ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Harry Potter] Little Loony Lovegood [George x Luna] [END]

    ลำดับตอนที่ #5 : 5 ll Nargles

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.72K
      277
      20 ม.ค. 63


    5


    Nargles



     

                เช้าของวันหยุดสุดสัปดาห์อากาศดีมากพอที่จะให้เด็กๆ นักเรียนออกไปวิ่งเล่นข้างนอกปราสาท แสงแดดอ่อนๆ ช่วยให้ความอบอุ่น

    ในยามที่ฤดูกาลใกล้หน้าหนาวมากขึ้นทุกที


                ช่วงนี้ทั้งเฟร็ดจอร์จและแฮร์รี่ต่างก็ยุ่งอยู่กับการซ้อมควิดดิชสำหรับฤดูกาลที่กำลังจะมาถึงในเดือนพฤศจิกายน แม้การซ้อม

    จะดูดพลังงานไปเยอะมากชนิดที่ว่ากลับถึงหอพักเพียงแค่หัวถึงหมอนก็สลบเหมือดจนถึงเช้าแล้ว


                แต่ก็ดูจะใช้ประโยคนี้ไม่ได้กับจอร์จ วีสลีย์ ชายผมสีแดงเพลิงที่สามารถรับพลังจากรูปปั้นที่วางตรงโต๊ะข้างเตียงจนกลับมาร่าเริงได้

    ราวกับมันมีเวทมนต์ --เวทมนต์ที่ใช้ได้กับเขาเพียงคนเดียว...


                วันนี้อากาศดี นั่นก็จริงอยู่แต่ก็ไม่น่าจะดีจนถึงขนาดเดินเท้าเปล่าตะลอนทั่วบริเวณปราสาทอย่างลูน่า เลิฟกู๊ดคนนี้ได้


                เด็กสาวผมบลอนด์เดินเท้าเปล่าสัมผัสผืนหญ้าตรงไปยังกระท่อมเล็กๆ ของแฮกริด ริมป่าต้องห้าม แฮกริดเป็นชายร่างยักษ์

    ผู้มีผมยาวรุงรัง มีหน้าที่คอยดูแลสัตว์ที่ฮอกวอตส์ แฮร์รี่เคยบอกเธอว่าพวกเขากับแฮกริดเป็นเพื่อนกัน ถ้ามีปัญหาอะไรที่คุณครูหรือเพื่อน

    ก็ช่วยไม่ได้ แฮกริดอาจเป็นคนเดียวที่ช่วยเธอได้ เมื่อเดินไปถึงก็เห็นเขากำลังนั่งเป่าขลุ่ยอยู่ข้างหน้ากระท่อม


                “สวัสดีค่ะคุณแฮกริด” ลูน่ากล่าวทักทายด้วยท่าทางสุภาพ ทำให้แฮกริดหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดีพร้อมโบกมือไปมา


               “ไม่ต้องเป็นพิธีรีตองขนาดนั้นหรอก เธอเป็นเพื่อนของแฮร์รี่นี่ใช่ไหม วันนี้มีธุระอะไรกับฉันก็ว่ามาเลย ไม่ต้องเกรงใจ”


                 “คุณเห็นตัวนาร์เกิ้ลผ่านมาแถวนี้บ้างหรือเปล่าคะ”


                “นาร์เกิ้ลเรอะ?”

     

               “รองท้าของหนูหายไป หนูสงสัยว่าพวกนาร์เกิ้ลจะเอาไปน่ะค่ะ”


                ชายร่างยักษ์เหลือบตาลงมองดูเท้าเด็กสาว “โอ้ เสียใจด้วยนะ ฉันไม่เห็นมันหรอก แต่ถ้าเรื่องรองเท้า ทำไมไม่ลองไปถามพวกแฝด

    วีสลีย์ดูล่ะ สองคนนั่นชอบซอกแซกไปทั่วปราสาทอาจจะเห็นรองเท้าเธอผ่านตาบ้างก็ได้...” จู่ๆ แฮกริดก็ลุกขึ้น บอกให้เธอรอเขาเดี๋ยว

