คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : UEFA European Football Championship
ประวัติ การแข่งขัน ฟุตบอลยูโร
( UEFA European Football Championship )
- สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ FIFA ประกาศรับรองการก่อตั้งสหพันธ์ฟุตบอลของแต่ละทวีปในการประชุมที่กรุงปารีส เมื่อปี ค.ศ. 1953 และในที่สุดสหพันธ์ลูกหนังยุโรป หรือ UEFA ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 15 มิ.ย.1954 ในปีถัดมา การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์ระดับสโมสรของทวีปยุโรปก็ถือกำเนิดขึ้น และในปี 1956 โครงร่างของศึกชิงความเป็นเจ้าแห่งยุโรปก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ก่อนจะเริ่มต้นแข่งขันรอบคัดเลือกขึ้นในอีก 2 ปีให้หลัง โดยมี 16 ทีม เข้าร่วมในขณะนั้นระบบการแข่งขันครั้งแรก ภายใต้ชื่อว่า European Nations' Cup โดยการแข่งขันในรอบแรกเป็นการเตะแบบสองนัดเหย้า - เยือน จนถึงรอบรองชนะเลิศ ซึ่งต้องไปแข่งขันกันในประเทศเจ้าภาพ
- นอกจากนี้ ยังมีการตั้งชื่อถ้วยรางวัลว่า Henri Delaunay ตามชื่อของ อองรี เดอโลเน่ต์ จากสหพันธ์ลูกหนังฝรั่งเศส ที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง UEFA ขึ้น และถือเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศในปี 1960 ขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส พร้อมกับเรียกขานถ้วยแชมป์ตามชื่อเดิมมาจนกระทั่งปัจจุบัน
- จนกระทั่งในปี 1968 ได้เปลี่ยนชื่อการแข่งขันมาเป็น UEFA European Football Championship โดยแบ่งเป็น 8 กลุ่ม ในรอบสุดท้าย คัดทีมอันดับ 1 ของแต่ละกลุ่มเข้าไปเตะรอบก่อนรองชนะเลิศ ส่วนรอบรองและรอบชิงชนะเลิศไปแข่งขันที่ประเทศเจ้าบ้าน ซึ่งในปีนี้ อิตาลี เป็นเจ้าภาพและสามารถคว้าแชมป์ไปครองด้วยการเอาชนะยูโกสลาเวียไป 2-0 จากนัดรีเพลย์ที่เสมอกันมา 1-1
- ปี 1980 ได้เปลี่ยนระบบการแข่งขันด้วยการแบ่งให้เหลือเพียง 2 กลุ่ม จาก 8 ทีม ที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย ซึ่งต้องไปแข่งขันที่อิตาลี ก่อนที่เยอรมันตะวันตกจะได้แชมป์ในปีนี้ไป ด้วยการเอาชนะเบลเยี่ยมไป 2-1
- มาในปี 1992 ได้จัดการแข่งขันขึ้นที่ประเทศสวีเดน ท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองที่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทวีปยุโรป หลังจากเยอรมันทุบกำแพงเบอร์ลิน เยอรมันตะวันตกและตะวันออกรวมประเทศ สหภาพโซเวียตก็แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ จากความล้มเหลวของอุดมการณ์ทางการปกครองประเทศ ทำให้เกิดประเทศใหม่ขึ้นมากมาย
