ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Harry Potter] Little Loony Lovegood [George x Luna] [END]

    ลำดับตอนที่ #13 : 13 ll Good bye

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.11K
      196
      13 มี.ค. 63


    13


    Good bye





             แสงแดดเจิดจ้าส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาตั้งแต่เช้าของวันรุ่งขึ้น หลังลี จอร์ดันรูดม่านหน้าต่างสีแดงเปิดออก ยืนรับแสงแดดในเช้าของวัน

    สุดท้ายในปีนี้ที่ฮอกวอตส์ เฟร็ดบ่นกระปอดกระแปดกลิ้งตัวไปมาอยู่บนเตียงเพราะไออุ่นๆ สาดส่องเข้ามาในเตียงของเขาพอดี เขาหวังว่า

    จะมีเวลาเพิ่มอีกสักนิดให้นอนต่อ แต่จอร์ดันปรบมือดังลั่นปลุกเพื่อนอีกสี่คนที่ยังขี้เซาไม่ยอมลุกออกจากเตียง

                

              จอร์จตื่นมาได้ราวสิบนาทีแล้วตั้งแต่ก่อนที่แสงสว่างจ้าจะสาดเข้ามาในห้องเสียอีก เขานอนหงายมองเพดานเตียงสี่เสาด้วยความรู้สึก

    โหวงในท้องแปลกๆ ความสนุกทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนราวกับความฝัน แต่นิ้วหัวแม่มือที่มีพลาสเตอร์แปะอยู่นั้นช่วยย้ำกับเขาได้ดี

    ว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ พอคิดถึงว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงต้องกลับบ้านก็ชวนให้รู้สึกเหงาขึ้นมา ไม่มีเพื่อน ...ไม่มีนังหนู

                

              “เอ้า พวกขี้เซาลุกกันได้แล้ว” เพอร์ซี่เดินเข้ามาปลุก แต่ไม่มีใครยอมดีดตัวออกจากเตียงนอกจากจอร์ดัน “ถ้าอีกห้านาทีไม่ลงไป

    ก็อย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะ ทำตัวให้สมกับที่ได้ถ้วยรางวัลบ้านดีเด่นหน่อย ป่านนี้เด็กบ้านเรเวนคลอไปนั่งเต็มโต๊ะกันหมดแล้วมั้ง เห็นทีก็มีแต่

    กริฟฟินดอร์นี่แหละที่อืดอาดยืดยาด --” และแล้วเพอร์ซี่ก็ใช้เวลาอีกห้านาทีต่อมาในการบ่นฝาแฝดวีสลีย์น้องชายของเขากับเพื่อนร่วมห้อง

    จนเฟร็ดต้องเอาหมอนมาปิดหูตัวเองเอาไว้

                

              “นายเอาเวลานี้ไปปลุกคนอื่นต่อเถอะ เพอร์ซี่”

                

              “เงียบแล้วลุกขึ้นซะเฟร็ด นายด้วยจอร์จ” เพอร์ซี่ตั้งท่าเตรียมเดินออกจากห้อง โดยไม่ลืมพูดทิ้งท้ายเอาไว้ให้น้องชายฝาแฝดของเขา

    “ถ้าไม่อยากเจอใครบางคนนานๆ ก่อนกลับบ้านก็ตามใจนะ”

                

              มันได้ผล! จอร์จดีดตัวผึงขึ้นจากเตียงทันตาเห็น “พวกนาย ตื่นกันเถอะ เดี๋ยวลงไปไม่ทันมื้อเช้านะ!!”



              เวลาอาหารเช้าผ่านไปเร็วอย่างน่าใจหาย ตอนนี้นักเรียนทุกคนกำลังแออัดอยู่ตรงชานชาลาเพื่อขึ้นรถไฟกลับบ้าน 


              แฮร์รี่ รอน เฮอร์ไมโอนี่ และพี่น้องตระกูลวีสลีย์ยกเว้นเพอร์ซี่นั่งในห้องเดียวกันในตู้โดยสารหัวขบวน พวกเขาชะโงกหน้าจากหน้าต่าง

    ไปโบกมือลาแฮกริด ทันทีที่รถไฟเริ่มเคลื่อนตัวออกจากชานชาลา ทั้งหกคนก็เริ่มหาอะไรมาเล่นกันเพื่อฆ่าเวลา

                

              ในห้องที่อยู่แทบจะคนละฝากกันนั้น มีเด็กสาวสองคนจากบ้านเรเวนคลอนั่งอยู่ โดยมีเสียงเจื้อยแจ้วของมาเรียพูดจ้อไม่หยุด

    เรื่องที่ เซดริก ดิกกอรี่ รุ่นพี่ปีห้าจากบ้านฮัฟเฟิลพัฟส่งยิ้มให้กับเธอเมื่อเช้านี้ในห้องโถงใหญ่ ลูน่าต้องฟังเธอบรรยายใบหน้าอันหล่อเหลา

    ของเขาตั้งแต่รถไฟยังไม่ทันออกด้วยซ้ำ

                

              “เธอก็เห็นนี่ลูน่า ใช่ไหม เขายิ้มมาทางพวกเรา” มาเรียดึงนิตยสารเดอะควิบเบลอร์ลงเพื่อให้เห็นสีหน้าเพื่อนของเธอ