    ก่อนออกมาพร้อมกับแซนด์วิชหนึ่งถาดเต็มๆ เขายื่นถาดมาให้เธอหยิบมันไปหนึ่งชิ้น


                ลูน่ารับมาตามมารยาทแต่เห็นคนทำกำลังมองเธอมาอย่างคาดหวังเลยกัดเข้าไปหนึ่งคำ จากนั้นก็นิ่งไปเลย “อร่อยจัง--”


                “ใช่ไหมล่ะ!?” แฮกริดหัวเราะชอบใจ “พวกแฮร์รี่น่ะไม่รู้ซึ้งถึงความอร่อยเอาซะเลย”


                “มันคือไส้อะไรเหรอคะ” เด็กสาวถามพลางกัดอีกหนึ่งคำ


                “ไส้ตัวสเตาต์ ตัวมันคล้ายแมว --มีหางเป็นพวง แต่เธอสบายใจได้ มันไม่ใช่แมวหรือสัตว์เลี้ยงน่ารักอะไรหรอกแถมไม่มีพิษ 

    มันอร่อยออกใช่ไหม”


                หลังลูน่าแยกตัวออกไป พวกแฮร์รี่ รอนแล้วก็เฮอร์ไมโอนี่ก็มานั่งดื่มน้ำชาตามคำชวนของแฮกริด เขายังประทับใจไม่รู้ลืมเรื่องที่ลูน่า

    ยอมกินแซนด์วิชไส้ตัวสเตาต์เลยเล่าให้เด็กทั้งสามคนฟัง แถมเสริมเข้าไปด้วยอย่างอารมณ์ดีว่า ‘เธอบอกว่ามันอร่อยด้วยล่ะ’ แล้วก็ส่งถาด

    ให้พวกแฮร์รี่ ทว่าไม่มีใครยอมกินเหมือนเดิม



                เช้าวันนี้เฟร็ด จอร์จยังคงหาเรื่องตื่นเต้นได้เหมือนอย่างเคย พวกเขาสองคนเพิ่งจะวิ่งหนีฟิลช์ที่จับได้ว่าพวกเขาเข้ามาเล่นซน

    ในปราสาทได้สำเร็จ ถึงฟิลช์จะร้ายกาจแต่ถึงอย่างนั้นก็วิ่งตามไม่ทันฝาแฝดวีสลีย์อยู่ดี ขณะพวกเขาเดินลงบันไดพลางกวาดมองดู

    ว่าจะเล่นอะไรต่อ เฟร็ดก็เห็นเด็กสาวผมบลอนด์เข้าพอดี       


              “นั่นแม่หนูลูน่าหนิ” เฟร็ดพูดขึ้นพลางชี้ไปยังเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่เดินเอ้อระเหยอยู่คนเดียวบนสนามหญ้าด้วยเท้าเปล่า มีคนไม่น้อย

    ที่ชี้นิ้วไปทางเธอให้เพื่อนข้างตัวดูก่อนหันไปซุบซิบกันโดยที่คนถูกพูดถึงนั้นไม่ได้สนใจอะไรเลย และแน่นอนว่าไม่มีใครเข้าไปทักเธอสักคน

     

              “นังหนู!” จอร์จตะโกนเรียกก่อนเดินลงบันไดตรงไปหาคนตัวเล็กที่หยุดเดินพลางหันมามองทางเขาด้วยดวงตากลมโตคู่นั้น

                

              “สวัสดีค่ะคุณวีสลีย์”

                

              “หวัดดี--ทำไมเธอไม่ใส่รองเท้าล่ะ”

                

              “รองเท้าของฉันหายไปอย่างลึกลับ บางทีอาจเป็นฝีมือพวกนาร์เกิ้ล”

                

              “นาร์เกิ้ล? ฉันว่าพวกบ้านเรเวนคลอมากกว่ามั้ง” เฟร็ดกอดอกพูดข้อสันนิษฐานของเขาแต่จอร์จไม่เห็นด้วย

                

              “แล้วเธอมีเบาะแสบ้างไหมนังหนู แบบว่าพวกนาร์เกิ้ลชอบหลบอยู่ในที่แบบไหน..”

                

              “อืม—ความจริง...พวกนาร์เกิ้ลอยู่ไปทั่วเลยล่ะ...ก็เลยไม่รู้ว่าจะไปหารองเท้าจากที่ไหน”

                

              “ให้ฉันช่วยหาไหม?”

