ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    s u g a r h o u s e

    ลำดับตอนที่ #1 : lush life

    • อัปเดตล่าสุด 14 มี.ค. 64



    ⌜ lush life ⌟


         ติณณ์ ภานุเมศธนัน คือชื่อของชายคนหนึ่งที่เกิดมาในวันที่สิบเอ็ดสิงหาคม เวลาประมาณสี่นาฬิกาสามสิบห้านาที

         เขาเป็นลูกชายคนเดียวของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทเอกชนจำกัดแห่งหนึ่ง โตมร ภานุเมศธนัน นักธุรกิจที่มีความสามารถมาก และสามารถนำพาบริษัทนั้นไปสู่จุดสูงสุดและทำกำไรได้อย่างมหาศาล ฐานะทางบ้านของติณณ์นั้นจัดได้ว่าดีมากมาตั้งแต่ตอนที่เขายังไม่เกิด เคยมีคนพูดว่าเขาเหมือนกับคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ไม่เคยขัดสนอะไร ตอนเด็ก ๆ เขาก็เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีมากคนหนึ่ง หน้าตาดี ฐานะดี ชีวิตดูเต็มไปด้วยความสุข แต่ตอนนั้นเขาก็ยังไม่รู้ตัวว่าจะต้องเจอกับมรสุมอะไรบ้างในอนาคตที่กำลังจะมาถึงเมื่อเขาเติบโตขี้นมากกว่านี้

         พอติณณ์กำลังจะเข้าเรียนระดับชั้นประถมศึกษา พ่อแม่ของเขาทะเลาะกันหนักมาก ตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าเรื่องอะไรเพราะยังเด็กเกินกว่าที่จะคิดถึงได้ แต่ที่รู้ ๆ คือแม่ของเขากลับไปที่บ้านเกิดอยู่นครศรีธรรมราช ในขณะที่เขาต้องอยู่กับพ่อที่กรุงเทพเพื่อเรียนต่อ (ซึ่งเขามารู้ว่าพ่อกับแม่หย่ากันไปแล้วตอนโต) พ่อเขาเอาแต่ทำงานจนแทบไม่มีเวลาให้ ติณณ์มักจะอยู่กับคุณป้าที่เป็นพี่สาวของพ่อในตอนที่พ่อไม่อยู่ คุณป้ามีลูกชายที่อายุมากกว่าเขาสองปี และเขากับพี่ชายคนนั้นก็สนิทสนมกันมากเลยล่ะ

         ติณณ์เป็นเด็กที่ยิ้มไม่เก่ง เขามักจะทำหน้าตาเหมือนหงุดหงิดอะไรสักอย่างอยู่ตลอดเวลา แถมการพูดการจาในสมัยนั้นก็ไม่ค่อยจะไพเราะเพราะพริ้งสักเท่าไหร่ด้วย เขามีเพื่อนไม่มากนักเพราะแบบนั้น (หมายถึงเพื่อนจริง ๆ) ที่เข้าหาเขาเพราะทางบ้านเขาฐานะดีก็มีเยอะแยะถมเถ พอเอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับเขาเลย แต่ถ้าถามว่าตอนนั้นติณณ์เข้าใจไหม --- ก็ไม่หรอก เขาน่ะคิดว่าเพื่อนรักเขาต่างหาก ต่อให้จ่ายเท่าไหร่ก็ไม่ได้หวั่นไหว กว่าจะรู้ว่านั่นมันเรียกว่าการซื้อมิตรภาพจอมปลอม อายุเขาก็อยู่ระดับมัธยมแล้วล่ะนะ

         ช่วงวัยประถมของติณณ์ไม่ได้มีอะไรน่าจดจำนัก มันเลยผ่านไปเหมือนกับว่าไม่ได้มีความทรงจำอะไรอยู่เลย ถ้าเป็นเรื่องที่เขายังจำได้อยู่และมีท่าทีว่าจะลืมยากด้วย คงเป็นเรื่องสมัยมัธยมต้นล่ะมั้ง...

         ตอนนั้นติณณ์เรียนอยู่มัธยมต้นปีที่สอง เขาได้เจอกับเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง นาริสา ผลทิพย์ หรือที่เขามักจะเรียกเธอว่ นิ้ง นั่นแหละ เธอไม่ใช่คนที่โดดเด่นอะไรมากในสายชั้นหรือในโรงเรียน แต่เธอก็ใจดี ยิ้มเก่ง ขี้เกรงใจ เขากับเธอได้เป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ในตอนแรกเขาไม่ได้คิดอะไร แต่พอเวลาผ่านไป เขาก็เริ่มรู้ตัวว่าตัวเองตกหลุมรักรอยยิ้มของเธอ

         "ตินเองก็ยิ้มเยอะ ๆ หน่อยสิ ยิ้มแล้วหล่อออก เนอะ"

         และใช่ นาริสาเป็นรักครั้งแรกของเขา...