- เหล่าบรรดาประเทศแถบตะวันออกของยุโรป ที่เกิดจากการแยกตัวเป็นอิสระออกมาจากสหภาพโซเวียต จำนวน 48 ประเทศ ได้เข้าร่วมการแข่งขัน ในปี 1996 เป็นผลให้ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันใหม่ โดยคัด 16 ทีมให้ผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้าย ที่ประเทศอังกฤษ และแบ่งเป็น 4 กลุ่ม อันดับที่ 1 และ 2 ของแต่ละกลุ่ม จะผ่านเข้าไปในรอบต่อไป และในปีนี้เองที่ถือเป็นปีแรกที่ใช้กฏ "ประตูทอง" หรือ Golden goal ในช่วงต่อเวลาพิเศษ หากยังเสมอกันในเวลาแข่งขันปกติ 90 นาที
- ในปี 2000 ไฮไลท์อยู่ที่ลูกยิงของ ดาวิด เทรเซเกต์ ที่ยิงลูกประตูทอง Golden Goal ได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ทำให้ฝรั่งเศสคว้าแชมป์ในปีล่าสุดไปครอง
- แนวคิดที่จะจัดให้มีการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปนั้น เริ่มขึ้นในปี 1956 ตามหลักฐานที่มีการจดบันทึกกันไว้ อย่างไรก็ดีต้องรอเวลาล่วงเลยไปอีกถึง 2 ปี การแข่งขันที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกรายกานี้จึงเป็นรูปเป็นร่างขึ้นอย่างเป็นทางการ
ในยุคแรก ๆ ของการแข่งขันนั้น รูปแบบในการแข่งขันแตกต่างจากในยุคปัจจุบันอย่างมาก โดยในยุคแรกเริ่มนั้น จะใช้ระบบน็อกเอ้าต์เป็นหลัก โดยแต่ละชาติ จะพบกันในแบบเหย้า-เยือน ตั้งแต่รอบแรกไปจนถึงรอบตัดเชือก โดยรอบชิงฯ จะเล่นกันแบบเกมเดียวรู้ผล และจะแข่งขันกันที่สนามกลางของประเทศเจ้าภาพ
และเพื่อเป็นการให้เกียรติกับ อองรี เดอลาเนย์ ปูชนียบุคคลทางด้านวงการฟุตบอลของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มแนวความคิดของการแข่งขันรายการนี้ ทำให้บรรดาชาติสมาชิกของ ยูฟ่า หรือ สหพันธ์ฟุตบอลแห่งยุโรป เลือกเอา ฝรั่งเศส เป็นเจ้าภาพชาติแรกที่จัดการแข่งขันในปี 1960 ซึ่งถ้วยรางวัลชนะเลิศนั้น ก็ยังให้เกียรติกับ เดอลาเนีย์ อีกครั้ง ด้วยการเอาชื่อของเขามาเป็นชื่อของถ้วยดังกล่าวด้วย
- สำหรับคู่ชิงชนะเลิศคู่แรกของศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปนั้น เป็นการโคจรมาปะทะกันระหว่าง สหภาพโซเวียต หรือ รัสเซีย ในปัจจุบัน กับทางด้าน ยูโกสลาเวีย เดิม โดยหลังจากกินกันไม่ลงในเวลาปกติ โซเวียต ก็มาเร่งบดเอาชนะไปด้วยสกอร์ 2-1 พร้อมกับกลายเป็นชาติแรกที่ได้แชมป์รายการนี้ไปครอง
อย่างไรก็ดีในการแข่งขันครั้งต่อมาที่ สเปน เป็นเจ้าภาพในปี 1964 นั้น ก็เกิดเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น เมื่อการเมืองเข้ามามีอิทธิพลกับเกมกีฬา โดย กรีซ ได้ปฏิเสธที่จะลงแข่งขันกับ อัลบาเนีย ซึ่งทั้ง 2 ชาติกำลังมีเรื่องพิพาทกันในเวลานั้นพอดี โดย รัสเซีย ยังแกร่งทะลุมาถึงรอบชิงชนะเลิศได้อีกครั้ง ทว่าคราวนี้พวกเขาไม่สามารถจะต้านทานความมุ่งมั่นของทีม "กระทิงดุ" สเปน เจ้าภาพได้ โดยแพ้ไปด้วยสกอร์ 2-1 ในนัดชิงชนะเลิศที่เล่นกันที่กรุง มาดริด เมืองหลวงของสเปน