                

              “ไม่เป็นไร --ถ้าเกิดพวกนาร์เกิ้ลเบื่อแล้วก็คงจะเอามาคืนเอง..อันที่จริงได้เดินเท้าเปล่าแบบนี้ก็รู้สึกดีเหมือนกัน” น้ำเสียงนิ่มฟังลื่นหู

    พูดอย่างไม่ทุกข์ร้อนใจนักที่รองเท้าของตัวเองหาย หากเจอก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้าไม่..ก็ไม่เป็นไร

                

              ลูน่าเดินแยกกับฝาแฝดผมแดงไปแถวริมทะเลสาบด้วยท่าทางที่เหมือนกระต่ายตัวน้อยๆ 

                

              จอร์จไล่สายตามองตามจนร่างเล็กหายลับตาไป เธอไม่เดือดร้อนงั้นฉันจะเดือดร้อนแทนเธอเอง นังหนู “วันนี้เรามีอะไรให้ทำแล้วล่ะ”

                

              “อยากช่วยอยู่นะ แต่ฉันจำไม่ได้ว่าแม่หนูลูน่าใส่รองเท้าแบบไหนน่ะสิจอร์จ นายจำได้เหรอ?”

                

              “รองเท้าผ้าใบหุ้มข้อลายตาราง ตรงเส้นๆ มีสีแดงกับชมพู เชือกที่ร้อยสีแดง”

                

              “นายรู้ขนาดนั้นได้ยังไงน่ะ”

                

              “มันผ่านตาฉันน่ะ ฉันเห็นนังหนูทุกวัน รองเท้าคู่เดียวทำไมจะจำไม่ได้”

                

              “ฉันก็เห็นทุกวันไม่เห็นจะจำได้เหมือนนาย”

                

              “นายไม่สังเกตเองต่างหากล่ะเฟร็ด เอาเป็นว่าเราแยกกันหานะถ้าใครหาเจอก็เอาไปคืนนังหนูเลย แต่ถ้าไม่ก็ให้ไปเจอที่ห้องโถง

    ตอนกินมื้อเที่ยงเลยละกัน”

                

              “ตกลงตามนั้น” 

                

              วันนี้ทั้งวันเฟร็ดกับจอร์จสนุกกันอยู่กับการหาของที่เป็นภารกิจของวันนี้ อีกอย่างคือการหลบคุณนายนอริสและฟิลช์ซึ่งเป็นสิ่งที่สนุก

    และน่าตื่นเต้นไม่แพ้กัน

                

              การที่นักเรียนอยู่ในปราสาทช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ไม่ใช่เรื่องผิดกฎระเบียบอะไร แต่ก็จะถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษแถมยังถูกสอบสวน

    อย่างละเอียดว่ามีแอบแผนการร้ายอะไรกันอยู่หรือเปล่า นั่นจึงทำให้ฝาแฝดวีสลีย์หลีกเลี่ยงที่จะเจออาจารย์รวมทั้งภารโรงหรือแม้กระทั่ง

    วิญญาณที่ลอยไปมาอยู่ทั่วปราสาท

                

              ในเย็นวันนั้นเอง ก่อนถึงเวลาทานมื้อเย็น จอร์จแอบย่องออกมาจากห้องทำงานของฟิลช์ พร้อมรองเท้าคู่เล็กในมือ ขณะที่เฟร็ด

    เลิกหารองเท้าเปลี่ยนไปหาทางลับใหม่ในปราสาทตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้วแต่จอร์จกลับหาต่อจนฟ้าเริ่มมืดลง เขารู้ดีว่าไม่ใช่ฝีมือพวกนาร์เกิ้ล

    อย่างที่คนตัวเล็กเชื่อแต่อย่างใด แต่คงเป็นพวกเรเวนคลอด้วยกันเองนี่แหละ

                

              เพราะหากพุ่งเป้าไปที่คนที่เธอมีปัญหาด้วยอย่างมัลฟอยก็คงไม่ใช่เพราะพวกสลิธีรินไม่มีความอดทนพอที่จะหาคำตอบที่ถูกต้อง

    เพื่อเข้าห้องนั่งเล่นรวมของเรเวนคลอได้หรอก....