         แต่ก็เพราะสนิทกันนั่นแหละ ตอนแรกเขาเลยไม่กล้าบอกออกไป เธอบอกว่าเขาเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดคนหนึ่ง เขาก็ได้แต่เถียงในใจนั่นแหละว่าไม่ได้อยากเป็นแค่เพื่อน ไม่เอาเพื่อนชุบแป้งทอดด้วย เข้าใจไหม ---

         แต่ในที่สุด เพราะความรู้สึกของเขามันอัดอั้นตันใจ เขาว่ากันว่าเวลาชอบใครให้บอก ไม่งั้นถ้าใจตรงกันขึ้นมาจะมาเสียใจที่หลังไม่ได้ เพราะงั้นเขาขอลองเสี่ยงดูก็ได้วะ...

         "นิ้ง...ตินมีเรื่องอยากบอกอ่ะ"

         "จ๋า?" เธอถาม และรอยยิ้มของเธอก็ยังสดใสเหมือนเดิม

         "คือ --- "

         
    " ตินชอบนิ้งนะ "

         ในตอนนั้น เขาไม่ได้สังเกตหรอก ว่ารอยยิ้มของนาริสาเปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว เขาคิดแค่ว่ารอยยิ้มของเธอก็คือรอยยิ้มนั่นแหละ มันจะมีอะไรมากกว่านั้นกัน

         "...เราก็ชอบตินนะ"

         แล้วก็ใช่อีก ตอนนั้นติณณ์คิดว่าตัวเองกับเธอใจตรงกัน

         เขากับนาริสาตกลงคบกันเป็นแฟน ความสัมพันธ์ไม่ได้เปลี่ยนไปจากตอนเป็นเพื่อนนัก ติณณ์จำได้ทั้งวันครบรอบ วันเกิดของเธอ วันนั้นวันนี้วันโน้น จำได้ว่าเธอชอบและไม่ชอบอะไร เขามีความสุขมาก แต่เขาก็ไม่รู้ตัวหรอกว่ามันกำลังจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตที่กำลังจะถึงนี้

         นาริสาไม่ได้ขออะไรจากเขาเลย แต่ถึงกระนั้นเขาก็เต็มใจที่จะให้ทุกอย่างกับเธอ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอกำลังลำบากใจกับอะไรสักอย่างอยู่ ทุกครั้งที่เธอได้บางสิ่งจากเขา เธอดูไม่มีความสุขเลย

         ก็ในความเป็นจริง เธอไม่ได้ชอบติณณ์ในแง่นั้นเลยนี่นา ไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ ไม่เลยสักนิด

         เธอเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำยังไง เธอไม่อยากทำให้ติณณ์เสียใจ เธอจึงตัดสินใจที่จะคบกับเขา แต่ในตอนนั้นเธอก็ไม่ได้เจ็บปวดอะไรมากมาย สิ่งที่รู้สึกอย่างเดียวคือความรู้สึกผิด

         จนกระทั่งเธอมีคนที่ตัวเองชอบจริง ๆ นั่นแหละ

         ตอนมัธยมต้นปีที่สาม นาริสาเจอคนที่เธอตกหลุมรักจริง ๆ ซึ่งอยู่คนละห้องกัน แต่เพราะในตอนนั้นเธอยังคบกับติณณ์ เธอไม่สามารถบอกคนคนนั้นได้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร และนั่นก็ทำให้เธออึดอัดจนถึงที่สุดของที่สุด

         " ติน เราเลิกกันเถอะนะ "

         ในตอนนั้น เขารู้สึกเหมือนหัวใจหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาทำอะไรให้เธอไม่ชอบ เขาทำอะไรผิด เขาไม่ดีตรงไหน คำถามต่าง ๆ พรั่งพรูเข้ามาในใจไม่หยุด

         "...ทำไมล่ะ?"