                

              “บางที ...เขาอาจยิ้มให้คนอื่นก็ได้นะ”

                

              “อือ อันที่จริงฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรหรอก แต่เขาใจดีมากเลยเนอะ” มาเรียว่าพลางยิ้มฝันไปกับจินตนาการของเธอ ลูน่าไม่แปลกใจ

    เท่าไรที่มาเรียจะชอบเขา หลายครั้งทีเดียวที่เซดริกคอยช่วยบอกทางให้กับนักเรียนปีหนึ่งที่หาทางไปห้องเรียนไม่ถูก ไม่ว่าเด็กคนนั้น

    จะอยู่บ้านไหนก็ตาม มาเรียเคยเป็นหนึ่งในนั้น แต่กับลูน่า ไม่ว่าเธอจะหลงไปคนละทิศกับห้องที่จะเรียนไกลแค่ไหน จอร์จจะโผล่มา

    ช่วยเธอเสมอราวกับเป็นแผนที่ส่วนตัว

                

              รถไฟสายด่วนฮอกวอตส์เริ่มออกเดินทางมาได้สักพักแล้ว มีนักเรียนไม่น้อยที่ยังเดินอยู่ตามทางเดินเพราะหาตู้ว่างไม่ได้ 

    และชายผมบลอนด์คนนี้ก็เช่นกัน

                

              “โทษที ขอนั่งด้วยได้ไหม” เสียงทุ้มติดแหบเล็กๆ ชะโงกหน้าเข้ามาถามสองสาวรุ่นน้องบ้านเรเวนคลอด้วยกัน

                

              “ได้ค่ะ” มาเรียตอบทันทีโดยไม่มองหน้าหรือถามความเห็นจากเพื่อนสนิทอย่างลูน่าที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันด้วยซ้ำ

                

              “ขอบใจนะ” เด็กหนุ่มก้าวเข้ามาในตู้ ทว่ายืนลังเลอยู่นานว่าจะนั่งฝั่งไหนดี กระทั่งมาเรียขยับเข้าไปชิดหน้าต่างและตบเบาะข้างๆ เธอ

    แต่ตอนนั้นเขาเลือกนั่งลงข้างลูน่าไปแล้ว

                

              ลูน่ายกนิตยสารเดอะควิบเบลอร์ที่เธออ่านกลับหัวกลับหางขึ้นสูงจนบังหน้าของเธอมิดเพราะรับรู้ได้ถึงสายตาคนข้างตัวที่จ้องเธออยู่ 

    เด็กสาวไม่เคยคุยและไม่รู้จะคุยอะไรกับรุ่นพี่คนนี้แม้จะอยู่บ้านเดียวกันก็ตาม

                

              “ข้างนอกก็ยังคึกครื้นเหมือนเดิมเลยนะ ว่าไหมเลิฟกู๊ด” เขาถามเพื่อพยายามผูกมิตร แต่เขาหาจังหวะได้ไม่ดีเอาเสียเลย เพราะตอนนี้

    ลูน่ากำลังสนใจอยู่กับคอลัมน์ปริศนาอักษรรูนโบราณในนิตยสารอยู่จึงไม่ได้ยินที่เขาพูด

                

              มาเรียเห็นลูน่านั่งนิ่งไม่ขยับ เธอไม่อยากให้รุ่นพี่ถามเก้อเลยเป็นฝ่ายตอบแทน “ค่ะ คงเป็นพวกคุณวีสลีย์อีกนั่นแหละ”

                

              และก็เป็นอย่างที่มาเรียพูดเอาไว้จริงๆ เพราะฝาแฝดวีสลีย์เพิ่งวิ่งผ่านตู้ที่พวกเธอนั่งอยู่ไปเมื่อกี้นี้เอง

                

              ลูน่าเงยหน้ามองตอนที่ได้ยินมาเรียพูดว่าวีสลีย์ก่อนมีเสียงฝีเท้าวิ่งผ่านมา ดวงตากลมโตเลื่อนไปมองผ่านกระจกตรงประตู 

    สบตาเข้ากับจอร์จพอดีก่อนเขาจะวิ่งหายไป และในอีกห้านาทีให้หลัง มีเสียงเท้าหนักๆ วิ่งกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ประตูห้องที่ปิดสนิท

    กลับถูกเลื่อนเปิดออก

                

              คนผมแดงเดินเข้ามานั่งเติมเต็มที่ว่าง...ตรงกลางระหว่างลูน่ากับเด็กหนุ่ม และทักทายอย่างร่าเริงทันที “หวัดดีนังหนู แล้วก็มาเรีย.. 

    ส่วนนาย...”


              “แอนโทนี โกลด์สตีน” เด็กชายตอบพร้อมมองสำรวจคนมาใหม่อย่างพินิจพิจารณา ที่ว่างข้างมาเรียก็มีตั้งกว้างแต่คนผมแดง

    กลับเลือกมานั่งแทรกตรงกลาง

                

              “จอร์จ วีสลีย์ --นายอยู่ปีเดียวกับแฮร์รี่นี่ใช่ไหม?” จอร์จมองดูเสื้อคลุมเรเวนคลอของอีกฝ่าย เขาจำได้ว่าเคยเห็นคุยกับแฮร์รี่อยู่ครั้ง

    สองครั้ง

                

              “ฮะ”

                

              “แล้วทำไมไม่ไปนั่งกับพวกเราล่ะ มีที่ว่างสำหรับนายพอดีเลย”

                

              “เอ่อ..แต่..”

