ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Harry Potter] Little Loony Lovegood [George x Luna] [END]

    ลำดับตอนที่ #37 : 37 ll Dobby

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.55K
      131
      20 ม.ค. 63


    37


    Dobby




              เย็นวันสุดท้ายของการปิดเทอมหน้าร้อนได้มาถึง ที่ห้องนั่งเล่นในบ้านโพรงกระต่าย บิลและชาลีกำลังนั่งคุยสบายๆ กับอาเธอร์

    บนเก้าอี้นวม เฟร็ดกับจอร์จนั่งสุมหัวกันคิดสินค้าใหม่อยู่บนพรมแถวๆ หน้าเตาผิง


              ขณะที่รอนนั้นกำลังหัวปั่น มือเป็นระวิงอยู่กับการเก็บของสำหรับไปโรงเรียนใส่หีบเพราะมัวแต่ชะล่าใจคิดว่ายังไงก็ทัน

    แต่ข้าวของเครื่องใช้ในปีการศึกษานี้นั้นมีไม่น้อยเลย ไหนจะชุดออกงานที่รอนยังไม่เข้าใจว่าทางโรงเรียนจะให้เอาไปด้วยทำไม 

    อันที่จริงเรื่องชุดนี่แม้แต่เฟร็ดกับจอร์จก็ไม่เข้าใจด้วยเหมือนกัน  


              “แม่บอกว่าลูกรับหนังสือพิมพ์ที่ไม่ใช่ของเดลี่พรอเฟ็ตจริงหรือ จอร์จ” อาเธอร์ถามลูกชายฝาแฝดที่ตอนนี้เปลี่ยนจากนั่ง

    เป็นนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น


              จอร์จยันตัวเองให้ลุกขั้นนั่งนึกในใจว่าแม่ต้องเห็นตอนที่เข้าไปทำความสะอาดในห้องนอนของเขาแน่ๆ “ครับ -- อันที่จริง

    มันเป็นนิตยสารมากกว่า”


              “จากที่ไหนล่ะ”


              “เดอะควิบเบลอร์ฮะ ผมเห็นตอนจอร์จอ่านพอดี” บิลชิงตอบก่อน โดยไม่ลืมที่จะหันมาหลิ่วตาให้จอร์จ


              “เดอะ ควิบเบลอร์?” อาเธอร์ทวนคำ


              คราวนี้เฟร็ดลุกขึ้นนั่งบ้าง “พ่อลืมไปแล้วเหรอครับ”


              ชาลีพยักหน้าเห็นด้วย รับหน้าที่พูดต่อ “ลูกชายพ่อกำลังจีบลูกสาวของบรรณาธิการเดอะ ควิบเบลอร์อยู่ จะอุดหนุนกันบ้าง

    ก็ไม่เห็นแปลก”


              “ดีไม่ดีอาจได้เรื่องเอาไว้ไปคุยด้วย” บิลพูดต่อเรียบๆ พลางยกมือเสยผมตัวเอง


    อาเธอร์พยักหน้าหงึกหงัก “เข้าใจแล้ว -- พยายามเข้าล่ะ ได้ข่าวว่าปีนี้ที่โรงเรียนจะมีเรื่องสนุกๆ ด้วยนี่”


    “อะไรเหรอครับ” เฟร็ดกับจอร์จถามพร้อมกันอย่างสนใจใคร่รู้แต่อาเธอร์ปล่อยให้บิลตอบแทน


    “นั่นเป็นความลับ น้องเอ๋ย” ว่าแล้วบิลก็ขยิบตาให้น้องทั้งสอง


              “พรุ่งนี้พวกนายก็จะได้รู้เอง” ชาลีเสริม “ฉันกับบิลยังอยากกลับไปเรียนใหม่อีกครั้งเลย -- จะว่าไป นายดูแลนังหนูของนายให้ดีล่ะ” 

    ชาลีพูดอย่างเป็นนัยๆ แต่นั่นยิ่งเพิ่มความงุนงงให้ฝาแฝดเข้าไปใหญ่


              “หมายความว่าไง -- จะมีนักเรียนแลกเปลี่ยนมาหรือ”


          “บอกแล้วไง มันเป็นความลับ เอาไว้พวกนายรู้จากอาจารย์ใหญ่ดีกว่า แต่ฉันใบ้ให้ว่ามันยิ่งกว่ามีนักเรียนแลกเปลี่ยนมาซะอีก” 

    พูดจบชาลีกับบิลก็ยิ้มกว้าง 


              