         "ก็เราไม่ได้รักติน ไม่ตั้งแต่แรกแล้ว"

         ติณณ์จำได้ว่าตอนนั้นเขารู้สึกเหมือนโดนตบหน้า มันเจ็บมาก รู้สึกชาไปหมด จนแทบพูดอะไรไม่ออก

         ประโยคเดียวที่ตัดเยื่อใยทั้งหมดได้ อย่างไม่มีข้อกังขาใด ๆ

         
    มันเหมือนการบอกเลิกที่ไร้เหตุผลใช่ไหม แต่ในทางตรงกันข้าม เหตุผลก็คือ 'เธอไม่ได้รักเขา' ไง

         "ถ้าไม่ได้รัก แล้วทำไมถึงคบล่ะ?"

         ตอนนั้นเธอร้องไห้ด้วย...

         "ก็เรากลัวตินเสียใจนี่! ถ้าปฏิเสธไปล่ะ ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมไม่ได้"

         "ตอนแรกเราไม่เข้าใจหรอก จนเรามีคนที่ชอบจริง ๆ นั่นแหละ ถึงได้รู้ว่าตัวเองกำลังทำผิด เราทำร้ายติน ทำร้ายตัวเอง ทำลายความสัมพันธ์ทุกอย่าง"

         "เพราะงั้น ให้มันจบลงตรงนี้เถอะ"

         และรักครั้งแรกของติณณ์ ภานุเมศธนัน ก็ขาดสะบั้นลงในที่สุด

         เขาได้รับบทเรียนจากความรักในครั้งนี้มากมาย และเหนือสิ่งอื่นใด คืออย่าได้คบใครเพราะสงสาร

         เพราะเป็นรักครั้งแรก และเขาก็รักเธอมากด้วย มันจึงไม่ใช่เรื่องที่จะมูฟออนกันได้ง่าย ๆ ...


         เขามักจะใช้ชีวิตไปวัน ๆ ไม่ได้มีความฝันอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้ว พ่อของเขาอยากให้เขาทำงานที่มั่นคงและได้เงินเดือนดี ติณณ์ไม่ใช่คนที่ผลการเรียนแย่อะไร แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่มีแพชชั่นกับเรื่องเรียนตลอดเวลา เขาต้องเรียนพิเศษวิชาที่ไม่ถนัดเพื่อให้คะแนนออกมาดี จนกระทั่งเขาพยายามลดความกดดันด้วยการหางานอดิเรกอื่นนอกจากเล่นกับหมาหรือเล่นเกมนั่นแหละ

         เขาเริ่มสนใจฮิปฮอป โดยเฉพาะการแร็ปหรือตำแหน่งเอ็มซี (MC) นั่นเอง เขามีพรสวรรค์มาก แร็ปได้ เต้นบีบอยได้ เป็นดีเจก็ได้ และทุกคนในนั้นก็ให้การต้อนรับเขาเป็นอย่างดี เขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในวงการนี้ มี A.K.A เป็นของตัวเอง และเขาก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังมีความฝัน...

         แต่ก็ยืนอยู่ได้ครึ่งทาง เพราะพ่อของเขาไม่ได้สนับสนุนให้มาทางนี้ไง

         "เรื่องพวกนั้นเป็นแค่งานอดิเรกก็พอแล้ว หางานที่มั่นคง ๆ ทำจะดีกว่านะ"

         " ลูกจะทำอะไรพวกนั้นตลอดไปไม่ได้หรอก "

         ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ เดี๋ยวผมนี่แหละจะทำให้ดูเอง

         เขาถูกย้ำนักย้ำหนาว่าเป็นลูกคนเดียวของพ่อ จะทำให้พ่อผิดหวังไม่ได้ คนที่ไม่กดดันก็คงมีแค่แม่ ลูกพี่ลูกน้องของเขา แล้วก็เพื่อนบางคนที่เข้าใจเท่านั้นมั้ง เขาเลยต้องพักเรื่องที่ตัวเองอยากทำไว้ก่อนแล้วเดินตามทางที่พ่ออยากให้เดิน (แต่ก็ยังทำเป็นงานอดิเรกอยู่)

         แต่ก็แอบหวังว่าจะหลุดจากจุดนั้นได้สักวันอยู่นะ เขาอยากใช้ชีวิตอิสระนี่นา ชื่อแปลว่าผู้ก้าวพ้นความทุกข์แล้วทั้งที มันต้องข้ามไปได้แหละน่า!