- ในปี 1968 มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของการแข่งขันจากเดิม โดยนำเอาระบบแบ่งกลุ่มเข้ามาประยุกต์ใช้เป็นครั้งแรก โดย อิตาลี เจ้าภาพในครั้งนี้คว้าแชมป์ไปครอง โดยเอาชนะ ยูโกสลาเวีย เดิมไปด้วยสกอร์ 2-0 หลังจากเสมอกันในเกมแรก 1-1
- ในปี 1972 รูปแบบการแข่งขันยังคงเหมือนเดิมจากเมื่อ 4 ปีก่อน โดยที่ เบลเยียม รับหน้าเสื่อจัดการแข่งขัน ทว่า เบลเยียม ไม่สามารถจะทำแบบที่ สเปน และ อิตาลี ทำได้ โดยเป็นสหพันธรัฐเยอรมนี หรือ เยอรมัน ที่เราเรียกอย่างคุ้นปากในเวลานี้ ที่ได้แชมป์ไปครอง หลังจากถล่มเอาชนะ รัสเซีย ไปขาดลอยถึง 3-0 ที่ บรัสเซลล์ โดย "ไอ้ลูกดินระเบิด" แกร์ด มุลเลอร์ หัวหอกจอมถล่มประตูของเยอรมันจากทีม บาเยิร์น มิวนิค ทำคนเดียวถึง 2 ประตูในรอบชิงชนะเลิศ
- ในปี 1976 ยูโกสลาเวีย ขันอาสาเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันบ้าง เยอรมัน ซึ่งเวลานั้นเต็มไปด้วยผู้เล่นระดับแนวหน้าของวงการฟุตบอลไม่ว่าจะเป็น ฟร้านซ์ เบ็คเค่นบาวเออร์, อูลี่ เฮอเนส, ดีเตอร์ เฮอเนส, แบร์ตี้ โฟกส์, เซปป์ ไมเออร์, ไรเนอร์ บอนโฮฟ และฯลฯ มีลุ้นที่จะเป็นชาติแรกที่ได้แชมป์ 2 สมัย และเป็นการคว้าแชมป์ 2 สมัยติด เมื่อทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ โดยมี เชโกสโลวาเกีย เดิมคือคู่ต่อกรในเกมนัดชิงดำ
เชโกสโลวาเกีย ฝันหวานถึงตำแหน่งแชมป์เมื่อออกนำห่าง เยอรมัน 2-0 เพียงแค่ 25 นาทีแรกของเกม แต่ เยอรมัน ก็แสดงให้เห็นสปิริตนักสู้อันเต็มเปี่ยมของพวกเขา เมื่อตีเสมอสำเร็จ 2-2 ทำให้ต้องไปลุ้นกันด้วยการเตะจุดโทษ ซึ่ง เยอรมัน ก็ต้องอกหักเมื่อ อูลี่ เฮอเนส ซึ่งปัจจุบันคือผู้จัดการทีม บาเยิร์น มิวนิค ในเวลานี้ ยิงบอลหลุดกรอบไป ขณะที่คนสุดท้ายของ เชโกฯ ก็คือ อันโตนิน พาเนนก้า ไม่พลาด ทำให้ เชโกสโลวาเกีย ลบคำสบประมาท จากการที่โดนมองว่า เป็นรองสุดก ู่คว้าแชมป์สมัยแรกให้กับตัวเองได้สำเร็จ
- ในปี 1980 รูปแบบของการแข่งขันได้เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง โดย 8 ทีมสุดท้ายที่เหลืออยู่ ผ่านเข้าเล่นรอบสุดท้ายกันที่ อิตาลี โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มๆละ 4 ทีม แต่ละทีมจะเล่นแบบพบกันหมด และ เยอรมัน ก็กลายเป็นทีมแรกที่ทำสถิติเข้าชิง 3 สมัยติดต่อกัน
เกมนัดชิงชนะเลิศนั้นเล่นกันที่ โรม โดยเที่ยวนี้คู่ต่อกรของ เยอรมัน คือ "ปีศาจแดงแห่งยุโรป" หรือ เบลเยียม เที่ยวนี้ เยอรมัน ไม่ยอมพลาดอีกแล้ว "เจ้ายักษ์โขมด" ฮอร์สท์ ฮรูเบช กองหน้าร่างยักษ์ทำคนเดียว 2 ประตูให้ เยอรมัน เฉือนเอาชนะ เบลเยียม ไปแบบสนุก 2-1
