ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Harry Potter] Little Loony Lovegood [George x Luna] [END]

    ลำดับตอนที่ #29 : 29 ll Tears

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.46K
      128
      26 พ.ย. 62


    29


    Tears


     


              มอลลี่สามารถรับรู้ได้ในทันทีเมื่อมีจดหมายจากฮอกวอตส์มาถึงมือเธอตอนเช้า ว่ามันจะต้องเป็นจดหมายรายงานวีรกรรม

    ของเจ้าลูกชายตัวแสบสองคน ...แล้วก็ใช่จริงๆ

                

              “คราวนี้อะไรอีกล่ะ” ใบหน้าเธอขึ้นสีแดงจัดราวกับจะมีควันพุ่งออกมาจากหูเมื่อคลี่จดหมายอ่าน

                

              “ใจเย็นๆ น่า มอลลี่” อาเธอร์บอกภรรยาของตนพลางจิ้มไส้กรอกเข้าปาก “ปล่อยให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเถอะ 

    เคร่งเครียดเกินไปก็หมดสนุกกันพอดี ตราบใดที่เฟร็ดกับจอร์จไม่ระเบิดทั้งปราสาทก็ไม่เสียหายอะไรนี่”

                

              “ไม่ระเบิดทั้งปราสาทงั้นเรอะ -- งั้นคุณดูนี่ เขาเขียนมาว่าลูกชายที่น่ารักของคุณเกือบทำห้องน้ำของโรงเรียนระเบิด! ยังจะให้ฉัน

    ใจเย็นได้อีกอย่างนั้นหรือ!! นี่มันจดหมายฉบับที่สิบสองแล้วนะ อีกไม่กี่ฉบับก็จะเท่ากับปีที่แล้วแล้ว นี่มันมากกว่าลูกๆ คนอื่นรวมกันซะอีก 

    ฉันล่ะปวดหัวจริงๆ เลยเชียว คิดจะทำลายสถิติให้ได้ทุกปีเลยหรือยังไงกัน คุณก็พูดอะไรบ้างสิอาเธอร์ หรือคุณเห็นดีเห็นงามด้วย”

                

            “ไม่ใช่อย่างนั้น -- แต่คุณก็รู้ ยิ่งห้ามสองคนนั้นก็เหมือนยิ่งยุให้ทำผิดกฎเข้าไปอีก เขาคงถูกกักบริเวณหรือไม่ก็ถูกหักคะแนนไปแล้วล่ะ 

    ยังไงเฟร็ดกับจอร์จก็คงไม่ชักชวนให้คนอื่นแหกกฎตามพวกเขาหรอก”

                

              “ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ!”


        

              “ฮัดชิ่วว!!”       


              เสียงจามของเฟร็ดกับจอร์ดังขึ้นพร้อมกันแถมจามหลายครั้งติดต่อกันจนจมูกเห่อแดง

                

              “พวกคุณไม่สบายเหรอคะ” เด็กสาวผมบลอนด์ขมวดคิ้วถามอย่างเป็นห่วง

                

              “เปล่าหรอก” จอร์จโบกมือปฏิเสธพลางสูดน้ำมูก

                

              “ตกลงว่าเสาร์นี้เราจะไปป่าต้องห้ามกันนะแม่หนูลูน่า เจอกันหลังกินอาหารเย็นเสร็จตรงประตูทางเข้านะ -- ฮัดชิ่ว!” 

    เฟร็ดยกมือถูจมูกไปมาจนมันแดงกว่าเดิม “ต้องมีใครนินทาเราอยู่แน่เลย จอร์จ -- อย่าให้รู้นะว่าใคร”

                

              แต่ถึงจะนัดกันซะดิบดีแค่ไหน แผนเข้าป่าต้องห้ามก็เป็นอันล่มอยู่ดีเพราะฝนเม็ดใหญ่กระหน่ำตกลงมาไม่หยุดตลอดทั้งวัน...



              ทุกวันนี้สถานการณ์ระหว่างกริฟฟินดอร์กับสลิธีรินยิ่งเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ เมื่อตารางแข่งขันควิดดิชนัดชิงแชมป์ใกล้เข้ามา 

    จึงเป็นเรื่องปกติที่จะได้เห็นนักเรียนจากทั้งสองบ้านมีปากเสียงกันให้โดนหักคะแนนกันเป็นว่าเล่น และขั้นรุนแรงที่สุดคือมีคนถูกหามส่ง

    ห้องพยาบาลเพราะมีเรื่องชกต่อยกัน


              นักกีฬาทั้งสองทีมต่างซุ่มวางกลยุทธ์และซ้อมกันอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย โดยเฉพาะกริฟฟินดอร์ที่มีโอลิเวอร์เป็นกัปตันทีม อย่างที่รู้กัน 

    ปีนี้จะเป็นปีสุดท้ายที่เขาจะได้เล่นให้กับทีมบ้านกริฟฟินดอร์และครั้งสุดท้ายในฮอกวอตส์แถมยังได้เข้าใกล้ด้วยควิดดิชถึงขนาดนี้แล้ว 

    เขาจึงทุ่มเทเวลาว่างทั้งหมดให้กับทีมอย่างไม่มีอะไรจะเสีย


              แม้กระทั่งเฟร็ดกับจอร์จก็ยังกดดันจนกลายเป็นคนเคร่งขรึมและเอาจริงเอาจังอย่างไม่รู้ตัว แต่ทุกครั้งเวลาที่จอร์จได้คุยกับลูน่า

    จะเป็นเวลาเดียวที่เขาได้ผ่อนคลายและยิ้มออก


              เด็กสาวผมบลอนด์เป็นยาชูกำลัง(ใจ)ชั้นดีของจอร์จเสมอ แถมยังเผื่อแผ่ไปถึงเฟร็ดกับแฮร์รี่ได้ไม่น้อยทีเดียว เวลาที่เหน็ดเหนื่อย

    จากซ้อมจนร่างแทบแหลก ไหนจะการบ้านกองโตที่รอให้ไปทำ เพียงแค่น้ำเสียงฝันๆ พูดให้กำลังใจ บอกว่าคอยเชียร์อยู่พร้อมกับรอยยิ้ม

    ของเธอก็ทำให้จอร์จมีแรงฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้งและมีแรงไปซ้อมในวันรุ่งขึ้นได้อีก ถึงขั้นมีอยู่หนนึงที่โอลิเวอร์แอบมอบช็อกโกแลตให้ลูน่า

    อย่างลับๆ แทนคำขอบคุณเพราะถ้าไม่ได้เธอ จอร์จคงเฉาตายคาไม้กวาดกับไม้ตีลูกบลัดเจอร์แล้ว


              และแล้วเช้าวันเสาร์แห่งความกดดันได้มาเยือน เมื่อวันนี้คือวันแข่งควิดดิชนัดชิงแชมป์ระหว่างกริฟฟินดอร์กับสลิธีริน 

    โอลิเวอร์ตื่นแต่เช้าหลังเมื่อคืนเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำก็เพื่อวันนี้ เขาเทียวเดินบอกให้ลูกทีมกินอาหารเช้าเข้าไปเยอะๆ จนแทบจะเข้าไปป้อน

    ถึงปากเรียงคนเลยด้วยซ้ำโดยเฉพาะแฮร์รี่ที่เป็นคนสำคัญเพราะคะแนนอยู่กับเขาถึงร้อยห้าสิบแต้ม โอลิเวอร์ย้ำกับแฮร์รี่หลายครั้ง

    ว่าต้องรอให้กริฟฟินดอร์ทำแต้มนำสลิธีรินห้าสิบแต้มก่อนถึงค่อยจับลูกสนิชได้ เนื่องจากคะแนนรวมจากนัดก่อนๆ ของบ้านงูตอนนี้

    นำบ้านสิงห์อยู่


              “นายเองก็กินอะไรบ้างสิ โอลิเวอร์” เฟร็ดลุกเดินไปหากัปตันทีมแล้วกดไหล่ให้นั่งลงแกมบังคับ “ขืนนายเป็นลมตกจากไม้กวาด

    เราก็จบเห่กันพอดี”