                

              “ไปกันเถอะ! พวกนั้นกำลังเล่นไพ่ขานชื่อแบบระเบิดกันอยู่ล่ะ!” จอร์จไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาลุกขึ้นยืนคว้าแขนแอนโทนีให้ลุกไป

    ด้วยกันแถมยังกอดคอเดินออกไปอย่างกับสนิทสนมกันมานาน

                

              “อะไรของเขาน่ะ เข้ามาทักเราสองคนแล้วก็เอาแต่พูดกับโกลด์สตีนคนเดียวแล้วก็พาออกไปเฉยเลย”

                

              “เขาคงอยากให้คุณโกลด์สตีนไม่อึดอัดล่ะมั้ง นั่งกับเพื่อนรุ่นเดียวกันคงจะสนุกกว่า” ลูน่าลดนิตยสารลงวางบนตัก และในตอนนั้นเอง

    ประตูก็ถูกเลื่อนเปิดอีกครั้งพร้อมเจ้าของผมแดงที่เพิ่งออกไป เดินเข้ามานั่งข้างลูน่าอย่างหน้าตาเฉย

                

              “อ้าว” มาเรียร้อง “เมื่อกี้คุณชวนคุณโกลด์สตีนออกไปนั่งด้วยกันไม่ใช่เหรอคะ”

                

              “อ้อใช่ แต่ฉันลืมไปว่าที่นั่งที่ว่างนั่นมันของฉันเอง ตอนนี้ฉันก็เลยไม่มีที่นั่งแล้ว ขอนั่งด้วยคนนะ”

                

              ทั้งสองมองดูจอร์จยิ้มแป้นขนาดนี้ ต่อให้คำตอบในใจจะเป็นยังไงก็คงปฏิเสธไม่ลงอยู่ดี

        

              เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง วิวทิวทัศน์ด้านนอกเริ่มเปลี่ยนเป็นทุ่งนาสีเขียวเป็นระเบียบไกลสุดลูกหูลูกตา


              “เอ่อ ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” มาเรียพูดแล้วลุกขึ้น โดยไม่ลืมหันมายิ้มให้กับอีกสองคนในห้องก่อนเธอจะเดินออกไป

    ด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีชมพูระเรื่อ

                

              “ฉันว่าจะถามคุณตั้งนานแล้ว แต่มาเรียไม่รู้ว่าเมื่อคืนนี้ฉันออกจากหอคอย” ลูน่าเอ่ยเสียงพูด ทั้งที่ยังกางเดอะควิบเบลอร์อยู่ 

    “--คุณเจอนาร์เกิ้ลบ้างไหมคะ”

                

              จอร์จลุกขึ้นแล้วย้ายไปนั่งฝั่งตรงข้ามแทนเพื่อจะได้คุยกันถนัดๆ “ไม่เจอหรอก ลืมไปเลยว่าฉันสวมเครื่องรางที่เธอทำให้อยู่ 

    พวกนาร์เกิ้ลคงหนีกันไปหมดแล้วน่ะ โอ้! ฉบับนี้ฉันอ่านแล้วนะ มีปริศนาอักษรรูนด้วยใช่ไหม --”

                

              ลูน่าพยักหน้าด้วยความดีใจแล้วคุยต่ออย่างออกรสชาติ มีไม่กี่คนนักหรอกที่ซื้อไปแล้วจะจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้เกือบหมด

    อย่างเขา เด็กสาวอ่านมันเป็นรอบที่สามแล้ว เลยคุยกับจอร์จได้อย่างไม่ติดขัดและรู้สึกสบายใจที่ได้คุยด้วย

                

              ทั้งคู่นั่งคุยจนไม่รู้จะคุยอะไรแล้ว แต่มาเรียก็ยังไม่กลับมา วิวข้างนอกเริ่มเปลี่ยนไปอีกแล้ว ลูน่ายกแขนวางซ้อนกันตรงบานหน้าต่าง

    มองดูทิวทัศน์ที่ได้เห็นเป็นครั้งที่สองหลังจากครั้งแรกคือตอนที่นั่งรถไฟไปฮอกวอตส์ รถไฟแล่นไปด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอ 

    ภาพข้างทางนั้นยังเหมือนเดิมมาได้ราวครึ่งชั่วโมงแล้ว ดวงตาที่เคยกลมโตกลับหรี่ปรือลงด้วยความง่วงจนหลับไปในที่สุด


              ทันใดนั้นรถไฟเกิดกระตุกขึ้นมาพร้อมชะลอความเร็วลง ระหว่างที่ลูน่าหลับไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ในตอนที่มันเกิดกระตุกมีเสียงดัง กึก ขึ้น

    หนึ่งที ไม่ใช่เสียงของร่วงแต่เป็นหัวของลูน่าที่โขกกับกระจก


              เสียงประธานนักเรียนตะโกนมาจากหัวขบวนว่ารถไฟเกิดการขัดข้องเล็กน้อย แต่จะสามารถไปต่อได้ในอีกสิบนาทีให้หลัง

