ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ~:+:ตำนานลูกหนัง:+:~

    ลำดับตอนที่ #8 : ไกเซอร์ฟร้านซ์ เบคเคนบราวเออร์

    • อัปเดตล่าสุด 23 พ.ค. 50


                     ในวงการฟุตบอลมีนักเตะเพียงไม่กี่คนที่ประสบความสำเร็จทั้งการเป็นนักเตะ และโค้ช ซึ่งยากนักจะมีใครซักคนที่ทำได้ แต่ยกเว้นเขาคนนี้  "จักรพรรดิลูกหนัง" ฟร้านซ์ เบ็คเคนเบาเออร์ อดีตสุดยอดกองหลังของทีมชาติเยอรมันและของโลก ที่ประสบทั้งการเป็นนักเตะและโค้ช ซึ่งได้รับการยอมรับจากทั่วโลก

                    กว่าจะมาถึงวันนี้ ชีวิตเบ็คเคนเบาเออร์ ผ่านอุปสรรคมาทุกอย่าง  เขาเกิดที่เมืองมิวนิค ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในครอบครัว เบ็คเคนเบาเออร์เป็นลูกชายคนที่สองของ อันโตนี่ เบ็คเคนเบาเออร์ ซึ่งเป็นผู้จัดการทั่วไปของกองพัสดุไปรษณีย์ แต่ในวัยเด็กของเขาก็เล่นตามประสาเด็กแทบดูไม่ออกเลยว่าจะเป็นยอดนักเตะได้  ผ่านมาไม่มีกี่ปี ตอนนั้นเขาอายุแค่ 9 ปี ก็ได้เป็นนักเตะเยาวชนของทีมเอสซี มิวนิค06  แต่จากนั้นอีกไม่กี่ปี เบ็คเคนเบาเออร์ ก็ได้เข้าสู่ทีมเสือใต้ บาเยิร์น มิวนิค ด้วยวัยเพียง 13 ปีตอนนั้นทีมยังเล่นแค่ระดับท้องถิ่นยังไม่ได้ขึ้นสู่บุนเดสลีกา

                    ด้วยความมานะของเบ็คเคนเบาเออร์ เขาฝึกฝนอย่างหนักจนขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของสโมสรได้สำเร็จเมื่อวันที่ 6 มิ.ย 1964 และได้ฤกษ์ลงสนามนัดแรกพบกับ ซังค์.เพาลี และเล่นตำแหน่งปีกซ้าย เพียงแค่ปีแรกเขาประสบความสำเร็จอย่างมากมายและเป็นกำลังหลักของสโมสรพาทีมขึ้นสู่บุนเดสลีกาได้สำเร็จด้วย

                    เพียงแค่วัย 19 ย่าง 20 ปี เบ็คเคนเบาเออร์ ก็ติดทีมชาติเยอรมันตะวันตกแล้ว เมื่อวันที่ 26 มิ.ย 1966 และจากนั้นเขาก็ติดทีมชาติ เยอรมันตะวันตก เข้าแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ประเทศอังกฤษ และการไปครั้งนี้ เขาได้เปลี่ยนบทบาทครั้งสำคัญในการย้ายไปเล่นในตำแหน่งกองกลาง แต่ปีนั้นเยอรมันไปไม่ถึงดวงดาว ต้องพ่ายให้แก่เจ้าภาพอังกฤษไป 4-2 ที่ถึงทุกวันนี้แมตช์นี้เป็นที่กล่าวขานมาตลอดว่าเยอรมันโดนปล้นชัยชนะ หลังจากที่เจฟฟ์ เฮิร์ทส์ ยิงชนขานและบอลตกลงบนเส้นแต่ผู้ตัดสินให้ประตูแก่อังกฤษ ซึ่งตัวเขาเองผิดหวังที่พ่ายแพ้

                   แต่ความผิดหวังก็นำไปสู่ความสำเร็จหลังจากนั้น เบ็คเคนเบาเออร์ นำความสำเร็จหลั่งไหลสู่ สโมสรบาเยิร์น มิวนิคอย่างมากมายกลายเป็นมหาอำนาจของเยอรมันไปเลย ได้ทั้งแชมป์ บุนเดสลีกา เยอรมัน คัพ และ ยังพาทีมได้แชมป์คัพวินเนอร์ คัพ ในป 1967 ด้วย  