              “ใช่ เพราะพวกนั้นจะทำคะแนนได้ง่ายๆ เลย ถ้าไม่มีคีปเปอร์” จอร์จเสริมพลางชะเง้อมองหาคนตัวเล็กบ้านเรเวนคลอไปด้วย 

    แต่ก็ต้องหดคอกลับเมื่อไม่เห็นเธออยู่ในห้องโถงใหญ่


              “รู้แล้วน่า” โอลิเวอร์ขมวดคิ้วแต่ก็ยังไม่เลิกมองเชสเซอร์สาวทั้งสามที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน “ฉันแค่อยากดูให้แน่ใจว่าพวกนายจะไม่

    ท้องว่างก่อนลงแข่ง -- อลิเซีย เธอน่ะ กินพวกเนื้อเข้าไปบ้างสิ กินแต่นมมันไม่อิ่มหรอก เอ้านี่ ฉันตักให้ -- แคตี้ ข้าวโอ๊ตในชามยังเหลือ

    อีกตั้งเยอะ กินเข้าไปซะ”


              “แต่ฉันตื่นเต้นจนกินไม่ลงแล้ว โอลิเวอร์” แคตี้ เบลล์ โอดครวญขณะนั่งมองชามข้าวโอ๊ตตรงหน้าที่เหลือเกือบครึ่ง


              “ไม่ได้ ตื่นเต้นยังไงก็ต้องกิน ฉันไม่อยากเห็นเธอเป็นลมนะ”


              “แต่ว่า --”


              “เอ้าเฟร็ด” โอลิเวอร์เลื่อนชามข้าวโอ๊ตไปให้ฝาแฝดวีสลีย์ที่นั่งติดกับแคตี้


              “กระเพาะเราไม่ได้ติดกันซะหน่อย” เฟร็ดมองอย่างงงๆ


              “ไม่ได้ให้นายกิน -- ฉันให้นายป้อนแคตี้ต่างหาก อย่างไม่มีข้อแม้


              เฟร็ดมองหน้าแคตี้ที่ดูไม่ไว้ใจเขาสลับกับมองชามข้าวโอ๊ต ก่อนหยิบช้อนตักข้าวโอ๊ตต้มเต็มช้อนแล้วยื่นให้เธออย่างเต็มใจ 

    ในเมื่อเขาก็ไม่ได้มีสาวที่ไหนให้กลัวว่าจะเข้าใจเขาผิดอยู่แล้วก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรเสียหายตรงไหน


              “อ้าปากเร็วหนู --” เฟร็ดชูมือค้างพร้อมอ้าปากตามไปด้วย ท่าทางอย่างกับป้อนข้าวลูกสาวก็ไม่ปาน


              แคตี้กวาดตามองคนรอบตัวที่ยิ้มให้เธอเลยยื่นมือฉวยช้อนจากมือเฟร็ดมาถือเอง “ฉันกินเองได้”


              “กินเองตั้งแต่แรกก็จบ” เฟร็ดเลื่อนชามกลับไปให้เธอแล้วยกมือเท้าคางมองจอร์จที่ปากก็เคี้ยวไปด้วยแต่ตาก็มองหาลูน่าไปด้วย

    อย่างนึกหมั่นไส้ ...มีคนที่ชอบนี่มันทำให้มีความสุขขนาดนั้นเลยรึ? ก่อนฝาแฝดผมแดงจะสะดุ้งเฮือกเมื่อโอลิเวอร์โพล่งออกมา


              “แอนเจลิน่า!”


              “อะ -- อะไร!” แอนเจลิน่ารีบวางแก้วที่ใส่นมลงบนโต๊ะแทบจะทันทีจนนมสีขาวสะอาดกระฉอกใส่โต๊ะ ในแก้วนี้มียาพิษใส่อยู่

    อย่างนั้นหรือ?


           “ฉันจำได้ว่าถ้าเธอดื่มนมมากๆแล้วจะปวดท้อง ฉันว่านั่นมันมากไปแล้วนะ-- แฮร์รี่ อย่าหยุดกินสิ กินเยอะๆดูอย่างรอนเป็นตัวอย่างสิ!”


              “เฮ้!” รอนท้วงข้ามหัวแฮร์รี่โดยมีเสียงหัวเราะคิกคักมาจากจินนี่กับเฮอร์ไมโอนี่ “ฉันเกี่ยวอะไรด้วย”


              “เขาก็ต้องการจะบอกให้แฮร์รี่กินของทุกอย่างที่ขวางหน้าเหมือนเธอน่ะสิ” เฮอร์ไมโอนี่ตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม


              “เงียบน่า เฮอร์ไมโอนี่”


              “เอาล่ะ อย่าเถียงกัน” โอลิเวอร์ปรามรุ่นน้องที่กำลังจะเริ่มสงครามน้ำลายกันอีกครั้ง “จอร์จ นายอย่ามัวเหม่อสิ อ้าว เฮ้ นั่นนาย

    จะไปไหนน่ะ” เขาตะโกนตามหลังคนผมแดงที่จู่ๆ ก็ลุกพรวดจากโต๊ะไปซะเฉยๆ ทว่าไร้คำตอบกลับมา


              “อย่าทึ่มไปหน่อยเลยน่า” เฟร็ดโน้มตัวกระซิบกับโอลิเวอร์พร้อมบุ้ยใบ้ไปทางประตูห้องโถงใหญ่ “เห็นกันอยู่โต้งๆ จอร์จก็แค่ไปหา

    กำลังใจ”


              โอลิเวอร์กับแฮร์รี่รวมทั้งเชสเซอร์อีกสามคนที่อยู่ในรัศมีที่ได้ยินต่างหันไปมองพร้อมกัน เห็นบีตเตอร์ของทีมเดินไปหยุดอยู่ที่

    ร่างเล็กผมบลอนด์ที่อยู่ใต้เสื้อคลุมกันฝนสีแดง สร้างเสียงหัวเราะให้กับคนที่พบเห็นได้เป็นอย่างดีเพราะวันนี้ไม่มีแม้แต้เค้าของฝน


              “เธอ -- ใส่เสื้อกันฝนมาทำไมหรือ นังหนู” จอร์จไม่ได้ขำไปกับคนอื่น แต่ก็กะพริบตามองปริบๆ


              “เมื่อกี้นี้ฉันได้ยินเสียงออเกอรี่จากในป่าต้องห้าม เลยกลับไปเอาเสื้อกันฝนที่หอนอนมา --”


              “ออเกอรี่? มันคืออะไร”


              “มันคือนกชนิดหนึ่ง” ลูน่าตอบเสียงใส “มันจะส่งเสียงร้องตอนที่ฝนจะตกหนัก คุณต้องระวังตัวด้วยนะ -- ฉันคิดว่ามันต้อง

    อันตรายมากแน่ๆ ถ้าแข่งตอนฝนตก”


              “ขอบใจที่บอกนะ”


              “โชคดีนะคะ อ้อ ฉันมีนี่ด้วย” จอร์จมองดูลูน่าง่วนอยู่กับการควานหาของอะไรสักอย่างจากใต้เสื้อคลุม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มน้อยๆ 

    เมื่อเจอของที่หาแล้ว เธอหยิบผ้าที่พับไว้เป็นสี่ส่วนแล้วคลี่ให้คนตัวสูงกว่าดูอย่างภูมิใจ “ฉันนั่งเขียนเมื่อคืน”


              มันคือป้ายเชียร์ที่เขียนเต็มผืนผ้าว่ากริฟฟินดอร์! และมีรูปสิงโตที่เธอวาดเองกับมืออยู่ข้างๆ กัน


              “น่ารักจัง” จอร์จหน้าบานขึ้นมาทันควัน เขาฉีกยิ้มกว้างและเผลอพูดสิ่งที่คิดในใจออกมาอย่างลืมตัว “เอ่อ สิงโตที่เธอวาดน่ะ” 

    เขายกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เขิน พลางบอกให้เธอไปกินอาหารเช้าก่อนจะหมดเวลา



            ท้องฟ้าใสกระจ่างปลอดเมฆฝน เมื่อใกล้ถึงเวลาสิบเอ็ดโมงซึ่งเป็นเวลาแข่งควิดดิช นักเรียนทั้งโรงเรียนต่างก็เริ่มทยอยกันมาจับจอง