                

              จอร์จนึกเป็นห่วงเด็กสาวขึ้นมา ก็เมื่อกี้นี้เสียงไม่ใช่เบาๆ ทว่าคนผมบลอนด์กลับยังนอนหลับต่อได้อย่างสบายใจ เขากลับเข้ามาในตู้

    อีกครั้งหลังชะโงกหน้าออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คราวนี้เขาเดินมานั่งข้างลูน่าก่อนค่อยๆ ประคองคนตัวเล็กให้เอนตัวมาพิงไหล่ตัวเอง

    เพราะรถไฟอาจกระตุกอีกครั้งตอนเคลื่อนตัว

                

              จอร์จสบายใจแต่กลับไม่สบายตัว พอมีศีรษะของคนตัวเล็กมาพิงไหล่ทำเอาเขานั่งตัวเกร็ง หนึ่งเพราะกลัวลูน่าจะตื่น และสองคือเขา

    ไม่เคยนั่งใกล้เธอเป็นเวลานานขนาดนี้มาก่อน เมื่อรถไฟซ่อมเสร็จแล้วก็เริ่มออกเดินทางต่อและไร้วี่แววของมาเรีย

                

              มือใหญ่ของจอร์จยกขึ้นและวางกลับลงบนตักหลายต่อหลายครั้ง เกิดความลังเลผุดขึ้นในหัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน 

    จนในที่สุดเขาก็ค่อยๆ ยกมือขึ้นแล้วลูบศีรษะคนผมบลอนด์อย่างแผ่วเบาราวกับต้องการกล่อมให้เธอหลับสบายและนอนหลับฝันดี...   


              สงสัยเมื่อคืนนี้จอร์จวิ่งเล่นกับฟิลช์มากไปหน่อยทำให้เขาหลับไปด้วยอีกคน ส่วนห้องอื่นก็เงียบลงกว่าตอนช่วงเช้ามาก 

    โดยเฉพาะห้องของเฟร็ด พวกเขานั่งหลับไม่ต่างจากจอร์จกับลูน่า

                

              รถไฟใกล้ถึงสถานีคิงส์ครอสแล้ว มาเรียเดินกลับมาที่ห้องเพื่อจะหยิบสัมภาระ แต่เมื่อเปิดประตูเข้ามาริมฝีปากบางก็ยกยิ้มขึ้น

    กับภาพที่เห็น เธอเดินเข้ามาเอื้อมหยิบกระเป๋าออกจากห้องไปเงียบๆ แล้วเลื่อนปิดประตูอย่างเงียบเชียบ


              ครึ่งชั่วโมงให้หลัง เป็นหน้าที่ของแฮร์รี่ที่เล่นเกมแพ้เมื่อตอนเช้า เขาต้องออกมาเดินตรงระเบียงทางเดินในรถไฟเพื่อตามหาฝาแฝด

    คนน้องของเฟร็ดที่หายตัวไปหลายชั่วโมง เขาเดินไล่ดูแต่ละห้องตั้งแต่หัวขบวนจนมาถึงท้ายขบวนถึงจะเจอ แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไป 

    ภาพลูน่ากำลังนอนหลับเอาศีรษะพิงไหล่จอร์จและศีรษะคนผมแดงก็พิงทับอีกทีทำให้เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้


              “สวัสดีฮะแฮร์รี่”


              แฮร์รี่หันขวับไปมองข้างหลัง เห็นเจ้าหนูคอลินกำลังจะเดินผ่านหลังไปพอดี “หวัดดีคอลิน” เขาหันกลับมาในห้องก่อนจะคิดอะไรได้

    เฮ้ คอลิน ช่วยถ่ายภาพให้หน่อยสิ ได้ไหม แบบว่า--จะเก็บไว้เป็นที่ระลึกน่ะ”

                

              “จะให้ผมถ่ายรูปคุณหรือฮะ สุดยอดไปเลย ได้สิฮะ!” คอลินยกกล้องในมือขึ้นในท่าเตรียมพร้อม

                

              “ไม่ ไม่ใช่ฉันคอลิน ตามฉันมานี่” แฮร์รี่เอื้อมมือเลื่อนเปิดประตูออกให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้พลางยกนิ้วชี้ขึ้นมาตรงปาก

    ทำสัญญาณว่าให้คอลินเงียบๆ


              ทั้งคู่เดินเข้ามาในห้องอย่างระมัดระวังไม่ให้ไปเตะอะไรตรงพื้นเข้า ก่อนนั่งลงตรงเบาะฝั่งตรงข้ามที่หันหน้าเข้าหา

    คนผมแดงบ้านกริฟฟินดอร์กับเด็กสาวผมบลอนด์บ้านเรเวนคลอ


             คอลินยกกล้องขึ้นมาแล้วกดชัตเตอร์ทันที มีแสงสว่างวาบขึ้นมาหนึ่งทีทำเอาจอร์จกับลูน่าสะดุ้งตื่นและขยี้ตาหลังถูกแสงแฟลชสาดใส่

    ระหว่างนั้นแฮร์รี่บอกให้คอลินรีบวิ่งออกไปและเหลือเขานั่งส่งยิ้มกว้างให้อีกสองคนอยู่คนเดียว