              นับเป็นเรื่องมหัศจรรย์ใจยิ่งนักที่ครอบครัววีสลีย์มาถึงชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่ก่อนเวลารถไฟออกถึงหนึ่งชั่วโมงเต็ม

    โดยไม่ลืมอะไรทิ้งไว้ที่บ้าน


              เช้าวันนี้บิลกับชาลีมาส่งน้องๆ ทั้งสี่ของพวกเขาด้วย ยกเว้นเพอร์ซี่ที่อ้างว่ามีงานล้นมือจนมาส่งด้วยไม่ได้ อย่างไรก็ตาม 

    เขายังไม่ลืมที่จะอวยพรให้น้องๆ โชคดี รวมทั้งอวยพรให้เพื่อนสนิทของรอนอย่างแฮร์รี่ เฮอร์ไมโอนี่ และลูน่า เพื่อนสนิทของจินนี่

    ที่พี่ใหญ่อย่างบิลกับชาลีอยากให้ลงเอยกับจอร์จสักที


              ท่ามกลางเด็กนักเรียนคนอื่นๆ และผู้ปกครอง ในที่สุดมอลลี่ก็สามารถเรียกลูกๆ ที่กระจัดกระจายกันไป มารวมกันได้ภายในสิบนาที 

    เธอเรียกลูกๆ เข้าไปกอดทีละคนก่อนถึงเวลา รวมทั้งดึงลูน่าไปกอดด้วยอย่างรักใคร่เอ็นดูประหนึ่งเป็นลูกสาวอีกคนของเธอ


              พวกเด็กๆ โบกมือให้พ่อกับแม่ บิลและชาลี จนรถไฟเคลื่อนตัวทิ้งห่างออกมาเรื่อยๆ จนลับสายตาไปในที่สุด 

    วิวทิวทัศน์ข้างนอกหน้าต่างนั้นชวนให้คิดถึงบรรยากาศที่ฮอกวอตส์ แต่ก็อาจมีบางคนอย่างเช่นรอนที่คิดถึงอาหารในงานเลี้ยงตอนรับ


              เมื่อแยกย้ายกันไปนั่งตามตู้อื่นๆ จอร์จยังคาใจไม่หายเรื่องที่พวกพ่อกับพี่ชายบอก ถึงไม่บอกให้ดูแลนังหนู เขาก็ต้องทำอย่างนั้น

    อยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ดูเหมือนมันจะมีอะไรมากกว่านั้น คนผมแดงนั่งมองลูน่าอย่างใจลอย 


              เธอนั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา กำลังกางเดอะควิบเบลอร์ฉบับใหม่กลับหัวและไขปริศนาอย่างใจจดใจจ่อราวกับอยู่ในโลกของตัวเอง


              ค่ำในวันเดียวกัน พิธีคัดสรรก็ได้เริ่มต้นขึ้น ขณะที่ศาสตราจารย์มักกอนนากัลขานชื่อนักเรียนทีละคน จอร์จกลับเป็นคนเดียว

    ที่ไม่ได้สนใจว่าใครจะได้อยู่บ้านไหน อย่างมากปฏิกิริยาของเขาต่อนักเรียนที่ได้เข้าบ้านกริฟฟินดอร์ก็เพียงปรบมือต้อนรับ 

    แล้วกลับมานั่งเท้าคางมองไปทางโต๊ะเรเวนคลอด้วยความเคยชินและมันก็คงเป็นอย่างนี้ไปอีกตลอดหนึ่งปี กระทั่งรอนสะกิดแขน

    จนข้อศอกที่ตั้งกับโต๊ะลื่นพรืดตกจากโต๊ะไป


              “มีอะไร” จอร์จถามอย่างขุ่นเคืองใจนิดๆ แต่รอนกลับไม่รับรู้ถึงสายตาไม่พอใจนั้นเลย


              “พี่เห็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ นั่นไหม ฉันว่าเหมือนพิกของฉันเลย” รอนชี้ไปยังเด็กชายตัวเล็ก ผมสีน้ำตาลอ่อน ที่รอนมองแล้วหลุดขำ

    เพราะดันนึกไปถึงพิกวิดเจียน นกฮูกตัวจ้อยของเขาที่ชอบดิ้นดุ๊กดิ๊กมีพลังล้นเหลือทั้งยังอยู่ไม่สุข


              “นั่นน้องชายผมเองฮะ เดนนิส” คอลิน ครีฟวีย์ หันกลับมาบอกอย่างตื่นเต้น


              “อ้อ” รอนพยายามตีหน้านิ่ง “น้องชายนายร่าเริงดีนะ”