                “โอ้ นั่นลูน่าใช่ไหม” แฮกริดที่นั่งกินลมอยู่ตรงเก้าอี้หน้ากระท่อมยกมือขึ้นบังแสงแดดสีส้มพลางหรี่ตามองดูคนตัวเล็ก อเห็นว่า

    ใช่เธอจริงๆ เขาก็ลุกผึงขึ้นจากเก้าอี้เข้าไปในกระท่อมก่อนออกมาพร้อมกับถาด(เดิม)อีกครั้ง เป็นจังหวะเดียวกับที่ลูน่าเดินมาถึงพอดี 


               แฮกริดดีใจที่มีคนชอบแซนด์วิชที่เขาทำ เพราะนอกจากดัมเบิลดอร์ก็ไม่มีใครกล้าลองชิมแซนด์วิชไส้ตัวสเตาต์ของเขาเลยสักคนเดียว

    แม้แต่พวกแฮร์รี่ยังปฏิเสธ “เอ้านี่ วันนี้ตอนบ่ายฉันทำเพิ่มอีก หยิบไปสักชิ้นแล้วค่อยไปกินมื้อเย็นสิ”

                

              “ขอบคุณค่ะ” มือขาวซีดของเธอเอื้อมมาหยิบแซนด์วิชไปชิ้นหนึ่ง นั่นทำให้แฮกริดพอใจเป็นอย่างมาก

                

              “เจอไหม เจ้านาร์เกิ้ลน่ะ ว่ากันว่ายังไม่เคยมีใครเจอตัวเป็นๆ นี่” แฮกริดว่าพลางทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้อีกครั้ง “เห็นอย่างนี้แต่ฉันก็เคยอ่าน

    เดอะ ควิบเบลอร์นะ”

                

              “คุณอ่านด้วยเหรอคะ”

                

              “ใช่ เมื่อปีที่แล้วฉันบังเอิญได้ไข่มังกรมา แล้วก็บังเอิญไปเห็นเดอะ ควิบเบลอร์ลงเรื่องมังกรพอดี เลยหามาอ่านเรื่อยๆ น่ะ...”

                

              “ฉันเจอรองเท้าเธอแล้วนังหนู!!” แสงตะวันคล้อยลงต่ำแล้ว แฮกริดกับลูน่าไม่ต้องหยีตาสู้แสงแดดก็เห็นแล้วว่าใครกำลังวิ่งมาหา

    พวกเขา

                

              “คุณหาเจอได้ยังไง -- คุณเจอพวกนาร์เกิ้ลด้วยหรือเปล่า ..ขอบคุณค่ะ” เด็กสาวใช้มือข้างที่ว่างรับรองเท้ากลับคืนมาพลางถาม

    อย่างอยากรู้อยากเห็นเพราะเขาอาจจะเห็นพวกนาร์เกิ้ลตอนเอารองเท้าเธอไปซ่อนก็ได้

                

              “ไม่เจอหรอก เธอใส่รองเท้าเถอะนังหนู ปล่อยให้เท้าเย็นแบบนี้ไม่ดีเท่าไรนะ อากาศเริ่มเย็นแล้วด้วย ในมือนั่นฉันถือให้ก่อนมา..” 

                

              แฮกริดเห็นจอร์จจัดแจงทุกอย่างให้ลูน่าอย่างคล่องแคล่ว แถมยังดูเป็นห่วงเป็นใยออกนอกหน้า หนำซ้ำตอนนี้ยังถือแซนด์วิช

    ไส้ตัวสเตาต์ ที่เมื่อก่อนยังไม่แม้แต่จะแตะมัน โอ้! นี่หน้าร้อนจะมาในเดือนพฤศจิกายนหรือไร? แฮกริดได้แต่นั่งมองเด็กสองคนตรงหน้า 

    ไม่รู้ว่ามีอะไรมาสะกิดใจแต่ชายร่างยักษ์กลับจับออร่าสีชมพูที่แผ่กระจายออกมาจากชายตัวสูงชะลูดนี่ได้ แววตานั่นดูอ่อนโยนซะจนแฮกริด

    คิดว่าตัวเองเป็นคนโหดมากกว่าเดิมสิบเท่า แววตาไม่เหมือนตอนมองจินนี่หรือตอนที่มองเฮอร์ไมโอนี่เลยสักนิด หรือว่า...