              “เมื่อกี้นั่นแสงอะไรน่ะ” จอร์จถามแฮร์รี่เสียงงัวเงีย


              “คงเป็นแสงไฟจากข้างทางมั้งฮะ --ผมแค่จะมาบอกว่าเราใกล้ถึงแล้วน่ะฮะ” พูดจบแฮร์รี่ก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปอย่างอารมณ์ดี 

    ทิ้งให้ทั้งสองคนที่เพิ่งตื่นนั่งงงกันอยู่ และจอร์จเป็นฝ่ายที่เรียกสติกลับมาได้เร็วกว่า เขารู้ตัวว่าตัวเองอยู่ใกล้คนตัวเล็กมากเกินไปแล้ว 

    เลยเขยิบออกห่างจนไปชิดกับผนังห้องอีกฟากที่ติดกับประตู

                

              จอร์จแอบชำเลืองมองดูลูน่าที่นั่งขยี้ตาแล้วก็นั่งนิ่งไปคล้ายกับยังไม่ตื่นดีนัก เปลือกตาที่บวมเล็กน้อยขยับขึ้นลงช้าๆ พลางกวาดตา

    มองดูรอบห้องจนมาหยุดอยู่ที่คนผมแดงและจ้องอยู่อย่างนั้นโดยไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ

                

              คนถูกมองมีอาการทำตัวไม่ถูก “เราหลับกันนานน่าดูเลยเนอะ” เขายกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เขินแต่ดูเหมือนลูน่าจะไม่ได้ฟังที่เขาพูด

    เลยแม้แต่น้อย

                

              “เมื่อกี้นี้ฝันดีมากเลย” เสียงเล็กพูดอย่างฝันๆ ก่อนคลี่ยิ้มออกมาบางๆ “ฝันว่ามีคนมาลูบหัว แบบนี้ -- สัมผัสแผ่วเบา 

    แต่กลับรู้สึกอบอุ่นมากเลย ...น่าเสียดายที่ในฝันไม่เห็นว่าเป็นใคร” ลูน่าขมวดคิ้วทำหน้าเสียดายอยู่นิดหน่อยที่เธอจำอะไรไม่ได้เลยสักนิด 

                

              ขณะที่จอร์จนั่งตัวแข็งทื่อ นั่นหมายความว่าที่เขาทำไปนั้นเธอรู้สึกจนเข้าไปในอยู่ในความฝัน แม้อยากจะรู้ว่าหากเจ้าตัวรู้ว่า

    ไม่ใช่ความฝันจะรู้สึกยังไง แต่จอร์จเลือกที่จะเก็บมันเอาไว้เป็นความลับ เขาพยายามกลั้นยิ้มจนหน้าแดงก่ำลามไปถึงใบหูคล้ายทั้งหัวเขา

    กลายเป็นลูกมะเขือเทศต้มสุกไปแล้ว



              เมื่อถึงสถานีคิงส์ครอส เด็กๆ ในขบวนก็ลุกขึ้นพร้อมกันหมด ทางเดินในรถไฟแน่นขนัดไปด้วยนักเรียนจนขยับตัวไปไหนแทบไม่ได้ 

    จอร์จชะโงกหน้าออกจากหน้าต่างมองหาว่ามีพี่น้องคนไหนของเขาลงไปได้แล้วบ้าง แต่ดันไปเห็นแม่มดร่างเล็กเจ้าเนื้อ ดูท่าทางใจดี

    อยู่คนหนึ่ง --มอลลี่ วีสลีย์ แม่ของเขาเอง

                

              ก่อนจะกลับจากฮอกวอตส์จอร์จมีความตั้งใจอันแน่วแน่อยู่หนึ่งอย่างที่ต้องทำให้ได้เมื่อมาถึงสถานีรถไฟ คือ พานังหนูไปแนะนำ

    ให้กับแม่ของเขารู้จัก ในฐานะรุ่นน้องของเขาและเพื่อนของจินนี่ แม้ตอนนี้จะมีฐานะอื่นผุดขึ้นมาอยู่ในหัวก็ตาม

                

              “เฮ้ จอร์จ” เฟร็ดตะโกนเรียก จอร์จเลื่อนสายตากลับมามองตรงหน้าที่เขากำลังชะโงกหน้าอยู่ ถึงเห็นว่าเฟร็ดลงจากรถไฟไปได้แล้ว

    “ส่งหีบของแม่หนูลูน่ามาให้ฉันทางนี้ พวกนายจะได้แทรกตัวลงมากันง่ายๆ ส่วนของนายฉันกับรอนเอาลงมาให้แล้ว”

                

              จอร์จหดตัวกลับเข้ามาทำตามที่แฝดคนพี่บอกทันที เขาเอื้อมมือหยิบหีบใส่ของจากชั้นวางสัมภาระส่งให้เฟร็ดรับไปใส่รถเข็นทีละใบ

    จนหมด “ทีนี้เราก็ลงไปกันได้แล้วล่ะ นังหนู”

                

              กว่าจะลงจากรถไฟมาได้ก็เป็นตอนที่ทุกคนเดินไปถึงแม่ของพวกเขากันหมดแล้ว จอร์จอาสาช่วยถือกระเป๋าสะพายอีกใบของลูน่า