              “เดนนิสก็เป็นแบบนี้แหละฮะ” ว่าแล้วคอลินก็โบกมือกลับให้น้องชายอย่างบ้าคลั่งเมื่อถูกคัดสรรให้มาอยู่กริฟฟินดอร์


              รอนเอียงตัวหาฝาแฝด “งั้นข้างหน้าเรานี่ก็พี่ชายพิกล่ะ”


              เมื่อพิธีคัดสรรจบลง ดัมเบิลดอร์ในชุดเสื้อคลุมกำมะหยี่สีน้ำเงินที่มีลายดวงดาวราวกับเพดานเวทมนตร์ในค่ำคืนนี้ได้ประกาศ

    เริ่มงานเลี้ยงต้อนรับเปิดเทอมแบบไม่กล่าวอะไรให้ยืดยาว


              “เจ๋ง!” รอนร้องอย่างดีใจพลางถูมือไปด้วยระหว่างรออาหารที่แสนคิดถึง


              เทียนนับพันเล่มที่ลอยอยู่เหนือศีรษะพวกเขาส่องแสงนวลๆ มายังอาหารที่โผล่ขึ้นมาบนโต๊ะ นักเรียนและคณะอาจารย์ดื่มด่ำ

    กับอาหารรสเลิศจนอาหารบนโต๊ะทยอยหมดลงทีละอย่าง จนถึงเวลาของหวานที่ลูน่าดูเบิกบานใจเป็นพิเศษเมื่อเห็นว่ามีพุดดิ้งลูกเกด

    อยู่บนโต๊ะนี้ด้วย


              เมื่อจานอาหารและของทุกอย่างบนโต๊ะหายวับไปในพริบตา ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ลุกขึ้นยืนพลางกวาดสายตามอง

    นักเรียนของเขาทุกคนด้วยแววตาและรอยยิ้มอบอุ่น


              “ฉันหวังว่าพวกเธอทุกคนคงจะอิ่มหนำกันแล้ว เพราะฉะนั้นก่อนจากกันคืนนี้ ฉันอยากจะขอกล่าวอะไรก่อนสักเล็กน้อย” 

    เขากระแอมนิดหนึ่ง “เรื่องแรกเป็นเรื่องที่ฉันต้องพูดทุกปี ว่าป่าต้องห้ามเป็นเขตหวงห้ามเด็ดขาดไม่ว่าพวกเธอจะอยู่ปีไหนก็ตาม 

    และพวกปีโตก็น่าจะจำได้ขึ้นใจแล้วนะว่าห้ามเข้าป่าต้องห้าม” สายตาเบื้องหลังแว่นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวจงใจมองฝาแฝดวีสลีย์


              เฟร็ดหันไปทางรอนทันที “จำไว้นะ น้องเอ๋ย”  


              “ดัมเบิลดอร์หมายถึงนายแน่ะ รอน” จอร์จสริม


              “จะบ้าเหรอ! ป่าต้องห้ามน่ะเป็นที่สุดท้ายในฮอกวอตส์ที่ฉันจะเข้าไปเหยียบด้วยซ้ำ”


              “แต่เมื่อตอนก่อนปิดเทอมที่แล้วฉันเห็นนายเพิ่งเดินออกมาจากป่านั่น”


              “ก็นั่นมีแฮร์รี่กับเฮอร์ไมโอนี่ไปด้วย แล้วก็นะ นั่นมันตอนกลางวัน ไม่ใช่กลางดึกอย่างที่พวกนายชอบไปกันด้วย”


              “อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ” ดัมเบิลดอร์พูดต่อ “อย่างที่พวกเธอเห็นกันแล้ว ในปีนี้ เรามีอาจารย์สอนวิชาการป้องกันตัวจากศาสตร์มืด

    คนใหม่ ฉันมีความยินดีอย่างยิ่งที่จะแนะนำให้พวกเธอได้รู้จักกับ ศาสตราจารย์อลาสเตอร์ มู้ดดี้” ดัมเบิลดอร์ผายมือไปยังโต๊ะอาจารย์

    ด้านหลังยังผู้มาใหม่ที่เพิ่งนั่งลงตรงเก้าอี้ว่างเมื่อตอนที่งานเลี้ยงเริ่มมาได้สักพักแล้ว พร้อมกับปรบมือต้อนรับ


              ชายคนดังกล่าวลุกขึ้นยืนหลังจากดื่มน้ำจากกระติกพกพาที่เอามาเอง ไม่แสดงอาการว่าดีใจหรือยินดีที่ได้รับตำแหน่งนี้ 

