ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Harry Potter] Little Loony Lovegood [George x Luna] [END]

    ลำดับตอนที่ #35 : 35 ll Quidditch World Cup

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.6K
      134
      8 ม.ค. 63


    35


    Quidditch World Cup



     

              เช้าตรู่ในวันหนึ่ง มอลลี่กำลังนั่งเขียนจดหมายส่งไปหาเพื่อนสนิททั้งสองของรอนอย่างเฮอร์ไมโอนี่และแฮร์รี่


              “ควิดดิชเวิลด์คัพ!” เสียงทุ้มพูดอย่างตื่นเต้นหลังแอบยืนอ่านข้อความที่แม่ของเขาเขียน


              ดวงตาเบื้องหลังแว่นชำเลืองมองลูกชายฝาแฝดทั้งสองของเธอ “ใช่จ้ะ เฟร็ด” เธอยิ้มอย่างอารมณ์ดี “จดหมายสองฉบับนี้

    ต้องส่งไปถึงพ่อกับแม่ของแฮร์รี่แล้วก็เฮอร์ไมโอนี่วันนี้ เพื่อที่จะได้ตอบกลับมาว่าจะไปกับพวกเราได้ไหม ลูกก็รู้ พ่อกับแม่ของเฮอร์ไมโอนี่

    คงจะมาด้วยไม่ได้อยู่แล้ว ส่วนเจมส์กับลิลี่เห็นว่างานยุ่งกันทั้งคู่ แฮร์รี่ต้องเสียดายมากแน่ๆ ถ้าเขาไม่ได้ไปดูควิดดิชเวิลด์คัพที่นานๆ 

    จะจัดที่นี่สักที”

              

              “แม่ครับ” จอร์จเลื่อนสายตาจากจดหมายที่กางไว้ทั้งสองฉบับมามองผู้เป็นแม่ “นังหนูไปด้วยหรือเปล่า แม่ได้เขียนถึงเธอด้วยไหม 

    -- หมายถึงคุณเลิฟกู๊ดน่ะฮะ”


              “ตายจริง!” มอลลี่เบิกตากว้าง อ้าปากน้อยๆ ก่อนยิ้มออกมาเมื่อเห็นลูกชายตัวแสบใจแป้ว “ส่งไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ 

    เซโนฟิเลียสตอบกลับมาแล้วว่าอนุญาตให้หนูลูน่าไปด้วยได้ แต่ตัวเขาเองอาจจะตามไปทีหลังตอนที่เสร็จธุระแล้ว แถมเขียนทิ้งท้าย

    มาด้วยนะว่าหนูลูน่าดูตื่นเต้นใหญ่เลย” เธอบอกทิ้งท้าย พับจดหมายแล้วลุกไปเตรียมอาหารเช้าในครัว


              จอร์จยิ้มแฉ่งมองตามแม่ก่อนหุบยิ้มเพราะสายตากับรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของบิลและชาลีที่นั่งบนเก้าอี้นวมส่งมาให้ก่อนเดินมา

    กอดคอเขา


              “เก็บอาการหน่อยพ่อหนุ่ม” ชาลียกมือหยิกแก้มน้องชายอย่างหยอกล้อโดยมีเฟร็ดนั่งหัวเราะเป็นผู้ชม


              บิลหรี่ตามอง “นายกำลังจีบเด็กอายุสิบสามอยู่นะนั่นน่ะ”


              จอร์จเดินหนีพี่ชายทั้งสองไปนั่งข้างเฟร็ด แก้มเริ่มขึ้นสี


              “ฉันรู้น่าว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่”


              “ช่าย” เฟร็ดรีบเสริมวางมือบนบ่าจอร์จแล้วตบเบาๆ “จอร์จรู้อยู่แล้วว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ แต่ติดนิดเดียว ตรงที่นังหนูของเขา

    ไม่รู้ตัวว่ากำลังโดนจีบอยู่ล่ะ”


              “เธอจะรู้ก็ต่อเมื่อนายบอกความรู้สึกของนายจริงๆ ไปนั่นแหละ” ชาลีกอดอก ยืนพิงชั้นวางหนังสือ “เหมือนที่ฉันขอคาร่าคบ 

    เธอบอกว่าไม่รู้เลยว่าที่ฉันทำดีด้วยเพราะกำลังจีบเธอยู่” ใบหน้ากร้านแดดเหม่อมองไกลออกไปนอกหน้าต่าง นึกย้อนถึงอดีตแฟนสาว

    ที่ยังคงคิดถึงเธอเสมอ


              “แต่ตอนนี้เลิกกันไปแล้วล่ะ” บิลกระซิบบอกฝาแฝด


              เฟร็ดยืดตัวขึ้น “ตั้งแต่เมื่อไร พวกเราไม่เห็นรู้เลย”


              “ตั้งแต่สองเดือนแรกที่ฉันเริ่มทำงาน” ชาลีหันมาตอบด้วยตัวเอง ในน้ำเสียงที่ฟังสบายๆ นั้นมีความถวิลหาแฝงอยู่


              “นั่นมันนานมากแล้วนะ”


              “ทำไมถึงเลิกกันล่ะ” จอร์จถาม ตอนนี้เขาเบนความสนใจมาที่เรื่องชาลีและแฟนสาวของเขาที่แสนใจดีคนนั้น


              “ระยะทาง” ชาลีตอบเศร้าๆ แต่แล้วก็ยิ้มน้อยๆ “เราทำงานกันคนละซีกโลก เธอบอกว่าเธอทำใจไม่ได้ที่ต้องห่างกันขนาดนั้น”


              “แล้วพี่ได้ข่าวเธอบ้างไหม ตอนนี้น่ะ” เฟร็ดถาม


              “ได้... เธอส่งการ์ดเชิญไปงานแต่งงานมาให้ -- ฉันเพิ่งไปร่วมงานเมื่อสองเดือนก่อนนี่เอง”


              บิลเดินไปกอดคอปลอบน้องชายที่เริ่มมีน้ำตารื้นขึ้นมา “มันช่วยไม่ได้นี่นะ ความรักมันก็แบบนี้ล่ะ คาร่าจะต้องรู้เข้าสักวัน