                   ปี 1968 เขานำบาเยิร์นยิ่งใหญ่ต่อไป และได้ก้าวมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญอีกครั้ง โดยการที่เบ็คเคนเบาเออร์ ลงไปเล่นตำแหน่ง ที่เกิดขึ้นครั้งแรกว่า           " ลิเบอโร่" ซึ่งคนเยอรมันตื่นเต้นกับตำแหน่งได้ดังกล่าว และ เบ็คเคนเบาเออร์ ก็ทดลองเล่นตำแหน่งนี้ เพราะเขามองว่ามีอิสระในการเล่นทั้งเกมรุกและรับอย่างเต็มที่ คือว่าสามารถไปที่ไหนของสนามก็ได้  และเขาได้เสนอแนวคิดการเล่นแบบนี้ให้กับเฮดโค้ชทีมชาติในตอนนั้นคือ เฮลมุล เชิน แต่ก็ได้รับการปฎิเสธ มีแต่ทีมบาเยิร์น      มิวนิค เท่านั้นที่ยอมรับได้  และปี 1970 เบ็คเคนเบาเออร์ประสบปัญหาบาดเจ็บ ทำให้อดไปช่วยทีมลุยบอลโลกที่เม็กซิโก

                     แต่ปีถัดมาเขาก็ได้รับตำแหน่งกัปตันทีมชาติเยอรมันตะวันตก และตอนนี้ถือว่ากราฟชีวิตของเขาแรงไปข้างหน้าอย่างเดียว และปี 1972 ในศึกฟุตบอลยูโร คือการที่คนทั้งโลก ได้รู้จักการเล่นที่เรียกว่า ลิเบอโร่  ซึ่งเบ็คเคนเบาเออร์ โชว์ให้เห็นถึงการเล่นอันยอดเยี่ยม และจินตนาการที่เป็นเลิศ และสามารถนำทีมชาติเยอรมันตะวันตก ไล่อัดคู่ต่อสู้จนกระทั่งนัดชิง สอนเชิงทีมหมีขาว รัสเซียไปสบายๆ 3-0 และคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ

                     ปี 1974 เยอรมัน จัดการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ปีนั้นแชมป์เก่าบราซิล ยังเป็นตัวเต็ง แต่เสียดาย พวกเขาไม่มีเปเล่และนักเตะเก่งๆคนอื่นอีก  แต่ม้ามืดของจริง ต้องอัศวินสีส้ม ฮอลแลนด์ ซึ่งปีนั้นถือว่าเป็นปีที่สุดยอดของพวกเขา นำทัพโดยโยฮัน ครัฟฟ์ ที่เล่นได้สุดยอด กับระบบที่โลกต้องตะลึง อย่าง "โททั่ลฟุตบอล" และทั้งคู่ก็กลายมาเป็นคู่ชิงชนะเลิศกัน

                     เกมการแข่งขันเป็นไปอย่างสนุก แต่สุดท้ายแล้วเยอรมันของเบ็คเคนเบาเออร์ ที่มีประสิทธิภาพในการเล่นก็ชนะ ความสวยงามของโลกฟุตบอลอย่างฮอลแลนด์ไปอย่างสนุก 2-1 และเบ็คเคนเบาเออร์ กลายเป็นกัปตันทีมชาติเยอรมันและนักเตะคนแรกที่ชูถ้วยฟีฟ่า เวิลด์ คัพ หลังจากถ้วยใบเดิม จูลส์ ริเมต์ ยกให้บราซิลได้เป็นกรรมสิทธิ์หลังคว้าแชมป์โลกไปครองได้ สามสมัยเป็นทีมแรกของโลก

                  หลังจากนั้น เขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด โดยการพาทีมสโมสรบาเยิร์น มิวนิค ครองแชมป์บุนเดสลีกา 3 สมัยติดต่อกัน และต่อความสุดยอด้วยการคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยส์ คัพ  3 ปี ติดต่อกันได้อีกด้วย

                  ชีวิตต่อจากนั้นถือว่าเป็นโบนัสสำหรับเบ็คเคนเบาเออร์ เพราะเขาประสบความสำเร็จทุกอย่างในการเป็นนักเตะแล้ว  และต่อจากนั้นเขาไปเล่นลีกอาชีพที่สหรัฐอเมริกา และเมื่อเขาไปตอนนั้น ก็แทบจะหลุดจากการติดทีมชาติเลย และ เขาได้ยุติการเล่นทีมชาติไว้เพียง 103 นัดเท่านั้น