    เพื่อเป็นการผูกมัดกลายๆ ว่าเธอต้องเดินไปกับเขาก่อน คนตัวสูงช่วยดันรถเข็นลูน่าไปทางนางวีสลีย์ อย่างน้อยลูน่าก็ไม่ต้องยืนอยู่คนเดียว

    ระหว่างที่รอพ่อของเธอมารับ  

                

              นางวีสลีย์อ้าแขนรอรับลูกชายคนสุดท้ายที่กำลังเดินมาก่อนดึงตัวจอร์จเข้าไปกอด “ยินดีต้อนรับกลับบ้าน--พ่อตัวแสบ” เธอใช้มือยีหัว

    ลูกชายอีกคนด้วยความมันเขี้ยว ก่อนเธอเพิ่งสังเกตเห็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่เดินเคียงข้างมากับจอร์จ

                

              “สวัสดีค่ะ” ลูน่าเอ่ยทักทายพร้อมก้มหัวให้อย่างสุภาพ

                

              นางวีสลีย์อมยิ้มน้อยๆ อย่างมีเลศนัยส่งไปทางจอร์จแล้วหันกลับมามองเด็กสาวตัวเล็ก “สวัสดีจ้ะ หนูเป็น...”  


              “เพื่อนจินนี่ฮะ...” รอนรีบตอบ


              “ไม่ใช่ซะหน่อย” เฟร็ดแย้ง “นี่แม่หนูลูน่าฮะ”

                

              “ไม่ใช่ นี่นังหนูต่างหาก”  

                

              “พวกพี่เลิกเล่นกันสักทีเถอะ” จินนี่เหนื่อยหน่ายใจกับพวกพี่ชายของเธอเต็มทน

                

              “หนูลูน่า เลิฟกู๊ดค่ะ” สุดท้ายลูน่าก็ต้องเป็นคนแนะนำตัวเองอยู่ดี  

                

              “ยินดีที่ได้รู้จักนะจ๊ะ พ่อตัวแสบสามคนนี่ไม่ได้แกล้งอะไรหนูใช่ไหม”

                

              รอนเห็นสายตาที่กวาดมาถึงเขาด้วย เลยเกิดความไม่พอใจขึ้นมา “ทำไมแม่นับรวมผมด้วยล่ะ งั้นก็ต้องนับเพอร์ซี่ด้วยสิ”

                

              “ไม่นับเพอร์ซี่น่ะถูกแล้ว ...ใครกันที่ตอนปิดเทอมเอารถของพ่อไปขับเล่นน่ะ” รอนเงียบเพราะยอมจำนนต่อหลักฐาน “ว่าไงจ๊ะ 

    พวกเขาไม่ได้แกล้งหนูใช่ไหม กลับบ้านไปฉันจะได้จัดการพวกเขาทีเดียวพร้อมกับจัดการเรื่องที่มีจดหมายจากโรงเรียนมาแจ้งพฤติกรรม

    พวกเขาด้วย ทั้งปีนี้พวกนกฮูกน่ะบินมาส่งกันไม่หวาดไม่ไหวทีเดียวเชียวล่ะ”

                

              “พวกเขาใจดีกับหนูมากเลยค่ะ” ลูน่าตอบอย่างจริงจัง “พวกเขาช่วยหาของที่ถูกเอาไปซ่อนแล้วก็มีสองครั้งที่ให้หนูยืมถุงเท้า

    กับผ้าพันคอด้วยค่ะ”

                

              “งั้นเหรอจ๊ะ ได้ยินแบบนี้แล้วรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย” เธอยิ้มกว้าง “ว่าแต่เทอมนี้เป็นยังไงกันบ้างเด็กๆ ได้เจอเขาไหม ล็อกฮาร์ตน่ะ 

    ต้องเป็นอีกปีที่เขาสอนดีมากแน่ๆ”

                

              ทุกคนทำหน้าเจื่อนยกเว้นจินนี่ จอร์จมองดูลูน่าที่ทำหน้างง ไม่เข้าใจสถานการณ์เลยก้มลงกระซิบ “แม่เป็นแฟนคลับเขาน่ะ”

                

              “ก็เขาออกจะเก่งนี่จ๊ะ” นางวีสลีย์หันมาบอกทันที

                

              “ก็คงมีแค่แม่กับจินนี่นี่แหละที่คิดแบบนั้น อ้อ แล้วก็ผมได้รูปภาพพร้อมลายเซ็นของเขามาด้วยนะฮะ เมื่อวานนี้”

                

              “จริงเหรอจ๊ะจอร์จ! เด็กดีจริงๆ ไหนเอามาให้แม่ดูหน่อยเร็ว บางทีแม่อาจลดโทษที่มีจดหมายจากฮอกวอตส์ส่งมาก็ได้นะ”

                

              “เสียใจด้วย ผมให้คนอื่นไปแล้วฮะ”

                

              “...ว่าไงนะ” รอยยิ้มบนใบหน้าจางลงอย่างรวดเร็ว เธอถามเสียงเย็น “ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัวรับบทลงโทษได้เลย อย่างแรก 

    ลูกต้องไปไล่พวกโนมที่ยั้วเยี้ยเต็มสวนออกไปให้หมด ย้ำว่าให้หมดภายในช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้ ไม่อย่างนั้นงดอาหารเช้าและเย็น 