    เขามีเรือนผมยาวสีเทาเข้ม ทุกตารางนิ้วของผิวเนื้อมีรอยแผลเป็น ปลายจมูกแหว่งหาย ดวงตาข้างหนึ่งเล็กและดำมันวาว 

    อีกข้างใหญ่เท่าเหรียญสีฟ้าสด ดวงตาข้างนี้กลอกไปมาตลอดเวลา อีกทั้งยังกลอกกลับหายไปข้างหลังจนเห็นเพียงตาขาว 

    นักเรียนหญิงหลายคนอุทานเบาๆ แต่ลูน่าทำเพียงจ้องลูกตาข้างที่หมุนไปมาราวกับกำลังถูกสะกดจิต


              “นั่นแม้ดอาย มู้ดดี้นี่” รอนจ้องอย่างตกตะลึง เขาได้ยินชื่อเสียงของมือปราบมารคนนี้มานักต่อนักแล้ว


              “งั้นก็เจ๋งไปเลย!” เฟร็ดบอกพร้อมปรบมือเสียงดังพอๆ กับจอร์จและลี จอร์ดันที่เป็นสามคนที่ทำเช่นนั้นท่ามกลางเสียงปรบมือ

    เปาะแปะจากนักเรียนคนอื่นๆ


              เมื่อเสียงปรบมือซาลงดัมเบิลดอร์หันกลับมาหานักเรียนอีกครั้ง “และเรื่องสำคัญมากอีกเรื่อง -- เป็นข่าวร้ายที่ฉันจะต้องประกาศ

    ว่าปีนี้เราจะไม่มีการแข่งขันควิดดิชระหว่างบ้าน”


              สีหน้าเฟร็ดเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันทีแล้วพูดเบาๆ กับสมาชิกคนอื่นในทีม “ล้อเล่นหรือเปล่า”


              แต่ดัมเบิลดอร์ได้ยินที่ฝาแฝดผมแดงพูดชัดเจน


              “ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแต่อย่างใด มิสเตอร์วีสลีย์ -- เพราะปีนี้จะมีการแข่งขันประลองเวทไตรภาคีและเราได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพ

    งานที่จะเริ่มในไม่กี่เดือนนี้ เป็นการแข่งขันกระชับมิตรระหว่างฮอกวอตส์ โบซ์บาตง และเดิร์มสแตรงก์ แต่ละโรงเรียนจะคัดเลือกตัวแทน

    เพื่อเข้าแข่งขันในการปฏิบัติเวทมนตร์ทั้งสามอย่าง -- อย่างที่บอกไป อาจารย์และคณะนักเรียนจากต่างประเทศจะมาถึงในวันที่

    สามสิบตุลาคมนี้และจะอยู่กับเราเกือบทั้งปี -- การคัดเลือกจะมีในวันฮัลโลวีน กรรมการกลางจะเป็นผู้ตัดสินว่านักเรียนคนใดเหมาะสม

    ที่จะเข้าร่วมแข่งขัน -- เพื่อศักดิ์ศรีของโรงเรียน และเงินรางวัลหนึ่งพันเกลเลียนสำหรับผู้ชนะ”


              เกิดเสียงฮือฮาดังทั่วห้องโถงใหญ่ โดยเฉพาะเฟร็ดกับจอร์จ “ฉันจะลงแข่ง!” ทั้งสองส่งเสียงประสานกันอย่างกระตือรือร้น


              ทว่าดัมเบิลดอร์ยกมือขึ้น ทั้งห้องโถงจึงเงียบลงอีกครั้ง


              “เพื่อความปลอดภัยของนักเรียนจากภารกิจที่เสี่ยงอันตราย อาจารย์ใหญ่ของทั้งสามโรงเรียนจึงมีความเห็นตรงกันว่าควรมี

    มาตรการป้องกัน ดังนั้นอายุสำหรับผู้เข้าคัดเลือกคือผู้ที่มีอายุสิบเจ็ดปีขึ้นไปเท่านั้น -- และฉันเองได้คิดวิธีเพื่อป้องกันนักเรียน

    ที่อายุต่ำกว่าสิบเจ็ดปีจะใช้ตบตากรรมการเอาไว้แล้ว ฉะนั้น หากเธอคนใดอายุไม่ถึง ฉันขอเตือนด้วยความหวังดีว่าอย่าเสียเวลา

    ไปกับการเสนอชื่อตัวเองเลย เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรแถมยังเสียเวลาไปเปล่าๆ”


              เป็นอีกครั้งที่ดัมเบิลดอร์จงใจส่งสายตาไปทางฝาแฝดวีสลีย์ “เอาล่ะ บัดนี้ เวลานอนของพวกเธอเพื่อเช้าวันใหม่สำหรับการเรียน

    ได้มาถึงแล้ว เข้านอนได้!” อาจารย์ใหญ่บอกอย่างกระฉับกระเฉงและยิ้มแย้มมองส่งบรรดานักเรียนที่เริ่มส่งเสียงกันอีกรอบ


              พร้อมกับเฟร็ดและจอร์จที่พูดขึ้นพร้อมกันอีกครั้ง “ฉันจะลงแข่ง!”