    ว่าได้ทิ้งผู้ชายดีๆ อย่างนายไป -- แต่ก็นะ เป็นโสดก็ไม่เห็นแย่ตรงไหน โสดเป็นเพื่อนฉันก่อน แล้วเรามาเอาใจช่วยใครบางคนแถวนี้ดีกว่า” 

    เขาชำเลืองมองจอร์จแล้วยกยิ้มอย่างมีเลศนัย


              จอร์จจะไปทำอะไรได้นอกจากยิ้มแห้งๆ “แหม ...ดีใจจัง มีคนเอาใจช่วยเพิ่มมาอีกสองคนแล้ว”


              วันต่อมาเรื่องที่จอร์จไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นอีกเป็นหนที่สอง จะมาถึงเร็วขนาดนี้ นั่นคือการที่นังหนูของเขามานอนค้าง

    ที่บ้านโพรงกระต่าย

                

             มอลลี่ออกไปรับลูน่าที่บ้านเพื่อที่เช้าวันรุ่งขึ้นจะได้เดินทางไปสถานที่จัดงานควิดดิชเวิลด์คัพพร้อมกัน รวมทั้งแฮร์รี่และเฮอร์ไมโอนี่

    ก็มาค้างที่นี่ด้วย ทำให้ตอนนี้ที่บ้านโพรงกระต่ายมีสมาชิกถึงสิบสองคน

                

              มื้อเย็นวันนี้ทั้งหมดจึงย้ายจากห้องครัวมากินอาหารกันในสวนนอกบ้านเพราะในบ้านมีที่ไม่เพียงพอสำหรับพวกเขา

                

              จอร์จยอมแลกกับอะไรทั้งหมดกระทั่งไก่อบของโปรดเพื่อให้ได้นั่งใกล้ลูน่าระหว่างกินอาหารเย็น เขาแลกที่กับรอนแล้วนั่งลงข้างๆ 

    คนผมบลอนด์อย่างเริงร่าและใช้เวลาทั้งหมดคุยกับเธอ

                

              ชาลีละสายตาจากจานตรงหน้า เห็นน้องชายฝาแฝดผมแดงของเขากำลังคุยกับเด็กสาวตากลมอย่างสนุกสนานก็อดคิดถึง

    เขากับแฟนเก่าไม่ได้ ตอนนั้นบรรยากาศรอบตัวก็ดูจะอบอวลไปด้วยความสุขแบบนี้...แต่ทำไมเธอถึงได้เปลี่ยนใจไปรักคนอื่นกันนะ...


        ชาลีเหม่อมองซะจนบิลต้องสะกิด


           “นายจ้องซะจอร์จไม่กล้าจีบต่อแล้ว” ชายหนุ่มผมยาวเอียงตัวกระซิบบอก

                

              “อ้อ” ดูเหมือนชาลีจะรู้สึกตัวในที่สุด เขาก้มลงจิ้มเนื้อไก่อบเข้าปากแล้วทำทีเป็นคุยปกติ “พวกเธอสองคนดูสนิทกันจังเลยนะ” 

    ดวงตาสีน้ำตาลมองไปทางลูน่าที่จ้องตาแป๋วกลับมา

                

              “เขาใจดีมากเลยค่ะ -- ก็เลยสนิทกัน ...อย่างน้อยหนูก็คิดว่าเราสนิทกัน”

                

              “ฉันก็คิดเหมือนเธอนั่นแหละ นังหนู”

                

              บิลยิ้มมุมปากพลางชะโงกตัวข้ามโต๊ะมาโดยไม่สนใจว่าจอร์จจะพูดอะไร “แล้วเคยคิดไหม ว่าทำไมจอร์จถึงใจดีกับเธอ”

                

              จอร์จเลิ่กลั่กนั่งไม่ติดเก้าอี้ “นั่นคำถามอะไรของพี่น่ะ”

                

              “ก็เพราะเขาชอบ --”


              วินาทีนี้จอร์จใจเต้นรัวขึ้นมา แบบนี้มันเร็วเกินไป ถ้าจะบอกชอบ เขาก็ต้องบอกด้วยตัวเองสิ! เขาคิดอยากจะยกมือปิดหูลูน่า

    ซะเดี๋ยวนี้เลย...


              “ชอบอะไรเหรอ” เฟร็ดเอียงตัวเข้ามาร่วมวงอย่างเป็นทางการด้วยอีกคน


              “ชอบอะไรก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ฉันชอบเวลาเธอยิ้มนะ” บิลตอบ ยิ้มกว้างให้ลูน่าแล้วหันไปยักคิ้วให้จอร์จ


              “เด็กๆ ช่วยแม่ยกจานชามเข้าไปในบ้านทีสิจ๊ะ”


              ทุกคนลุกขึ้น ยกเว้นบิลที่เดินเข้าหาจอร์จ “นี่เป็นสัญญาณเตือน น้องเอ๋ย เดินหน้าหน่อย ไม่งั้นนายอาจโดนคนอื่นปาดหน้าไปแน่ 

    ลูน่าไม่ได้อยู่เป็นโสดรอให้นายไปสารภาพรักอยู่คนเดียวนะ ...ยกเว้นก็แต่ว่าเธอไม่สนใจจะมีแฟน”


              “เมื่อตอนเย็นฉันได้ยินคุยจินนี่กับลูน่าเรื่องพรีเฟ็คบ้านเรเวนคลอด้วยล่ะ” ชาลีตามมาสมทบ


              จอร์จเอียงคอ ขมวดคิ้ว “โกลด์สตีนน่ะหรือ”


              “ฮื่อ ฉันได้ยินจินนี่บอกว่ารอนเอาจดหมายจากคนที่ว่ามาให้เจ้าตัว เห็นว่ารุ่นเดียวกับรอนนี่ ใช่ไหม ในนั้นเขียนมาถามจินนี่

    ว่าพอจะรู้ที่อยู่ลูน่าบ้างไหม”


              “แล้วจินนี่เขียนตอบว่าไง” 


              “บอกว่ารู้”


              “ว่าไงนะ”