    พื้นที่บนอัฒจันทร์กันเรื่อยๆ รวมทั้งลูน่าที่เดินมากับมาเรียและจินนี่โดยที่เธอทั้งสองยอมฟังคำทำนายของคนผมบลอนด์ว่าจะมีฝนตกหนัก 

    สิ่งที่พวกเธอทำก็คือกลับไปเอาเสื้อคลุมกันฝนกับร่มที่หอคอยมา เพียงแต่แอบเอาไว้ใต้เสื้อคลุมอีกที

                

              แต่แล้วคนที่ไม่น่าจะอยู่ตรงนี้และควรอยู่ในห้องเปลี่ยนชุดสำหรับนักกีฬาก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางความงุนงงของคนที่อยู่แถวนี้         


            มาเรียเอียงตัวกระซิบกับลูน่าและจินนี่ เมื่อแอนเจลิน่า จอห์นสัน เดินตรงมาทางพวกเธอ “จะมาขอกำลังใจจากเรางั้นหรือ ไม่น่าใช่มั้ง”


              “เธอคือเลิฟกู๊ดใช่ไหม” หญิงสาวผิวดำตัวสูงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าลูน่า


              “ค่ะ”


              “ขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ”


              ลูน่าพยักหน้ารับช้าๆ ก่อนเดินตามแอนเจลิน่าไปคุยในที่ที่ไร้เสียงรบกวน ไม่นานเด็กสาวผมบลอนด์ก็เดินกลับมาตัวคนเดียว

    แล้วนั่งบนอัฒจันทร์รวมกลุ่มกับคนอื่นๆ


              มาเรียรีบคว้าแขนเพื่อนผมบลอนด์มาคุยด้วยความเป็นห่วง “ท่าทางผู้หญิงคนนั้นน่ากลัวชะมัด บอกหน่อยพวกเธอคุยอะไรกัน 

    เขาไม่ได้ขู่อะไรเธอใช่ไหม ลูน่า”

                

              ขณะเดียวกันในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก็เกิดความตื่นเต้นจนกลายเป็นตึงเครียดของซีกเกอร์หนุ่มทีมกริฟฟินดอร์


              แฮร์รี่มีสีหน้าไม่สู้ดีนักเมื่อรู้ว่าเวลากระชั้นชิดใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ขณะที่มือก็เช็ดแว่นสำหรับเอาไว้กันฝนเผื่อฝนตกหนัก ตามคำสั่ง

    ของโอลิเวอร์ที่บอกให้ทุกคนเตรียมตัวให้ดีโดยไม่ลืมเช็ดแว่นและต้องไม่ลืมเสกคาถาที่เฮอร์ไมโอนี่เคยสอนไม่ให้แว่นเป็นฝ้าด้วย 

    หลังกัปตันหนุ่มถูกจอร์จและฝาแฝดของเขา เฟร็ด มาเซ้าซี้ว่าต้องเตรียมเอาไว้


              เฟร็ดกับจอร์จเดินมานั่งขนาบข้างแฮร์รี่ที่ดูไม่ฮึกเหิมเอาซะเลย “เป็นอะไรไป แฮร์รี่” เฟร็ดตีเข้าที่ไหล่ซีกเกอร์เป็นการเรียกขวัญ 

    แต่ดูเหมือนจะทำให้ขวัญกระเจิงมากกว่าเพราะคนผมแดงสวมแว่นตากันฝนกลับด้านเอาข้างหน้าไปไว้ข้างหลังแล้วยักคิ้วหลิ่วตาให้ 

    “เฮ้ ทำไมฉันมองไม่เห็นอะไรเลยล่ะ!”


              แฮร์รี่หลุดหัวเราะพรืดจนแว่นหลุดจากมือ เขาก้มตัวลงเก็บขึ้นมา แล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


              “ไหนบอกมาซิ นายเครียดเรื่องอะไร” จอร์จถามอย่างต้องการเข้าเรื่องสักที


              “ครั้งนี้เราอาจแพ้สลิธีริน”


              “หมายความว่าไง” เฟร็ดถามพลางไล่สายตามองทั่วตัวแฮร์รี่ “นายปวดท้องอยู่หรือ”


              “หรือปวดหัว” จอร์จถามบ้าง

     

              “หรือปวดเข่า โอ ให้ตายเถอะ แฮร์รี่ หัวเข่านายเสื่อมแล้วหรือ”


              “หรือบางที ...เมื่อเช้านี้นายอึไม่ออก”


              “นั่นยังไง! ฉลาดมากเลยจอร์จ” เฟร็ดตบเข่าดังฉาด “ไม่ต้องห่วงนะแฮร์รี่ ฉันมียาที่ทำให้นายอึ --”


              “พอที!” แฮร์รี่ตะโกนลั่นเพื่อหยุดความคิดต่างๆ นานาของฝาแฝดวีสลีย์ “เปล่า ผมสบายดี -- แต่แบบว่า ก็เห็นๆ กันอยู่ 

    สลิธีรินอาจมีแผนเล่นสกปรกเหมือนอย่างที่ทำกับเรเวนคลอกับฮัฟเฟิลพัฟ นักกีฬาค่อนทีมถูกหามส่งห้องพยาบาล ยิ่งครั้งนี้เป็นนัดชิงแชมป์ 

    พวกเขาต้องยิ่งเล่นสกปรกมากกว่าเก่าแน่”


              เฟร็ดยกมือเท้าเอว “แล้วยังไง”


              “ใช่ แล้วยังไงล่ะ อย่าคิดมากไปก่อนเลยน่า พวกนั้นก็ไม่ได้แน่เท่าไรหรอก ใช่ไหม เฟร็ด”


              “ฮื่อ โดยเฉพาะมัลฟอย หมอนั่นน่ะจุดอ่อนของทีมเชียวล่ะ ไม่มีอะไรดีไปกว่าแค่มีเงิน” เฟร็ดตบบ่าแฮร์รี่สองสามที “อย่าปอดแหกน่า 

    แค่พวกนั้นเล่นสกปรกก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องชนะซะหน่อย มันอยู่ที่ฝีมือต่างหาก แต่ถ้าพวกนั้นเล่นสกปรกเกินกว่าจะทนขอให้

    เชื่อมือพี่ใหญ่เถอะ”


              “เฟร็ดพูดถูก ลืมไปแล้วเหรอว่ามีพวกฉันอยู่ในทีมด้วย”


              เมื่อแฮร์รี่กลับมามีกำลังใจขึ้นมาบ้าง ประตูห้องก็เปิดผางออกพร้อมกับแอนเจลิน่าที่เดินส่งยิ้มหวานมาให้จอร์จ

     

              “ไปไหนมา” โอลิเวอร์ถามเชสเซอร์สาว


              “ธุระส่วนตัวนิดหน่อย” เธอตอบโดยไม่ลืมส่งยิ้มมาให้ฝาแฝดวีสลีย์


              ทันใดนั้น เสียงฟ้าร้องครืนๆ ข้างนอกก็ดังขึ้น จอร์จลุกขึ้นจากที่นั่งไปเปิดประตูดูอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ทั้งที่เมื่อกี้ท้องฟ้า

    ยังปลอดโปร่งอยู่เห็นๆ แต่ตอนนี้กลับมีเมฆครึ้มลอยตัวต่ำลงมา มีสายลมเย็นพัดกระหน่ำแรงขึ้นเรื่อยๆ พากลิ่นชื้นของฝนลอยมา  


              เฟร็ดมายืนข้างๆ แล้วอ้าปากค้าง กินลมเข้าไปหลายอึก “นังหนูของนายนี่เจ๋งชะมัด -- พนันได้เลยว่าสลิธีรินต้องวิ่งวุ่นหาแว่นอยู่แน่ๆ”


              “ใช่” โอลิเวอร์เสริมอยู่ทางด้านหลัง “ถ้าปีหน้าลงเรียนวิชาพยากรณ์ศาสตร์น่าจะไปได้ดี เอาล่ะ ไม่มีเวลามาดูสภาพอากาศแล้ว 

    ทีนี้เราก็มีเวลาทวนแผนอีกครั้งมากกว่าฝ่ายนู้นก่อนเริ่มแข่ง มารวมกลุ่มกันเร็ว” กัปตันหนุ่มกวักมือเรียกฝาแฝดผมแดงให้ไปรวมกับคนอื่น

