี่คือสิ่งที่คนที่เธอรักร้องขอ เด็กหญิงก็ยินดีที่จะรับปาก

    “ค่ะ คุณย่า”

    ซาโยโกะกอดหลานสาวแน่น ความรู้สึกตื้นตันและดีใจจนล้นปรี่นั้นไม่สามารถกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดได้ ปณิธานและสิ่งที่ตระกูลฟูจิวาระยึดมั่นเสมอมาได้มีคนได้สืบทอดต่อแล้ว

    และบางที…นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวของเขาและเธอ รวมไปถึงความวุ่นวายในอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น

     

     

    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ทอล์กเล็กๆ กับ Rothy

    ในที่สุด…ก็เอาบทนำมาให้แล้ว!!!! (//จุดพลุ)

    เฮ้อ นานแสนนานกว่าจะได้อัพ พอดีติดเรียนติดปั่นงานเลยไม่ได้ลงสักที เวลาว่างๆก็มาเขียนนิดๆหน่อยๆ นับว่านี่คงเป็นตอนที่ยาวที่สุดที่เคยเขียนแล้วค่ะ

    เปิดมาแรกๆอาจจะงงหน่อยๆ ใช่แล้วล่ะทุกคน มันคือความตั้งใจของเราเองแหละ (อ้าว)

    เรื่องนี้มันอาจจะแหวกแนวจากเนื้อเรื่องหลักไปสักหน่อย (มากกก) เรื่องจะเริ่มหลังที่คุณเคียวของเรา…ฮึก…ไปแล้ว แงงง เพราะงั้นนี่คือฟิคสนองนี้ด คุณพี่จะมาไวไปไวแบบนี้ไม่ได้ ในเมื่อไม่มีใครเสนอ เราคนนี้จะสนองเอง เร็นโกคุซังจงเจริญ!!!!

    ตอนหน้าจะเข้าเนื้อเรื่องหลักแล้ว ตอนนี้คืออารัมภบท เกริ่นเรื่องคร่าวๆ ให้ทุกท่าน

    เพราะฉะนั้นเจอกันตอนหน้านะคะ ><

     

    ด้วยรัก

    Rothy ♥

    แก้คำผิดครั้งที่ 1: 25 ธ.ค. 64

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×