- ในปี 1984 ฝรั่งเศส หวนกลับมาเป็นเจ้าภาพอีกครั้ง และพวกเขาก็ได้สัมผัสกับตำแหน่งแชมป์ฟุตบอลทัวร์นาเมนต ์รายการใหญ่รายการแรกดั่งที่รอคอย เมื่อเอาชนะ สเปน คู่ชิงไปแบบสบาย ๆ 2-0 พร้อมกับการแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวของ "นโปเลียนลูกหนัง" มิเชล พลาตินี่ นักฟุตบอลที่ว่ากันว่าครบเครื่องที่สุดเท่าที่ ฝรั่งเศส เคยมีมา ซึ่ง พลาตินี่ ยังมีส่วนกับ 1 ใน 2 ประตูในเกมนัดชิงฯด้วย เมื่อเขาซัดฟรีคิกสุดสวยผ่านมือผู้รักษาประตูสเปนเข้าไป
- ในปี 1988 เยอรมัน ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพสำหรับการแข่งขันในปีนี้ รูปแบบของการแข่งขันยังเหมือนกับในปี 1980 และ 1984 ก็คือมี 8 ทีมเข้ามาเล่นในรอบสุดท้าย และ ใช้ระบบแบ่งกลุ่ม ทว่า เยอรมัน กลับไปไม่ถึงดวงดาวเมื่อพ่ายต่อคู่ปรับอย่างพวกดัตช์ หรือ ฮอลแลนด์ ในรอบรองชนะเลิศ ทำให้ ฮอลแลนด์ ผ่านเข้าไปเจอ สหภาพโซเวียต หรือ รัสเซีย ในรอบชิงชนะเลิศแทน
- "เพชฌฆาตพรายกระซิบ" มาร์โก ฟาน บาสเท่น 1 ในกองหน้าที่ดีที่สุดตลอดกาลของโลก ถูกจดจำอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับประตูขึ้นนำสุดสวยของเขาให้กับ ฮอลแลนด์ เมื่อ ฟาน บาสเท่น ตวัดยิงบอลในแบบใบไม้ร่วงผ่านมือ ไรนาต ดาสซาเยฟ นายประตูจอมหนึบแห่งยุคนั้นของ รัสเซีย เข้าไปอย่างเหนือชั้น ก่อนที่ "ไอ้งูเก็งก็อง" รุด กุลลิท เจ้าของต้นตำรับเซ็กซี่ฟุตบอลในเวลาต่อมา จะโหม่งทำประตูย้ำชัยให้ทีม "อัศวินสีส้ม" คว้าแชมป์ไปครองด้วยสกอร์ 2-0
- ในปี 1992 สวีเดน ชาติจากกลุ่มนอร์ดิก ได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพ การเมือง ยังเข้ามาแทรกแซง และ เป็นสีสันเล็กๆน้อยๆกับการแข่งขันเหมือนเดิม โดยคราวนี้ไม่มีการแบ่งแยก เยอรมันตะวันตก หรือ ตะวันออก อีกต่อไปแล้ว มีเพียงแค่ เยอรมัน เพียงหนึ่งเดียว ตรงกันข้าม สหภาพโซเวียต ที่ล่มสลายตามความตั้งใจของ มิคาอิล กอร์บาชอฟ ก็เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ในนาม ซีไอเอส ความวุ่นวายไม่จบลงแค่นั้น เมื่อ ยูโกสลาเวีย ที่มีความไม่สงบภายในประเทศ โดนถอดออกจากการแข่งขันไป โดยมี เดนมาร์ก ได้สิทธิ์เข้าเสียบแทน
เดนมาร์ก ซึ่งเคยฝากความประทับใจมาแล้วในฟุตบอลโลก เมื่อปี 1986 ที่ เม็กซิโก สยบเสียงวิจารณ์จากทั่วทุกสารทิศ เมื่อหักด่าน เยอรมัน คว้าแชมป์มาครองอย่างงดงาม โดยเอาชนะ เยอรมัน ไป 2-0 จากประตูของ คิม วิลฟอร์ต และ จอห์น แจนเซ่น และแม้ว่าจะไม่ใช่กองหน้า หรือ กองกลาง ทว่าผู้รักษาประตูของทีม "โคนม" ชุดนั้นอย่าง ปีเตอร์ ชไมเคิล ก็ได้รับเสียงสรรเสริญไม่แพ้กัน เมื่อมีส่วนสำคัญในการพา เดนมาร์ก มาถึงจุดสูงสุด
- ในปี 1996 อังกฤษ ต้นกำเนิดกีฬาฟุตบอลได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพ หลังจากเอาชนะ เยอรมัน ในการหาเสียง รูปแบบของการแข่งขัน ได้เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง เมื่อมีถึง 48 ทีม ร่วมแข่งขันในรอบคัดเลือก (ชาติใหม่ๆจากยุโรปตะวันออกได้กำเนิดขึ้น คือที่มาของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว)