              “ฟังให้จบก่อนสิ -- บอกว่ารู้ แต่คงให้ที่อยู่ลูน่ากับเขาไม่ได้ ถึงให้ไปลูน่าก็ไม่ได้อ่านอยู่ดีเพราะไปเที่ยวต่างประเทศกับครอบครัว”


              “ก็แน่ล่ะ” กลุ่มหันไปตามเสียง เจอจินนี่ที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไรยืนกอดอกมองอยู่ “เรื่องอะไรหนูจะยอมให้คนเพอร์เฟ็คทุกอย่าง

    อย่างเขามาจีบเพื่อนหนู ในเมื่อพี่ชายหนูเจ๋งกว่าตั้งเยอะ -- แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน นี่พี่แอบฟังหนูคุยกับเพื่อนตลอดเลยหรือ”


              ชาลีอึกอัก “แค่บังเอิญได้ยิน...จริงๆ นะ” เขาตีหน้าซื่อตาใสเข้าสู้ แต่น้องสาวสุดที่รักไม่หลงกล


              “พี่ไม่เกี่ยวนะ” บิลรีบออกตัว ยิ้มให้ชาลีแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในบ้าน  



              จอร์จลืมตาตื่นเป็นคนแรกเมื่อแม่ของเขาเข้ามาปลุกในห้องของรอนที่เขากับเฟร็ดมาอาศัยอยู่ด้วยชั่วคราวหลังยกห้องตัวเอง

    ให้บิลกับชาลีไป


              ท้องฟ้าข้างนอกยังมืดสนิทเมื่อมอลลี่บอกว่าใกล้ได้เวลาออกเดินทางกันแล้ว เมื่อเธอมั่นใจว่ามีใครคนใดคนหนึ่งตื่นแล้ว

    ก็ออกไปปลุกจินนี่ ลูน่าและเฮอร์ไมโอนี่ที่นอนด้วยกัน


              “ตื่นได้แล้ว รอน” แฮร์รี่ยกมือเกาผมยุ่งเหยิงของตน พึมพำปลุกรอนพลางอ้าปากหาว คนถูกปลุกทำเสียงงัวเงียฟังไม่ได้ศัพท์

    แล้วนอนต่อหน้าตาเฉย


              “ทำไมเราไม่หายตัวได้อย่างพวกบิลบ้างนะ --” เฟร็ดลุกขึ้นนั่งจากกองผ้าห่มที่คลุมโปงก่อนหน้านี้ อ้าปากหาวใส่จอร์จ “จะ -- จะ

    ได้ตื่นสายกว่านี้อีกหน่อย”


              “หันหน้าไปทางอื่นได้ไหม” จอร์จโยนผ้าห่มคลุมหน้าเฟร็ดแล้วลุกขึ้นยืน “เอ้า ลุกขึ้นแต่งตัวกันได้แล้วพวกขี้เซา”


              เฟร็ดจับผ้าห่มออก เบะปาก “นายก็ขี้เซาเหมือนกันล่ะ ถ้าไม่ติดว่ามีแม่หนู --”


              “ถึงเวลาต้องตื่นแล้วเหรอ” รอนงัวเงียยันตัวเองลุกขึ้นนั่งบนเตียง ดวงตาหรี่ปรือเพราะแสงไฟที่ส่องเข้าตา “เหมือนฉันยังไม่ได้นอน

    เลยสักนาที”


              มีเสียงเดินออกจากห้องนอนจินนี่ลงบันไดไปข้างล่าง นั่นยิ่งทำให้จอร์จเร่งความเร็วในการแต่งตัวยิ่งขึ้นไปอีก วันนี้ฝาแฝดวีสลีย์

    ใส่เสื้อและกางเกงยีนส์สีส้มสะดุดตาเหมือนกัน ขณะที่รอนและแฮร์รี่สวมกางเกงยีนส์แบบธรรมดาเพื่อไม่ให้สะดุดตาและเป็นที่สนใจ

    ของมักเกิ้ล แต่ก็ถูกเฟร็ดกับจอร์จสอนเอาตอนที่เดินออกจากห้องว่า “แฟชั่นพวกนายน่ะ ล้าสมัยไปแล้ว” พร้อมกับหมุนตัวนำเสนอแฟชั่น

    ล้ำสมัยของพวกเขาอีกคนละหนึ่งรอบถ้วน  


              หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จ มอลลี่เดินมาส่งอาเธอร์ ฝาแฝด รอน จินนี่ แฮร์รี่ เฮอร์ไมโอนี่และลูน่าที่หน้าประตูบ้าน


              “แน่ใจนะว่าคุณเอาตั๋วไปแล้วน่ะ ที่รัก”


              “แน่นอน” อาเธอร์ตบแปะๆ บนกระเป๋าเสื้อ


              “ฉันจะส่งบิล ชาลีแล้วก็เพอร์ซี่ตามไปเอง -- ดูควิดดิชให้สนุกนะจ๊ะเด็กๆ เดินทางปลอดภัยนะทุกคน แล้วก็อย่าไปก่อเรื่องอะไรล่ะ” 

    มอลลี่จงใจชำเลืองตามองลูกชายฝาแฝดที่ไม่แม้แต่คิดจะสบตาเธอกลับ


              “เอาล่ะเด็กๆ ได้เวลาออกกำลังขากันหน่อยล่ะ” อาเธอร์บอกด้วยท่าทางกระฉับกระเฉงแล้วออกเดินท่ามกลางแสงสว่างเพียงน้อยนิด

    ตามแนวขอบฟ้า ขณะที่พระจันทร์ยังคงลอยอ้อยอิ่งไม่จากไปไหน


              แม้ในหน้าร้อน แต่เช้าๆ แบบนี้อากาศนั้นหนาวจับใจ พวกเขาเดินตามผู้นำอย่างอาเธอร์มาเรื่อยๆ มีเพียงเสียงย่ำเท้าลงบนพื้นแฉะๆ 