              “ช่าย” รอนเข้ามาร่วมวงด้วยพร้อมกับแฮร์รี่ “แต่พวกพี่อายุไม่ถึง ถึงอีกไม่กี่เดือนก็จะสิบเจ็ดแล้วก็เถอะ”


              “แล้วยังไงล่ะ ฮึ -- พวกเราตัดสินใจแล้ว ต้องมีสักวิธีที่จะตบตากรรมการนั่นได้” เฟร็ดเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี


                จอร์จพยักหน้าสนับสนุน “เราจะคิดหาวิธี -- เงินรางวัลนั่นจะทำให้เราเปิดร้านขายของเล่นตลกได้”


                “ถ้าเราหาวิธีได้พวกนายอยากร่วมด้วยไหม” เฟร็ดจับบ่ารอนและแฮร์รี่


                แฮร์รี่ส่ายหัวทันควันแบบไม่ต้องคิด “ไม่ล่ะ อย่างเดียวที่ฉันอยากแข่งคือควิดดิช”


                เฟร็ดพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ นึกในใจว่าครอบครัวแฮร์รี่ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินๆ ทองๆ อยู่แล้วนี่นา ไม่อยากแข่งก็ไม่แปลก 

    “แล้วนายล่ะ รอน”


                ใบหูของน้องชายผมแดงเป็นสีชมพูระเรื่อ “อาจจะ...”



            ราตรีคืบคลานมาเรื่อยๆ ระหว่างที่นักเรียนในฮอกวอตส์ต่างหลับใหลท่องไปในความฝัน ในมุม หนึ่งที่ห้องนอนหญิงของเรเวนคลอ

    กลับมีหนึ่งคนที่ยังนอนไม่หลับ นอนพลิกตัวไปมาเพราะความหิวจนแสบท้องกำลังเล่นงานเธออยู่


              “นอนไม่หลับเหรอ มาเรีย” เสียงฝันๆ ลอยมาจากเตียงข้างกัน ทำให้เสียงพลิกตัวเงียบลงทันที


              มาเรียยันตัวขึ้นนั่ง คุยกับเพื่อนสนิทของเธอผ่านผ้าม่านสีน้ำเงินที่ปิดอยู่รอบเตียง “ลูน่า เธอก็ยังไม่หลับเหรอ ...หรือเพราะฉัน

    ปลุกให้เธอตื่น”


              “เปล่า ฉันใกล้จะหลับแล้วล่ะ แต่ได้ยินเสียงเหมือนเธอยังไม่หลับ”


              “ขอโทษทีนะ คือว่าฉันหิวน่ะ เมื่อตอนเย็นฉันมัวแต่ตะลึงที่ได้เห็นศาสตราจารย์คนใหม่ -- เธอก็รู้ ...เขาดูน่ากลัวหน่อยๆ จริงไหมล่ะ 

    ฉันก็เลยกินอะไรไม่ค่อยลง” มาเรียตัดสินใจดึงผ้าม่านเปิดออก “เธอพอมีอะไรให้ฉันกินได้บ้างไหม ลูน่า -- ช็อกโกแลตหรือลูกอมสักเม็ด

    ก็ยังดี...”


              เสียงมาเรียขาดหายไป เมื่อเธอดึงผ้าม่านเปิดแล้วพบว่าลูน่านั่งตรงข้างเตียงของเธอและใส่รองเท้าเรียบร้อยแล้ว


              “ไปห้องครัวกัน ฉันว่าคงมีอะไรให้เลือกเยอะกว่าช็อกโกแลตหรือลูกอมนะ” คนผมบลอนด์ยกยิ้มบางๆ สร้างความงุนงงให้มาเรีย

    เป็นอย่างมาก


              “ที่นั่นมีช็อกโกแลตร้อนกับเค้กด้วยหรือเปล่า?