    ตรงกลางห้อง 

     

          ทางฝั่งที่นั่งบนอัฒจันทร์ก็เกิดเหตุชุลมุนวุ่นวายกับการวิ่งกลับไปหาร่มหรือเสื้อกันฝนที่หอนอนเพราะเม็ดฝนเริ่มจะโปรยปรายลงมาแล้ว

    ห้านาทีต่อมา ร่มคันใหญ่ของเนวิลล์ที่มีดีนกับเชมัสหลบอยู่ใต้ร่มคันเดียวกันก็ปลิวไปกับตา ทั้งสามคนตะโกนแข่งกับเสียงลมที่พัดหวือ 

    แต่สุดท้ายคนที่เดือดร้อนที่สุดคงหนีไม่พ้นเนวิลล์


              “ไม่นะ! ร่มฉัน! ยายต้องว่าฉันแน่” เนวิลล์ตะเกียกตะกายคว้าร่มลายดอกไม้สีสันบาดตา แต่ก็คว้าได้แต่อากาศ


              ลูน่ายกร่มขึ้นเล็กน้อยเพื่อดูสถานการณ์วุ่นวายข้างๆ กัน ก่อนล้วงมือหยิบร่มคันสีเหลืองอีกอันที่เตรียมมายื่นให้เชมัสที่ยืนอยู่ติดกัน 

    “ฉันพกมาเผื่อเอาไว้น่ะ เมื่อเช้านี้ออเกอรี่ทำนายเอาไว้ว่าฝนจะตกหนัก พวกคุณจะยืมไปใช้ก่อนก็ได้นะ”


              ทั้งสามคนหันมองหน้ากันแต่ก็รีบบอกขอบใจพร้อมกับเชมัสที่ยิ้มแฉ่ง ยื่นมือมารับไปอย่างยินดีแถมเป็นคนถือเอง ไม่ยอมแบ่ง

    ให้คนอื่นถือด้วย


              ท้องฟ้าในวันนี้เริ่มแปรปรวนอย่างหนัก จากที่ทั้งลมทั้งฝนกระหน่ำซัดสาดลงมา ทว่าเมื่อนักกีฬาลงสนามกลับเริ่มซาลง


              เวลาสิบเอ็ดโมงตรง นักกีฬาทั้งสองทีมเดินมาประจันหน้ากันตรงกลางสนามท่ามกลางเสียงเชียร์ จอร์จยกมือป้องตามองหาเด็กสาว

    ที่สวมเสื้อกันฝนสีแดงอย่างต้องการเรียกกำลังใจ  


              “ไง วีสลีย์” เสียงยานคางจากฝั่งสลิธีรินเอ่ยทักฝาแฝดผมแดง แทนที่จะเป็นแฮร์รี่เหมือนครั้งก่อน มัลฟอยยักคิ้วให้จอร์จ

    แล้วพูดผ่านม่านฝนที่ตกลงมาปรอยๆ “เตรียมร้องไห้เป็นของฝากให้แม่สติเฟื่องของนายได้เลย” 


              ทั้งสองจ้องมองกันอย่างไม่มีใครยอมกัน มาดามฮูชเป่านกหวีดเป็นสัญญาณเริ่ม นักกีฬาทั้งสิบสี่คนถีบตัวขึ้นจากพื้นพร้อมกับ

    เสียงพากย์ของลี จอร์ดัน ที่แข่งกับเสียงฝน


              ยังไม่ทันพ้นสิบนาทีแรกดี สลิธีรินก็เริ่มเล่นนอกกฎกติกา เชสเซอร์คนหนึ่งในทีมสลิธีรินดึงปลายไม้กวาดของอลิเซียที่กำลังจะทำแต้ม

    ให้กริฟฟินดอร์ ทำให้เธอกะจังหวะพลาดแต่ยังโชคดีที่ได้ลูกโทษกลับคืนมา กริฟฟินดอร์นำอยู่สิบต่อศูนย์


              อีกห้านาทีให้หลังบีตเตอร์บ้านงูตีลูกบลัดเจอร์ไปทางพวกน้องๆ ของฝาแฝดวีสลีย์แล้วก็กลุ่มเพื่อนๆ ของจินนี่อย่างจงใจยั่วโมโห 

    โชคดีที่มีรอนกับเชมัสอยู่ตรงนั้น รอนกดศีรษะจินนี่ให้ก้มลง ขณะที่เชมัสดึงตัวลูน่าให้เอียงเข้าหาเขาโดยที่มืออีกข้างยังคงกำด้ามร่ม

    เอาไว้แน่น เฟร็ดที่เห็นเหตุการณ์เลยศอกเข้าไปที่หน้าของบีตเตอร์สลิธีริน ส่วนจอร์จก็หวดลูกบลัดเจอร์ไปทางมัลฟอยที่หัวเราะชอบใจ

    อย่างเต็มแรง


              เป็นเวลานานพอดู แต้มของทั้งสองทีมไล่กันมาอย่างสูสีและส่วนใหญ่ได้มาจากลูกโทษที่มีการเล่นนอกกฎ ในตอนนั้นเอง 

    ท่ามกลางม่านฝนเม็ดใหญ่ที่สาดซัดลงมาจนชุดกีฬาทำให้ตัวหนักอึ้งเพราะน้ำฝน เกิดมีสายฟ้าฟาดลงมาบนอัฒจันทร์แถวกลุ่ม

    กริฟฟินดอร์ดังเปรี้ยง มีแวบนึงที่จอร์จเกิดสมาธิหลุดจากเกมแต่ก็กลับมาตั้งสติใหม่ได้เมื่อมีเสียงโอลิเวอร์ตะโกนข้ามสนามมา

    ให้แฮร์รี่ระวังลูกบลัดเจอร์ที่พุ่งหาเขาพร้อมกันทีเดียวถึงสองลูก


              บีตเตอร์ทั้งสองของทีมรีบพุ่งไปทำหน้าที่ของตัวเอง เฟร็ดกับจอร์จจัดการหวดลูกบลัดเจอร์ได้ทันก่อนที่มันจะไปถึงตัวแฮร์รี่

    พร้อมร้องเชียร์ให้แฮร์รี่จับลูกสนิชให้ได้


              มัลฟอยบินผ่านจอร์จไล่ตามแฮร์รี่ไปติดๆ วินาทีนี้เป็นตอนที่ลุ้นที่สุดและจะตัดสินว่าบ้านไหนจะได้ถ้วยควิดดิชปีนี้ คนทั้งอัฒจันทร์

    รวมทั้งนักกีฬาในสนามต่างก็มุ่งความสนใจไปที่ซีกเกอร์ทั้งสองแม้กระทั่งโอลิเวอร์ยังหยุดอยู่กับที่ส่งเสียงให้แฮร์รี่คว้าลูกสนิชมาให้ได้


              ในจังหวะนั้นเอง หางตาจอร์จบังเอิญเห็นลูกบลัดเจอร์สีดำสนิทพุ่งไปทางลูน่าโดยใครบางคนจากฝั่งสลิธีรินที่ตีเพื่อดึงความสนใจ

    ในเมื่อเกมยังไม่จบ ซึ่งมันได้ผล จอร์จหันด้ามไม้กวาดเปลี่ยนทิศเพื่อไล่ตามลูกบอลสีดำแล้วง้างไม้สุดแขนฟาดมันให้ออกไปจากกลุ่มลูน่า

    และจินนี่ที่อยู่ตรงนั้น เป็นเวลาเดียวกับที่แฮร์รี่จับลูกสนิชได้พอดี


              ทั้งอัฒจันทร์ฝั่งกริฟฟินดอร์ เรเวนคลอรวมทั้งฮัฟเฟิลพัฟที่เจอฤทธิ์เดชทีมสลิธีรินต่างก็ลุกขึ้นส่งเสียงเชียร์กับชัยชนะครั้งนี้ 

    จอร์จชูกำปั้นขึ้นกลางอากาศพร้อมกับคนอื่นๆ แต่ใครจะไปคิดว่าจะมีลูกบลัดเจอร์พุ่งเข้ามาเล่นงานเขาด้วยการอัดเข้าที่ท้อง 