                

              คงเพราะแฮกริดหรี่ตามองเขานานเกินไปจนจอร์จรู้ตัว คนผมแดงเลยยืดตัวตรงแสร้งทำเป็นมองอย่างอื่นกระทั่งเห็นของในมือ

    ที่รับมาจากนังหนูเมื่อกี้

                

              “นี่อะไรน่ะ อย่าบอกนะ..”

                

            “แซนด์วิชไส้ตัวสเตาต์ที่พวกนายเลี่ยงนักเลี่ยงหนายังไงล่ะ อยากกินก็เอาชิ้นนั้นไปเลยก็ได้ ฉันมีอีกเหลือเฟือพอสำหรับแบ่งให้ลูน่านะ”

                

              “เอ่อ งั้น..ผมว่า..”

                

              “ฉันมั่นใจว่ามือหนูลูน่าสะอาดพอนะ ถามจริงเถอะ เธอไม่นึกอยากกินแซนด์วิชที่ฉันทำบ้างหรือ?” แฮกริดจงใจเน้นคำว่า 

    ‘ มือหนูลูน่า ’ เพื่อจับพิรุธอีกคน จอร์จนิ่งคิดระหว่างรอลูน่าผูกเชือกรองเท้าก่อนชักมือที่กำลังจะวางขนมกลับลงถาดกลับไปถือต่อ

                

              “ผมลองกินดูสักชิ้นก็ได้ ขอบคุณฮะแฮกริด”

                

              “ไม่เป็นไรๆ ด้วยความยินดี ถ้าอร่อยล่ะก็มาบอกให้ฉันทำให้กินอีกก็ได้นะ” แฮกริดยิ้มร่าก่อนฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีขณะมอง

    คนทั้งสองเดินเคียงกันกลับเข้าไปในปราสาทโดยมีแซนด์วิชของเขาติดมือไปกันคนละชิ้น เขาไม่เคยรู้สึกภูมิใจในความฉลาด หูไวตาไว

    ของตัวเองขนาดนี้มาก่อน เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ถูกพวกแฮร์รี่หลอกล่อจนเขาบอกความลับของฮอกวอตส์ไปหลายต่อหลายเรื่อง



                หลังเดินเข้ามาในบริเวณปราสาทแล้ว ทั้งคู่ต่างก็ไม่รู้จะพูดอะไร จนจอร์จเป็นฝ่ายทำลายความเงียบลง เขาหันไปพูดกับคนตัวเล็ก

    ที่สูงแค่ระดับหน้าอกเขา “เอ่อ...สร้อยสวยดีนะ”


              กำแพงหินติดคบไฟข้างทางสว่างไสวส่องให้เห็นสร้อยคอสีฟ้าสะดุดตามากขึ้น นอกจากรองเท้าที่จอร์จรู้รายละเอียดแล้วเขายังรู้

    อีกด้วยว่าจี้ของสร้อยเส้นนี้เป็นจุกขวดบัตเตอร์เบียร์ แทนที่จะเป็นจี้เพชรหรือพลอย แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมคนผมบลอนด์ถึงได้เลือกห้อยจุกไม้นี่

                

              “นี่เหรอ? เป็นเครื่องรางเอาไว้ป้องกันพวกนาร์เกิ้ล--เจ้าพวกนี้ชอบขโมยของน่ะ”  


              “ไม่เห็นจะป้องกันได้เลย รองเท้าเธอยังถูกขโมยไปซ่อนเลยนะ”


              “มันคงมีไว้เพื่อป้องกันคนใส่แต่ไม่ได้ป้องกันรองเท้าของคนใส่เครื่องรางน่ะ” ลูน่าพูดติดตลก ถึงในใจจะคิดอย่างนั้นจริงๆ ก็เถอะ

    บางทีจอร์จก็นึกมันเขี้ยวกับวิธีมองโลกของนังหนูนี่จริงๆ คุณอยากได้บ้างไหม

                

              หือ?

                

              “สร้อยน่ะค่ะ”

                

              “อ้อ--ได้เหรอ ก็ดีนะ

                

              เอาไว้วันหยุดนี้ฉันจะทำให้คุณนะเจ้าของดวงตากลมแป๋วเงยหน้าขึ้นมาสบตาพูดกับเขา 

                

              ขะ..ขอบใจจอร์จรู้ว่าตอนนี้ตัวเองดูเป็นคนทึ่มแค่ไหนในสายตาคนอื่น เขาเอาแต่ยืนมองร่างเล็กเดินไปนั่งตรงโต๊ะเรเวนคลอ

    ด้วยสายตาฉ่ำเยิ้ม 

              

              ให้ตายสิ! แค่นี้ก็อิ่มจนไม่ต้องกินมื้อเย็นก็ยังได้!!