- ในรอบสุดท้ายนั้นมี 16 ทีมผ่านเข้ามาเล่น แบ่งเป็น 4 กลุ่มๆละ 4 ทีม โดยจะเอาแค่ 2 ทีมจากแต่ละกลุ่มมาพบกันแบบน็อกเอ้าต์ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย เยอรมัน ยังแสดงให้เห็นถึงมาตรฐานทางด้านฟุตบอลที่สูงส่งของพวกเขา เมื่อผ่านเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จอีกครั้ง โดยในเกมนัดชิงฯนั้น เปรียบไปก็เหมือนกับเอาหนังเก่าในปี 1976 มาฉายซ้ำอีกครั้ง แต่หนนี้ เยอรมัน เป็นฝ่ายล้างแค้นคืนได้สำเร็จด้วยสกอร์ 2-1 มีการนำกฏประตูโกลเด้นโกล์ ใช้ในยูโรหนนี้เป็นครั้งแรกอีกด้วย โดย โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟ คือเจ้าของประตูทองอันเลื่องชื่อดังกล่าว
- ในปี 2000 เป็นครั้งแรกที่มีเจ้าภาพจัดการแข่งขันร่วม โดย เบลเยียม และ ฮอลแลนด์ 2 ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง รับหน้าเสื่อไป ฮอลแลนด์ ที่มี แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด อดีตสมาชิกจากทีมชุดแชมป์อันเกรียงไกรในปี 1988 ไม่สามารถจะทำให้เพื่อนร่วมชาติสมหวังเมื่อพ่ายในการดวลจุดโทษต่อ อิตาลี ในรอบตัดเชือก เช่นเดียวกับ โปรตุเกส ม้ามืดของทัวร์นาเมนต์ก็หมดลายเมื่อพ่ายให้กับ ฝรั่งเศส ในลักษณะเดียวกัน
อิตาลี ทำท่าว่าจะได้แชมป์ไปครอง ทว่าพวกเขาก็โดนตีเสมออย่างเจ็บแสบในช่วงท้ายเกมจาก ซิลแว็ง วิลตอร์ ก่อนที่ "เทรเซโกล์" ดาวิด เทรเซเกต์ จะทำประตูชัยโกลเด้นโกล์ในการต่อเวลาพิเศษให้ ฝรั่งเศส สานต่อความยิ่งใหญ่หลังจากเพิ่งได้แชมป์โลกในปี 1998 และทีม "ตราไก่" ก็กลายเป็นทีมแรกที่ได้แชมป์โลก และ ต่อด้วย แชมป์ของทวีป
- สำหรับในปี 2004 นี้ โปรตุเกส ดินแดนที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมโบราณ ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน โดยรูปแบบของการแข่งขันนั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด จะมี 15 ทีมจากรอบคัดเลือกรวมกับ โปรตุเกส เจ้าภาพ ลงชิงชัยกันโดยมีตำแหน่งแชมป์ของทวีป คือสุดยอดปรารถนาของแต่ละทีม มาดูกันว่าทีมใดจะคว้าแชมป์ในปีนี้ไปครอง อีกไม่นานเกินรอได้รู้กันครับ
.
ทำเนียบแชมป์
2000 ฝรั่งเศส ( ชนะ อิตาลี 2-1 )
1996 เยอรมัน ( ชนะ สาธารณรัฐเช็ก 2-1 )
1992 เดนมาร์ก (ชนะ เยอรมันตะวันตก 2-0 )
1988 ฮอลแลนด์ ( ชนะ เยอรมันตะวันตก 2-0 )
1984 ฝรั่งเศส ( ชนะ สเปน 2-0 )
1980 เยอรมันตะวันตก ( ชนะ เบลเยี่ยม 2-1 )
1976 เชโกสโลวาเกีย (ชนะ เยอรมันตะวันตกด้วยจุดโทษ 5-3 )
1972 เยอรมันตะวันตก (ชนะ สหภาพโซเวียต 3-0 )
1968 อิตาลี ( ชนะ ยูโกสลาเวีย 2-0 )
1964 สเปน ( ชนะ สหภาพโซเวียต 2-1 )
1960 สหภาพโซเวียต ( ชนะ ยูโกสลาเวีย 2-1 )
ความคิดเห็น