    เสียงหอบหายใจและเสียงพูดคุยบ้างเป็นครั้งคราวที่ทำลายความเงียบนี้


              “ดีใจกันได้แล้ว กุญแจนำทางอยู่บนเนินเขานี่ล่ะ” อาเธอร์ชี้นิ้วไปยังเนินสโต๊ทส์เฮด


              ทางฝั่งของหนุ่มๆ ที่เล่นกีฬาเป็นประจำอย่างเฟร็ด จอร์จ แฮร์รี่และรอนที่เล่นควิดดิชอยู่ที่บ้านเป็นประจำนั้นไม่มีปัญหา 

    พวกเขากระชับสายกระเป๋าเป้แล้วเริ่มเดินไต่เนินขึ้นไป ขณะที่สาวๆ ทั้งสามนั้นเงยหน้ามองเนินเขาอย่างห่อเหี่ยวใจ 


              ถึงจินนี่จะยังพอมีกำลังเหลืออยู่บ้างเพราะชอบแอบซ้อมควิดดิชอยู่คนเดียว แต่การที่ต้องไต่ขึ้นเนินเขาทั้งที่อากาศหนาว 

    มือและเท้าเย็นเฉียบไปหมดขนาดนี้นั้นเกินกว่าที่เธอจะทนรับไหว


              รอนเดินย้อนกลับมาตามคำสั่งของพ่อ คว้ามือจินนี่กับเฮอร์ไมโอนี่คนละข้างแล้วออกแรงช่วยดึงให้เดินไปพร้อมกัน 


              “เธอจับมือจินนี่อีกทีนะ ลูน่า”


              “ปล่อยให้จอร์จดูแลเถอะน่า รายนั้นน่ะ” เฟร็ดกอดอก ทำท่าทางเหมือนรำคาญใจที่รอนไม่รู้อะไรเอาซะเลย


              รอนขมวดคิ้วน้อยๆ แต่ก็ขี้เกียจเกินกว่าจะถามเลยเดินต่อไปแต่ก็พบว่าไม่ได้คืบหน้าไปไหนเลย “ขยับขากันหน่อยสิ สองคนนี้น่ะ 

    ฉันไม่ได้มีหน้าที่ลากพวกเธอขึ้นไปนะ”


              “เราก็ไปกันบ้างเถอะ นังหนู เอ่อ -- ให้ฉันจับมือเธอไปด้วยไหม หมายถึงช่วยดึงน่ะ”


              เฟร็ดชะโงกหน้าแทรกกลางระหว่างคนทั้งสอง จับบ่าแฝดของเขากับลูน่า “หรือจะให้ขี่หลังจอร์จก็ยังได้”


              ลูนานิ่งไปราวสามวินาที “เราเดินไปกันเถอะ เดี๋ยวตามพวกเขาไม่ทันเอานะ” แล้วเธอก็เดินลอยละล่องขึ้นเนินไปโดยไม่เลือกสักข้อ


              เฟร็ดยกมือเตรียมตบบ่าให้กำลังใจจอร์จแต่กลับคว้าได้แต่อากาศเมื่อแฝดคนน้องของเขาวิ่งตามลูน่าไปแล้ว


              “งั้นเรามาคุยกันระหว่างเดินขึ้นดีกว่า มันช่วยให้เราลืมได้นะว่ากำลังไต่เขากันอยู่”


              ลูน่าหันมองจอร์จแล้วพยักหน้าหงึกหงัก “ดีเลย”


              “เรื่องอะไรดี อ้อ นาร์เกิ้ลดีไหม เธอได้เจอมันหรือยัง”


              “เกือบแล้ว มันค่อนข้างขี้อาย ฉันไม่แน่ใจว่าใช่นาร์เกิ้ลไหม แต่มันก็ทำให้ฉันมีความหวังขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ”


              ทั้งสองคุยกันต่อไปเรื่อยๆ โดยมีรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุขจนหน้าหมั่นไส้ของจอร์จโผล่มาให้เห็นตลอดเวลา ถึงอย่างนั้น

    ฟร็ดก็ไม่เข้าไปขัดและทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีอย่างลับๆ


              “เรามาถึงเร็วกว่าที่คิดเอาไว้นะนี่” อาเธอร์ยืนหอบตรงพื้นราบเรียบบนเนินเขา มีแฮร์รี่ตามมา และรอนที่ปล่อยมือจินนี่กับเฮอร์ไมโอนี่

    แล้วทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรง และลูน่า จอร์จกับเฟร็ดเป็นกลุ่มสุดท้าย สายลมเย็นๆ พัดพาให้ผมสีแดงเพลิงที่ยาวประบ่าของฝาแฝดปลิวไสว


              “แล้วเราต้องทำอะไรกันต่อครับพ่อ” เฟร็ดถาม แต่ตามองดูจอร์จที่ทำหน้าที่ดูแลลูน่าอย่างดี ส่งขวดน้ำให้ดื่มก่อนฝาแฝดอย่างเขา

    เสียอีก


              “หากุญแจนำทาง  --”


              “ทางนี้ อาเธอร์! พ่อหาเจอแล้ว เซ็ด!”


              พวกวีสลีย์และเด็กๆ ที่เหลือหันมองหน้ากัน และเดินตามอาเธอร์ไปยังเนินเขาอีกฝั่ง ปรากฏให้เห็นร่างสูงสองร่างที่ยืนรอกันอยู่แล้ว


              “เอม็อส!” อาเธอร์ยิ้มกว้างและเดินเข้าไปทักทายพ่อมดผู้มีใบหน้าแดงเรื่ออย่างคนสุขภาพดี และข้างๆ กันนั้นเป็นวัยรุ่นหน้าตา

    หล่อเหลาที่นักกีฬาควิดดิชทีมกริฟฟินดอร์จำได้ดี เพราะเขาคนนี้นี่ล่ะที่เป็นกัปตันและซีกเกอร์มือดีของฮัฟเฟิลพัฟที่คว้าชัยชนะจาก

    กริฟฟินดอร์ไปในนัดแรกเมื่อปีที่แล้วและเป็นนักเรียนรุ่นเดียวกับเฟร็ดและจอร์จ


              “นั่นลูกคุณหมดเลยหรือ” ชายคนที่มีเคราสีน้ำตาลไล่สายตามองเด็กๆ ที่ตามหลังเพื่อนร่วมงานมา