            

              สัปดาห์ต่อมา เป็นครั้งแรกที่ลูน่ายืนรอพบใครบางคนตรงหน้าห้องโถงหลังทานมื้อเย็นเสร็จ ในมือของเด็กสาวมีสร้อยคอที่ทำจาก

    จุกขวดบัตเตอร์เบียร์ เมื่อสัปดาห์ก่อนเธอได้สัญญาเอาไว้กับคนที่หารองเท้ามาคืนให้เธอ ลูน่ารู้สึกดีใจไม่น้อยที่เขาสนใจสร้อยคอนี้

    และบอกว่ามันสวย ทั้งที่คนอื่นต่างมองมันด้วยสายตาประหลาดราวกับมันเป็นขยะและของไร้ค่า

                

              “นังหนู ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะ คนอื่นไปไหนกันหมด”

                

              ลูน่าหันกลับมาก็เจอกับคนผมแดงที่เธอรออยู่ โชคดีที่เขาทักเธอเพราะเมื่อกี้เด็กสาวเผลอหันมองตามวิญญาณตนหนึ่ง

    ที่ลอยผ่านหน้าเธอนานไปหน่อย ไม่อย่างนั้นคงคลาดกันไปแล้ว

                

              “ฉันมายืนรอคุณค่ะ” เด็กสาวยื่นสร้อยคอในมือให้กับจอร์จ “ทีนี้พวกนาร์เกิ้ลก็ไม่มากวนคุณแล้ว”

                

              “ขอบใจนะ เธอช่วยฉันได้เยอะเลย” จอร์จรับสร้อยเส้นนั้นมาจากมือเล็ก อันที่จริงเขาแทบจะรับมันมาตั้งแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรด้วยซ้ำ 

    จอร์จมองมันสลับกับที่คนตัวเล็กสวมอยู่--เรียกได้ว่าเหมือนกันอย่างกับแกะ

                

              “ฉันเพิ่งทำเสร็จเมื่อคืนนี้เอง ขอโทษด้วย...มันอาจไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไร” ลูน่าพูดเสียงค่อยพลางหลุบตาลงอย่างรู้สึกผิด 

    เมื่อคืนเธอตั้งใจทำอย่างสุดฝีมือแล้ว แต่ด้วยความง่วงเลยผล็อยหลับไปพร้อมกับมันทันทีที่ทำเสร็จ พอตื่นขึ้นมาดูถึงได้เห็นชัดๆ 

    ว่ามันไม่เรียบร้อยเอาเสียเลย เด็กสาวแอบไม่ค่อยพอใจในผลงานชิ้นนี้เล็กน้อยแต่เธอไม่มีของเหลือสำรองแล้ว

                

              “มันสวยดีออกนะ ฉันจะใส่มันทุกวันเลยล่ะจะได้ไม่ถูกนาร์เกิ้ลขโมยไป” จอร์จยิ้มกว้างขณะเล่นมุก ทว่าคนตัวเล็กกลับมีสีหน้างุนงง

    กับสิ่งที่เขาพูด “เธอบอกฉันว่าใส่สร้อยเส้นนี้เพื่อป้องกันคนใส่แต่ไม่ได้ป้องกันรองเท้าของคนใส่เครื่องราง จำได้ไหม วันที่รองเท้าเธอหายน่ะ

                

              “จำได้ค่ะ...”

                

              “ทีนี้ ถ้าฉันไม่ใส่สร้อยเส้นนี้ตัวฉันอาจโดนขโมยไปก็ได้นะ ไม่ใช่แค่รองเท้า”

                

              “ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันจะออกตามหาคุณเอง” ลูน่าพูดอย่างเอาจริงเอาจัง แต่หารู้ไม่ว่าเพียงแค่ประโยคเดียวของเธอนั้นมีผลกับจอร์จ

    มากซะจนเขาอยากเป็นนาร์เกิ้ลแล้วลักพาตัวเธอกลับหอพักกริฟฟินดอร์ซะเอง

                

              “ดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะ” แต่จอร์จก็ทำได้แค่ยิ้มตอบกลับไป...