    ทำให้ทั้งร่างเขาร่วงลงจากไม้กวาดดิ่งลงสู่พื้นสนาม


              เฟร็ดกับคนอื่นในทีมดีใจสุดขีดรีบบินไปกอดแฮร์รี่กลางอากาศจนเป็นก้อนกลมพร้อมโห่ร้องอย่างดีใจ โอลิเวอร์ถึงกับหลั่งน้ำตา

    ที่ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จสักที


           ในระหว่างนั้นเองที่เฟร็ดกำลังจะหันไปตีไม้กับบีตเตอร์ที่เป็นคู่หูและฝาแฝดของเขาเหมือนอย่างเคย ทว่ากลับไม่เห็นคนผมแดงอีกคน

    รวมอยู่ในกลุ่ม เลยกวาดสายตาไปทางอัฒจันทร์ฝั่งกริฟฟินดอร์ท่ามกลางสายฝน เผื่อว่าจอร์จจะไปดีใจอยู่กับลูน่า แต่เมื่อเขาบินเข้าไปหา

    เด็กสาวในชุดเสื้อคลุมกันฝนสีแดงใกล้ๆ กลับเห็นเธอก้มลงมองด้านล่างด้วยสีหน้าตกใจ


              เฟร็ดมองตามลงไปบ้าง ริมฝีปากที่ฉีกยิ้มกว้างพลันหุบลงเมื่อเห็นก้อนสีแดงกองอยู่กับพื้นเบื้องล่าง ในวินาทีนั้นเอง 

    แทบไม่ต้องคิดให้เสียเวลา เขากดไม้กวาดให้ต่ำลงแล้วดิ่งลงไปหาทันที พร้อมๆ กับศาสตราจารย์ล็อกฮาร์ตที่วิ่งฝ่ากลางสายฝน

    มากลางสนามเพื่อช่วยลูกศิษย์คนโปรด


              แต่แล้วผลที่ออกมากลับเลวร้ายยิ่งกว่าเก่า นักกีฬาทีมกริฟฟินดอร์ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในห้องพยาบาลเป็นกรณีพิเศษ

    ถูกมาดามพอมฟรีย์เอ็ดชุดใหญ่ว่าพวกเขาไม่ควรให้ล็อกฮาร์ตช่วยรักษาอาการบาดเจ็บ เพราะแทนที่เธอจะทำเพียงแค่ต่อกระดูก

    ตรงส่วนขาที่หักให้กลับมาเชื่อมติดกันกลับต้องปลูกกระดูกทั้งขาข้างขวาของจอร์จแทน


              เฟร็ดมองดูฝาแฝดคนน้องที่กวาดสายตาอย่างเลื่อนลอยไปรอบเตียงเพื่อมองหาใครบางคน


              “คนอื่นที่ไม่ใช่นักกีฬาในทีมไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา” เขาบอกด้วยเสียงที่อ่อนลงกับจอร์จอย่างเข้าใจดีว่ากำลังมองหาใคร 

    หลังก่อนหน้านี้เขาโมโหจนเลือดขึ้นหน้าเมื่อได้รู้มาจากรอนว่ามัลฟอยเล่นขี้โกง เขาเป็นคนตีลูกบลัดเจอร์มาอัดให้จอร์จที่ไม่ทันระวังตัว

    ตกจากไม้กวาดทั้งที่เกมจบลงแล้ว ทันทีที่รู้เรื่องเฟร็ดก็พุ่งตัวเข้าหามัลฟอยที่นอนอยู่กับพื้นอย่างเอาเรื่องแต่ถูกแฮร์รี่กับรอนรั้งตัวเขาเอาไว้


              และตัวการที่ทำให้จอร์จพลาดท่าก็ถูกหามมาส่งที่ห้องพยาบาลด้วยเหมือนกันเพราะถูกลูกบลัดเจอร์ที่ตีไปย้อนเข้าหาตัวเอง


              เฟร็ดตะคอกใส่มัลฟอยที่นอนร้องครวญครางอยู่บนเตียงฝั่งตรงข้ามว่าให้ “หุบปาก!” อย่างเหลืออดเต็มที ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้มี

    ชิ้นส่วนตรงไหนแตกหรือหักแต่ก็ร้องเรียกความสนใจราวกับจะตาย


              ขณะที่เตียงที่อยู่ไม่ไกลกันมากเป็นร่างของแอนโทนีที่โดนลูกหลงกับเขาด้วย แม้เฟร็ดกับแฮร์รี่จะไม่ได้สนิทสนมกับแอนโทนี

    เพราะอะไรก็รู้ๆ กันอยู่ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็นึกขอบคุณที่เด็กชายบ้านเรเวนคลอไม่ตะโกนแหกปากออกมา


              “เจ๋งไปเลยใช่ไหมล่ะ เฟร็ด” อยู่ดีๆ จอร์จก็พูดขึ้นมา


              “อะไรที่นายว่าเจ๋ง”


              “ก็นี่ไง” จอร์จว่าพลางโน้มตัวจับปลายเท้าข้างขวาที่ไร้กระดูกขึ้นโบกไปมาเหมือนมือราวกับเสียสติไปแล้ว “ชาตินี้นายไม่มีทาง

    ได้ประสบการณ์สุดวิเศษแบบนี้แน่”


              เกิดความเงียบขึ้นมาฉับพลันที่รอบเตียงเขา ก่อนมีเสียงหัวเราะหึๆ มาจากเฟร็ด


              “นายพูดถูก น่าเสียดายชะมัด”


              แฮร์รี่เองก็หัวเราะแห้งๆ ตาม เพราะถูกเฟร็ดกระทุ้งเข้ามาที่สีข้างอย่างหาส่วนร่วม


              “คืนนี้เธอต้องรับศึกหนักหน่อยนะ คุณวีสลีย์” มาดามพอมฟรีย์เดินแหวกนักกีฬาที่ยืนมุงรอบเตียงเพื่อให้เธอเข้าถึงตัวจอร์จ 

    พร้อมกับยาอีกหนึ่งกระติก


              “จะมีกระดูกงอกใหม่คืนนี้เลยเหรอฮะ” โอลิเวอร์ถาม


              “ถ้าจะพูดอย่างนั้นก็ใช่ แต่ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์เลยล่ะกว่าจะกลับมาเดินไปตามปกติ เอ้า ดื่มยานี่ซะ อย่าคายออกมานะ”


          “เจ๋ง!” เฟร็ดร้องขึ้นขณะที่จอร์จทำหน้าเหยเกเพราะยาที่ดื่มเข้าไป “ได้ยินไหมจอร์จ นายกำลังจะมีกระดูกใหม่พร้อมกับวันเกิดของนาย”


              “จริงด้วย พรุ่งนี้วันเกิดนายนี่นา” โอลิเวอร์เสริม “เดี๋ยวพวกฉันมาฉลองที่นี่พรุ่งนี้ตอนกลางวัน ฉลองที่ได้ถ้วยด้วย” เขาพูดปลอบใจ

    พลางชูถ้วยควิดดิชที่ติดมือมาด้วยให้ดู คนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย


              แต่แล้วก็มีเสียงโอดโอยดังมาจากฝั่งตรงข้าม มาดามพอมฟรีย์หันขวับไปหาเตียงมัลฟอยเจอเข้ากับเด็กหญิงที่ไม่ได้รับอนุญาต

    ให้เข้ามา


              “เธอไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามานี่ คุณพาร์กินสัน ออกไปซะ -- พวกเธอทั้งหมดนี่ก็ด้วย หมดเวลาเยี่ยมแล้ว” เธอหันมาหาพวกเฟร็ด 

    “คนป่วยต้องการเวลาพักผ่อน เอาล่ะ ไปซะ อย่างเงียบเชียบ”


              เมื่อนักกีฬาจากทั้งสองฝั่ง รวมทั้งพาร์กินสันและกลุ่มของแอนโทนีถูกต้อนให้ออกไป ทั่วทั้งห้องก็ถูกความเงียบเข้ามาปกคลุม

    เมื่อเหลือเพียงนักเรียนต่างบ้านสามคนที่ไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะมาพูดปลอบใจกัน


              มัลฟอยยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง “เป็นอะไร วีสลีย์ ทำหน้าซึมอย่างกับส้วมแน่ะ” น้ำเสียงยานคางพูดเยาะเย้ย “ยัยสติเฟื่องไม่มาเยี่ยม