              “ไม่ใช่ เฉพาะคนแดงผมแดงน่ะ ส่วนนี่ก็เพื่อนๆ พวกเขา แฮร์รี่ เฮอร์ไมโอนี่เพื่อนของรอน แล้วลูน่าเพื่อนจินนี่ เด็กๆ นี่คุณเอม็อส 

    ดิกกอรี่”


              “สวัสดีครับ”


              “สวัสดีค่ะ”


              “สวัสดีเด็กๆ พวกเธอคงรู้จักเซดริกกันอยู่แล้วใช่ไหม อ้อ เซ็ด นี่คุณอาเธอร์ วีสลีย์”


              “สวัสดีครับ” เซดริก ดิกกอรี่ จับมือกับอาเธอร์และหันมองเพื่อนร่วมสถาบัน


              “หวัดดี” เฟร็ดและจอร์จเอ่ยทักเขาก่อนตามด้วยคนอื่นๆ


              “หวัดดี” เซดริกทักตอบ ไล่สายตามองทุกคนและหยุดอยู่ตรงเด็กสาวผมบลอนด์ที่สีผมของเธอโดดเด่นจากทุกคนในกลุ่ม “หวัดดี -- 

    ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าเธอจะอยู่เรเวนคลอใช่ไหม”


              “ใช่” จอร์จชิงตอบก่อนพลางเขยิบมาข้างหน้าเล็กน้อยเพื่อบังลูน่า ไม่ให้อีกฝ่ายจ้องเธอนานกว่านี้


              “เอาล่ะ ในเมื่อมาครบกันแล้วก็ไปกันเถอะ” เอม็อสพูดขัด ชูรองเท้าบู๊ตเก่าๆ ในมือ


              ทุกคนเดินล้อมวงรอบๆ รองเท้าเก่าๆ ที่เอม็อสยื่นมาตรงกลาง อาเธอร์ก้มมองดูนาฬิกาพร้อมนับถอยหลัง ขณะที่มือของทุกคน

    แตะรองเท้าคู่นั้น


              “สาม..สอง...หนึ่ง” อาเธอร์พูดและมองดูเด็กๆ


             ทันใดนั้นเหมือนมีแรงกระตุกและกระชากทุกคนไปในทิศเดียวกัน ในตอนนั้นเองที่เท้าเริ่มลอยขึ้นจากพื้น จอร์จยื่นมือมาจับมือลูน่า

    ที่อยู่ข้างกันเอาไว้แน่น



           ไม่นานนักพวกเขาก็ถึงที่หมายที่ดูเหมือนทุ่งร้าง ทุกคนยกเว้นอาเธอร์ เอม็อสและเซดริกต่างกลิ้งกันไปบนพื้น แฮร์รี่ยืนมือควานไปบน

    พื้นหญ้านุ่มๆ รอบตัว หาแว่นตาของเขาที่หลุดกระเด็นไป


              “เอ้านี่ แว่นตานาย” รอนหยิบแว่นตาส่งคืนให้เจ้าของ


              “ขอบใจ” แฮร์รี่รับแว่นมาสวม ตอนนี้เขาเห็นทุกอย่างแจ่มชัดขึ้นมาแล้ว เห็นเฟร็ดกำลังวิ่งวุ่นเก็บลูกอมลิ้นล้น สินค้าใหม่ที่เพิ่งคิดค้น

    ได้วำเร็จและตอนนี้มันก็กำลังกลิ้งขลุกๆ ไปทั่วบริเวณ


             แฮร์รี่ลุกขึ้นยืนพร้อมรอน เขาส่งมือให้จินนี่ที่อยู่ใกล้ที่สุดให้เธอจับเพื่อดึงให้ลุกขึ้น ในเวลาเดียวกัน เซดริกลอยลงมาด้วยท่าทางเดิน

    ที่ดูสง่างามกว่าพวกที่เหลือ เขาเดินมาช่วยเฮอร์ไมโอนี่ ทว่าถูกรอนตัดหน้าดึงเธอลุกขึ้นซะก่อน


              ดังนั้นจึงเหลือเด็กสาวผมบลอนด์ที่นั่งนิ่งอยู่บนพื้น เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาจึงขยับเข้าไปใกล้จากด้านหลังเธอ หวังจะส่งมือให้ 

    ติดตรงที่ว่าข้างกันนั้นมีคนผมแดงที่เดินมาเบียดเขา แต่แล้วมือที่ยื่นออกไปของทั้งสองกลับไม่มีใครถูกเลือก


              ลูน่ายืนขึ้นด้วยตัวเอง คว้ากระเป๋ามาสะพาย ก่อนจะเพิ่งสังเกตเห็นมือใหญ่ๆ ของจอร์จกับเซดริกที่ยื่นค้างกลางอากาศ 

    ดวงตากลมโตเลื่อนมองหน้าทั้งคู่แล้วยิ้มกว้างราวกับเพิ่งนึกออก “เมื่อกี้นี้สนุกดีนะ”


              “เด็กๆ ไปกันเถอะ เดี๋ยวเราต้องกางเต็นท์กันอีกนะ!” อาเธอร์บอกอย่างแช่มชื่นพลางเดินนำคนทั้งกลุ่มไปหาพ่อมดสองคน

    ที่คอยเก็บกุญแจนำทางและบอกเรื่องจุดกางเต็นท์ที่จองเอาไว้



              จอร์จรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกที่รู้ว่าจุดกางเต็นท์ของพวกเขากับครอบครัวดิกกอรี่อยู่กันคนละทุ่ง พวกเขาได้อยู่ทุ่งแรก

    ที่ใกล้สนามแข่งควิดดิชเวิลด์คัพที่สุด บริเวณทุ่งต่างเต็มไปด้วยเต็นท์ของพวกพ่อมดแม่มดเรียงรายนับไม่ถ้วน


              เห็นได้ชัดว่าถึงมีมาตรการป้องกันไม่ให้พวกเขาแสดงตัวโจ่งแจ้งต่อพวกมักเกิ้ลที่เป็นเจ้าของที่ ว่าเป็นพ่อมดแม่มดแต่ก็ยังมีให้เห็น