              ถึงมาเรียจะไม่เคยไปห้องครัว ไม่รู้ว่ามันอยู่ส่วนไหนของปราสาท และไม่รู้ว่ามันจะยังมีของกินเหลือให้เธออยู่อีกไหม 

    แต่ท่าทางที่ดูมั่นอกมั่นใจของลูน่าทำให้เธอรีบสวมรองเท้าแล้วย่องออกจากหอคอยเรเวนคลอตามมาด้วยกันโดยไม่ท้วงถาม

    หรือเตือนสักคำ ว่าที่ทำอยู่นี้หมายถึงพวกเธอกำลังแหกกฎโรงเรียนอยู่


              ส่วนหนึ่งเพราะมาเรียรู้ว่าลูน่าค่อนข้างสนิทกับฝาแฝดผมแดงบ้านกริฟฟินดอร์ อย่างน้อยพวกเขาก็น่าจะบอกอะไรดีๆ 

    ให้กับเพื่อนของเธอบ้าง


              ไม่นานนัก ทั้งคู่ก็เดินมาถึงตามคำบอกของลูน่า เธอบอกว่ามีประตูซ่อนอยู่หลังภาพวาดรูปชามใส่ผลไม้ แต่มาเรียยังไม่เห็น

    แม้แต่รอยแยกที่บ่งบอกว่าจะมีประตูหรืออะไรอยู่


            ในตอนนั้นเอง ลูน่าเอานิ้วจั๊กจี้ที่ลูกแพร์สีเขียว มันดิ้นและหัวเราะคิกคักท่ามกลางความตกตะลึงของมาเรีย ทันใดนั้นมันก็กลายเป็น

    ที่จับประตูสีเขียวอันใหญ่ มือขาวซีดของลูน่าคว้ามันเอาไว้ ดึงประตูเปิดออกแล้วเดินนำเข้าไปยังห้องที่มีขนาดใหญ่เท่าห้องโถงใหญ่ชั้นบน 

    มีบรรดาเอลฟ์ประจำบ้านนับร้อยตัวยืนมองผู้มาเยือน พวกมันต่างยิ้มกว้าง โค้งคำนับทั้งสองที่เดินเข้ามา


              เอลฟ์ทุกตัวสวมเครื่องแบบเหมือนกันหมด ยากที่จะแยกว่าตัวไหนเป็นตัวไหน ทว่ามีเอลฟ์ตัวหนึ่งที่วิ่งแหวกทางตัวอื่นมาหาลูน่า

    อย่างกระตือรือร้นและยิ้มแฉ่งมาแต่ไกล ดวงตาสีเขียวกลมโตราวกับลูกเทนนิสเงยขึ้นมองหน้าเด็กสาวผมบลอนด์ที่ยิ้มตอบให้เช่นกัน


              “สวัสดี ด๊อบบี้”

                

              “สวัสดีครับลูน่า เลิฟกู๊ด! ด๊อบบี้ดีใจที่เจอลูน่า เลิฟกู๊ดครับ แล้วก็คุณด้วย” ด๊อบบี้หันไปยิ้มให้มาเรียบ้าง

                

              “อ้อ ดีใจเช่นกันนะ ด๊อบบี้ -- ฉันมาเรีย เกลนมอร์”

                

              “เอ่อ ด๊อบบี้” ลูน่าเรียกเอลฟ์เสียงค่อย “คือว่าเราอยากได้ช็อกโกแลตร้อนสักแก้ว กับขนมอะไรนิดๆ หน่อยๆ -- ได้ไหม”

                

              “ได้ครับ!” ด๊อบบี้และเอลฟ์ประจำบ้านรอบตัวร้องอย่างขยันขันแข็ง

                

            แทบไม่ต้องให้รอนาน เอลฟ์ประจำบ้านสี่ตัวเดินเตาะแตะมาจากด้านหลังพร้อมกับถาดในมือ วางช็อกโกแลตร้อนกลิ่นหอมละมุน

    ที่มีควันลอยเอื่อยๆ สองแก้วบนโต๊ะตรงหน้าลูน่ากับมาเรีย ตามด้วยเค้กช็อกโกแลตให้มาเรีย พุดดิ้งนมให้ลูน่าและตบท้ายด้วยจานเล็กๆ 

    ที่ใส่คุกกี้มาจนพูนจาน


                มาเรียเบิกตากว้างมองของกินตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา “ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีแบบนี้ที่ฮอกวอตส์ด้วย” 

    แล้วเหลือบตามองดูของลูน่า “พุดดิ้งอีกแล้ว”


              “ฉันชอบมากเลยล่ะ”


              “รู้อยู่แล้วล่ะ รู้ไหมเวลาฉันเห็นพุดดิ้งแล้วหน้าเธอลอยขึ้นมาก่อนทุกที ว่าแต่เธอรู้เรื่องที่นี่ได้ยังไง”