    เลยนี่นะ น่าสงสารจริง”


              “อ้อ งั้นฉันก็ดีใจด้วยนะที่นายยังมีพาร์กินสันมาเยี่ยม”


              ใบหน้าเสี้ยมแหลมฉายแววเย็นชา “ฉันไม่ได้ขอให้ยายนั่นมา --” เสียงมัลฟอยขาดห้วงไปทันทีเพราะมาดามพอมฟรีย์เข้ามา

    บอกให้เงียบ


              เวลาเดินผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าจนทั้งสามกินอาหารเย็นและยาเสร็จ มัลฟอยก็หลับไปในทันทีเพราะยาที่มีฤทธิ์แรงเป็นพิเศษ 

    จอร์จเอนตัวลงนอนตะแคงไปทางซ้ายตามความเคยชินพร้อมดึงผ้าห่มผืนบางมาห่ม ขณะที่เขาพยายามทำใจให้สบายเตรียมรอรับ

    ความเจ็บในคืนนี้ ดวงตาสีน้ำตาลก็สบเข้ากับดวงตาสีฟ้าที่มีเฉดเข้มกว่าลูน่าเล็กน้อยกำลังมองมาที่เขาเช่นกัน


              “บอกตามตรง ผมไม่คิดว่าโอกาสที่ผมจะได้พูดกับคุณเรื่องนี้จะมาถึงเร็วขนาดนี้” แอนโทนีพูดต่อโดยไม่สนใจว่า

    จอร์จจะฟังเขาอยู่หรือไม่หรือมีสีหน้ายังไง “ถ้าคุณมีแฟนตัวจริงให้ดูแลแล้วล่ะก็ ผมขอดูแลเธอแทนเอง”


              “นายพูดถึงใคร”


              “เลิฟกู๊ดไง -- ผมเห็นคุณอยู่กับเธอแทบจะทุกครั้ง แต่ตอนนี้ในเมื่อคุณมีแฟน ผมก็พร้อมที่จะ --”


              “ฉันไม่ได้มีแฟน”


              “แต่ผมเห็นคนที่เขาบอกว่าเป็นแฟนคุณ ชื่ออะไรนะ อ้อ จอห์นสัน -- เรียกเลิฟกู๊ดไปคุยตอนก่อนแข่งควิดดิช”


              “ว่าไงนะ คุยว่าอะไร”


              “ไม่รู้สิ อาจจะบอกให้เลิฟกู๊ดเลิกยุ่งกับคุณก็ได้ อันที่จริงคุณก็มีแฟนของคุณอยู่แล้ว ไม่น่าจะมายุ่งยุ่มย่ามกับเธออีก”


              “ฉันบอกแล้วว่าฉัน --”


              เสียงของจอร์จถูกกลบไปโดยเสียงเอะอะข้างนอกห้องพยาบาล เสียงนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งร่างสูงชะลูดเจ้าของผมสีแดงเพลิง

    ที่เหมือนกับจอร์จไม่ผิดเพี้ยนถูกแฮร์รี่พยุงให้เข้ามาในห้องโดยมีเสียงคัดค้านจากมาดามพอมฟรีย์ตามมา  


              “ขอให้ฉันดูอาการเขาก่อนนะ ถึงจะให้มานอนพักที่นี่ได้ คุณพอตเตอร์ ฉันไม่แน่ใจว่าคุณวีสลีย์เล่นตลกอะไรหรือเปล่า”


              “ไม่ได้ฮะ ผมหมายถึงเขาไม่ได้เล่นตลกฮะ เขาเป็นลมไปจริงๆ เขาคงจะเหนื่อยจากควิดดิชแถมเมื่อคืนนี้ก็นอนน้อยด้วย 

    เขาตัวร้อนด้วยนะฮะ” แฮร์รี่พาเฟร็ดเดินเลี่ยงไม่ให้มาดามพอมฟรีย์จับตัวเขาก่อนรีบพาไปนอนบนเตียงข้างๆ ฝาแฝดอีกคน 

    แต่มาดามพอมฟรีย์ตามมาติดๆ และกำลังจะจับแขนเฟร็ด แฮร์รี่เห็นอย่างนั้นก็รีบปล่อยแขนเฟร็ด ทำเอาคนผมแดงกระแทกลงบนเตียง

    จนหลุดเสียงร้องดัง อั้ก


              “มีไข้จริงๆ นี่ ฉันจะไปเอายามาเดี๋ยวนี้ล่ะ”


              ทันทีที่มาดามพอมฟรีย์เดินพ้นไปจากสายตา เฟร็ดก็มองแฮร์รี่ตาคว่ำ


              “ขอโทษฮะ ก็คุณบอกว่าทำยังไงก็ได้ไม่ให้คุณถูกเตะออกจากห้องพยาบาล”


              “แอนเจลิน่าอยู่ไหน” จอร์จถามเสียงเรียบขัดทั้งสองที่ยังคุยกันไม่จบ ทำเอาแฮร์รี่กับเฟร็ดงงงวยเพราะแทนที่จะถามถึงลูน่า

    ดันออกปากถามถึงอีกคน “ฉันถามว่าแอนเจลิน่าอยู่ที่ไหน”


              “มีอะไรหรือเปล่าฮะ”


              “แฮร์รี่ นายไปถามให้ทีว่าตอนก่อนแข่งควิดดิชแอนเจลิน่าพูดอะไรกับ--” จอร์จชำเลืองมองดูเตียงที่อยู่อีกข้างก่อนจงใจเน้นเสียง 

    “กับนังหนูของฉัน


              แฮร์รี่ยืนงงเป็นไก่ตาแตกและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ก่อนหน้านี้แต่ก็ยอมตอบรับอย่างว่าง่าย “ได้ฮะ”


              ถึงจะเป็นแฮรรี่ พอตเตอร์ แต่เขาก็ไม่ได้รับสิทธิพิเศษในการเยี่ยมไข้ผู้ป่วย ทันทีที่มาดามพอมฟรีย์ส่งยาให้เฟร็ด เธอก็บอกให้เขา

    ออกไปจากห้องพยาบาลทันที

                

              จอร์จกำลังจะอ้าปากถามว่าเฟร็ดเป็นอะไรแต่ก็ถูกพูดแทรกมาก่อน “ลูกอมทำให้เป็นไข้ -- ไม่มีอะไรได้ผลดีเท่านี้อีกแล้ว 

    แต่ความจริงแล้วฉันอยากมาดูว่าปลูกกระดูกจะเป็นยังไงมากกว่า อีกอย่างจะได้มานับถอยหลังวันเกิดพวกเราพร้อมกันด้วย”


              เฟร็ดตอบ ซึ่งมีความจริงอยู่เพียงแค่ครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่งด้วยความที่เขาอดคิดไม่ได้เรื่องที่ศาสตราจารย์ทรีลอว์นีย์ทำนายว่า

    วันนี้จอร์จจะต้องเสียน้ำตาเพราะความรักก็เลยอยากมาอยู่เป็นเพื่อน ถ้าหากเป็นจริง ยังไงก็ต้องเกิดภายในเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงก่อนหมดวัน 

    ถ้าหากลูน่าจะมาหักอกฝาแฝดคนน้องของเขามันก็ต้องเกิดขึ้นที่นี่ เพราะงั้นมันคงจะดีกว่าถ้ามีเขาคอยอยู่ปลอบใจหรือไม่ก็อาจจะช่วยให้

    อะไรๆ มันดีขึ้นก็ได้  


              จอร์จหรี่ตามองอย่างจับพิรุธ  “หรือนายกลัวฉันร้องไห้ตามคำทำนายกันแน่”


              “รู้จนได้สินะ -- ฉันจำได้ นายจะร้องไห้วันนี้ พนันได้เลย ฉันคิดว่าปลูกกระดูกมันจะต้องเจ็บมากจนนายร้องไห้แน่ๆ” จอร์จกำลังจะยิ้ม

    อยู่แล้วเชียวที่รู้ว่าเฟร็ดเป็นห่วงแต่ติดอยู่นิดเดียว “ภาพหาดูได้ยากนะนั่นน่ะ ฉันไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้เห็นนายร้องไห้หรอก”