    เต็มไปหมดว่าได้พลาดท่าตกแต่งเต็นท์ด้วยของที่มักเกิ้ลไม่ทำกัน อย่างนกยูงแสนสวยที่ผูกไว้ตรงทางเข้าเต็นท์ หรือมีกระทั่งน้ำพุ

    ที่ไม่น่ามาตั้งอยู่กลางทุ่งได้


              ทุกคนช่วยกันกางเต็นท์สองหลังตามคำแนะนำของเฮอร์ไมโอนี่ผู้ใกล้ชิดกับมักเกิ้ลมากที่สุด โดยมีอาเธอร์ผู้หลงใหลมักเกิ้ล

    กระตือรือร้นที่สุดในกลุ่มเมื่อต้องทำทุกอย่างแบบไม่ใช้เวทมนตร์เพราะทุ่งกว้างที่เป็นจุดกางเต็นท์นี้เป็นของมักเกิ้ล ซึ่งบรรดาลูกๆ ของเขา

    ได้ลงความเห็นกันอย่างลับๆ ว่าพ่อของพวกเขานั้นออกจะเกะกะมากกว่าช่วยให้มันเสร็จเร็วๆ


            ช่วงเที่ยง อาเธอร์ร้องอย่างเสียดายเมื่อบิล ชาลีและเพอร์ซี่ที่ตามมาสมทบด้วยการหายตัวหอบหิ้วเอาอาหารกลางวันที่มอลลี่ทำให้

    ติดมือมาด้วย ทั้งที่เขาอุตส่าห์ตื่นเต้นมาตั้งแต่เช้าว่าจะได้ก่อกองไฟแล้วแท้ๆ เชียว


              แต่ใช่ว่าอาเธอร์จะหมดหวังซะทีเดียวเพราะเขายังมีมื้อเย็น รอน แฮร์รี่ เฮอร์ไมโอนี่แยกไปเอาน้ำที่ก๊อกน้ำตรงมุมหนึ่งของทุ่ง 

    เฟร็ดกับจอร์จได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ไปเก็บไม้ในป่าอีกฝั่งมาทำฟืน


              เฟร็ดเห็นแฝดคนน้องของเขามีท่าทีลังเลอยากชวนลูน่าไปด้วยแต่ติดที่เธอไม่ได้นั่งอยู่คนเดียวแถมยังมีพ่อกับจินนี่อยู่ด้วย


              “ไปด้วยกันไหม จินนี่” เฟร็ดถามน้องสาวคนสุดท้องซึ่งรู้คำตอบดีอยู่แล้ว


              “ไม่เอาล่ะ หนูอยู่กับพ่อดีกว่า” ในความหมายของจินนี่คือคอยดูพ่อของเธอที่คึกคักเต็มที่ไม่ให้จุดไม้ขีดไฟเล่นเพลินจนเผาเต็นท์

    ไปซะก่อน


              “แล้วเธอล่ะ แม่หนูลูน่า ในป่านั่นอาจมีสัตว์แปลกๆ อยู่ก็ได้นะ” เฟร็ดลองหยั่งเชิงดู


              ลูน่าพยักหน้าหงึกหงักทันควันราวกับถูกล่อลวงด้วยการสะกดจิต จอร์จขมวดคิ้วมองเฟร็ดก่อนแอบชูนิ้วหัวแม่มือให้


              เวลาเพิ่งผ่านไปได้แค่นาทีเดียว อาเธอร์เกิดนึกเป็นห่วงลูกสาวคนเดียวของเซโนฟิเลียสที่เขาเพิ่งปล่อยให้เธอเดินไปกับตัวแสบ

    อย่างเฟร็ดกับจอร์จ

     

              “พ่อไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ จอร์จไม่มีทางปล่อยให้ลูน่าเป็นอะไรอยู่แล้ว” จินนี่พูดเพื่อให้ผู้เป็นพ่อสบายใจ


              อาเธอร์หยุดมือที่กำลังสนุกอยู่กับไม้ขีดไฟ รอยยิ้มค้างอยู่บนหน้าเมื่อหันมองลูกสาว “จริงๆ เหรอ”


              “อะไรจริงคะ”


              “จอร์จน่ะ -- คือพ่อแค่รู้สึกตงิดๆ มาตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่เคยถามเจ้าตัว -- จอร์จชอบลูน่าใช่ไหม”



              เฟร็ด จอร์จและลูน่าเดินเร็วๆ ตัดผ่านทุ่งที่มีเต็นท์หลากรูปทรง หลากสีสันไปยังป่าแล้วเก็บไม้มาได้เต็มมือและเจอกระต่ายป่า

    เพียงตัวเดียว หลังจากนั้นพวกเขาเดินกลับอย่างเชื่องช้าเพราะไม่ได้เดินตัวปลิวอย่างขามา


              ทั้งสามโบกมือและส่งยิ้มทักคนนู้นทีคนนี้ทีที่เป็นนักเรียนจากฮอกวอตส์ด้วยกัน ก่อนหน้านี้ก็เจอคอลิน กับเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ 

    ที่น่าจะเป็นน้องชายคอลินเพราะทั้งหน้าและขนาดตัวนั้นถอดแบบกันมาเป๊ะๆ แอนเจลิน่ากับอลิเซียโบกมือให้ 

    ส่วนลี จอร์ดันนั้นแบ่งไส้กรอกที่แม่ของเขาเพิ่งทอดเสร็จให้เฟร็ด จอร์จและลูน่ากันคนละชิ้นก่อนเริ่มออกเดินต่อ


              “แคตี้ ลูกช่วยออกไปเก็บไม้ในป่ามาทีได้ไหม”


              เฟร็ดหันขวับไปหาต้นเสียงจนคอแทบหัก เห็นเด็กสาวผมสีน้ำตาลที่เด็กกว่าเขาหนึ่งปี ผู้รับตำแหน่งเชสเซอร์ในทีมควิดดิช