         เพราะการที่เขาตาไว เข้มงวด กระฉับกระเฉง ตอนเข้าเรียนที่โรงเรียนสัตว์น้อยจึงถูกทาบทามให้เป็นสารวัตรนักเรียน ซึ่งติณณ์ก็ทำหน้าที่นี้ได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ

         ติณณ์ได้รู้จักกับ [1] และเขาก็ชื่นชมอีกฝ่ายมาก ๆ ด้วย แต่เพราะดูใจดีเกินไปในบางครั้งเขาเลยรู้สึกไม่ชอบนิดหน่อย มันต้องขึงขังอีกหน่อยสิ! --- ไม่ได้ ๆ ห้ามคิดแบบนั้นเด็ดขาด เขาชอบ [1] ในแง่ของเพื่อนหรือพี่น้องเพราะเขาก็คือเขาต่างหากล่ะ โดยรวมแล้วเขาก็ชื่นชมและชื่นชอบอีกฝ่ายนั่นแหละนะ


         ปัจจุบันติณณ์อายุสิบแปดปี เขาได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่าง ได้รับการอบรม เริ่มเข้าใจว่าโลกไม่ได้สวยงามหรือโหดร้ายเสมอไป มันมีทั้งโอกาสและอุปสรรค เขาต้องเลือกรับและฝ่าฝันมันไปให้ได้

         ความฝันของติณณ์ในตอนนี้คือการทำงานเกี่ยวกับวงการดนตรีหรือวงการบันเทิง สนใจอาชีพโปรดิวเซอร์เพลงเป็นพิเศษ แต่จริง ๆ จะเป็นอาชีพอื่นที่อยู่ในวงการก็ได้เช่นกัน เขามีคอนเนคชั่นกับคนอื่นมากกว่าแต่ก่อนแล้ว เพราะงั้นเขาถึงมั่นใจว่าตัวเองจะทำได้ แต่ก็ยังแอบกังวลอยู่ลึก ๆ ว่าพ่อจะผิดหวังรึเปล่านี่สิ...

         งั้น --- ถ้าเขาประสบความสำเร็จในอาชีพนั้น ๆ ก็ถือว่ามิชชั่นคอมพลีทแล้วใช่ไหมล่ะ?

         ดีล่ะ ถ้างั้นต้องไปถึงตรงนั้นให้ได้เลย!

         ติณณ์ยังคงต้องตั้งใจเรียนและเรียนพิเศษในวิชาที่เขาไม่ถนัดอยู่ อย่างน้อย ๆ เขาก็คิดว่าคงทำให้พ่อสบายใจขึ้นมาได้บ้าง แต่เขาก็เริ่มแบ่งเวลาเพื่อเดินตามความฝันต่อเช่นกัน ช่วงนี้เขาไม่ค่อยได้คุยกับพ่อนัก ไม่รู้ว่าถ้าพ่อรู้เข้าจะพูดว่ายังไงบ้าง

         แต่ในทางตรงกันข้ามคือแม่ของเขาสนับสนุนเต็มที่เลยแหละ

         "ถ้าตินชอบก็เอาเลยลูก การได้ทำงานที่เราชอบน่ะมันมีความสุขนะ"

         "แม่อยากให้ตินเติบโตอย่างมีความสุข แต่พ่อเขาก็ไม่ได้คิดแบบนั้นซะทีเดียว อยากให้ทำงานที่มั่นคง ๆ ตอนตินยังเด็กพ่อกับแม่เลยทะเลาะกันน่ะ..."

         ตอนเขารู้เรื่องนั้นก็แอบเสียใจอยู่ไม่น้อยเพราะคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุ แต่แม่ก็บอกว่ามันไม่ใช่แบบนั้นหรอก

         "ทำความฝันของตัวเองให้สำเร็จนะ ยังไงชีวิตก็เป็นของติน ตินต้องเลือกสิ่งที่ตินคิดว่ามันเหมาะสมกับตัวเอง"

         โอเค ถ้างั้นก็เอาตามเดิม

         เพราะมีแม่ที่คอยให้กำลังใจและสนับสนุน ลูกพี่ลูกน้องที่มีงานอดิเรกด้านนี้เหมือนกัน เพื่อน ๆ และแฟนคลับในวงการส่วนหนึ่ง เขาถึงมีพลังที่จะเดินในเส้นทางนี้ต่อไปได้

         ไม่รู้เหมือนกันว่าอยู่ดี ๆ ตัวเองป็อปขึ้นมาได้ไง แต่ก็นะ --- คนหล่อโปรไฟล์ดีก็งี้แหละ (กระแอม)

         แต่ที่จริง ก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เขายังจัดการไม่ได้...

         โคตรอยากมูฟออน แต่ทำไมมันไม่ยอมมูฟออนสักทีวะ!?

         
    สักวันต้องทำได้ล่ะวะ ชื่อติณณ์แล้วทั้งที สักวันต้องทำได้แหละ เชื่อดิ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×