              มุมปากจอร์จกระตุกยิ้ม เขาใช้มือข้างที่ไม่ได้เจ็บปาหมอนใส่หน้าจนเฟร็ดต้องหงายหลังหลบ


                   

              ค่ำคืนนี้มีอากาศหนาวจับใจเพราะความชื้นของเม็ดฝนที่ตกมาอย่างไม่ปราณี จอร์จพยายามข่มตาให้หลับเพื่อที่เวลากระดูกขึ้น

    จะได้ไม่รู้สึกเจ็บ

                

              แต่แล้วเขากลับสะดุ้งตื่นขึ้นมาในอีกสองชั่วโมงต่อมาด้วยความรู้สึกปวดที่ขาจนเหมือนมันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จอร์จหันหน้า

    ซุกลงกับหมอนแล้วระบายความเจ็บปวดด้วยการร้องอัดใส่หมอนเพื่อไม่ให้คนอื่นรวมทั้งเฟร็ดต้องตื่น

                

              หนึ่งชั่วโมงเต็มๆ กับการทนทุกข์ทรมานอย่างที่ไม่เคยได้เจอ มีเหงื่อผุดซึมเต็มหน้าผาก คนผมแดงพลิกตัวนอนหงายอย่างหมดแรง

    และปล่อยให้อาการปวดนั้นดำเนินไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีทางเลือกก่อนความง่วงค่อยๆ คลืบคลานเข้ามา...


              ทว่าจอร์จกลับเห็นเงาตะคุ่มๆ อยู่แถวประตู จอร์จแกล้งพลิกตัวนอนตะแคงเพื่อเพ่งมองดูให้ชัดๆ ดูจากรูปร่างน่าจะเป็นผู้ชายสองคน

    เดินย่องเข้ามา ผ่านเตียงของเขาไปและไปหยุดอยู่ที่เตียงแอนโทนี


              “เป็นไงบ้างเพื่อน คงเจ็บน่าดูเลยล่ะสิ”


              “อือ เจ็บ แต่จะให้ทำไงได้” เสียงทุ้มที่จอร์จจำได้ว่าเป็นเสียงแอนโทนีตอบกลับ


              “ก็ว่าอย่างนั้น แต่ว่านะ ฉันว่าอีกไม่กี่นาทีนายต้องยิ้มหน้าบานแน่ จริงไหม จอห์น”


              “แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์”


              “พวกนายพูดเรื่องอะไรกัน”


              “ก็ฉันพานางฟ้าตัวน้อยของนายมาด้วยน่ะสิ พอเลิฟกู๊ดรู้ว่าพวกฉันจะมาเยี่ยมนายก็รีบขอมาด้วยเลย”


              “จริงเหรอ แล้วเธออยู่ไหนล่ะ”


              “ใจเย็นสหาย พวกเราแยกกันมาไม่ให้ถูกจับได้ เธอจะมากับเจคอบ เดี๋ยวคงถึงแล้วล่ะ นั่นไง”

                

              จอร์จที่นอนหันหลังให้กลุ่มคนที่คุยกันอยู่กำลังจ้องเขม็งไปยังประตู หวังให้ตัวเองหูฝาดไปเอง ซึ่งภาพที่เห็นก็ได้พิสูจน์แล้ว

    ว่าไม่ได้หูฝาด เมื่อเห็นเงาร่างของเด็กสาวเจ้าของผมสีบลอนด์ที่สะท้อนแสงจันทร์กับชายตัวเล็กที่สุดในกลุ่มแอนโทนีเดินตามหลังเข้ามา

    ราวกับเป็นองครักษ์ให้เธอ ทั้งคู่เดินผ่านเตียงที่เขานอนอยู่ เสียงฝีเท้าที่เขาจำได้ขึ้นใจหยุดลงที่เตียงของแอนโทนี


              “คุยกันตามสบายนะ” เสียงทุ้มของใครบางคนพูด ก่อนมีเสียงคนราวสองสามคนเดินออกไป


              “คุณเป็นยังไงบ้าง” น้ำเสียงนิ่มถามขึ้น เป็นคำถามธรรมดาสามัญที่แฝงไปด้วยความห่วงใยเจืออยู่ในน้ำเสียงนั้น ทว่ามันทำเอา

    หัวใจจอร์จรู้สึกปวดหนึบคล้ายถูกแมงป่องที่แฮกริดเลี้ยงต่อยเข้าอย่างจัง


              คำถามนี้เธอควรจะถามฉันสิ นังหนู หรือแอนเจลิน่าไปพูดอะไรกับเธอ? ...หรือว่าเธอ เป็นห่วงเขามากกว่าฉัน


              จอร์จคิดจะพลิกตัวกลับไปดู แต่เพียงแค่เห็นทางหางตาว่าแอนโทนีกำลังจับมือลูน่าเขาก็ทำใจมองมันไม่ได้ เลยหันกลับมาฟัง

    แค่เสียงตามเดิม  


              “เจ็บนิดหน่อย แต่นั่นไม่สำคัญหรอก ฉันดีใจที่เธอมาเยี่ยมฉันทั้งที่มันเสี่ยงมาก เธออาจถูกฟิลช์จับได้”


              “แต่ว่าฉันอดเป็นห่วงคุณไม่ได้ ฉันรู้ว่าที่คุณบาดเจ็บเป็นเพราะช่วยฉันไม่ให้โดนลูกหลง ฉันกังวลว่า --”


              “อย่ากังวลไปเลย เดี๋ยวฉันก็หายแล้ว -- เอ่อ เลิฟกู๊ด ฉันรู้ว่านี่มันไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องแบบนี้ -- แต่ฉันรู้แล้วว่าจอห์นสัน

    บอกกับเธอว่ากำลังคบอยู่กับจอร์จ วีสลีย์ ใช่ไหม -- งั้นต่อจากนี้ เธอจะว่าอะไรไหมถ้าฉันจะขอดูแลเธออย่างที่เขาทำ”


              “คุณรู้ไหมว่าพูดแบบนี้มันอาจทำให้ฉันเข้าใจผิด”


              “แล้วเธอเข้าใจว่าอะไร หืม?”


              “ฉันก็จะคิดว่า -- คุณอาจจะชอบ -- ฉัน”


              “งั้นก็เข้าใจถูกแล้ว ฉันชอบเธอ เลิฟกู๊ด ชอบตั้งแต่ตอนที่เราขึ้นรถไฟกลับลอนดอนเมื่อตอนที่เธออยู่ปีหนึ่ง ตอนนั้นฉันเห็นเธอ

    เดินผ่านฉันไปแล้วฉันก็คิดว่าถ้าเราได้สนิทกันก็น่าจะดี ฉันถึงตามไปนั่งในตู้เดียวกับเธอแล้วโกหกว่าตู้อื่นเต็มหมดแล้ว -- น่าเสียดาย

    ที่ตอนนั้นคุณวีสลีย์พาฉันไปนั่งตู้อื่น -- แต่ตอนนี้เธอก็รู้ เขากำลังคบอยู่กับผู้หญิงในทีมควิดดิชบ้านเดียวกัน -- ฉันรู้ว่าเราอาจไม่ได้รู้จัก

    กันมากพอ แต่เธอให้โอกาสฉันได้พิสูจน์ตัวเองได้ไหม เลิฟกู๊ด ...คบกับฉันนะ-- อาจไม่ถึงขั้นเรียกว่าแฟนแต่เราค่อยๆ เรียนรู้กันไปก่อนก็ได้”


              จอร์จลืมตาโพลงเมื่อสิ้นเสียงทุ้ม เขานอนนิ่งรอฟังคำตอบจากเด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาโดยไม่ขยับตัว


              “...ค่ะ”


              เขาแทบลืมหายใจไปชั่วขณะ คำตอบสั้นๆ แต่บาดลึกเข้าไปในขั้วหัวใจจอร์จอย่างไม่ต้องสงสัย คนผมแดงกัดฟันแน่น

    พลางหลับตาลง ตอนนี้มันเจ็บมากกว่าการปลูกกระดูกซะอีก จอร์จได้แต่นิ่งเงียบคิดกับตัวเอง ถ้าเพียงแค่เขารีบเอ่ยปากบอกออกไป

    ว่าที่แอนเจลิน่าพูด ไม่ได้เป็นความจริง ถ้าเพียงแค่เขาบอกว่าชอบเธอก่อนแอนโทนี เธอจะตอบเขาว่ายังไง


              มันเจ็บจนจุกอยู่ในอกเมื่อคิดย้อนกลับมา ถ้าหากลูน่าไม่ได้ชอบแอนโทนี ก็คงไม่มีทางตอบรับคำสารภาพรักรวมทั้งแอบเข้ามา

    เยี่ยมกลางดึกแบบนี้ น้ำตาอุ่นๆ ที่กลั้นเอาไว้รื้นขึ้นมาจนไหลหยดลงบนหมอน ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนหมอนเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา  


              ขอบคุณนะ นังหนู สำหรับของขวัญวันเกิดล่วงหน้าชิ้นแรกที่ได้รับปีนี้ -- ฉันคงลืมไม่ลงไปอีกหลายสิบปี...