    บ้านกริฟฟินดอร์กำลังเดินหน้าเมื่อยออกมาจากเต็นท์ที่เธออยู่


              “อ้าว หวัดดี” แคตี้ชะงักเล็กน้อยเมื่อเงยหน้ามาแล้วเจอฝาแฝดยืนขวางทางอยู่

     

              “หวัดดี -- เอ้า ฉันแบ่งให้” เฟร็ดเอ่ยทักพลางยื่นท่อนไม้บางส่วนในมือให้เธอ


              แคตี้มองด้วยความงุนงงแต่ก็ยื่นมือมารับไป “งั้นไม่เกรงใจล่ะนะ”


              “ฮื่อ แล้วเจอกันนะ” เฟร็ดโบกมือให้เธอแล้วเดินต่อ เมินสายตาจับพิรุธของจอร์จกับดวงตากลมแป๋วที่จ้องมองมาของลูน่า


              “ลูน่า!” เสียงผู้ชายคนหนึ่งตะโกนมาจากเต็นท์ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ทั้งสามหันไปมอง จอร์จหน้ามุ่ยทันที


           เชมัส ฟินนิกัน นั่งอยู่หน้าเต็นท์ มีแชมร็อก ที่เป็นใบสามแฉกสีเขียวอันเป็นสัญลักษณ์ของไอร์แลนด์ปกคลุมทั่วทั้งเต็นท์ เขายิ้มแฉ่ง

    โบกมืออย่างบ้าคลั่งให้ลูน่าโดยมี ดีน โทมัส กระตุกชายเสื้อเพื่อนสนิทจนเสื้อแทบขาดเพราะเห็นฝาแฝดผมแดงที่อยู่ร่วมบ้านกริฟฟินดอร์

    ยืนอยู่ข้างหลัง มือสองข้างของเชมัสที่โบกพลันชะงักกึก หน้าถอดสี


              “หวัดดี -- เอ้อ -- พวกรอนไม่มาด้วยเหรอ” เชมัสเบนความสนใจไปที่ฝาแฝดวีสลีย์ทันควันราวกับเป็นกิ้งก่าเปลี่ยนสี 

    หนำซ้ำยังถามตะกุกตะกัก


              “หวัดดี เชมัส -- พวกนั้นมาด้วยอยู่แล้ว แต่ไปเอาน้ำอยู่ เดี๋ยวก็คงเจอเองแหละ ไปละ”


              จอร์จพูดตัดบทอย่างไร้เยื่อใยแล้วเดินต่อ ถัดไปไม่กี่แถวจอร์จกับเฟร็ดหัวเกือบทิ่มเพราะการทักทายอย่างเป็นมิตรของ โอลิเวอร์ วู้ด 

    อดีตกัปตันทีมควิดดิชบ้านกริฟฟินดอร์ที่เรียนจบออกไปแล้ว เขาตบหลังฝาแฝดด้วยแขนล่ำๆ ของเขาอย่างลืมตัว


              “เมื่อกี้ก็เจอพวกแฮร์รี่แล้ว ฉันเซ็นสัญญาเป็นผู้เล่นสำรองของทีมพัดเดิ้ลเมียร์ยูไนเต็ดล่ะ” โอลิเวอร์บอกอย่างเบิกบานใจ 

    ก่อนชำเลืองมองไปทางลูน่าที่เดินไปคุยกับมาเรียและจอร์จก็คอยมองคนผมบลอนด์อยู่ไม่ห่าง “แล้วทางนั้นล่ะ คืบหน้าบ้างไหม”


              เฟร็ดชำเลืองมองแฝดของเขาด้วยอีกคน “คืบหน้าอยู่แล้ว -- อย่างกับเต่าคลานแน่ะ”



              มื้อเย็นวันนี้จบลงด้วยไส้กรอกและไข่ดาว และก่อนไปดูการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศควิดดิชเวิลด์คัพระหว่างบัลแกเรียกับไอร์แลนด์ 

    บิลกับชาลีนำทัพพาน้องๆ ออกไปซื้อของที่ระลึกข้างนอก


                ตั้งแต่ก้าวแรกที่ออกมา รอน แฮร์รี่กับเฮอร์ไมโอนี่แยกตัวหายวับไป ส่วนเพอร์ซี่ออกไปทำหน้าที่ของเขา


            “ที่เหลืออย่าหลงกันเชียวนะ” ชาลีจับมือจินนี่เอาไว้แน่น ใช้มือข้างที่เหลือล็อกคอเฟร็ดที่ตาลุกวาวไม่ให้ออกไปนอกลู่นอกทางที่ไหน


              จึงเหลือเพียงจอร์จกับลูน่า พี่ใหญ่อย่างบิลไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ไปแน่ เขาจัดการจัดแจงคว้ามือจอร์จมาจับมือลูน่าให้เองเลย 


           “หลงกันไปล่ะวุ่นน่าดู เอ้า เดินตามพี่ใหญ่มาเลย น้องเอ๋ย!”


              เมื่อกลับมายังเต็นท์ในอีกครึ่งชั่วโมงให้หลัง พวกเขาต่างตัวเบาไปตามๆ กัน แต่มีของที่ระลึกอย่างหมวกกับโบว์สีเขียวอันใหญ่

    มาแทน ขณะที่พวกแฮร์รี่มีกล้องอเนกทัศน์รูปร่างคล้ายกล้องส่องทางไกลกันมาคนละอัน รอนมีตุ๊กตารูปจำลองของ วิกเตอร์ ครัม 

    นักกีฬาทีมบัลแกเรียติดมือมาด้วยและเป็นเพียงสิ่งเดียวในหมู่พวกเขาที่เป็นของทีมชาติบัลแกเรีย

                

             “จินนี่ วาดหน้าให้พี่หน่อยสิ” เฟร็ดส่งกระป๋องสีขาวกับเขียวพร้อมพู่กันให้จินนี่อย่างกระตือรือร้น “เอาใบแชมร็อกแบบใหญ่ๆ ให้เต็ม

    ทั้งหน้าเลยนะ!”