        

              ที่ห้องนั่งเล่นรวมของหอคอยกริฟฟินดอร์มีนักเรียนนั่งกระจายกันตามโซฟาทั่วห้อง พวกเฟร็ดและรอนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เฟร็ดกำลัง

    ชะเง้อมองหาแฝดอีกคนของเขาอยู่ ก็ว่าเดินออกมาจากห้องโถงใหญ่พร้อมกันแท้ๆ อยู่ดีๆ หายไปไหนก็ไม่รู้         

                

              สักพักก็เห็นร่างสูงชะลูดของจอร์จที่เพิ่งผ่านประตูเข้ามาในห้องนั่งเล่นรวมพร้อมกับอะไรบางอย่างดูแปลกตาที่ห้อยคอเขาอยู่

                

          นั่นอะไรน่ะ เฟร็ดไม่รอให้จอร์จนั่งลงด้วยซ้ำ เขารู้สึกเหมือนคุ้นสร้อยหน้าตาแบบนี้เหมือนเคยเห็นมาก่อน แต่นึกไม่ออกว่ามาจากไหน           

              เครื่องราง จอร์จตอบสั้นๆ แค่นั้น นิ้วเรียวยาวจับสร้อยเส้นสีฟ้าพลางชูให้ทุกคนในกลุ่มดูด้วยความภาคภูมิใจ “สวยใช่ไหมล่ะ”

                

              ตอนนี้ทุกคนต่างนั่งนิ่งกันหมดแล้วเพราะแค่เห็นจุกขวดบัตเตอร์เบียร์ก็รู้แล้วว่ามาจากใคร จะมีก็แต่แฝดคนพี่เนี่ยแหละที่ยังไม่รู้   

                

              เอาไว้กันคนเข้าหาเหรอ

                

              กันพวกนาร์เกิ้ลต่างหากเล่า นายนี่ไม่รู้เรื่องเอาซะเลยนะเฟร็ด

                

              นาร์เกิ้ล? มันคือตัวอะไร” เฟร็ดเบนสายตาไปทางแฮร์รี่กับรอน แต่ทั้งคู่ส่ายหัวเป็นคำตอบกลับมา

                

              เฮอร์ไมโอนี่ส่ายหัวเช่นกัน แต่ไม่ใช่เพราะไม่รู้แต่เหนื่อยใจกับเพื่อนทั้งสองที่เคยถามเธอแล้วแต่ไม่ยอมจำเลยสักนิด 


              นาร์เกิ้ล มีความเชื่อว่าเป็นสัตว์วิเศษที่ล้ำลึก ว่ากันว่านาร์เกิ้ลเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชื่นชอบการขโมยของ พ่อมดแม่มดส่วนใหญ่เชื่อว่า

    นาร์เกิ้ลเป็นแค่ตำนาน ไม่มีอยู่จริงแล้วก็ไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดเธออธิบายราวกับถูกถามว่าวันนี้เป็นยังไงบ้าง

                

              เห็นไหมจอร์จพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย หัดฉลาดให้ได้อย่างเฮอร์ไมโอนี่ซะบ้างสิ

                

              ฉันนึกออกแล้ว มันคือตัวที่ศาสตราจารย์มักกอนนากัลพูดถึง เจ้าตัวรูปปั้นที่จอร์จขอมา พวกนายรู้ไหม ฉันน่ะจ้องเจ้าตัวเล็กนั่น

    แค่ครั้งเดียวถึงกับฝันร้ายติดต่อกันเจ็ดคืนเชียวนะ

                

              แล้วนายจะเก็บมันไว้ทำไม ไม่โยนทิ้งไปล่ะ รอนบอก

                

              ไม่เอาล่ะ ฉันไม่ขอมองเจ้านั่นอีกเป็นหนที่สอง

                

              ให้ฉันจัดการให้ไหม

                

              นายอย่าทิ้งเชียวนะ ไม่งั้นมีแมงมุมเดินยั้วเยี้ยเต็มเตียงนายแน่รอน

                

              ...งั้นโชคดีนะเฟร็ด อย่าไปเผลอจ้องมันเข้าล่ะ

                