               ปี 1982 เขากลับมาเล่นให้ฮัมบูร์ก อีก 1 ปี และด้วยวัย 35 ปี เขาตัดสินใจแขวนรองเท้าในปีต่อมา เมื่อไปเล่นที่อเมริกากับทีมนิวยอร์ค คอสมอส  แต่หลังจากนั้นแค่ 2 ปี ชีวิตของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเมื่อทีมชาติเยอรมัน ล้มเหลวอย่างหมดท่าในศึกยูโร 1984 ที่ฝรั่งเศส ทางสหพันธ์ฟุตบอลเยอรมัน ได้แต่งตั้งเขาเป็น โค้ชทีมชาติต่อจากจุ๊ปป์ แดร์วัลล์ แต่ตอนนั้นเขาไม่มีใบประกาศนียบัตร แต่ได้รับการยกเว้นและถูกเรียกในเวลาต่อมาว่าทีมเชฟ 

               ฟุตบอลโลก ปี 1986 เบ็คเคนเบาเออร์ นำทีมเยอรมันที่ถูกมองว่าไร้น้ำยา หักด่านเข้าชิงชนะเลิศ กับ อาร์เจนติน่า ได้สำเร็จ แต่ปีนั้นต้องพ่ายแพ้ให้กับความสามารถของยอดนักเตะโลก อย่าง มาราโดน่า ไปอย่างตื่นเต้น 3-2  และทุกคนก็ได้เห็นฝีมือในการทำทีมของเบ็คเคนเบาเออร์ในงานระดับโลกอย่างฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรก

               แต่อีก 4 ปีต่อมา ฟุตบอลโลกที่อิตาลี  เยอรมันที่เขาคุมทีมมาตลอด ได้ชุดลงตัวที่สุดเลยก็ว่าได้ กลายเป็นตัวเต็งอันดับต้นๆในการแข่งขันครั้งนั้น และก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เขานำทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศอีกครั้ง และคู่ต่อสู้ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน อาร์เจนติน่า แชมป์เก่านั้นเอง ซึ่งครั้งนี้ ทีมของเบ็คเคนเบาเออร์ แกร่งเกินกว่าทีมอาร์เจนติน่า จะชนะได้ และเยอรมัน สามารถเอาชนะไปได้ 1-0 และเป็นแชมป์โลกสมัยที่สามของเยอรมัน

               นี่คือความสุดยอดของมันสมองของเบ็คเคนเบาเออร์ ที่ทำทีมประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่  ต่อจากนั้นเขาก็อำลาวงการฟุตบอล และได้กลับมาทำงานด้านฟุตบอลอีกครั้งในปี 1998 ในฐานะประธานสโมสร บาเยิร์น มิวนิค  และเมื่อเยอรมันเสนอตัวเป็นเจ้าภาพบอลโลก ปี 2006 ฟร้านซ์ เบ็คเคนเบาเออร์ ได้รับเลือกให้เป็นประธานจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก ซึ่งทั้งการเป็นยอดนักเตะ สุดยอดโค้ช และบุคคลิกในและนอกสนาม เบ็คเคนเบาเออร์ คือสุดยอดแล้วยากที่ใครจะเสมอเหมือนอีกแล้วในโลกนี้ ไม่ว่าเขาจะทำไรต้องประสบความสำเร็จทุกอย่าง

               "จักพรรดิลูกหนัง" คำนี้คงมีให้แก่เขาคนเดียวเท่านั้นในโลกนี้  สำหรับชายชื่อ ฟร้านซ์ เบ็คเคนเบาเออร์

     

    เกียรติประวัติ

    ระดับชาติ

     

     

    ระดับสโมสร

     

     

     

     

    เทรนเนอร์

     

     

     

     

     

    ติดทีมชาติเยอรมัน 103 นัด ยิง 14 ประตู

    แชมป์ฟุตบอลยุโรป  ปี 1972

    แชมป์ฟุตบอลโลก ปี 1974

    แชมป์บุนเดสลีกา ปี 1969,1972,1973,1974,1982

    แชมป์เดเอฟเบ โพคาล ปี 1966,1967,1969,1971

    แชมป์ยูโรเปียนส์คัพ ปี 1974,1975,1976

    แชมป์คัพวินเนอร์ คัพ ปี 1967 

    ลงสนาม 424 นัดในบุนเดสลีกา ยิง 44 ประตู

    คุมสโมสรมาร์กเซย 1990-1991

    คุมสโมสรบาเยิร์น มิวนิค ปี 1994,ปี 1996

    แชมป์บุนเดสลีกา ปี 1994

    แชมป์ยูฟ่าคัพ ปี 1996

    คุมทีมชาติเยอรมัน ปี 1984-1990

    แชมป์ฟุตบอลโลก 1990

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×