              “คุณวีสลีย์บอกฉันมา”


              “ตั้งแต่เมื่อไร”


              “น่าจะตอนที่เราอยู่ปีหนึ่ง”


              “อ้อ เข้าใจล่ะ” มาเรียพยักหน้าแล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม แต่เป็นการกระทำที่ลูน่าไม่เข้าใจเอาซะเลยว่า ‘เข้าใจล่ะ’ ที่ว่าของมาเรียนั้น

    หมายถึงอะไร “เออ ตอนแยกกลับหอฉันเห็นคุณวีสลีย์ ...จอร์จน่ะ เขาตามหาเธออยู่ แต่พอฉันบอกเขาว่ามีอะไรก็ฝากผ่านฉันมาได้ 

    ฉันจะบอกเธอให้ เขาก็ไม่ยอมบอก”


              “จอร์จ วีสลีย์!” ด๊อบบี้ส่งเสียงแหลมแทรกขึ้นมาจากข้างโต๊ะ


              “มีอะไรหรือเปล่า” มาเรียถาม


              “เปล่าครับ ด๊อบบี้แค่นึกถึงเขาครับ เขากับฝาแฝดของเขา แล้วก็ลี จอร์ดัน กับกลุ่มเพื่อนแฮร์รี่ พอตเตอร์ซื้อถุงเท้ามาให้ด๊อบบี้

    เป็นของขวัญตอนวันคริสต์มาส -- ด๊อบบี้ซึ้งในน้ำใจมากจริงๆ” ดวงตากลมโปนสีเขียวมีน้ำตาเอ่อล้นอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่


              “คุณชอบถุงเท้าเหรอ ปีนี้ฉันเอามาเยอะเชียวล่ะ ของใหม่ด้วย ถ้าเจอกันครั้งหน้าจะแบ่งให้คุณนะ”


              “ขอบคุณครับ ลูน่า เลิฟกู๊ดช่างมีน้ำใจกับด๊อบบี้จริงๆ” น้ำตาเม็ดโตร่วงออกมาจากดวงตาโปนๆ ของมัน และสะอึกสะอื้นไม่หยุด 

    จนเอลฟ์รอบข้างต้องเข้ามาปลอบ


              ในตอนนั้นเอง ประตูห้องครัวก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง เรียกความสนใจจากทั้งห้องให้หันไปมอง ปรากฏร่างสูงสองคน

    เดินผ่านช่องประตูเข้ามา


             เมื่อพวกเขาก้าวเข้ามาอยู่ในรัศมีที่แสงไฟจากเตาผิงส่องถึง ผมสีแดงเพลิงของทั้งคู่พลันโดดเด่นขึ้นมาทันตา แต่ดูเหมือนก่อนหน้านี้

    พวกเขายังคุยเรื่องที่ยังค้างคากันไม่จบเลยไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีคนอื่นนอกจากเอลฟ์ประจำบ้านอยู่ที่นี่ด้วย


              “เชื่อฉันสิ เราต้องลงแข่งให้ได้ --”


              “ยินดีต้อนรับเฟร็ด วีสลีย์ กับจอร์จ วีสลีย์ครับ!” ด๊อบบี้ที่หยุดร้องไห้แล้วยิ่งมีหน้าตาแจ่มใสยิ่งขึ้นไปอีก พลางหันมาพูดกับลูน่า 

    “เขามากินขนมตอนดึกๆ แล้วก็มาขอให้วันรุ่งขึ้นมีพุดดิ้งเป็นของหวาน เขาบอกว่าลูน่า เลิฟกู๊ดชอบกินพุดดิ้งครับ”


              จอร์จถลึงตามองด๊อบบี้ และตาโตยิ่งกว่าเมื่อเห็นว่าลูน่าก็อยู่ที่นี่ด้วยและกำลังจ้องตาแป๋วมายังเขาอีกต่างหาก “บังเอิญจังนะ 

    เอ้อ -- ก็พุดดิ้งมันอร่อยออกนี่ จริงไหม ไม่มีใครไม่ชอบพุดดิ้งหรอก”


              “ช่าย” เฟร็ดลากเสียงยาวอย่างหยอกล้อ “จอร์จชอบถึงขนาดที่ดมน้ำยาลุ่มหลงแล้วได้กลิ่นพุดดิ้งเลยล่ะ”