    แล้วก็อย่าหวังว่าจะได้เสื้อคลุมใหม่กันด้วย ปีหน้าก็ใส่ตัวเดิมไปก็แล้วกัน”

                

              “โธ่แม่ฮะ ผมจำเป็นที่จะต้องให้คนอื่นนะ”

                

              “งั้นแม่ก็จำเป็นต้องทำแบบนี้กับลูกเหมือนกันจ้ะ ลูกรัก”

                

              “เอ่อ...คุณนายวีสลีย์คะ” ลูน่าพูดเสียงค่อย ตอนนี้ทุกสายตาของครอบครัววีสลีย์ต่างก็มองเธอกันเป็นตาเดียว มือขาวซีดของเธอ

    ล้วงลงไปในกระเป๋าสะพายข้างที่รับคืนมาจากจอร์จ หยิบรูปภาพใบหนึ่งออกมา “หนูให้คุณค่ะ”

                

              เฟร็ดกับจอร์จกรูกันเข้ามาหาลูน่าพร้อมชมไม่หยุดปาก

                

              “หนูเก็บไว้เถอะจ้ะลูน่า ยังไงจอมแสบสองคนก็ต้องถูกลงโทษอยู่แล้ว บางทีอาจรวมรอนด้วย”


              รอนลอบกลืนน้ำลายเดินเข้าหาลูน่าอีกคน

                

              “ไม่เป็นไรค่ะ บางทีถ้าให้คุณไปอาจมีประโยชน์มากกว่าอยู่กับหนู ...คุณนายวีสลีย์รับไปเถอะนะคะ”  เด็กสาวเอ่ยเสียงใส 

    เพราะยังไงก็ตาม รูปภาพใบนี้ ต่อให้เอากลับบ้านไปก็คงหนีไม่พ้นอยู่ตรงมุมไหนสักมุมของบ้านให้ฝุ่นเกาะอยู่แล้ว

                

              “จริงเหรอจ๊ะ โอ้ ขอบใจหนูมากนะ” นางวีสลีย์รับภาพนั้นไปพลางเอามือดันลูกชายทั้งสามของเธอให้หลีกทางก่อนดึงตัวลูน่า

    เข้าไปกอดอย่างรักใคร่เอ็นดู

                

              รอน เฟร็ดและจอร์จหันมายิ้มให้กัน คิดในใจว่าพวกเขาคงไม่ต้องไปไล่พวกโนมอีกแล้ว โดยที่รอยยิ้มของจอร์จนั้นแฝงไปด้วย

    ความดีใจที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ที่ได้เห็นแม่กอดกับนังหนูของเขา แต่แล้วก็มีเสียงขัดขึ้น  

                

              “ลูน่าลูกรัก” สิ้นเสียงนั้น สายตาทุกคนเป็นอันต้องหันไปมอง เห็นพ่อมดผมขาวยาวประบ่าฟูฟ่องเหมือนขนมสายไหมยืนโบกมือให้  

                

              ดวงตากลมโตของลูน่าที่โตอยู่แล้วเบิกกว้างมากขึ้นไปอีก “พ่อจ๋า!” เสียงเล็กตะโกนกลับไปพร้อมโบกมืออย่างร่าเริง

    ก่อนหันกลับมาหาครอบครัววีสลีย์ “หนูขอตัวก่อนนะคะ”


              “จ้ะ กลับบ้านดีๆ นะ”


              “สวัสดีค่ะ --ไปแล้วนะจินนี่ ไปแล้วนะคะทุกคน”

                

              “โชคดีนะจ๊ะ”

                

              “โชคดีนะลูน่า” จินนี่โบกมือตอบ

                

              “แล้วเจอกันตอนเปิดเทอมนะนังหนู” จอร์จตะโกนบอกร่างเล็กที่วิ่งดุ๊กดิ๊กไปทางพ่อมดคนนั้นจนเกือบจะกลืนไปกับฝูงชน 

    พลางโบกมือให้

                

              ลูน่าวิ่งโผเข้ากอดผู้เป็นพ่อทันที เป็นภาพที่ทำให้คนมองเห็นต่างก็ยิ้มออกมา นางวีสลีย์มองตามด้วยความเอ็นดูแต่เมื่อหันกลับมา

    มองลูกชายตัวแสบทั้งหลายที่ยืนอยู่ข้างกันกลับนึกอะไรขึ้นมาได้     

                

              “แม่ว่าเราลืมอะไรไปนะ” สายตาคมตวัดมองที่จอร์จ “ที่มือลูกน่ะ มันรถเข็นที่ใส่หีบของหนูลูน่าเขาไม่ใช่รึ”

                

              “จริงด้วย” จอร์จไม่รอช้ารีบดันรถเข็นไปทางเดียวกับที่ลูน่าวิ่งไปทันที นี่ไม่ได้อยู่ในแผน แต่ก็ถือว่าดีไม่น้อยที่เขาจะได้เจอกับ

    พ่อของนังหนู คมผมแดงทักทายพ่อมดผมขาวผู้เป็นพ่อของลูน่าก่อนวิ่งกลับมาหาครอบครัวที่ยืนรออยู่ แม่ของเขากำลังพูดถึงเรื่องที่เด็กสาว