              มีเพียงหมอนใบสีขาวใบเดิมที่รับรู้ถึงความเจ็บปวดของเขา แถมความเจ็บครั้งนี้ถูกซ้ำเติมด้วยความเจ็บจากการปลูกกระดูกที่ขา

    จนพูดอะไรไม่ออก


              “จอร์จ” มีเสียงกระซิบที่ฟังเหมือนเสียงเฟร็ดดังขึ้นตรงหน้า ...เสียงมาจากไหน จอร์จหันมองพลางยื่นมือไขว่คว้ากลางอากาศ

    เผื่อว่าเฟร็ดจะใช้ผ้าคลุมล่องหนคลุมเข้ามา แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าแฝดคนพี่ของตัวเองก็นอนอยู่ที่นี่อยู่แล้ว จะต้องแอบเข้ามาทำไม 

    แต่แล้วก็เหมือนเกิดเหตุแผ่นดินไหว ทั้งเตียงที่นอนอยู่สั่นสะเทือนจนตัวเขาโอนเอนไปมา กระทั่งรับรู้ได้ถึงความชาที่แก้มเหมือนถูกตบ


              “โอ๊ย!” จอร์จยกมือขึ้นกุมแก้มตัวเองแล้วลูบป้อยๆ ก่อนจะค่อยๆ เห็นร่างของใครบางคนภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาให้เห็น

    ว่าใบหน้านั้นเหมือนกับตัวเขาเองอย่างไม่มีผิดเพี้ยน


              “ตื่นได้สักที” เฟร็ดร้องอย่างโล่งอก “ฉันเห็นนายร้องไห้ตั้งนาน เอ้า เช็ดน้ำตาซะ ผ้าเช็ดหน้านี่ฉันยืมมาจากจินนี่ -- ไหนฝันว่าอะไรฮึ 

    เล่าให้ฟังหน่อยซิ” เขาเดินกลับกลับไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงตัวเองแล้วรอให้จอร์จเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบหน้า


              “ฉัน -- ฝันไปเหรอ”


              “น่าจะเป็นงั้น เพราะฉันนอนไม่หลับ เออ ก็หลับแหละ แต่ตื่นขึ้นมาตอนที่นายโอดโอยอยู่กับหมอนนั่นตั้งนาน ฉันเห็นนายเงียบไปแล้ว 

    ฉันกำลังจะหลับอีกรอบ แล้วอยู่ดีๆ นายก็ร้องไห้ ฉันได้ยินเสียงสูดน้ำมูกของนายเลยหันมาดู ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นมีอะไรแท้ๆ”


              “ฉันฝันไม่ค่อยดีนิดหน่อย”


              “ไม่หน่อยแล้วล่ะมั้ง -- จะว่าไปศาสตราจารย์ทรีลอว์นีย์ก็แม่นเหมือนกันแฮะ จำได้ไหม เขาบอกว่านายจะเสียน้ำตาวันที่สามสิบเอ็ด

    มีนา -- เรื่องความรัก


              จอร์จหลบตาทันทีที่เฟร็ดพูดประโยคหลัง “เหรอ ฉันจำไม่เห็นได้”


              “เล่ามาเถอะน่า เราเป็นแฝดกันนะ นายฝันว่าอะไร ฉันสัญญาว่าจะไม่เอาไปเล่าให้ใครฟัง”


              จอร์จเกิดลังเลขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ยอมบอก “นังหนูตอบตกลงยอมคบกับโกลด์สตีน”


              “บ้าน่า นายตามจีบมาเป็นปีแต่แม่หนูลูน่าดันไปตอบตกลงคบกับโกลด์สตีนเนี่ยนะ”


              “ก็ฉันฝันอย่างนั้นไปแล้วนี่” จอร์จใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาอย่างนึกเจ็บใจ “-- ฝันบ้าเอ๊ย”

     

              “-- ถ้างั้นอาจารย์ก็ยิ่งแม่นเข้าไปใหญ่เลยสิ แค่ที่อาจารย์แกเห็นมันเป็นความฝัน” เฟร็ดพูดตามที่เห็นแต่ไม่คิดว่าจอร์จจะน้ำตารื้น

    ขึ้นมาอีก “ไม่เอาน่า หน้าตานายน่าเกลียดชะมัด แม่หนูลูน่าไม่ได้คบกับโกลด์สตีน ท่องไว้น้องเอ๋ย -- นายแค่ฝันไป อีกอย่างสองคนนั้น

    จะมาคบกันที่นี่ได้ยังไงในเมื่อโกลด์สตีนโดนมาดามพอมฟรีย์บอกให้กลับไปนอนที่หอเรเวนคลอตั้งแต่เมื่อตอนหัวค่ำ อย่าบอกนะว่านายลืม

    -- ช่างเถอะ ฉันว่าพรุ่งนี้นังหนูของนายต้องมาเยี่ยมนายแน่ ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าวันนี้มาดามพอมฟรีย์ไม่ให้ใครเข้าเยี่ยม”


              “แล้วถ้านังหนูไม่มาล่ะ”


              “มั่นใจหน่อยสิ เอ้า ฉันลงหนึ่งเกลเลียนว่าต้องมา” เฟร็ดดีดเหรียญข้ามเตียงมาให้จอร์จเป็นเงินค่าพนัน ถึงจอร์จจะรู้ว่าที่ทำไป

    ก็เพราะอยากปลอบใจแต่มันก็ทำให้เขายิ้มได้และมีกำลังใจรอคอยเช้าวันใหม่ด้วยความหวังอย่างใจชื้นที่สุดท้ายแล้วเรื่องโกลด์สตีน

    มันก็แค่ฝันร้าย พร้อมๆ การต่อสู้กับการปลูกกระดูกใหม่ที่ขา... “เอ้อ แต่ถ้านังหนูของนายมาเยี่ยม นายต้องให้เงินฉันคืนมาด้วยนะจอร์จจี้”   



    - Talk -


              ขวัญเอ๊ยขวัญมานะจอร์จนะ~ ในที่สุดก็ถึงตอนที่เด็กแสบร้องไห้ เป็นตอนที่ไม่อยากให้มีแต่วางพล็อตมาแล้วก็ต้องแต่ง 

    สารภาพว่าตอนแรกเรากะจะให้ร้องแบบร้องจริงๆ ที่ไม่ใช่เพราะฝันไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ทำใจไม่ได้เลยเปลี่ยนใจกะทันหันให้ร้องไห้

    เพราะฝันแทนละกัน ส่วนเฟร็ดนี่ก็รักน้องสุด ไม่เชื่อคำทำนายแต่ก็กลัวว่าน้องจะร้องจริงเลยมานอนเป็นเพื่อนซะเลย ก็เขารักของเขานี่เนอะ 

    โดนกักบริเวณด้วยกันมาตั้งนาน >_<


    ปล. แอบบอกก่อนว่าช่วงนี้เราทำของแฮนด์เมดหลายอย่างว่าจะลงขายเร็วๆ นี้ในทวิตเตอร์ เลยมาบอกล่วงหน้าว่าเราจะมาลงโฆษณา

    ขายของในตอนหน้านะคะ (ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตอนไหน) ถ้าลงแล้วจะมาบอกนะคะ ช่วยอุดหนุนเราด้วยน้าา ^^    


    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×