              “จริงหรือ” ลูน่าถามเสียงใส เธอดูตื่นเต้นกับข้อมูลนี้มาก ทำเอาจอร์จใจเต้นแรงขึ้นมา “ฉันเองก็คงจะได้กลิ่นพุดดิ้งเหมือนกันแน่ๆ”


              เฟร็ดแอบผิดหวังนิดหน่อยแต่ก็ยังยิ้มได้ “งั้นเธอกับจอร์จก็มีอะไรเหมือนกันอีกอย่างแล้วล่ะสิ แต่มีอีกอย่างที่ยังไม่เหมือนนะ 

    ถ้าเธอชอบเขาตอบ --” ขนมปังที่เมื่อกี้นี้เอลฟ์ตัวหนึ่งส่งให้พวกเขา ถูกจอร์จยัดใส่ปากเฟร็ด จนเขาพูดประโยคหลังอู้อี้ฟังไม่รู้เรื่อง


              “อย่าไปใส่ใจฟังเลย เมื่อกี้นี้เราทดลองกินสินค้าใหม่ดูน่ะ มันคงกระทบกระเทือนกับสมองเขาอยู่อีกนิดหน่อย”


              เฟร็ดมองตาคว่ำ รู้สึกหงุดหงิดใจเล็กๆ ที่จอร์จไม่ยอมบอกสักที เขาลงไปนั่งร่วมโต๊ะกับลูน่า ยกมือกอดอกพลางนั่งเคี้ยวขนมปังตุ้ยๆ 

    พอมาคิดดูอีกทีจะให้ตัวเองมาสารภาพรักแทนน้องชายฝาแฝดก็ไม่ใช่เรื่อง

     

              ทว่าลูน่าจามหลายครั้งจนต้องลุกไปจากโต๊ะ เอลฟ์ห้าตัวแถวนั้นกระวีกระวาดหาผ้าสำหรับเช็ดน้ำมูกมาให้กันยกใหญ่


              ด๊อบบี้เหลือบตากลมโปนไปทางเด็กสาวผมบลอนด์พลางวางถาดที่มีพุดดิ้งให้จอร์จ “ทำไมจอร์จ วีสลีย์ไม่บอกไปล่ะครับ 

    ว่าที่ได้กลิ่นพุดดิ้งเพราะชอบพุดดิ้งกับคนที่ชอบกินพุดดิ้งที่ชอบพุดดิ้งจนทำให้จอร์จ วีสลีย์นึกถึงพุดดิ้งเวลานึกถึงเธอ 

    ก็เลยชอบพุดดิ้งไปด้วยจนต้องมาบอกให้พวกเอลฟ์ทำพุดดิ้งทุกวัน” พูดจบด๊อบบี้ก็ยกถาดเปล่ากลับไปถือแล้วเดินจากไป


              จอร์จมองตามร่างเล็กจ้อยที่เดินเตาะแตะไปอย่างอารมณ์ดี “ด๊อบบี้ให้ฉันบอกว่าอะไรนะ”


              เฟร็ดยักไหล่ “ฉันว่าฉันได้ยินแต่พุดดิ้ง”


              “ฉันสรุปได้” มาเรียวางแก้วช็อกโกแลตร้อนลง “สรุปก็คือ ‘ให้จอร์จ วีสลีย์บอกชอบพุดดิ้งที่ไม่ใช่พุดดิ้งจริงๆ’ ” 

    เธอชำเลืองไปทางลูน่าที่กลับมานั่งแล้วพลางยกแก้วขึ้นมาดื่มอีกเพื่อกลบรอยยิ้มของเธอ


              เฟร็ดเลิกคิ้ว “ก็แล้วจะอ้อมค้อมไปทำไมกัน บอกตรงๆ มาเลยสิว่า ‘ทำไมจอร์จ วีสลีย์ไม่บอกไปล่ะครับว่าชอบลู’ -- ” ขนมปังอีกชิ้น

    ถูกยัดใส่ปากเฟร็ดแบบไม่ต้องร้องขอ เขาเคี้ยวอย่างสงบเสงี่ยมก่อนกลายร่างเป็นนกคีรีบูนตัวโตเพราะครีมคีรีบูนที่จอร์จแอบใส่ลงไป...


              “ฉันรู้ว่าฉันต้องทำอะไรน่า”



    - Talk -


                มีคนมาชอบที่ชื่อจอร์จ วีสลีย์มันก็จะดีอย่างนี้นั่นแหละค่ะ ไม่ต้องกลัวหิวเพราะคุณเขาบอกตำแหน่งห้องครัวพร้อมวิธีเข้าเสร็จสรรพ

    ตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งกันเลยทีเดียว~  
    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×