                

              จินนี่วาดใบแชมร็อกสีเขียวเต็มหน้าให้เฟร็ดสมใจอยาก ก่อนพบว่าตัวเองก็มีความสามารถด้านศิลปะดีทีเดียว เธอสบตาเฟร็ด

    ที่ส่งสายตาอย่างมีนัยมาให้ เพียงแวบเดียวก็เข้าใจแม้ไม่มีคำพูด จินนี่หันไปหาลูน่าแล้วยื่นกระป๋องสีกับพู่กันให้

                

              “เธอชอบวาดรูปนี่นะ ช่วยวาดให้จอร์จหน่อยสิ -- พี่อยากให้เพื่อนหนูวาดให้ไหม” เด็กสาวผมแดงเอ่ยถามตามมารยาท 

    ทั้งที่รู้ว่าพี่ชายตัวเองแทบจะยื่นหน้ารออยู่แล้ว


                “อะ -- อื้อ เธอจะวาดให้ฉันได้ไหม นังหนู แต่ไม่ต้องทั้งหน้าเท่าเฟร็ดก็ได้ ขอแค่เป็นธงตรงแก้มก็พอ”


                ลูน่าพยักหน้าเล็กน้อย “ได้สิ”


                เอาล่ะ ไม่ต้องเก็บอาการมันแล้ว!!


              จอร์จยิ้มแฉ่งพลางยื่นหน้าเข้าหาเด็กสาวผมบลอนด์อย่างน่าหมั่นไส้ มุมปากเฟร็ดกระตุก ไม่รู้ควรทำหน้ายังไงดีเพราะสีที่หน้า

    เริ่มแห้งแล้ว


              ลูน่าตั้งใจอย่างเต็มที่เมื่อมันเป็นงานศิลปะ เธอเลื่อนหน้าเข้าใกล้แก้มจอร์จที่นั่งติดกันเพื่อมองให้เห็นชัดๆ ทำเอาจอร์จหุบยิ้มไม่ลง

    วินาทีนั้น ลูน่าช้อนตาขึ้นมองจอร์จพร้อมขมวดคิ้วนิดๆ


              “คุณหยุดยิ้มก่อนได้ไหม -- ฉันวาดไม่ถนัดน่ะ”


              จอร์จที่ยิ้มค้างเพิ่งจับใจความได้ “อ้อ! เข้าใจแล้ว” เขาเบนสายตาหนีเธอ ห้ามใจตัวเองไม่ให้ยิ้มอีกและนั่งนิ่งๆ อย่างเชื่อฟัง


              “ฉันไปดูพ่อก่อนนะ” รอนบอกกับแฮร์รี่ ลุกจากเก้าอี้ออกไปข้างนอกเพราะพ่อของเขาคงจะสนุกอยู่กับการดับไฟในกองไฟ

    จนลืมดูเวลา โดยที่ไม่สังเกตเลยว่าตอนนี้ทุกสายตากำลังมองใครอยู่   


              “เสร็จแล้ว!” ลูน่าร้องบอกอย่างดีใจ วางกระป๋องสีแล้วมองผลงานตัวเองอย่างชื่นชม


              จอร์จหมุนตัวมานั่งประจันหน้ากับเธอ “เธอก็เชียร์ไอร์แลนด์เหมือนกันใช่ไหมล่ะ”


              “อื้อ -- !!” ลูน่าตกใจ นั่งนิ่งไปชั่วขณะเพราะสัมผัสเย็นๆ ของสีเขียวในกระป๋องที่จอร์จแอบใช้นิ้วจุ่มเมื่อกี้นั้นจิ้มลงมาที่ปลายจมูกเธอ


              พอเห็นลูน่านิ่ง คนทำก็เริ่มใจคอไม่ดี จอร์จลนลานยกแขนเสื้อเตรียมเช็ดจุดสีเขียวตรงจมูกเธอออกให้ ทว่าเขากลับเป็นฝ่าย

    ต้องนั่งนิ่งแทน เมื่อลูน่าเอาคืนด้วยการจุ่มสีแล้วป้ายกลับคืนมาที่จมูกเขาบ้าง  


              ทั้งคู่นั่งเงียบกันครู่หนึ่ง ก่อนมีรอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นมา แล้วยิ้มกว้างจนแปรเปลี่ยนกลายเป็นเสียงหัวเราะสองเสียงที่ดังประสานกัน

    ทำให้ทั่วทั้งเต็นท์ที่ก่อนหน้านี้เงียบกริบกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นทันตา


              ชาลีอมยิ้ม “ให้ตายสิ นี่ฉันมองอะไรอยู่เนี่ย”


              บิลนั่งกอดอก ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ทึ่มจริง ก็มองน้องชายของเรากับแม่สาวตากลมอยู่ไง”


              ขณะที่แฮร์รี่แกล้งส่องกล้องอเนกทัศน์ของเขาเพื่อช่วยกลบเกลื่อนสีหน้า จินนี่ให้เฮอร์ไมโอนี่ช่วยติดโบว์ให้ใหม่อย่างไม่จำเป็น 

    ส่วนเฟร็ดยืนมองอย่างภูมิใจและเลิกสนใจสีเขียวบนหน้าที่เริ่มแตกอันเป็นผลมาจากการยิ้ม ไม่ช้ารอนเดินกลับเข้ามาพร้อมมันเผาร้อนๆ 

    นั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิมแล้วก็ต้องคิ้วยุ่งเพราะเห็นทุกคนเอาแต่ยิ้มกรุ้มกริ่ม


              “ทำไมทุกคนยิ้มแปลกๆ -- ฉันพลาดอะไรไปหรือเปล่า”



    - Talk -

                ช่วยบอกรอนทีค่ะ ว่าพลาดอะไรไป 555 รอนก็ยังคงเป็นรอนอยู่วันยังค่ำอะแหละเนอะ ตอนนี้มีคนโผล่มาเยอะแยะไปหมด 

    เชมัสนั้นก็กลัวจอร์จจนขึ้นสมองอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ส่วนจอร์จที่ตอนแรกถูกลูน่าเมินมือของเขาถึงสองครั้งติด

    แต่ท้ายตอนคุณเขาไม่นกนะเออ~


    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×