    ตอบคำถามตอนแรกอยู่พอดี 

                

              “เป็นเพื่อนกันน่ะ แบ่งปันกันดีแล้วนะ จินนี่ --ถุงเท้ากับผ้าพันคอน่ะ”

                

              จินนี่โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “หนูเปล่านะ”

                

              “อ้าว แล้วใครกันล่ะ เพอร์ซี่เหรอจ๊ะ”

                

              “ผมคุยกับเธอมากสุดก็แค่สวัสดีแค่นั้นเองฮะ”

                

              เฟร็ดโบกมือไปมาตรงหน้าแม่ของเขา “แหม คุณผู้หญิง พวกผมก็เป็นลูกคุณเหมือนกันนะ ไม่คิดว่าพวกเราจะมีน้ำใจบ้างเลยหรือ” 

    เขาทำหน้าน้อยใจ รอนพยักหน้าเห็นด้วยกับเฟร็ด “คนที่ให้แม่หนูลูน่ายืมคือจอร์จต่างหากล่ะฮะ”

                

              คนถูกกล่าวถึงเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูก “ตอนนั้น...นังหนูถูกพวกนาร์เกิ้ล เอ้อ ...พวกมัลฟอยเอาของของเธอไปซ่อนฮะ...อากาศหนาวด้วย 

    ...ผมเลยให้ยืมไป...ก็แค่นั้น”

                

              “ลูกทำตัวดีกับเขาก็เป็นด้วยหรือนี่” นางวีสลีย์หรี่ตามองอย่างจับพิรุธ “อ้อ หรือลูกปิ๊งหนูน้อยคนนั้นเข้าแล้ว?” เธอแกล้งแซวลูกชาย

    ตัวแสบ ที่นานๆ ทีจะมีโอกาสได้เห็นจอร์จออกอาการเขินจนพูดผิดพูดถูก ท่าทางเก้ๆ กังๆ ดูเขินอายตอนเดินมากับหนูน้อยผมบลอนด์นั่น

    อย่างกับจะพามาเปิดตัวซะขนาดนั้น ทำไมคนเป็นแม่อย่างเธอจะดูไม่ออก


              เด็กๆ ตระกูลวีสลีย์ที่เหลือต่างก็หันมองจอร์จกันเป็นตาเดียวราวกับจ้องจะตะครุบเหยื่อ

                

              “ไม่ใช่ซะหน่อย แม่ก็...”  

                

              เฟร็ดยิ้มพลางเดินมายืนข้างกันแล้วยกแขนกอดคอจอร์จ “นายหน้าแดงนะจอร์จจี้”

                

              “เงียบน่า เฟร็ด!”

                

              “เอาล่ะ อย่าเถียงกัน ไปกันเถอะ แม่ว่าปีนี้พวกลูกมีอะไรให้เล่าเยอะแยะเลยใช่ไหม โดยเฉพาะจอร์จ” นางวีสลีย์เลิกคิ้วถาม 

    แต่จอร์จไม่ยอมสบตากับเธอ “แต่บอกไว้ก่อนนะว่ายังไงพวกลูกก็ต้องไปไล่พวกโนม --อย่างไม่มีข้อยกเว้น!”


              เสียงโอดครวญของเฟร็ดกับรอนดังประสานกัน พวกเขาไม่เคยรอดพ้นจากการถูกลงโทษให้ไปไล่พวกโนมตัวเล็กที่ลอบเข้ามา

    อยู่ในสวนได้เลยสักปี ใครก็รู้ว่าโนมนั่นร้ายกาจซะยิ่งกว่าอะไรดี พวกเขาสาบานได้เลยว่าถ้าให้ต้องไปไล่พวกโนม เขาขอไปนั่งฟังล็อกฮาร์ต

    คุยโม้ยังจะดีซะกว่า 


              น้องเล็กคนสุดท้องของบ้านยืนมองดูเฟร็ดกับรอนเต้นเร่าๆ อ้อนแม่เพราะไม่อยากไล่พวกโนม ไหนจะเพอร์ซี่ที่เอาแต่ชะเง้อมองหา

    ใครบางคนในชานชาลาจนไม่เป็นอันฟังแม่ของเขาพูดเลย ส่วนจอร์จนั้นดูเงียบกว่าปกติ เขาไม่บ่นสักคำ แต่การที่ใบหน้าเขาแดงแปร๊ด

    อย่างนี้ก็อดทำให้จินนี่ส่ายหัวน้อยๆ ให้กับบรรดาพี่ชายของตัวเองไม่ได้


              ...มีใครปกติสักคนไหมเนี่ย??



    - Talk -


      เขาถึงขั้นพามาเปิดตัวแล้วค่ะคู๊ณณ ถึงจะไม่ใช่ในฐานะลูกสะใภ้ก็เถอะ แค่รู้จักกันแล้วแม่เอ็นดูน้องแค่นั้นจอร์จก็ถือว่าประสบ

    ความสำเร็จละ 555

           ตอนหน้าก็ปิดเทอมแล้ว นังหนูที่จอร์จชะเง้อมองหาทุกเช้าที่ห้องโถงใหญ่ไม่มีอีกแล้ว ก็ได้แต่หวังว่าคุณเขาจะไม่เฉาตายไปซะก่อนนะคะ

    >_<

    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×