              แล้วเธอเชื่อไหมว่ามีนาร์เกิ้ลอยู่จริง เฮอร์ไมโอนี่?” แฮร์รี่ถามเฮอร์ไมโอนี่ เพราะถ้าขนาดเธอยังเชื่อ เจ้าตัวที่ทำให้เฟร็ดฝันร้ายคงมีอยู่

    จริงๆ เขาจะได้ระวังตัวเอาไว้

                

              ฉันหรือ ..ไม่รู้สิ อาจจะมีหรือไม่ก็ได้ คนเราเกิดมาชีวิตนึงไม่มีทางได้เห็นสัตว์วิเศษครบทุกชนิดบนโลกหรอกจริงไหมล่ะ ลูน่าอาจเคย

    เห็นมาแล้วก็ได้เธอถึงได้ใส่สร้อยคอแบบนั้น บางทีถ้าฉันเห็นก็อาจจะเชื่อว่ามีอยู่จริง

                

              แต่เธอก็คงไม่ห้อยของพิลึกเหมือนจอร์จล่ะมั้ง รอนพูดแทรก ก่อนสายตาทั้งสี่คู่จะมองไปยังชายหนุ่มผมแดงผู้สวมสร้อยคอสีฟ้า

    สดใสและมีจุกขวดบัตเตอร์เบียร์ห้อยอยู่

                

              พวกนายอิจฉาฉันล่ะสิไม่ว่าเปล่า จอร์จยังยืดตัวโชว์ให้เห็นสร้อยชัดๆ อีกครั้ง

                

              ตั้งแต่นั้นมาจอร์จ วีสลีย์ ก็มีเครื่องประดับอีกอย่าง ดูท่าทางเขาออกจะชอบมันมากกว่าเพอร์ซี่ที่อวดเข็มกลัดพรีเฟ็คให้พวกเขาดู

    ตอนที่ได้ตำแหน่งนั้นมาซะอีก ตอนพักเที่ยงจ้าหนูคอลินตัวน้อยมาขอถ่ายรูป เขาก็ดึงเฟร็ดมาถ่ายด้วยกันพร้อมหยิบสร้อยให้ออกมาโชว์

    นอกเสื้อคลุม หรือระหว่างเปลี่ยนคาบเรียนตอนบ่าย นักเรียนที่เดินผ่านเขาต่างก็อมยิ้ม บ้างก็สะกิดให้เพื่อนที่เดินด้วยกันดูสร้อยคอ

    ที่เขาสวม แต่มีหรือที่คนอย่างจอร์จจะแคร์ หากมีคนส่งยิ้มมาให้ เขาก็ส่งยิ้มกลับ มันก็ง่ายๆ แค่นั้นเอง...



    - Talk –

        

              มีความสร้อยคู่กันไปอีกกก ตอนนี้มีคนขี้อวดหนึ่งอัตราแหละ อวดแฟนหรือ? เปล่า อวดสร้อยต่างหาก...


              อย่างที่เคยบอกว่าอยากให้ความสัมพันธ์เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปนะคะ เลยไม่ค่อยมีอะไรหวือหวาเท่าไร เพราะแค่ได้สร้อยที่น้อง

    ทำให้เองกับมือ คุณเขาก็เอาไว้อวดได้ยันปิดเทอมนู่นแหละค่ะ เผลอๆ เอากลับไปอวดแม่ด้วย 555


              ถึงสร้อยจะสีฟ้าเด่นขนาดนั้นแต่จอร์จจี้ก็ไม่ได้แคร์สายตาคนอื่นเลยสักนิด มีคนยิ้มที่เขาใส่ของประหลาดๆ ก็ไปส่งยิ้มกลับให้เขาไปอีก 

    สงสัยเชื้อน้องลูน่าเริ่มแพร่กระจายเข้าจอร์จแล้วล่ะ เอ๊ะ หรือจอร์จจะเป็นอย่างนี้อยู่แล้วหว่า?? 555


    ปล. ยินดีต้อนรับรีดที่เพิ่งมาอ่านเรื่องนี้และกดติดตามนะคะ มาอยู่ด้วยกันกับเราไปนานๆ น้า คอมเมนต์มาคุยกันได้เน่อ~ 

               

     

    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×